คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #49 : If you want to know anything (โปรดเธอจงถามฉัน)
ตอนที่ 41: If
you want to know anything
(โปรดเธอจงถามฉัน)
เสียงลูกธนูแหวกอากาศดังวี้ดหวิว
ก่อนมันจะพุ่งเลยเป้าหายไปในพงหญ้า มือบางง้างคันศรอีกครั้ง ปล่อยปีกขนนกให้ยิงออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หนแล้วหนเล่า
‘เจ้าหญิงอารมณ์ไม่ดี’ มิฮอร์คยืนมองภาพดังกล่าวด้วยสายตาพินิจ
เด็กสาวหลงอยู่ในโลกส่วนตัวมุ่งมั่นยิงธนูโดยไม่สนผู้ใด
...เธอคงไม่อยากให้ใครก้าวก่ายแต่ยามนี้เขาคงต้องละเมิด
“สมาธิคือเครื่องวัดสภาพจิตใจได้ดีที่สุด...”
เสียงพุ่งแหวกอากาศดังแว่วหนึ่งครั้งก่อนปลายศรที่ท่านเคานต์ยิงจะปักที่กลางเป้าเหมือนจับวาง
“ถ้าจิตใจเธอหวั่นไหวยิงให้ตายยังไงมันก็ไม่เข้าเป้า ...หากเจอปัญหาสิ่งที่ควรทำคือเผชิญหน้ากับมัน
ตรงดิ่งให้เหมือนลูกธนู”
“บางทีท่านเคานต์ก็ดุเก่งเหมือนคุณพ่อฉันเลยนะ”
“อืม ถือว่าหนวดฉันกับราชาริคุมีความงามใกล้เคียงกัน ฉันดูแลหนวดเคราของฉันดีมากเลยล่ะ” ถึงจะงุ่นง่านแต่สาวน้อยก็เผลอหัวเราะยามอีกฝ่ายดันหยอกล้อ
‘นั่นสิ ที่ผ่านมาเธอเอาแต่วิ่งหนีปัญหา’
หลังจากนี้ต้องรีบกลับไปเผชิญหน้าความจริง ต้องขีดฆ่าภาพเด็กสาวไร้เหตุผลทิ้งไป อุตส่าห์คิดว่าตัวเองนั้นมีสติควบคุมทุกอย่างได้แต่กลับพบว่ายามใดที่มีผู้ชายชื่อโดฟลามิงโก้โผล่เข้ามา
ทุกอย่างของเธอมักจะรวนเร
เธอรู้ตัวมาสักพักแล้วว่าเขาเริ่มมีอิทธิพลกับความรู้สึกเธอมากเกินไป
สาวน้อยไม่อาจเพิกเฉย
คิดว่าให้ยืดเยื้อต่อไปต่างฝ่ายต่างก็เจ็บ ตอนนี้ครบกำหนดสองวันตามที่บอกแต่ที่จริงมันเข้าวันที่สามแล้วที่เขาไม่มาวุ่นวาย
หันมองมือถือตัวเองที่วางบนโต๊ะก็พบว่ายังเงียบสงบ
เธอได้มันคืนหลังจากที่เจ้าพ่อมาส่งที่คฤหาสน์ เราทั้งคู่ไม่พูดอะไรจวบจนสุดท้ายความเงียบคือสิ่งที่เราบอกลากัน
เด็กสาวรีบสางผมแล้วขอตัวจากท่านเคานต์เพื่อไปอาบน้ำ
หลังจากกลับมาดูพี่ชายคนนี้พยายามจะบอกอะไรเธออยู่ตลอด เธอหวังว่าจะรู้แต่หลังจากเคานต์ดราคูลสบตาเธอ
...ชายหนุ่มมักเงียบไป
คงเป็นอีกเรื่องที่เริ่มก่อกวนใจ
ไวโอเล็ตเช็ดผมที่เปียกหมาดก่อนจ้องมองแล็ปท็อปอยู่ช้านาน เธอติดต่อหาคุณพ่อแล้ว
คุณพ่อดุเธอยกใหญ่ว่าเธอหายไปทำไมไม่บอก เคยรู้บ้างไหมว่าท่านเป็นห่วงจนแทบบ้า
ซึ่งเรื่องนี้ไม่อาจแก้ตัวเพราะความผิดมันชัดเจน เด็กสาวเล่าให้คุณพ่อฟังบางเรื่องแต่ละบางเรื่อง
แน่แท้ท่านเข้าใจแถมไม่ซอกแซก ...คงไม่มีใครดีเท่าท่านอีกแล้ว
ตอนนี้ปัญหาครอบครัวเคลียร์แต่เรื่องที่ยังไม่ชัดเจนคือเรื่องของเขา
พอมาคิดทบทวนดูอีกครั้งแล้วเธอกลับพบว่า ‘ยังมีสะเก็ดภาพที่หายไป’ เขาดูไม่พอใจมากตอนรู้ว่าเธอเข้าวงการ
แถมเตโซโรยังบอกว่าคุณแม่เขาเป็นนักแสดงอีก
