คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : (SF) Burst into flames (1/2)
Short
fiction
Pairing:
lucas x mark
Rate:
15+
Genre:
au omegaverse
Total
words: 4,291 words
Note:
เนื้อเรื่องและเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกย่อมมีวัฏจักรที่มีจุดเริ่มต้นและมีจุดสิ้นสุดของมันเองและโลกใบนี้ก็ไม่ได้ให้ความเท่าเทียมกับทุกสิ่งทุกอย่างเสมอไปเช่นกัน
หากมีต้นกำเนิดหรือที่เรียกตามทั่วไปบนห่วงโซ่อาหารว่าผู้ผลิต
ก็ย่อมต้องมีผู้บริโภคและผู้ย่อยสลายเป็นธรรมดา
มนุษย์นั้นก็มีห่วงโซ่อาหารเหมือนกัน
ในยุคโลกาภิวัตน์แบบนี้มีวิวัฒนาการต่าง
ๆ มากมายที่ถูกพัฒนาจากสมองอันชาญฉลาดของมนุษย์
นั่นก็เพื่อความสะดวกสบายและความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์
แต่ทว่าขีดความสามารถของมนุษย์ก็ยังไม่สามารถฝืนโชคชะตาในสัญชาตญาณและต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์ได้เหมือนกัน
ผู้ที่เป็นนักล่าอย่างอัลฟ่า
ย่อมอยู่เหนือสุดบนห่วงโซ่อาหาร
และไม่มีใครมาล้มอัลฟ่าได้นอกจากพวกเดียวกัน
สนามบินนานาชาติอินชอน, เกาหลีใต้
ชายหนุ่มบึกบึนในชุดสูทสีเข้ม 5 คนกำลังยืนรวมกลุ่มและพูดคุยอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดแต่ก็ยังไม่วายมองซ้ายมองขวาอยู่ตลอดเวลาราวกับกำลังหาใครสักคนก่อนทุกคนจะก้มหัวเป็นเชิงทักทายและทำความเคารพให้ชายหนุ่มวัยกลางคนที่เดินเข้ามารวมกลุ่มอย่างเร่งรีบ
"หาเจอไหม" เสียงของผู้มาใหม่เอ่ยถามทันทีที่มาถึง
"ไม่เจอเลยครับ"
"แน่ใจนะว่าไม่เจอคนที่หน้าคล้ายกับคุณหนูเลยสักคน
ผมก็ส่งรูปคุณหนูให้พวกคุณดูแล้วไม่ใช่หรือไง แล้วพวกคุณทำพลาดได้อย่างไร?"
ชายวัยกลางคนเอ็ดคนที่เหลือด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
"ถ้าคุณท่านรู้ล่ะก็พวกเราตายแน่"
"พวกผมจะแยกกันไปตามหาครับ"
"ดี อย่าให้คุณหนูหนีรอดสายตาไปได้ล่ะ"
ว่าแล้วทุกคนก็แยกออกไปตามอย่างที่พูดเอาไว้เหลือแต่เพียงชายวัยกลางคนที่เพิ่งเดินตามมาสมทบในภายหลังที่ยังคงยืนจ้องไปที่ประตูผู้โดยสารขาเข้าอย่างไม่วางใจ
เขาถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาติดต่อคนที่ทำให้พวกเขาทั้งหมดวุ่นวายกันไปหมด
"ว่าไงเลขาคิม"
"คุณมาร์คครับ! ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนครับ คุณท่านสั่งให้ผมมารับครับ!" เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เร่งรีบพร้อมกับหันซ้ายหันขวามองหาอีกคนไปซะทั่ว
ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดสีดำสวมทับด้วยแจ็คเก็จหนังสีดำกำลังเสยผมให้เข้าทรงขณะที่กำลังพูดคุยกับคู่สนทนาและเหลือบมองอยู่ตรงมุมอับมุมนึงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
ใบหน้าที่ดูหล่อเหลาและไร้ที่ติบวกกับท่าทางที่เป็นธรรมชาติของเขาทำให้หญิงสาวหลายคนที่สังเกตเห็นต้องเหลือบมองแล้วอมยิ้มเขินออกมาเมื่อชายหนุ่มส่งยิ้มให้
“ทำตามคำสั่งพ่อมากไปแล้วนะเลขาคิม” มาร์คผิวปากออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มทำท่าทางเหมือนหนูติดจั่น
“โธ่คุณมาร์คครับ
อย่าแกล้งพวกผมเลย”
“ผมไม่ได้แกล้งคุณนะคุณคิม
แต่ว่าผมก็เพิ่งมาถึงเอง”
เขาแกล้งเงียบเสียงเพื่อดูปฏิกิริยาของลูกน้องพ่อก่อนจะพูดต่อ “แล้วผมก็ยังไม่ได้เจอเพื่อนผมด้วย”
“แต่ว่า!”
