ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    sf/os serendipity | nct lumark

    ลำดับตอนที่ #18 : (SF) Mondschein (4/4) end

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 830
      68
      24 ส.ค. 62

    Mondschein | kapitel 4

     

    Note: สูดหายใจเข้าลึึก ๆ ก่อนอ่านกันนะคะ + ถ้าลืมเนื้อเรื่องก็ย้อนกลับไปอ่านก่อนหน้าได้เลยค่ะ XD

     

             

     


              บางครั้งความฝันก็เชื่อมโยงกับอะไรบางอย่าง

     

              .

              .

     

     

              ตั้งแต่คืนวันนั้น วันที่มินฮยองได้รู้จักกับลูคัสในฝัน ไม่มีวันไหนที่เขาไม่ได้เจอชายหนุ่มร่างสูงคนนี้ในฝันเลยสักครั้ง ความฝันของเขาที่มีลูคัสอยู่ในนั้นกลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนตัวเล็กไปเสียแล้ว ราวกับว่าทุกอย่างที่อยู่ภายในฝันนั้นเป็นเรื่องจริงเสียหมดทุกอย่าง

     

    นอกจากความฝันแล้ว มินฮยองก็ยังคงใช้ชีวิตตามปกติทุกอย่าง ตื่นเช้ามาออกมาเดินรับลมข้างหน้าบ้าน กลับเข้ามาทำอาหารเช้าง่าย ๆ ทานตามด้วยยาและวิตามินต่าง ๆ จากนั้นก็เดินไปเล่นเปียโนที่ห้องแห่งนั้น อีกทั้งยังคงเขียนไดอารี่สั้น ๆ อยู่เป็นประจำ

     

    หากว่ากิจวัตรประจำวันของคนตัวเล็กออกจะน่าเบื่อไปเสียหน่อยสำหรับคนอื่น ๆ แต่มินฮยองกลับชอบมันมากกว่าตอนที่ตัวเองยังเป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศเกาหลีใต้  ความสงบคือสิ่งที่เขาต้องการ และคนตัวเล็กได้วาดฝันอยู่ภายในจิตใจว่าถ้าบั้นปลายชีวิตของเขา ตัวเขาได้อยู่ในที่สงบ ๆ กับคนที่รักมันจะดีสักแค่ไหนกัน

     

              เวลาล่วงเลยผ่านไปจวบจนแสงสุริยาลาลับ มีเพียงหมู่ดาราที่เคียงคู่กับจันทราตัดกับฟากฟ้าที่เข้ม  นี่เป็นอีกคืนที่มินฮยองรู้สึกโหวงใจแปลก ๆ  คนตัวเล็กนั่งมองหมู่ดวงอยู่เงียบ ๆ อยู่สักพัก ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ ๆ ลูคัสเคาะมือเข้ากับกรอบประตูทางเข้าห้องเปียโนห้องนี้พร้อมกับส่งยิ้มบาง ๆ ให้กับคนตัวเล็ก

     

              ผมหลับไปแล้วหรอ?

             

              “…” ลูคัสไม่ได้ตอบอะไรแต่กลับมอบรอยยิ้มอบอุ่นออกมาแทน

     

              งั้นผมก็คงหลับแล้ว นี่เป็นความฝันของผมแล้วสินะคนตัวเล็กทำหน้าครุ่นคิดไปพักนึงก่อนจะยืดตัวขึ้นเพื่อบิดขี้เกียจหลังจากการนั่งมองดูดาวเป็นเวลานาน ๆ

     

              ครับคุณน่ะหลับแล้ว 

     

              อ่าหะ…” มินฮยองขานตอบ ดีจริง ๆ เนอะ

     

              หืม?

     

              ผมรู้สึกว่าดีจริง ๆ ที่ผมไม่ได้อยู่เพียงตัวคนเดียวแม้กระทั่งในความฝัน

     

              มินฮยองพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม แววตาที่ทอประกายสดใสจ้องมองไปที่ใครอีกคนด้วยความรู้สึกที่เบาหวิวเหมือนตัวเองกำลังลอยได้ ชายหนุ่มร่างสูงยิ้มออกมาก่อนจะเอื้อมมือหนาของตนไปลูบที่ศีรษะทุย ๆ ของคนตัวเล็ก

     

    คุณความคิดน่ารักดีลูคัสพูดตามความคิด

     

    อ่าหะ

     