‘สองสิ่งนี้เกี่ยวข้องกันยังไง?’ เจ้าหญิงตัดสินใจเปิดหน้าจอขึ้นมาในฉับพลันก่อนทำการค้นหาส่วนรูปภาพที่ขาดหาย
‘ถ้าเป็นนักแสดงก็ต้องมีข่าว’ เธอเริ่มต้นพิมพ์คำง่าย
ๆ อย่างเช่นนามสกุลของเขากับคำว่าวงการบันเทิง
ในเมื่อตัดสินใจแล้วสิ่งที่ควรเข้าใจอย่างแรกคือเรื่องของเขา สมัยนี้ทุกอย่างเคลื่อนไหวอยู่บนโลกอินเทอร์เน็ต ดังนั้นจึงไม่ใช่การยากที่เธอจะสืบรู้บางเรื่องได้ด้วยตนเอง
สีหน้ายิ่งกว่าปั้นยากยามข้อมูลทุกอย่างปรากฏแก่สายตา ...ทุกสิ่งที่เห็นคือสิ่งที่เรียกว่าความจริง
โดฟลามิงโก้เป็นลูกชายของนักแสดงตามที่เตโซโรบอก
เธอทำการค้นหาแบบไม่เจาะจงแต่ภาพข่าวสารทุกอย่างก็เด่นชัดเต็มหน้าจอ
...แม่ของเขาดังมาก
ในนั้นมีภาพถึงหญิงสาวหน้าตาอ่อนโยนคนหนึ่ง
ความงามของหล่อนช่างเปล่งประกายจนคนมองต้องหรี่ตา รอยยิ้มอ่อนหวานสะกดทุกผู้ให้หลงใหล
ไม่อาจบอกคำใดได้ว่าเธอคือดาว
คุณแม่ชายหนุ่มมีเส้นผมสีทองสลวย
ได้คำตอบแล้วว่าเขาได้เรือนผมน่าอิจฉาแบบนี้มาจากไหน เรื่องราวนักแสดงงดงามมีเต็มไปหมด
ดูเหมือนเมื่อ 10-20 ปีก่อนดารานำคนนี้จะดังค้างฟ้าจริง ๆ
เธอลาวงการไปช่วงระยะเวลาหนึ่งแต่ชื่อเสียงก็ยังค้างอยู่
ในข่าวบอกว่าหญิงสาวได้พบรักกับนักธุรกิจไฟแรง
คบหาดูใจกันสักระยะจนสุดท้ายก็ตกลงปลงใจแต่งงานกัน มีข่าวแม้กระทั่งว่าเธอท้องลูกชายด้วยและเด็กผู้ชายคนนั้นก็คือดอนกิโฮเต้
โดฟลามิงโก้
เด็กสาวยิ้มเยาะเพราะขนาดเขาเป็นแค่เด็กชายแต่โดฟลามิงโก้ก็ส่อแววกวนประสาทคนตั้งแต่เล็ก
นิ้วเรียวไล่อ่านทุกอย่างไปเรื่อย ๆ ...ชายหนุ่มมีน้องชาย เรื่องนี้เธอรู้อยู่แล้ว
เด็กผู้ชายผมทองอีกคนที่ดูขี้อายและมีรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนผู้เป็นแม่
...รอยยิ้มที่ทำให้ผู้พบเห็นหลงรักได้อย่างไม่ยากเย็น
เผลอคิดไปว่าหากปิศาจเปลี่ยนมาใช้รอยยิ้มแบบนี้ล่อลวง
แม้แต่เธอเองก็คงจะหลงเสน่ห์ได้อย่างไม่ยากเลย เธอสืบเสาะหาประวัติเขาอีกครั้งจนโตในช่วงเวลาหนึ่ง
ไวโอเล็ตทำหน้ายุ่งเพราะหลังจากลูกชายคนโตอายุครบ 12 ข่าวสารทุกอย่างก็หายไป...
นักสืบหรี่ตา
ไม่ว่าจะพยายามหาเท่าไรเรื่องทุกอย่างมันก็หยุดแค่นั้น พยายามจะหาคำอื่นแต่ก็ไม่พบ
พยายามจะค้นทุกหน้าแต่ก็ไม่มีเรื่องราว
สาวน้อยกอดอกหลวม ๆ
ก่อนนึกย้อนคำพูดที่พอจะส่อเค้าไปยังอดีต
‘เหมือนที่คุณแม่ของโดฟลามิงโก้ตัดสินใจไม่ร้างราวงการเพื่อกลับไปหาเขาไงล่ะครับ’ ไม่ลาวงการเหรอ? เด็กสาวเค้นหัวสมองคิด
...ทำไมถึงกลับเข้าวงการ แล้วหลังจากกลับไปแล้วชั่วระยะเวลาหนึ่งข่าวคราวเงียบหายไปไหน? เธอไม่อยากคิดร้ายแต่สัญชาตญาณก็ร้องบอกว่ามันคงจะเป็นอยู่อย่างเดียว
มือบางพิมพ์คำบางคำลงไป...
ปิศาจไม่เคยพูดถึงครอบครัว ปิศาจไม่เคยบอกว่าครอบครัวที่แท้จริงเป็นแบบไหน
รู้อยู่ว่าครอบครัวที่เขามีคือแฟมิลี่ในตอนนี้ สาวน้อยขมวดคิ้วก่อนลังเลไปชั่วครู่แล้วกดค้นหาคำบางคำที่เธอเองก็ไม่ชอบใจ...