“ผมยังไม่อยากกลับบ้านน่ะเลขาคิมฝากบอกพ่อด้วย”
มาร์คพูดจบเขาก็ได้ยินเสียงโวยวายทักท้วงของอีกฝ่ายขึ้นมาทันทีแต่ว่าเขาไม่ได้ฟังมันสักเท่าไหร่เพราะไม่มีอะไรน่าฟังเลยสักนิด
“เอาเป็นว่าบอกพ่อด้วยว่าผมยังไม่กลับ
และผมดูแลตัวเองได้ไม่ต้องมีใครมาตามประกบผม ถ้าผมกลับเดี๋ยวผมกลับเอง โอเคนะครับ
ขอบคุณมาก ๆ เลยเลขาคิม”
ว่าแล้วมาร์คก็สวมหมวกบักเก็ตแบรนด์ดังที่แสนจะไม่เข้ากับชุดที่เขากำลังใส่อยู่เพราะตนเพิ่งซื้อมันมาจากดิวตี้ฟรีและเดินออกมาพร้อมกับถือแผนที่ท่องเที่ยวประเทศเกาหลีที่ซื้อเตรียมเอาไว้ตั้งแต่อยู่ที่แคนาดาราวกับตนเป็นนักท่องเที่ยวที่เพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก
ไม่รู้ว่าความเนียนของตัวเองหรือความไม่ได้เรื่องของบอดี้การ์ดเซ็ตใหม่ของพ่อทำให้มาร์คเดินออกมาและหลุดรอดสายตาคนพวกนั้นมาได้อย่างง่ายดาย
เขาผิวปากออกมาเมื่อทุกอย่างสำเร็จตามที่วางแผนเอาไว้และเดินไปยังพอร์ชสีดำสนิทที่จอดรอเขาอยู่ถัดไปอีกสองเกท
เมื่อขึ้นรถได้และเจอกับคนขับที่ส่งยิ้มกวน ๆ มาให้ เขาก็ไฮไฟว์ทักทายอีกคนอย่างเคยชิน
"กูนึกว่ามึงจะไม่รอดซะอีก"
คิมจองอูยกยิ้มขำก่อนเอ่ยแซว
"คนใหม่ ๆ ของพ่อกระจอกสัด"
มาร์คยักไหล่
"ก็ดีแล้วไง"
จองอูพูดก่อนจะปลดเกียร์ว่างแล้วขับรถออกมาจากสนามบินด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามประสาหนุ่มรักความเร็ว
เสียงเพลงฮิพฮอพใต้ดินฝั่งอเมริกาทำให้พวกเขาทั้งคู่รู้สึกคึกคะนองมากขึ้นกว่าเดิม
และเป็นมาร์คที่เริ่มต้นบทสนทนาขึ้นอีกครั้ง
“แล้วมึงบอกไอ้เจย์ยังว่ากูถึงแล้ว”
“ยัง”
“ดี
งั้นบอกมันด้วยว่าเปิดเพนท์เฮ้าส์รอได้เลย”
“กูว่าแล้ว” จองอูเดาะลิ้นพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ของตนโยนใส่ตักคนต้นคิด “ไม่ล็อกรหัส”
“คืนนี้จะมีปาร์ตี้ต้อนรับกู
ใครไม่มาหากูล่ะก็หมาทุกตัว”
-
Burst
into flames -
เสียงเพลงแนวไซเคเดลิกร็อคของวงอินดี้ร็อคชื่อดังจากเกาะอังกฤษดังขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะของกลุ่มเพื่อนของมาร์ค
และเพื่อนของเพื่อนสนิทมาร์คอีกประมาณ 2-3 คน
ตอนนี้จองอูกำลังเล่าวีรกรรมเด็กหนีออกจากบ้านให้เพื่อน ๆ
คนที่เหลือฟังโดยมีมาร์คที่นั่งหน้าหงิกกระดกเบียร์อยู่ในวง
“เอาหน่าก็แชร์ประสบการณ์ชีวิตให้เพื่อน
ๆ มันฟังหน่อย”
“เออสีสันของเพื่อนฝูง
เอ๊ย ของชีวิต”
เจโน่เป็นอีกคนที่ถูกจองอูเรียกมารวมตัวต้อนรับเพื่อนสนิทกลับบ้านที่เจ้าตัวไม่ค่อยอยากจะกลับสักเท่าไหร่
จองอู เจโน่ แจฮยอนและมาร์คต่างเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันตั้งแต่สมัยเรียนประถม
ด้วยความที่ครอบครัวทุกคนต่างมีชื่อเสียง