    คนตัวเล็กตอบรับ ก่อนที่บรรยากาศรอบข้างจะตกอยู่ความเงียบอีกครั้ง พวกเขาทั้งสองไม่ได้พูดอะไรต่อหลังจากนี้ แต่ความเงียบนี้กลับทำให้มินฮยองรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก เขาปล่อยให้ลูคัสเล่นผมตัวเองตต่อไปโดยไม่ได้แย้งอะไรออกมา และเป็นคนตัวสูงที่เริ่มต้นบทสนทนาอีกครั้ง

     

    คุณ…” เสียงทุ้มเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนและลังเลเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างจนมินฮยองต้องเหลือบไปมอง

     

    หือ

     

    ที่จริงผมมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากจะเล่าให้คุณฟัง

     

    “…”

    เพียงแต่ผมไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนดี

     

    ถ้าคุณไม่สบายใจที่จะเล่าก็ยังไม่ต้องบอกผมก็ได้นะ

     

    ไม่ใช่อย่างนั้น ลูคัสเงียบก่อนจะพูดต่อผมแค่กลัวผลลัพธ์หลังจากที่ผมเล่าให้คุณฟัง

     

    ถ้าหากว่ามันเป็นผลลัพธ์ที่เกี่ยวกับผมโดยตรง ผมก็พร้อมจะยอมรับมันนะ หมายถึงว่าไม่ว่าช้าหรือเร็ว สุดท้ายคุณก็ต้องบอกผมอยู่ดี ผมพูดถูกหรือเปล่า?หลังจากที่มินฮยองพูดจบ คนตัวสูงก็ลูบใบหน้าตัวเองเบา ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมา

     

    โอเค ผมเล่าแล้วก็ได้

     

    อ่าหะ

     

    เป็นเรื่องของผมในสมัยเด็กเอง ตอนเด็กผมเป็นที่ค่อนข้างเกเรกับที่บ้าน บ้านของผมทำธุรกิจท่าเรือในฮ่องกง พ่อของผมพร่ำบอกว่าในอนาคตผมจะต้องเรียนในสิ่งที่พ่ออยากให้เรียนเพื่อที่จะมารับช่วงต่อจากท่าน แต่ผมกลับไม่คิดแบบนั้น

     

    “…”

     

    ผมก็มีความฝันของผม และเสียงดนตรีทำให้ผมมีความสุขลูคัสสบตามินฮยองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหมาย ผมชอบดนตรีและอยากจะเล่นมัน ดังนั้นผมจึงขอพวกท่านเพื่อที่จะเรียนมัน ตอนแรกพ่อผมค้านหัวชนฝา แต่ในที่สุดท่านก็ยื่นขอเสนอกับผม ท่านยอมให้ผมเรียนเปียโนก็ต่อเมื่อผมรับปากว่าผมจะเรียนสิ่งที่ท่านอยากให้เรียนเหมือนกัน

     

    “…”

     

    สุดท้ายผมก็ตอบตกลงไป แล้วผมได้เรียนเปียโนที่ผมรัก คุณเชื่อหรือเปล่าว่านั่นเป็นสิ่งที่เดียวที่ทำให้เด็กอายุ12 รู้สึกถึงคำว่าความสุขที่แท้จริง

     

              คุณเริ่มเรียนเปียโนตอนอายุ 12 หรอ?

     

              ใช่ คุณรู้ไหม อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขทุกครั้งที่เข้าคลาสเรียนเปียโนคืออะไรลูคัสถามขึ้นมาลอย ๆ ทำให้มินฮยองที่นั่งขบริมฝีปากสะดุ้งขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรคนตัวสูงกลับไป

     

              “…”

     

              ในคลาสเรียนของผม ผมมีเพื่อนที่เป็นพาร์ทเนอร์คนหนึ่ง

     

              ทันทีที่ลูคัสพูดจบ มินฮยองก็จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ละสายตา เขาแทบไม่เชื่อในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเขา เขาไม่เคยเชื่อในความบังเอิญหรือทฤษฏีโลกกลมมาก่อน

     

     

              จนได้เจอกับคนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้

     

     

              พาร์ทเนอร์ของผมเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่ชอบยิ้มออกมาเมื่อตัวเองถูกครูชมว่าตั้งใจเรียนและทำมันได้ดี เขามักจะบอกผมเสมอว่าเขาอยากเป็นนักเปียโนอาชีพแล้วดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นก็ทำสำเร็จแล้ว…”

     

              พอ!!!” มินฮยองพูดขึ้นมาอย่างสุดเสียง

     

     

    “…”

     

     

     

    พอแล้วยกเหย..”