คำว่า ‘เสียชีวิต’
แทบแหลกสลาย
ภาพข่าวน่าสลดประโคมใส่ความรู้สึก ข่าวครึกโครมของการสูญเสียทำให้ตัวเธอเจ็บรอน ๆ
...เขาตายทั้งเป็น สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากอุบัติรถยนต์ สูญเสียแม่ตัวเองไปเหมือนที่เธอสูญเสียพี่สาว
คุณแม่โดฟลามิงโก้ประสบอุบัติเหตุ
ในข่าวยังมีรูปภาพผู้หญิงอีกคนที่โชว์อยู่ที่มุมหนึ่งด้วย
คือพี่น้องหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจแต่สรุปได้ว่าข่าวนี้มีผู้เสียชีวิต 2 คน
ทุกคนร่ำไห้
ดาวที่เคยจรัสแสงบัดนี้ได้หมดประกายลงแล้ว เห็นแม้กระทั่งภาพงานศพ ...ภาพงานศพที่เธอมองยังไงก็เหมือนเห็นตัวเองกำลังยืนอยู่หน้าโลงศพพี่สาว
ลูกชายคนโตไม่ร้องไห้
อันที่จริงสายตาเขาแข็งกร้าวจนดูน่าหวาดหวั่น ลูกชายคนเล็กดอนกิโฮเต้
โรซินันเต้ฟูมฟาย และแน่แท้ผู้เป็นบิดาก็แทบแหลกสลายยามมองร่างไร้วิญญาณของคนอันเป็นที่รัก
เหล่าแฟนคลับหรือผู้ร่วมงานไว้อาลัย
มีอนุสรณ์ไว้รำลึกถึงดวงดาราคนนี้ด้วย
ไวโอเล็ตตัดสินใจจดที่อยู่นั้นก่อนจะปิดแล็ปท็อปแล้วขอท่านเคานต์ออกไปข้างนอกทันที
ขอร้องอยู่นานจนสุดท้ายก็ได้บอดี้การ์ดติดตามมา 2 คน
ท่านเคานต์ห้ามไม่ได้เพราะเธอกำลังทำตามที่เขาบอก
ตอนนี้เราต้องพุ่งหาความจริงให้เหมือนดั่งลูกธนู
………………………
มันเป็นสถานที่ที่ใช้ระลึกถึงบุคคลที่จากไป
สวนเขียวแสนงดงามที่ตั้งอยู่หลังตึกสถานีโทรทัศน์
มีแท่งหินและกรอบรูปดาราที่เสียชีวิตหลายคนเติมแต่งอยู่ที่นี่ บางทีอาจดูเหมือนพิพิธภัณฑ์เพราะหากเดินผ่านจะได้พบม่านชีวิตของแต่ละคนลอยเศร้าคล้ายบทละคร
เธอรับรู้ และเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งคือสิ่งที่เธอตามหา
ที่แหล่งนี้มีคนบางตาแต่ยิ่งเดินลึกเข้าไปหวังพบม่านชีวิตของคุณแม่โดฟลามิงโก้
เจ้าหญิงก็มั่นใจว่าที่ตรงนั้นมีใครนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“คิดแล้วว่าเธอต้องมาที่นี่” คนพูดไม่แม้นแต่หันมาสบตา ใบหน้าเขาเหม่อมองเหมือนภาพตรงหน้าสะกดสายตาเกินกว่าจะผละหนี
ไวโอเล็ตยืนมองภาพนั้นก่อนจะวางช่อดอกไม้สีม่วงขาวไว้ใกล้ ๆ
ไม่แปลกใจที่มันมีช่อดอกไม้ของใครวางอยู่ก่อนแล้ว
เขาเองก็มาเยี่ยมคุณแม่เหมือนกัน
“ดอก sweet
violets รู้รึเปล่าแม่ฉันชอบดอกไม้นี้ พ่อฉันปลูกมันเป็นสวนในวันครบรอบวันแต่งงาน
และฉันได้กลิ่นมันจากตัวเธอในวันแรกที่เราเจอกัน” ไวโอเล็ตไม่ตอบ
หญิงสาวนั่งคุกเข่ามองผู้หญิงในรูปนิ่ง
“คุณรู้ภาษาดอกไม้จริง ๆ ด้วยสินะ ถึงให้ฉันใช้ชื่อนั้น”
“มันคงดูเย้ยหยันดีถ้าวันหนึ่งเธอเปลี่ยนไปแต่ความหมายของชื่อมันยังไม่เปลี่ยน”
“ไม่แปลกเลยนะที่รู้สึกแบบนั้นกับคุณตั้งแต่แรก”
“เกลียดฉันน่ะเหรอ ...ก็คงต้องเกลียดแหละ
คนบ้าอะไรจะมาตั้งชื่อคนด้วยสีชั้นใน ...แต่ฉันไม่เคยเสียใจที่มอบชื่อนั้นให้เธอ”
ต่างคนต่างเงียบ
ร่างน้อยลุกขึ้นแล้วเปลี่ยนไปนั่งใกล้ ๆ เขา สายตาเฝ้าดูว่าตรงจุดนี้โดฟลามิงโก้มองเห็นอะไร
...ลมเย็นพัดเข้ามา เกี่ยวปลายผมให้ปลิวไสว ผมเธอยาวเกือบเท่าเดิมแล้ว
นึกอยากให้สายลมพัดพากลิ่นกายเธอบ้างว่าตัวเองมีละอองอายแบบไหน
“คุณแม่คุณ... แสดงเก่งรึเปล่า?”
“เก่งจนใครก็เทียบไม่ติด หน้าบานทุกครั้งที่ใครก็อยากเป็นแบบเขา ...เธอคือดาวที่ทำให้ฉันภูมิใจ
และเขาก็บอกว่าพวกฉันคือสิ่งที่เขาภาคภูมิใจ”
เหมือนน้ำเสียงเขาอ่อนลง ไวโอเล็ตไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงใครด้วยความอ่อนโยนแบบนี้
...เข้าใจชัดเลยว่าผู้ชายคนนี้รักคุณแม่ขนาดไหน
เธอเข้าใจเพราะเธอเองก็รักครอบครัวจากก้นบึ้งของหัวใจเหมือนกัน
“ฉันเสียใจกับการสูญเสียของคุณ” คนข้าง ๆ ไม่ตอบ
เขานั่งนิ่งเหมือนความจริงกลับสู่สมอง สาวน้อยเลือกที่จะไม่ถามต่อ
เธอปล่อยให้บรรยากาศที่ไม่รู้จะสุขหรือจะเศร้าเคล้าอารมณ์ต่อไป
แต่แล้วเจ้าหญิงก็ต้องหันมองเขาช้า ๆ
ยามอีกฝ่ายพูดความหลังที่เขาเองก็ไม่อยากขับมันออกมา
“แม่ฉันเป็นดาราและลาวงการทันทีหลังฉันเกิด
หันมาใช้ชีวิตตามประสาคนธรรมดาทั่วไป ตื่นมาทำข้าวเช้า
ไปรับไปส่งเราพี่น้องที่โรงเรียน มาร่วมกิจการ เป็นครอบครัวสุขสันต์ธรรมดาทั่วไป
ทั้งที่คิดว่ามันจะเป็นแบบนั้นไปตลอดแต่ก็ไม่ใช่...”