อีกทั้งไลฟ์สไตล์ของพวกเขายังไปด้วยกันได้จึงทำให้ทั้ง4คนเป็นเพื่อนกันจนมาถึงปัจจุบัน
“เหี้ยเถอะ” มาร์คปาก้อนน้ำแข็งขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ใส่จองอูที่พูดกระแนะกระแหนเขาอยู่ซึ่งคนตัวสูงก็หลบมันได้อย่างทันท่วงที
“ดุครับดุจริง กลับบ้านไปก็ดุให้ได้แบบนี้นะครับคุณหนู” จองแจฮยอนหรือเจย์เจ้าของเพนท์เฮาส์สุดหรูแห่งนี้ยังไม่ยอมหยุดแซวเพื่อนตัวเล็ก
“รุมกูกันเก่งจริง ๆ
อย่าให้ถึงทีกูบ้างนะ” มาร์คพูดด้วยน้ำเข่นเขี้ยวก่อนจะต่อยไปที่ต้นแขนของแจฮยอนไปหมัดนึง
“ว่าแต่มึงอะ
หนีมาแบบนี้ที่บ้านไม่ตามตัวตายห่าเลยหรอวะ”
“แล้วไง”
“ก็ไม่แล้วไง
กูก็แค่สงสัยว่ามึงจะดื้อกับที่บ้านไปได้สักเท่าไหร่กัน” เจโน่ยักไหล่ก่อนจะหันไปพูดกับจองอู
“มึงว่าไอ้มาร์คมันจะรอดสายตาพ่อกี่วันวะ กูให้3วัน”
“กูว่าไม่เกินคืนนี้” จองอูมองนาฬิกาเรือนสวยที่แขวนอยู่บนผนังห้องก่อนจะยกยิ้มแล้วตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ
ๆ “เผลอ ๆ กูว่าอีกไม่เกิน 2 ชั่วโมงนี้ด้วยซ้ำ
ถ้าปู่มันส่งคนของเขามาเองอะนะ”
“เหอะ
มึงเอาอะไรมามั่นใจวะ เพนท์เฮ้าส์ไอ้เจย์ระบบความปลอดภัยแน่หนาจะตายไป
ถ้าเข้ามาได้ก็ลอง” มาร์คพ่นลมหายใจก่อนจะกระดกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่มเสียอึกใหญ่เพื่อลดความหงุดหงิดจากการที่ถูกเพื่อนพูดจาปากเปราะใส่
“แหม
พูดไม่ดูปู่มึงเลยนะ ปู่มึงธรรมดามากมั้ง โธ่ไอ้หลานท่านปะ…”
ding-dong, ding-dong
ยังไม่ทันที่จองอูจะพูดจบเสียงกริ่งจากอินเตอร์คอมหน้าประตูก็ดังขึ้นมาท่ามกลางรอยยิ้มกวนประสาทจากเหล่าเพื่อน
ๆ ของมาร์ค จองอูยักคิ้วใส่เพื่อนสนิทอย่างเหนือกว่า ทุก ๆ การกระทำของเพื่อน ๆ
ทำให้มาร์ครู้สึกหงุดหงิด
“เอาไงครับ
ให้กูไปเปิดไหมเอ่ย” แจฮยอนพูดพร้อมอมยิ้มออกมาอย่างนึกสนุก
“กูว่าไม่ต้องถามมั้งไอ้เจย์
ถ้ามึงไม่เปิดล่ะก็ ประตูบ้านมึงอาจจะพังก็ได้นา”
“บวกครับ”
“ก็ให้เข้ามาดิ
คิดว่ากูกลัวหรือไง”
มาร์คพูดด้วยน้ำเสียงไม่หยี่ระพร้อมกับยกเบียร์ขึ้นมากระดกรวดเดียวจนหมด
ส่วนคนที่เหลือก็หันไปชนกระป๋องเบียร์กันอย่างสบายใจก่อนจะเป็นแจฮยอนที่ลุกขึ้นและเดินลากสลีปเปอร์ไปที่หน้าประตู
เมื่อคนตัวขาวเดินมาถึงหน้าประตู
เขาก็พิจารณาคนข้างนอกด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสนใจ
เขารู้ว่ายังไงเพื่อนของตนต้องโดนคนของพ่อไม่ก็ปู่ลากกลับไปที่บ้านแน่นอน
เพียงแต่ว่ารอบนี้ค่อนข้างจะเร็วกว่าที่คิดเอาไว้สักหน่อย อีกทั้งบุคคลที่ยืนอยู่หน้าประตูนั้นค่อนข้างต่างจากคนอื่น
ๆ ที่เขาเคยเจอมาก่อน
ดูภูมิฐาน ปราดเปรียวและดู…ร้ายกาจ?