     

     

    จำเราได้แล้วสินะ มินฮยองอา

     

    ใครจะไปลืมเจ้าบื้อที่ทิ้งเราไปได้ล่ะ

     

    สรรพนามที่เปลี่ยนไป ความทรงจำที่ปิดตายภายในก้นบึ้งหัวใจของมินฮยองนั้นถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ความรู้สึกเดิม ๆ เมื่อ10กว่าปีก่อนไหลย้อนกลับเข้ามาหาคนทั้งคู่ และเป็นมินฮยองปล่อยน้ำตาแห่งความคิดถึงออกมาก่อน

     

     

    หยาดน้ำตาแห่งความคิดถึงในวันนี้

    ทำให้คนตัวเล็กรู้ว่าเขาไม่เคยลืม รักแรก ของเขาได้เลย

     

     

    ขอโทษที่ทิ้งไป ขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อไปหาเลยสักครั้ง

     

    “…”

     

    ขอโทษจริง ๆ นะมินฮยอง คนตัวสูงเอื้อมมือไปเกลี่ยน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่าย ๆ ก่อนจะดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดปลอบ

     

    ใจร้ายกับเรามากเลยนะ

     

    เราขอโทษ

     

    ใจร้ายจริง ๆ

     

    หลังจากที่ลูคัสหรือยกเหยปลอบคนตัวเล็กไปเสียยกใหญ่ เหตุการณ์ทั้งหมดก็กลับเข้าสู่ปกติ มินฮยองที่ดูผ่อนคลายมากขึ้นเริ่มพิจารณาคนตรงหน้าอย่างตั้งใจ ก่อนจะถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยมาโดยตลอดออกไป

     

    ลูคัสหายไปไหนมา

     

    อย่างที่เราเล่าไปตั้งแต่แรก พ่อเราไม่อยากให้เราเป็นนักเปียโน แต่เราตกหลุมรักมันมากแล้วเราก็อยากทำตามความฝันของเรา เราก็เลยทะเลาะกับที่บ้านจนพ่อเราตัดพ่อตัดลูกกับเราเลยคนตัวสูงหัวเราะหึออกมาเมื่อเล่าถึงตอนนี้ ทุกครั้งที่เขานึกถึงเรื่องนี้ เขามักจะตลกชีวิตตัวเอง เกิดมาทั้งทีแต่ดันเลือกทางเดินชีวิตตัวเองไม่ได้จนต้องจบด้วยเรื่องแย่ ๆ แบบนี้

     

    ลูคัส…”

     

    เราโอเคแล้วมินฮยอง คนตัวสูงตอบยิ้ม  หลังจากนั้นเราก็พยายามดิ้นรนเพื่อตามความฝันด้วยตัวเอง เราลงประกวดเปียโนทุกรายการเท่าที่เราจะทำได้ สุดท้ายพระเจ้าก็เห็นใจคนอย่างเรา

     

    “…”

     

    เราลงประกวดที่โรงเรียนดนตรีโซล และมีกรรมการคนนึงบอกกับเราว่าเขาเห็นอะไรบางอย่างในตัวเรา เขาเห็นแววในตัวเราและเขาบอกว่าเรามีพรสวรรค์ ลูคัสพูดแล้วระบายยิ้มออกมา มิสเตอร์ซานเชสเขาส่งเราเข้าประกวดงานต่าง ๆ ในต่างประเทศ เราค่อย ๆ สะสมประสบการณ์มาเรื่อย ๆ จนในที่สุดเราก็ได้เป็นนักเปียโนอันดับหนึ่งของโลก

     

    สิ้นสุดคำพูดของคนตัวสูง มินฮยองก็เบิกตาโพลงอย่างตื่นตะลึงกับความสามารถของคนตรงหน้า กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ มินฮยองคิดว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยที่อีกคนใช้เวลาทั้งหมดอุทิศตัวเองให้กับเสียงเปียโน ซึ่งเมื่อเทียบกับนักเปียโนคนอื่น ๆ แล้ว คนตัวเล็กคิดว่าลูคัสใช้เวลาในการเดินตามเป้าหมายและคว้าความฝันได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งบางคนอาจจะใช้เวลาเป็น 10ปี หรือ 20ปีเลยกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้