โดฟลามิงโก้หันมามองเธอแล้ว ใบหน้าแสดงถึงความทนทุกข์ที่เคยเห็นเขาทำตอนอยู่ที่สนามกีฬา
สีหน้าที่เธอรู้สึกเจ็บปวดไปพร้อมกัน
“เธอเองก็เคยรู้ว่าการเสียคนที่รักเป็นยังไง ...เธอเข้มแข็งและทนได้
แต่เชื่อไหมว่าฉันทนไม่ได้ ...เคยคิดว่าตัวเองผ่านมันไปแล้ว แต่มาวันนี้ วันที่ฉันรู้สึกเหมือนจะเห็นภาพนั้นอีกครั้ง
วันที่ฉันต้องมองเธอผ่านหน้าจอโทรทัศน์
ฉันก็รู้ได้ในทันทีว่าตัวเองยังย่ำอยู่ที่เดิม”
“ภายในตัวฉันมืดมิดและยุ่งเหยิงมากนะไวโอเล็ต
แต่ถ้าเธอไม่ว่าอะไรขอฉันถามเธออีกครั้งได้ไหม ...เธออยากรู้อดีตของฉันรึเปล่า
ถ้าเป็นตอนนี้ฉันจะเล่าทุกอย่างของฉันให้เธอฟัง” ถ้าเสียงที่ปริแตกคือเสียงกำแพงที่ทลายตอนเรากีดกั้นซึ่งกันและกัน
จะปล่อยให้เสียงนั้นมันดังก้องต่อไป
สักวันมันคงจะเปลี่ยนเป็นท่วงทำนองที่ขับเคลื่อนไปพร้อมกับหัวใจ
และเราคงได้ใกล้กัน
“ตอนนั้นที่ฉันไม่เอ่ยถามเพราะรู้ดีว่ามันต้องเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดและฉันไม่อยากให้คุณนึกถึงมัน
...แต่ตอนนี้
...คุณช่วยแบ่งเบามาให้ฉันได้ไหมคะ
ให้ฉันได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของคุณด้วยเถอะ”
ให้ฉันได้ก้าวเข้าหาคุณ
………………………
ที่แห่งนี้คือมนตรา
มีเพียงปิศาจที่รู้ทางเข้าและมีเพียงปิศาจที่แพร่งพรายความลับให้รู้ได้
ใจกลางความโกลาหล
หากคุณมีกุญแจและเลือกที่จะจับมือเขา
เดินเข้าไปอีกนิดจะพานพบความมหัศจรรย์ที่เสาะหาได้แค่ในความฝัน
รอบตัวคือทุ่งดอกหญ้า
ปลายยอดเจ้าช่างสูงยาวจนไล้มาสัมผัสหลังมือยามคิดผ่าน ละอองแดดส่อละมุน
หากไม่ติดว่าเสื้อผ้าของเราทั้งสองไม่กลมกลืน สาวน้อยคงคิดว่ากำลังฝันไป
สืบเท้าเข้าไปใกล้ก็จะพบสวนดอกหวานแสนรัญจวน
หากคิดจะเอ่ยชื่อนั้นคงต้องบอกว่าเจ้าคือ my sweet
violet
กลิ่นของเธอช่างหอมฝัน
หากภูตปล่อยมือแล้วเร้นกายหนี เจ้าของสวนคงจนปัญญาว่าแฟรี่ของเขาไปซ่อนตัวที่ดอกไหน
สองมือเกี่ยวกันหลวม
ๆ เพราะ ณ ปลายทาง สิ่งที่เห็นมาทั้งหมดทำให้เราสองต้องลืมตาขึ้นมาจากห้วงนิทรา
สิ่งที่อยู่ตรงหน้า …คือป้ายหลุมศพที่จารึกเด่นชัดด้วยคำว่า ‘แด่ครอบครัวอันเป็นที่รัก’ และต่อจากนั้นเรื่องราวในนิยายก็ถูกคั่นด้วยโลกความจริง
“พวกเขาถูกฝังอยู่ที่นี่ ทั้งพ่อ แม่ โรซี่
...นอนข้างกันอยู่ใต้พื้นดินอันหนาวเย็น”
“สวนทั้งหมดนี่เป็นของคุณเหรอ?”