นั่นเป็นสิ่งที่แจฮยอนคิดได้
“ใครครับ” แจฮยอนเริ่มต้นทักทายผู้มาเยือนผ่านอินเตอร์คอมก่อน
“สวัสดีครับ ผมมารับคุณมาร์คครับ”
“ใครนะครับ” แจฮยอนแกล้งถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่งง-งวย
“ผมมารับคุณมาร์คครับ”
“มะ-“
“จะบอกว่าไม่อยู่หรือไม่ทราบดีครับ
คุณจอง”
ผู้มาใหม่พูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ
ขณะที่กำลังแกะถุงมือหนังออกจากฝ่ามืออยู่ ถึงแม้ว่าแจฮยอนจะไม่ได้เห็นสายตาของอีกฝ่ายว่านึกหรือคิดอะไรอยู่แต่น้ำเสียงของผู้มาเยือนทำให้เขารู้ว่าหมดเวลายึกยักและเลิกเล่นตัวได้แล้ว
“โอเค๊
เขาอยู่ที่นี่แหละครับ แต่จะกลับหรือไม่กลับก็อีกเรื่องนะครับ”
“เขาจะกลับแน่นอนครับ”
แขกคนใหม่ของแจฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความมั่นใจ
“งั้นก็เชิญครับ
แต่บอกไว้ก่อนนะเพื่อนผมน่ะพยศกว่าที่คุณคิดซะอีก”
แจฮยอนเปิดประตูให้ผู้ใหม่เข้ามากก่อนจะพยักหน้ารับเมื่อออีกฝ่ายพยักหน้าเบา
ๆ เป็นการขอบคุณในความร่วมมือของเขา เสียงเปิดประตูของแจฮยอนทำให้คนข้างในทั้งหลายต่างหยุดดื่มพร้อมกับตีหน้านิ่งกลั้นยิ้มเอาไว้เมื่อเห็นว่าเพื่อนตัวเล็กกำลังทำหน้าไม่สบอารมณ์สุดขีด
ด้วยความที่ระยะทางจากประตูมาถึงบริเวณห้องนั่งเล่นไม่ได้ไกลเท่าไรนัก
มาร์คก็ได้ยินเสียงของรองเท้าสลีปเปอร์ลากเข้ามาใกล้ตนเองเรื่อย ๆ จนในที่สุดเขาก็ได้เห็นหน้าผู้มาใหม่ซึ่งผิดคาดจากที่เขาคิดเอาไว้มากพอสมควร
นึกว่าจะเป็นพวกโตแต่ตัวแต่ใจปลาซิวเสียอีก
“คุณท่านให้ผมมารับครับ”
คนมาใหม่ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็บอกจุดประสงค์ของการมาเยือนเพนท์เฮ้าส์สุดหรูในครั้งนี้
มาร์คไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแต่มองอีกฝ่ายอย่างพิจารณาแทน
คนตรงหน้าน่าจะสูงกว่าเขาประมาณเกือบ10เซนติเมตรได้
เพราะขนาดแจฮยอนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นั้นยังตัวเล็กไปเลย
ใบหน้าคมเข้มที่มีดวงตาสีดำสนิทเสริมให้บุคลิกมีความดุดันยิ่งขึ้น
ไหนจะผิวสีแทนที่ดูกร้านแดดเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ในห้องนี่อีก จะบอกว่าคนตรงหน้าดูไม่ธรรมดาเลยก็น่าจะจริง
มาร์คคิดในใจ
ไม่ธรรมดาและไม่น่าจะเป็นมิตรด้วย
สัญชาตญาณความเป็นอัลฟ่าที่มันติดตัวอยู่ทำให้มาร์คคิดแบบนั้น
นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกอคติและพาลไม่ชอบคนตรงหน้ายิ่งขึ้นไปใหญ่
มาร์คเลือกที่จะเมินคำพูดของอีกฝ่ายก่อนจะเปิดกระป๋องเบียร์ใหม่ขึ้นมายกดื่มท่ามกลางบรรยากาศที่ไร้เสียงรบกวนจากผู้คนรอบข้าง
“งั้นผมจะให้คนมาเก็บกระเป๋าของคุณหนูทีหลังนะครับคุณจอง”
คนตัวสูงหันไปพูดกับแจฮยอนที่กำลังยืนสังเกตตัวเองและเพื่อนของตนอยู่เงียบ
ๆ
“เฮ้ ผมยังไม่บอกคุณเลยว่าจะกลับไป” มาร์ครีบเถียงขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินประโยคที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นมา
“แล้วใครบอกว่าผมจะเชื่อฟังคุณ”
ผู้มาใหม่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ เรียกเสียงฮือฮาจากทุกคน
แจฮยอนที่เกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิดที่สุดถึงกับร้องอูยออกมาเมื่อได้ยินคนของที่บ้านเพื่อนสนิทพูดออกมา
ส่วนมาร์คที่ถูกตอกกลับอย่างเนิบ ๆ ถึงกับหน้าเหวอก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่โกรธจัด
“งั้นก็กลับไปซะสิ
มาทางไหนก็กลับไปทางนั้น”
“แล้วทำไมผมต้องฟังคุณ”
คนตัวสูงเลิกคิ้วใส่ “ผมไม่รับคำสั่งจากใครนอกจากท่านประธานาธิบดี”
“โห
ท่านประธานาธิบดีเลยว่ะ ปู่มึงเอาจริงนะรอบนี้”
คิมจองอูหันไปพูดกับมาร์คและอดที่จะเสียวสันหลังไม่ได้
“แล้วยังไงวะ
กูต้องกลับเพราะคำขู่เด็ก ๆ แบบนี้น่ะหรอ?”