     

    เก่งเกินไปแล้วนะ…”

     

    ที่เรามาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะนายด้วยส่วนนึงนะ มินฮยองอา

     

    “…”

     

    “…”

     

    รู้แล้ว มินฮยองอมยิ้มเขินแล้วตอบอีกฝ่ายไปด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าปกติแต่ว่าเราก็ตามข่าวเกี่ยวกับนักเปียโนอยู่ตลอดนะ แต่ทำไมเราถึงไม่รู้ว่าเป็นลูคัสนะ

     

    ทันทีที่คนตัวเล็กพูดจบ ลูคัสก็หัวเราะออกมาพร้อมกับลูบหัวทุยๆของอีกคนอย่างเอ็นดู ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ลูคัสก็ยังรู้ว่ามินฮยองน่ารักเหมือนเดิม เหมือนกับมินฮยองที่ตัวเล็ก ๆ ที่มักจะมียิ้มหวาน ๆ และสดใสมอบให้เขาเสมอ

     

    อาจจะเป็นเพราะเราไม่ชอบออกสื่อสักเท่าไหร่คนตัวสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ

     

    อ๋อ…”

     

    เราไม่ได้อยากทำตัวเองให้เป็นที่สนใจด้วยล่ะ เวลาไปไหนก็ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะถูกจับจ้อง

     

    ก็เลยเป็นบุคคลปริศนา? มินฮยองพูดแซวคนตัวสูงอย่างขำ ๆ

     

    ก็ไม่ได้ขนาดนั้น…” ลูคัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาลง ก่อนจะเหลือบมองคนตัวเล็กที่นั่งยิ้มกว้างออกมาเมื่อพูดถึงเรื่องความโด่งดังของตัวเขา ถ้าเราเป็นบุคคลปริศนาจริง ๆ มันก็คงไม่เกิดเรื่องในวันนั้น…”

     

    ลูคัสมองมินฮยองที่ทำหน้าสงสัยขึ้นมาทันทีที่เขาพูดจาแปลก ๆ ใส่เจ้าตัว แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรกลับมา ราวกับว่ารอให้เขาเป็นคนพูดออกมาเอง คนตัวสูงเงียบและเริ่มใช้ความคิดเพื่อชั่งน้ำหนักในสิ่งที่ตนกำลังลังเลว่าจะพูดมันออกมาดีหรือไม่ ทั้งยังคาดเดาปฏิกิริยาของมินฮยองไปต่าง ๆ นา ๆ เกี่ยวกับเรื่องที่จะเล่านี้

     

    ทั้งคู่ต่างก็เงียบใส่กันไปโดยปริยาย คนนึงกำลังคิดไม่ตก ส่วนอีกคนกำลังรอให้อีกฝ่ายพูดมันออกมาแต่ก็ไม่ได้คาดคั้นเอาความออกมาเป็นคำพูด เพราะถ้าทำแบบนั้นก็เหมือนว่าตนนั้นกำลังไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเพื่อนเก่าตัวสูงและล้ำเส้นโดยที่อีกฝ่ายไม่อนุญาต มินฮยองเหลือบสายตาขึ้นไปมองลูคัสหน่อย ๆ หวังดูท่าทีของคนตัวสูงแต่ก็เผลอสบตากันอย่างตรง ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ และเป็นลูคัสที่เบือนหน้าออกมาก่อนเมื่อเจอเข้ากับสายตาที่ตัดพ้อและสะท้อนถึงความไม่เข้าใจและน้อยใจในตัวเขาปะปนกันไป

     

     

    สุดท้ายแล้วลูคัสก็แพ้ให้กับมินฮยอง

     

     

    คนตัวสูงถอนหายใจออกมาก่อนจะสูดลมเข้าไปเต็มปอดเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจกับเรื่องที่เขาจะเล่าให้คนตัวเล็กฟังต่อไปนี้ ลูคัสยอมรับว่าเขาค่อนข้างกลัวผลลัพธ์ที่จะออกมามาก ๆ แต่เขาก็หวังว่าอีกฝ่ายจะยังคงเป็นมินฮยองของเขาคนเดิม

     