“เป็นของแม่ฉัน พวกเราสร้างมันให้เธอ และหลังจากนั้นมันก็เป็นของพ่อฉัน
และเป็นของน้องชายฉัน ...พวกเขาทั้งหมดอยู่ที่นี่”
เขาให้ความสำคัญ ทุกตารางนิ้วถูกจัดและดูแล
ไม่เคยคิดเลยว่าโดฟลามิงโก้จะมีสถานที่งดงามแบบนี้ เด็กสาวยังคงเฝ้าดู
พยายามนึกให้ออกถึงภาพครอบครัวเวลาเขาอยู่ด้วยกัน 4 คน
มันก็คงจะมีความสุขเหมือนภาพครอบครัวของเธอล่ะมั้ง
“พ่อฉันเป็นนักธุรกิจเธอรู้เรื่องนั้นแล้วใช่ไหม”
ไวโอเล็ตตอบรับ ไม่อยากขัดความรู้สึกที่เขาตั้งใจร้อยเรียงให้ฟังเพราะตอนนี้ชายหนุ่มกำลังเปิดใจให้เธอ
“ก็เหมือนคู่รักทั่วไปที่เจอกัน รักกัน คบกันแล้วก็แต่งงานกัน
เป็นชีวิตสมบูรณ์แบบของนักแสดงที่ทุกคนอวยพร ...หาใครสักคนดูแล
ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวตลอดจนบั้นปลายชีวิต
คนพวกนั้นคิดว่ารู้ตอบจบแต่หารู้ไม่ว่าระหว่างทางมันไม่ได้สวยงามเหมือนในหนังสือ” ใบหน้าคมหันมามองเธอ อีกฝ่ายบีบมือเธอแน่นเหมือนเรื่องที่พูดเธอต้องทำใจรับฟัง
“แม่ฉันออกจากวงการเพราะพ่อบอกว่าดูแลเธอไหว
ไม่ต้องให้เธอทำงานแค่กลับบ้านมาทำหน้าที่ภรรยาและแม่ที่ดีเท่านี้คือสิ่งที่เขาต้องการ
...ช่วงแรกมันไปได้สวย
ฉันก็คิดว่าตัวเองนี่เกิดมาโดยพระเจ้ารักชัด ๆ เกิดบนกองเงินกองทอง ขออะไรก็ได้ดั่งใจคิด
มีทุกอย่างที่เด็กวัยเดียวมีไม่ได้ พ่อก็ดี แม่ก็อ่อนโยน น้องชายก็ซุ่มซ่าม
...เฮอะ ฉันนี่โตมาโดยไม่ขาดตกบกพร่องอะไรเลยนะ เป็นเด็กที่น่าอิจฉาจริง ๆ”
แม้คำพูดจะดูเหมือนโอ้อวดแต่เจ้าหญิงก็มั่นใจว่าเขาประชดประชันตัวเอง
“แต่โลกสวยงามที่เราอยู่เป็นเพราะพ่อฉันสร้างเกราะกำบังให้ ไม่เคยยากลำบาก
ไม่เคยรับรู้เรื่องคาว ๆ ไม่เคยรู้เลยว่า...ธุรกิจที่ทำอยู่มันกำลังโดนฉ้อโกงจนแทบล้มละลาย
คนที่ไว้ใจที่สุดกลับหักหลัง
คนที่เคยคิดว่าจะช่วยได้กลับหันหลังให้
...พวกมันไม่เคยแยแสว่าจะทำให้ใครต่อใครต้องทนทุกข์ และนั่นคือวันที่ฉันได้รู้จักคำว่ามาเฟียเป็นครั้งแรก
มาเฟียที่ขโมยทุกอย่างไปจากเรา”
“พ่อฉันไม่เคยลดตัวไปทำเรื่องสกปรกแต่ศัตรูกลับเน่าเฟะเสียยิ่งกว่าขยะ
จนแล้วจนรอดสิ่งที่เคยมีมันก็หายวับไปในพริบตา พวกเราหมดตัว
พึ่งรู้จักกับคำว่ายากแค้นแสนเข็ญเป็นเพื่อนรับเทอมใหม่ อดมื้อไม่ได้กินสิบมื้อ
ทุกอย่างดิ่งลงเหวจนแม่ฉันทนไม่ไหว ปล่อยให้พ่อที่หมกตัวอยู่แต่ในห้องแบกรับภาระคนเดียวต่อไปไม่ไหวแล้ว
...คืนนั้นฉันจำได้ดี
แม่ฉันเข้ามาบอกให้ฉันดูแลพ่อและน้องชายแทนเขาด้วย เขาพูดพร้อมจ้องฉันด้วยความรู้สึกที่มี
เขากอดฉัน ไม่เคยคิดเลยว่านั่นเป็นอ้อมกอดครั้งสุดท้ายที่ได้สัมผัส
...และวันรุ่งขึ้นเขาก็จากไป”
“ ‘ทำไมเขาต้องทิ้งฉันไป’ เป็นคำถามที่ย้ำเป็นพันครั้ง
โรซี่ร้องไห้ พ่อฉันแทบเป็นบ้า สิ่งที่สูญเสียมันเกินกว่าพวกเราจะรับไหว
...ฉันโกรธแม่ แค้นว่าทำไมเขาถึงทิ้งเราไป
ทำไมเขาถึงเห็นแก่ตัวทิ้งให้พวกเราจมอยู่กับกองทุกข์เพียง 3 คน
เดินหนีทุกครั้งยามเห็นภาพแม่ตัวเองโลดแล่นอยู่ในทีวี
นึกเกลียดว่าทั้งที่พวกเรากินน้ำตาแทนข้าวแต่ทำไมหล่อนถึงยังยิ้มไม่ทุกข์ร้อนอยู่ในแสงสีได้
ฉันไม่เคยคิดถามและเขาก็ไม่เคยบอกต่อ
จนวันหนึ่งความอัดอั้นที่มีมันก็เกินเยียวยา วันนั้นฉันบุกไปด่าทอเขาถึงกองถ่าย
ภาพที่แม่ฉันมองฉันนิ่งยังตามหลอกหลอนฉันทุกวันนี้ ทั้งที่ฉันด่าเขาสารพัดแต่เขากลับยิ้มแล้วตอบฉันกลับมาคำเดียวแค่ว่า
‘ลูกโตและดูดีขึ้นมากเลยนะ’ แค่นั้นจริง ๆ ...เธอตอบฉันกลับมาแค่นั้นจริง ๆ”
วินาทีไวโอเล็ตอยากให้เขาหยุด
แต่คนข้าง ๆ ก็ยังระบายเรื่องราวต่อไปไม่หยุด เขาเจ็บปวดเธอก็เจ็บปวด ตอนนี้เธออยากให้เขาไม่ต้องเล่าอะไรอีกแล้ว
แต่ในเมื่อเธอเลือกที่จะรับฟัง เราทั้งสองต้องก้าวไปให้ถึงปลายทาง
“เธอรู้ไหมว่าฉันพยายามไม่เข้าใจ พยายามไม่อยากรู้ว่าแม่ฉันจะทำอะไรอยู่ที่ไหนยังไง
และตั้งแต่วันนั้นฉันก็ไม่สนใจเรื่องของเขาอีกเลย เวลาผ่านไปเป็นปีแต่ว่าความจริงมักเป็นสิ่งไม่ตาย
...เตโซโรเธอจำหมอนั่นได้รึเปล่า?”