“แต่กูว่าไม่ด-”
เจโน่ที่กำลังจะตอบกลับไปถึงกับหุบปากฉับเมื่อเจอสายตาพิฆาตจากเพื่อนสนิท
ชายนิรนามยืนมองหลานชายของเจ้านายตัวเองนั่งทะเลาะกับบรรดาเพื่อนด้วยแววตาที่ไม่แสดงอารมณ์อะไรเช่นเดิม
จนเมื่อเขารู้สึกว่าตัวเองกำลังเสียเวลากับการมารับอัลฟ่าทะนงอย่างมาร์คไปมากพอแล้วก็ทำท่าจะเดินเข้าหาตัวพร้อมกับจะเอื้อมมือไปหาอีกฝ่าย
ส่วนมาร์คที่เห็นแบบนั้นก็ผุดลุกขึ้นทันทีก่อนจะพุ่งเข้าใส่คนตัวสูงหวังว่าจะประเคนหมัดหนัก
ๆ สัก2-3หมัดให้อีกฝ่ายเป็นของขวัญ แต่ด้วยความที่อีกฝ่ายรู้ว่าคนตัวเล็กจะทำอะไรเขาจึงไหวตัวได้ทัน
เขาเบี่ยงซ้ายหลบมาร์คที่เหวี่ยงหมัดเข้ามาในทันทีจึงทำให้มาร์คเล็งพลาดและเสียหลักในครั้งนี้
“จะเอาแบบนี้จริง ๆ ใช่ไหมครับ”
“ก็ถ้าไม่กลับไปตั้งแต่ตอนนี้
ก็คงต้องโดนหมัดไปสัก2-3หมัด”
มาร์คตอบอีกฝ่ายกลับด้วยสายตาที่เริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีอำพันเมื่อตัวเองเริ่มควบคุมอารมณ์โกรธเอาไว้ไม่ได้
“งั้นก็ต้องขอโทษด้วยนะครับที่คุณอาจจะต้องผิดหวังกับครั้งนี้”
คนตัวสูงพูดก่อนจะพุ่งเข้าไปที่ตัวของมาร์ค
คนตัวเล็กกว่าเห็นแบบนั้นก็เตรียมยกเท้าจะยันอีกคนแต่ก็ต้องเพี้ยงพล้ำให้อีกฝ่ายที่เบี่ยงตัวหลบอีกครั้งด้วยความเร็วที่น่าตกใจก่อนจะร้องโวยวายออกมาเมื่อมือหนาของฝ่ายตรงข้ามนั้นเอื้อมไปจับที่ขาข้างที่เขายกค้างเอาไว้อยู่ก่อนจะเอื้อมมืออีกข้างไปจับที่ข้อมือของมาร์คแล้วปล่อยขาคนตัวเล็กลงแล้วกดตัวคนตัวเล็กกว่าให้โน้มไปด้านหน้าจนมาร์คเสียหลักล้มลงไปกองที่พื้น
“เห้ย!” กลุ่มเพื่อน ๆ
ของมาร์คได้แต่ร้องออกมาด้วยความตะลึงเพราะเห็นเพื่อนตัวเองล้มไปกับตาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงคนของท่านประธานาธิบดีของประเทศ
อีกอย่างนี่ก็เป็นเรื่องภายในบ้านมาร์คอีกซึ่งเจ้าตัวก็ขัดขืนและดื้อรั้นไม่ยอมกลับไปเองตั้งแต่แรกอีกด้วย
“โอ๊ย!”