    เพราะถึงไม่เล่าวันนี้ วันพรุ่งนี้หรืออนาคต

    อีกคนก็ต้องรู้ความลับที่เขาปิดอีกฝ่ายมาตั้งแต่แต่แรกอยู่ดี

     

    วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนัก…” ดวงตาสีเข้มมองมินฮยองด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก แล้วเราก็เพิ่งกลับมาจากออสเตรเลีย

     

    “…”

     

    เราซื้อบ้านเอาไว้หลังหนึ่งแถบชานเมืองหมู่บ้านที่เราอยู่นี้อยู่ไม่ไกลจากสถานที่สำคัญ ๆ ในเมืองสักเท่าไหร่ มินฮยองรู้ไหมทำไมเราถึงซื้อบ้านหลังนั้น

     

    ลูคัสพูดจบ มินฮยองก็กลั้นหายใจและนั่งเกร็งโดยอัตโนมัติแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

     

    บ้านหลังนั้นเป็นบ้านในอุดมคติของคนที่เราชอบในตอนเด็ก บ้านสีครีมหลังไม่ใหญ่มาก มีชิงช้าโยกและสวนดอกไม้อยู่นอกบ้าน

     

    “…”

     

    เจ้าของบ้านหลังนี้คนก่อนก็คือเราเองมินฮยอง

     

    มินฮยองตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าจะต้องจับต้นชนปลายตรงไหน เกิดอะไรขึ้นกับตัวเขาและลูคัส อีกทั้งเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้มันคืออะไร คนตัวเล็กได้แต่นั่งนิ่ง ๆ ทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา

     

     

    ความฝัน เสียงเปียโน บ้านหลังนี้

    และ ลูคัส..

     

     

    นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย…” มินฮยองพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว เรื่องที่เกิดทั้งหมดมันหมายความว่ายังไง ลูคัส

     

    มินฮยองคงไม่เชื่อ ลูคัสหยุดพูดไปครู่นึง วันนั้นวันที่เรากลับมา มีคนร้ายสองคนบุกเข้ามาในบ้านและเข้ามายิงเราถึงห้องเปียโน…”

     

    “…”

     

     

    ไอ้พวกนั้นมันบอกเราว่านี่เป็นรางวัลสำหรับคนเก่ง แด่นักเปียโนอันดับหนึ่งของโลก

     

    มินฮยองปิดปากก่อนจะปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา คนตัวเล็กเริ่มร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้น เนื้อตัวสั่นเทาจนลูคัสรู้สึกสงสารจับใจแต่ก็ไม่กล้าเอื้อมมือเข้าไปกอดหรือปลอบใจคนตรงหน้า

     

    เขารู้ว่าอีกฝ่ายขวัญเสียมาก

    และนั่นก็เป็นเพราะตัวเขาเอง

     

    มินฮยองเข้าใจในสิ่งที่เราจะสื่อใช่ไหม? ลูคัสพูดเสียงเบาจนเหมือนเป็นเสียงกระซิบ

     

    ฮึก..” คนตัวเล็กพยักหน้า

     

    เราตายแล้วมินฮยอง ตายมานานแล้ว

     

    “…”

     

    “..ขอโทษ

     

    มะ..ไม่

     

    “…” ลูคัสมือไม้อ่อนทันทีที่ได้ยินอีกคนพูดออกมา เขาคิดเอาไว้แล้วว่าใครจะมารับเรื่องแบบนี้ได้กัน

     

    ไม่ได้กลัวลู..ฮึกคัส

     

    “…”

     

    -แต่เสียใจที่ไม่ได้เจอก-กันก่อน..อึก..หน้านี้

     

    เป็นมินฮยองที่เอื้อมมือไปจับคนตัวสูงก่อน มือเล็ก ๆ บีบมือเบา ๆ เข้าที่ฝ่ามือหนาของคนตัวสูง น้ำตาที่ยังคงไหลไม่หยุดบดบังภาพตรงหน้ามินฮยอง ก่อนที่ดวงตากลมโตจะปิดลงเมื่อลูคัสยกมืออีกข้างขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้คนขี้แยอีกรอบ

     

    ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาแห่งความเศร้าหรือน้ำตาแห่งความสุข

    คนที่อยู่ข้างมินฮยองและคอยเช็ดน้ำตาให้ก็ยังคงเป็นลูคัสเหมือนเดิม

     

    ไม่เป็นไรมินฮยอง ไม่เป็นไร

     

    “…”

     