“อือ” จำได้สิทำไมจะจำไม่ได้ ก็เขาเป็นคนแต่งเรื่องให้เราสองคนมาจบอยู่ตรงนี้
“หึ หมอนั่นมันก็เหมือนฉันเมื่อก่อนแหละ
ยังเป็นเด็กตาสีตาสาไม่รู้เรื่องราว แฟนไอ้บ้านั่นมันทำงานเป็นผู้จัดการให้แม่ฉัน
...ชื่ออะไรนะสเตล่าอะไรเนี่ยแหละ เย็นวันหนึ่งหลังฉันกำลังจะกลับ
ผู้หญิงคนนั้นก็เข้ามาหา เธอลองเดาสิว่ายัยนั่นมันบอกฉันว่าอะไร”
“...คุณแม่คุณรักพวกคุณ” ความรู้สึกนั้นทิ่มแทง
เจ้าหญิงมั่นใจว่าเขาร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด
เขาบีบมือเธอแน่นเธอบีบสู้ ...ใช่ ความจริงมันเป็นสิ่งไม่ตาย
หากเรารักใครสักคนเราก็จะทำเพื่อเขาทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่คุณแม่โดฟลามิงโก้เอง
“เธอบอกว่าเขาทำเพื่อพวกฉัน กลับเข้าวงการ
ทำงานตัวเป็นเกลียวเพื่อหาเงินมาจุ้นเจือพวกเรา แม้จะโดนไอ้มาเฟียนั้นกลั่นแกล้งแต่เธอก็ยังกัดฟันสู้
...เหอะ ฉันนี่เป็นเด็กอกตัญญูจริง ๆ เป็นไอ้เด็กสารเลวที่ชี้หน้าด่าแม่ปาว ๆ
ทั้งที่เขาช่วยพวกเรา อยากจะไปหาเขาเดี๋ยวนี้แต่ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่าถ้าฉันไปแม่ฉันจะไม่มีกะจิตกะใจทำงาน
ปล่อยให้เขามีสมาธิกับสิ่งที่เขาตั้งใจเถอะ
แล้วเธอรู้รึเปล่าว่าเรื่องมันเลวร้ายที่สุดตรงไหน...
เธอรู้บ้างรึเปล่าว่าวันนั้นวันที่ฉันด่าแม่ คือครั้งสุดท้ายที่ฉันได้พบหน้าเขาตรง
ๆ”
ชายหนุ่มหยุดพูดแล้ว
เขาถอนหายใจเบา ๆ เหมือนความหนักอึ้งมันสุ่มอยู่ในอก โดฟลามิงโก้พูดเสียงนิ่งแต่ทุกความหมายมันดังชัดอยู่ในหัวใจของเธอ
“ที่เธอบอกว่าต้องการใช้เงิน วินาทีนั้นฉันโมโหไปหมด เหมือนเห็นภาพแม่ตัวเองซ้อนทับขึ้นมาจนอยากบ้า
รู้ดีว่าตัวเองมันก็ย่ำอยู่ที่เดิมถึงดึงให้คนข้างกายพูดแบบนี้
ฉันอยากจะใจเย็นอยากจะคุยด้วยเหตุผล แต่ฉากสุดท้ายของดาราค้างฟ้าคนที่ฉันรักก็ดึงให้ฉันขาดสติจริง
ๆ
เธอเดินจากฉันไปเหมือนที่แม่ฉันจากไป
...หากอยากเห็นหน้าต้องมองผ่านโทรทัศน์ หากอยากคุยก็ทำได้แค่ฝัน
แม่ฉันไม่เคยติดต่อมาเพราะรู้ดีว่าฉันจะห้าม
แต่ฉันคิดว่าความอึดอัดแบบนี้มันต้องยุติ กำลังจะไปหาเพื่อบอกว่าฉันขอโทษ
อยากให้เธอเลิกแบกรับภาระคนเดียวแล้วเรื่องต่อจากนี้อยากให้เราช่วยกันทั้ง 4 คน แต่สุดท้ายมันก็สายเกินไป
...เธอตายในคืนนั้น
เธอตายโดยที่เราจากกันด้วยความหมางเมิน
เธอตายโดยที่รับรู้ว่าคำพูดสุดท้ายที่ฉันบอกกับเธอคือฉันเกลียดเธอ
คืนนั้นเขาทำงานหนักเหมือนทุกครั้ง
กลับดึกและเหนื่อยล้า พวกนักข่าวมันตามเธอจ้าละหวั่น
ดักหน้าล้อมหลังปาดรถแม่ฉันไปมาจนสุดท้ายรถเธอก็เสียหลัก และข่าวที่แพร่ไปทั่วประเทศในวันรุ่งขึ้นคือดารานำเสียชีวิต...