“บางครั้งการที่คุณยกขาถีบอีกฝ่ายก็ป้องกันตัวไม่ได้เสมอไปหรอกนะ”
คนตัวสูงพูดขึ้นมาขณะที่เข่าของตนกำลังกดอยู่ตรงต้นขาของอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้ดิ้นแล้วรวบมือทั้งสองข้างของคนใต้อาณัติเอาไว้ในมือเดียว
“และนี่คือผลของการดื้อรั้นของคุณ”
ตอนนี้โซนนั่งเล่นแห่งนี้ตกอยู่ในความเงียบ
มีเพียงเสียงหอบหายใจของมาร์คเท่านั้น คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างถอยหลังออกจากมาร์คและคนของท่านประธานาธิบดีเพื่อเว้นระยะห่างเอาไว้เผื่อว่าจะมีการวิวาทกันอีก
เจ้าของเพนท์เฮ้าส์สุดหรูอย่างแจฮยอนได้สติคืนมาก่อนใครก็หันไปพูดกับมาร์คอย่างอ่อนใจ
“กู..ว่ามึงกลับไปกับเขาเถอะว่ะ”
“เหอะ” มาร์คพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะพยายามดิ้นให้หลุดจากการเกาะกุมจากคนตัวสูง
“ไอ้มาร์คมึงฟังพวกกูบ้างดิวะ
พวกกูเป็นห่วงมึงนะเว้ยถึงให้มึงกลับไปตั้งแต่ตอนนี้ พยศกับพ่อกับปู่มึงมากเกินไป
มึงนั่นแหละที่จะแย่เอา”
เป็นเจโน่ที่ค่อย ๆ พูดเกลี้ยกล่อมเพื่อนตัวเล็กให้กลับบ้านบ้าง
ซึ่งคราวนี้มาร์คก็เริ่มนิ่งขึ้นก่อนจะถอนหายใจออกมาดัง ๆ พร้อมกับหันไปสบตากับไอ้คนที่มันกำลังล็อกแขนล็อกขาเขาอยู่อย่างไม่พอใจ
“โอเค
กูยอมกลับกับมันก็ได้” มาร์คพูดแล้วหันไปมองเพื่อน ๆ
แต่ละคนที่ส่งยิ้มแหย ๆ มาให้ “นั่นก็เพราะว่ากูเห็นแก่ที่พวกมึงพูดไม่ใช่เพราะไอ้หน้าไหนทั้งนั้น”
“งั้นเราจะกลับได้หรือยังครับ” ชายหนุ่มที่ถูกพาดพิงไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับคนตัวเล็กต่อ
เขาเมินคำพูดเหล่านั้นและถามอีกฝ่ายกลับแทน
“เออ”
“ดี ผมให้เวลาคุณเลือกว่าจะเอาอะไรกลับไปบ้าง
ส่วนของที่เหลือทผมจะแจ้งให้คนมาเอาพรุ่งนี้เช้าแทน”
คนตัวสูงพูดนิ่ง ๆ
ก่อนจะปล่อยตัวมาร์คเป็นอิสระแล้วก้าวกลับไปยืนที่เดิมในตอนแรก
ส่วนมาร์คก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
เขาเดินไปที่ห้องนอนที่ตอนแรกจะเป็นห้องพักของเขาในค่ำคืนนี้แล้วหยิบพวกกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือติดมือมาเพียงแค่นั้น
“เท่านี้ใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มตัวสูงเอ่ยถามมาร์คซ้ำอีกครั้ง
“เออ”
“โอเค งั้นผมกลับแล้วนะครับคุณจอง
แล้วขอบคุณในความร่วมมือของทุก ๆ ท่านนะครับ”
ชายหนุ่มก้มหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่หลายชายของเจ้านายตัวเอง
“เชิญครับคุณมาร์ค”
“อ่า…กลับดี ๆ นะครับยังไงพวกผมฝากมันด้วยนะคุณ…”
เป็นจองอูที่ตอบกลับไปและลากเสียงอย่างประหม่าเมื่อตัวเองพึงระลึกได้ว่าไม่รู้จักชื่อของอีกฝ่าย
“ลูคัสครับ”
“โอเค ผมฝากด้วยนะครับคุณลูคัส”
-
Burst
into flames -
ลูคัสพามาร์คมายังลานจอดรถด้านล่างคอนโดที่เป็นเพนท์เฮ้าส์ของแจฮยอน
ระหว่างทางที่ลงลิฟต์มาทั้งคู่ต่างไม่พูดอะไรกันสักคำ