แม่ฉันตาย
ตายลงพร้อม ๆ กับตัวฉันครึ่งหนึ่งที่พังลงไป
แฟนของเตโซโรมันก็อยู่ในรถนั่นด้วย
มันคงเป็นเหตุผลที่หมอนั่นมันเกลียดฉันนั่นแหละ
มันโทษว่าเพราะแม่ฉันทำให้แฟนมันต้องตาย แต่ก็ช่างหัวมันเพราะฉันก็เกลียดมัน
ถ้ายัยผู้จัดการนั่นไม่ดื้อดึงให้แม่ฉันรับงานเรื่องมันคงไม่เกิด
ถ้ายัยนั่นมันไม่ล่อลวงให้แม่ฉันกลับเข้าวงการเรื่องทั้งหมดมันก็จะไม่เป็นแบบนี้
ทุกอย่างมันก็วนเวียนอยู่แค่เรื่องเดียวคือพวกเราต้องการใช้เงิน”
“ฉันเกลียดนักข่าวและพวกที่อยู่เบื้องหลังทุกคน พึ่งมารู้ว่ามันเป็นคนของไอ้มาเฟียที่ฉ้อโกงพ่อฉันจนสิ้นเนื้อประดาตัว
พวกมันปิดข่าวให้คนของตัวเอง ฉันสูญเสียแต่พวกมันลอยนวล ...ทุกความเกลียดชังพุ่งหาไอ้เวรนั้นทันที
ไอ้บัดซบนั้นที่ทำให้เราต้องเป็นแบบนี้
ฉันจำหน้ามันได้ไม่มีวันลืมเลยตัดสินใจบุกไปหามัน
พยายามบอกว่าอย่างน้อยก็เลิกใส่สีทำให้ครอบครัวฉันดูแย่ได้แล้ว
แต่มันก็หัวเราะเยาะ ด่าฉันว่าโลกนี้ไม่มีที่ยืนสำหรับคนโง่
ใช่
คนฉลาดเท่านั้นถึงจะอยู่รอด ในเมื่อโลกนี้มันเละเทะนักถ้างั้นต่อจากนี้ฉันจะช่วงชิงทุกอย่างมาด้วยมือของตัวเอง
ถ้าเป็นคนแพ้แล้วสูญเสียถ้างั้นก็ต้องเป็นคนชนะ
...และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เจอกับพวกเทรโบล
พวกเขาทั้งสี่อยู่ในห้องนั้น นั่งนิ่ง ๆ มองการกระทำทุกอย่างของฉัน
เด็กที่สูญเสียทุกอย่างในวันนั้นคว้าปืนขึ้นมาแล้วยิงหัวคนตรงหน้าทันที
คิดว่าตัวเองต้องตายอยู่ตรงนั้นแล้วตอนฆ่าหุ้นส่วนของพวกเขา
แต่ก็อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
พวกนั้นไม่ได้ทำอะไรฉันเลย ทำเพียงแค่ถามฉันง่าย ๆ ว่า ‘ฉันเกลียดโลกใบนี้รึเปล่า?’ แน่นอนคำตอบของฉันคืออะไรเธอก็รู้
แล้วหลังจากนั้นแฟมิลี่ก็ถือกำเนิดขึ้น
ฉันถามว่าทำไมพวกเขาถึงเปลี่ยนข้าง
คำตอบมันคือสายตา...ที่พวกเทรโบลบอกว่าคนประเภทเดียวกันเท่านั้นถึงดูออก
บอกตามตรงว่าตอนนั้นฉันไม่เข้าใจ แต่ถ้าพวกนั้นรับปากว่าจะทำให้ฉันแก้แค้นทุกสิ่งทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าได้
ก็ไม่เห็นจะต้องสนอะไร
คนที่ทำให้ครอบครัวฉันย่อยยับไม่ได้มีแค่คนเดียว
และนั่นแหละคือการเริ่มต้นเดินบนเส้นทางที่ได้เงินกับอำนาจไว้ในครอบครอง คือการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของฉันในฐานะมาเฟีย
...นี่คือตัวฉันที่เป็นมาตลอด 20 ปี ...นี่แหละคือตัวตนของฉันไวโอเล็ต” เจ้าหญิงฟังนิ่ง
ชายหนุ่มเล่าจบและทุกอย่างที่เขาเล่ามาคือความโกรธแค้นที่ฝังใจ
ตอนนี้เข้าใจเลยละว่าทำไมโดฟลามิงโก้ถึงเกลียดทุกสิ่งและทุกคนนัก
แม้จะทำเป็นยิ้มแต่ลับหลังเขามักสั่งให้ลูกน้องไปไล่คิดบัญชีนักข่าวทุกคนที่กล้าถ่ายรูป
เคยได้ยินคนในแฟมิลี่คุยกันว่าเขาสั่งให้หักนิ้วนักข่าวต่อรูปหนึ่งใบ แต่หากจำนวนรูปมันเกินก็ถอนเล็บพวกมันออกมาเสีย
โหดร้าย แต่พอคิดตามเรื่องที่เขาเล่ามันก็ชักจูงให้เหลือแค่หนทางเดียว
เธอเคยคิดว่าสิ่งใดที่หล่อหลอมเขาให้เป็นแบบนี้แต่หลังจากได้ฟังเรื่องทั้งหมด
ความแค้นคือเหตุผลของทุกสิ่ง
เนื้อแท้เขาไม่ใช่เลยแต่เพราะไม่อยากสูญเสียผู้ชายคนนี้เลยเลือกที่จะเป็นฝ่ายทำลายเสียเอง
‘แต่เราไม่ควรใช้เลือดล้างเลือด’ ทุกคำพูดที่เขาบอกตอนอยู่บนเกาะทางใต้ตอนนี้เจ้าหญิงเข้าใจถ่องแท้แล้ว
จะผิดไหมที่ตอนนี้เธอรู้สึกสงสารเขาจับหัวใจแต่อีกใจก็อยากให้เขาเลิกเดินบนทางสายนี้
“ส่วนพ่อกับน้องชายฉัน...”