มีเพียงเสียงลิฟต์ที่ดังเมื่อผ่านชั้นต่าง ๆ
และตัวเลขบนหน้าจอที่แสดงว่าตอนนี้กำลังถึงชั้นที่เท่าไหร่แล้วเท่านั้น ลูคัสลอบมองดูปฏิกิริยาของคนตัวเล็กกว่าก็พบว่ามาร์คไม่ได้หงุดหงิดหรือโมโหกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาอีกแล้ว
มีเพียงความนิ่งเฉยของอีกฝ่ายที่แสดงออกมาให้เขาได้เห็น
เมื่อถึงลานจอดรถ ลูคัสก็เดินนำอีกคนไปยังลูกรักของตัวเองทันที
และเมื่อมาร์คเห็นว่าอีกฝ่ายเอาอะไรมารับเขาก็ปั้นหน้าออกมาไม่ถูกจนคนตัวสูงสังเกตเห็นได้และบอกเหตุผลออกไป
“พอดีว่ามันเป็นคำสั่งเร่งด่วน
ผมก็ขี่มันมาที่นี่เลย”
ใช่แล้ว ลูคัสขี่ Ducati
Scrambler Cafe Racer สีเงิน-น้ำเงินมารับเขา
อืม.. มอเตอร์ไซค์กับคนที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรก
เยี่ยมไปเลย
“อ่าหะ” มาร์คพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ ๆ
แล้วมองเจ้าดูคาติคันโตเจ้าปัญหา “ก็ยังดีที่นั่งซ้อนได้”
ถึงมาร์คจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับพวกมอเตอร์ไซค์คันใหญ่สักเท่าไหร่
แต่เขาก็พอจะรู้บ้างว่าดูคาติบางรุ่นไม่สามารถนั่งซ้อนได้เพราะดีไซน์ที่ออกแบบมาเพื่อแข่งความเร็วโดยเฉพาะ
หรือบางรุ่นที่มีเบาะสำหรับนั่งซ้อนก็จริง
แต่ทั้งเขาและคนตัวสูงต่างเป็นผู้ชายทั้งคู่ก็อาจจะนั่งไม่สบายเท่าที่ควร
แต่เจ้าตัวที่ลูคัสขี่มานั้นยังพอปราณีตัวเขาอยู่พอสมควร
ลูคัสฟังคำวิจารณ์ของหลานท่านประธานาธิบดีอยู่เงียบ
ๆ พร้อมกับหยิบถุงมือหนังออกมาจากแจ็กเก็จหนังสีดำของตนขึ้นมาสวมแล้วก้าวขาคร่อมลูกรักทันที
เขาหยิบหมวกกันน็อกของตนยื่นให้อีกคน “เผื่อคุณต้องการมัน”
“ไม่อะ” มาร์คปฏิเสธมันในทันที
“โอเค”
ลูคัสพยักหน้ารับแล้วสวมหมวกกันน็อกทันที
เขาไม่ใช่คนใจดีเสียเท่าไหร่หรือเป็นประเภทที่ว่าจะต้องทรีตคนอื่นเสียไปหมด
ยิ่งเป็นคนที่ปฏิเสธความหวังดีของเขาทันทีแบบมาร์คยิ่งไม่จำเป็นที่จะต้องไปคะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายรับมันด้วยซ้ำ
คนตัวสูงสตาร์ทรถแล้วหันไปมองมาร์คที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงแม้ว่าเขาสตาร์ทรถเพื่อบอกอ้อม
ๆ ว่าพวกเราควรออกจากที่นี่กันได้แล้วแต่คนตัวเล็กกว่าก็ยังไม่เข้าใจเขา
"ขึ้นรถ”
“…”
ด้วยความที่เสียงเครื่องยนต์ดังพอสมควรทำให้มาร์คไม่ได้ยินเสียงของลูคัสและเป็นอีกครั้งที่ลูคัสถอนหายใจออกมาแล้วเปิดกระจกหมวกกันน็อกแล้วเพยิดหน้าสั่งอีกฝ่ายให้ขึ้นรถ
“โอเค๊”
มาร์คพูดก่อนจะเหยียบขารองเท้าขึ้นคร่อมดูคาติของลูคัส
ด้วยความที่พวกเขานั่งกันอย่างใกล้ชิดและมีสติมากกว่าตอนที่ทะเลาะกันที่ห้องของแจฮยอน
มาร์คได้ยินกลิ่นของบุหรี่มาร์โบโลไอซ์บลาซที่เขาชอบมาจากลูคัส
คนบ้าอะไรวะมีกลิ่นเฉพาะตัวเป็นกลิ่นบุหรี่
มาร์คคิดในใจก่อนลูคัสจะเริ่มออกตัวจากช่องจอดรถและมุ่งสู่ถนนใหญ่ที่มีปลายทางเป็นบ้านหลังใหญ่ของคนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง
คนตัวสูงบิดคันเร่งขึ้นเรื่อย ๆ
อย่างเผลอตัวเพราะปกติไม่ค่อยได้ขี่รถให้ใครได้ซ้อน
แต่ความเร็วพวกนี้ก็ทำอะไรมาร์คไม่ได้เพราะคนตัวเล็กกว่าก็รักในความเร็วเช่นกัน
จนในที่สุดพวกเขาก็ถึงที่หมายกันอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึง 20นาที
มาร์คเดินเข้าไปในบ้านโดยที่ไม่รออีกคนและเมื่อเดินเข้ามาถึงโถงกลางของบ้านก็พบว่าอีบยองมินปู่ของเขากำลังนั่งเช็กงานบนไอแพดโดยไม่มองเขาเลยสักนิด
ลูคัสที่ตามเข้ามาสมทบก็มองคนเป็นหลานชายครู่นึงก่อนจะเรียกประมุขของบ้านและประเทศ
“ท่านครับ”
“อืม
คิดไม่ผิดเลยที่ใช้นายไป” บยองมินเงยหน้าขึ้นมาจากไอแพดก่อนยิ้มชื่นชมลูกชายของบอดี้การ์ดประจำตัวเขาแล้วหันไปทางหลานชายตัวเองที่ยืนหน้านิ่งไม่แสดงอารมณ์
“ไงล่ะไอ้เสือ ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าแกต้องมีคนติดตาม”
“ปู่”
“ก็รู้นี่ว่าฉันเป็นปู่ของแกแล้วทำไมไม่ฟัง”
“ผมโตแล้วไง
ดูแลตัวเองได้”
อัลฟ่าหนุ่มเถียงออกมาเมื่อคนเป็นปู่เริ่มพูดเรื่องเดิม ๆ
“แล้วยังไง”
“…”
“ถึงแกจะเป็นอัลฟ่าเป็นจ่าฝูงแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนที่กล้าทำร้ายแกนะ” คนเป็นปู่พูดพลางจ้องหน้ามาร์คนิ่ง ๆ
แต่นั่นก็ทำให้มาร์คหลุบตาหนีในทันที “แกเป็นหลานฉัน
เป็นหลานของประธานาธิบดีเกาหลีใต้ แกคิดว่าแกจะไม่โดนเพ่งเล็งหรือมีศัตรูเลยหรือไง”
“…”
“ฉันจะพูดให้แกฟังอีกครั้งนะว่าเกมส์การเมืองไม่ได้ใสสะอาดเสมอไป
มีคนบางกลุ่มอยากจะพัฒนาประเทศแต่ก็มีคนบางกลุ่มไม่ต้องการมันเพราะคำว่าผลประโยชน์มันค้ำคอ”
“…”
“เพราะฉะนั้นอย่ามาห้ามฉันไม่ห่วงเรื่องความปลอดภัยของแก”
“ปู่พูดขนาดนี้แล้วผมทำอะไรได้ล่ะ” มาร์คกลอกตาขึ้นมองเพดานก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อปู่ของตนยื่นคำขาดออกมาแบบนี้
“ดี” บยองมินพูดกับมาร์คแล้วหันไปหาลูคัสที่ยืนฟังทั้งคู่อยู่ห่าง ๆ “ลูคัส”
“ครับ”
“ตอนนี้ยังไม่ได้รับงานหรือเข้าสังกัดที่ไหนใช่ไหม”
“ครับ”
“งั้นดี
ฉันจะให้นายมาเป็นบอดี้การ์ดคอยติดตามมาร์คแทนทีมอื่น”
สิ้นสุดคำพูดของอีบยองมินทั้งมาร์คและลูคัสต่างหันมาสบตากันในทันที
ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกมาจากคนทั้งคู่ เป็นมาร์คที่ทักท้วงคนเป็นปู่ขึ้นมาก่อน
“ปู่ แต่ว่-”
“ไม่มีแต่ว่า” บยองมินเอ็ดหลานอีกครั้ง “ไม่ติดอะไรใช่ไหมลูคัส”
“ครับ”
“งั้นคำสั่งของฉันถือเป็นสิ้นสุด”
To be
continued
#serendipitylm
กาวกับน้องในวันนั้นสู่ฟิคเรื่องนี้ในวันนี้
กราบน้องเนเน่ค่ะ 55555 บังเอิญว่าคาแรกเตอร์ลูคัสใน super
m เป๊ะกับที่คิดเอาไว้ในหัวเลยก็ปั่นตาแตกเลยค่ะ /สูดทินเนอร์/ เอ็นจอยรีดดิ้งครับ
ปล.
ไม่รับปากว่าตอนจบจะมาตอนไหน แต่ช่วงนี้ก็กาวใช้ได้เลย น่าจะไม่เกินสิ้นเดือนค่ะ /ภาวนากับเวลาว่างของตัวเองแรงๆ/
ความคิดเห็น