“พอแล้วล่ะค่ะไม่ต้องพูดอีกแล้ว ...ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว คุณยังมีชีวิตอยู่นะ
คุณยังคิดถึงพวกเขาได้นะ” เหมือนความแข็งกระด้างได้พังลงไป
ความรู้สึกที่พวยพุ่งกลับมานิ่งสงบยามสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจของเธอที่เต้นอยู่ตรงนั้น
เด็กสาวเอื้อมมือมากอดเขาเอาไว้
อ้อมกอดที่ยังยืนยันว่ามันช่วยเขาเสมอมา
เหมือนตัวเองอ่อนแอและได้เธอมาโอบอุ้มให้ยังหายใจ
เขามันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรหรอกเพราะสุดท้ายสิ่งที่ต้องการก็แค่อยากมีใครสักคนอยู่ข้างกาย
อยากรั้งให้คนสำคัญอยู่ข้างกันตรงนี้คอยทดแทนในอดีตที่เขาไม่เคยได้สัมผัส
“ตลอดเวลาที่เธอไม่อยู่ ฉันก็รู้ว่าฉันเสียเธอไปไม่ได้ ...เธออย่าหายไปแบบนี้อีกได้ไหม
อย่าบอกให้เราต้องห่างกันอีกนะ ฉันไม่อยากให้เธอไปเพราะฉันไม่รู้ว่ามันคือวันสุดท้ายที่ฉันจะได้พบเธอรึเปล่า
กลับมาอยู่กับฉันนะ”
“……” เด็กสาวกระชับสองแขนให้แน่นขึ้น
รับรู้ว่าอีกฝ่ายเลื่อนมาจับมือเธอไว้ให้เราไม่ต้องแยกจาก ...เขากำลังวิ่งหนี เงาในอดีตกำลังตามกลืนกิน
แค่เธอเลือกกลับไปทุกอย่างก็เข้าที่ แต่ไวโอเล็ตคิดว่าแล้วยังไงต่อล่ะ?
ไม่ได้อยากแช่ง
ไม่ได้อยากให้ร้ายแต่ถ้าเกิดวันหนึ่งวันใดมันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกล่ะ
ทุกสิ่งมันคงก็วนอยู่เหมือนเดิม ไม่ใช่แค่เธอไม่ใช่แค่เขาแต่เราต้องเปลี่ยน
มือบางรั้งให้ชายหนุ่มหันมาสบตา
เธอจ้องโดฟลามิงโก้นิ่งก่อนจะยิ้มแล้วพูดในสิ่งที่ชายหนุ่มคงไม่อยากรับฟัง
การกระทำที่เราทั้งสองต้องเผชิญ
“ที่ฉันพูดต่อจากนี้คุณอาจจะไม่ชอบนะโดฟลามิงโก้ แต่ฉัน...
จะไม่กลับไปอยู่กับคุณนะ”
เธอเป็นคนใจร้ายรึเปล่านะ
───────────── Talk with write ( ̄▽ ̄)ノ
ใจร้ายหรือไม่นั้น สำหรับพระเอกก็อาจจะใช่
และรู้ไหมการเห็นอีกฝ่ายยืนอยู่ในงานศพเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้มิงโก้มีการเปลี่ยนแปลงนะคะ
(หากใครจำได้ก็ฉากที่นางนั่งมองไวโอเล็ตอยู่ในรถนั่นแหละ)
เพราะไม่ใช่แค่ไวโอเล็ตที่เห็นภาพตัวเองซ้อนทับกับภาพงานศพคุณแม่โดฟลามิงโก้
แต่โดฟลามิงโก้เองก็เห็นภาพนั้นเหมือนกัน
แถมมันเป็นจุดเล็กๆ ที่ไรท์ซ่อนไว้
...ในความคิดของโดฟลามิงโก้ มีประโยคหนึ่งที่นางไม่ได้ต่อคำว่า 'รัก' ให้จบ
แต่ตอนที่แล้วเขารู้ตัวแล้วนะ เขาเปิดใจให้กันจริง ๆ แล้วนะ
และที่เจ้าหญิงไม่ถามตอนนั้นก็เพราะรู้ดีว่าไม่มีใครอยากรื้อฟื้นความทรงจำที่เจ็บปวดจึงปล่อยผ่านไป ทว่าตอนนี้ไม่แล้ว
เจ้าหญิงกำลัง fall นะแต่ fall อะไรกันเอ่ย
fall down or fall in love
แถมความจริงเรื่องตั้งชื่อมาเฉลยตอนนี้เองล่ะ ซ่อนมาตั้งแต่ตอนที่สอง ><
ดอกไวโอเล็ตเป็นดอกไม้สายพันธุ์เดียวกับดอกวิโอล่า หรือก็คือดอกหน้าแมว
เป็นดอกไม้ประจำเดือนเกิดของคนเมษายน และไวโอเล็ตเกิดเดือนเมษายน
และภาษาดอกไม้ของดอกไวโอเล็ตก็คือ ความอ่อนโยน อ่อนน้อมถ่อมตน
ก็ตามที่พระเอกของเราบอกนั่นแหละค่ะ ถ้าให้เจ้าหญิงใช้ชื่อนี้แล้วพามาอยู่ในโลกมาเฟีย หากวิโอล่าเปลี่ยนจากความอ่อนโยนไปเป็นแข็งกระด้าง มันคงเย้ยหยันดี
(ความคิดมิงโก้ตอนองก์แรกน่ะร้าย)
บทนี้เป็นการเล่าความหลังโดยผ่านคำพูดของตัวละครเอง อาจจะแปลก ๆ ไปสักหน่อยแต่ไรท์อยากให้มิงโก้เป็นคนบอกความรู้สึกออกมาเอง
แน่นอนยังมีปมที่ยังไม่เฉลยอีกเล็กน้อย จะพยายามเรียบเรียงองก์นี้ให้ดีที่สุดนะคะ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ยังอ่านจนถึงตอนนี้
#โปรยใจและเลิฟยูวค่า
─────────────
ความคิดเห็น