    แค่ตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว

     

    ลูคัสดึงตัวเล็กเข้ามากอดเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีกลัวเขาอย่างที่คิด ใบหน้าของมินฮยองฝังลงที่ไหล่หนาอย่างแนบแน่นเพื่อสื่อว่าตนไม่ได้เกลียดหรือผลักไสคนตัวสูง ก่อนจะโดนลูคัสโอบรัดเข้าไปให้จมอกยิ่งกว่าเดิม ทั้งคู่ใช้เวลาซึมซับและปลอบโยนซึ่งกันและกันอยู่แบบนี้ไปสักพัก มินฮยองจึงเริ่มสงบลง

     

    ลูคัส

     

    ครับ

     

    “…”

     

    “…”

     

    แล้วทำไมเราถึงเจอลูคัสในความฝันล่ะมินฮยองตัดสินใจถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยที่สุดออกไป ทำให้อีกฝ่ายเผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา

     

    จริง ๆ เรื่องนี้ มันก็พูดยากเหมือนกันนะ ลูคัสลูบคางตัวเอง บางทีหลักการทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ เช่น ความฝันที่เชื่อมโยงกับโลกคู่ขนานอะไรประมาณนี้

     

    อ่าหะ

     

    บางทีการที่เราผูกพันกับบ้านหลังนี้แล้วก็ผูกพันกับมินฮยองเลยทำให้มินฮยองเห็นเราในความฝันก็ได้ล่ะมั้ง ลูคัสเอ่ยออกมาอย่างติดตลก เสียงนุ่มทุ้มที่หัวเราะออกมาทำให้มินฮยองรู้สึกเขินขึ้นมาหน่อย ๆ คนตัวเล็กเสมองไปที่แกรนด์เปียโนตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง

     

    ก็ยังดะ…” ยังไม่ทันที่มินฮยองพูดจบ คนตัวเล็กก็ได้เสียงเครื่องยนต์ดังรอดเข้ามา ก่อนจะจอดอยู่บริเวณหน้าบ้านของเขา

     

    กริ๊ก

     

    เสียงไขประตูดังขึ้นมาจากด้านหน้าประตูทำให้ทั้งมินฮยองและลูคัสต้องหันมามองหน้ากัน และเป็นลูคัสที่แสดงสีหน้าไม่สู้ดีขึ้นมาอีกครั้งก่อนฝ่ามือหนาจะดึงมือเล็กเข้ามาบีบเบา ๆ

     

    เนี่ยคือความฝันหรอ มินฮยองเอ่ยถามคนตัวสูงโดยไม่มีเสียง

     

    มินฮยองที่เริ่มจะสังเกตความไม่ชอบมาพากลได้ก็มองหน้าลูคัสอย่างคาดคั้น แต่อีกฝ่ายทำเพียงแค่ส่ายหน้าออกมาและไม่พูดอะไร

     

    เสียงฝีเท้ามากกว่าสองคู่เดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ทำให้มินฮยองหายใจไม่ทั่วท้อง เหมือนมวลอากาศในห้องแห่งนี้บีบให้ตัวของเขาเล็กลง ไม่มีเสียงพูดคุยจากบุคคลที่กำลังเดินเข้ามาแม้แต่น้อย จนในที่สุดมินฮยองก็ได้เห็นใบหน้าของผู้มาเยือน

     

    เป็นนาแจมิน อีดงฮยอก และอีเจโน่ เพื่อนสนิทของเขาเอง

     

    มะ…” ยังไม่ทันที่มินฮยองจะเอ่ยอะไรออกไป ลูคัสก็ดึงแขนคนตัวเล็กเอาไว้อีกครั้ง ก่อนจะพเยิดหน้าให้อีกคนมองผู้มาใหม่

     

    มินฮยองมองตามที่ลูคัสบอกก่อนจะเริ่มแปลกใจ เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เดินเข้ามาทักทายเขาอย่างที่ควรจะทำ อีกทั้งเพื่อน ๆ ทุกคนของเขายังใส่ชุดสีสุภาพกันทุกคนทั้ง ๆ ที่ปกติเขาและเพื่อนทุกคนต่างแต่งตัวกันอย่างเรียบง่ายเสียด้วยซ้ำ

     

    เมื่อสังเกตดูอีกทีก็พบว่าใบหน้าของดงฮยอกที่มักจะร่าเริงอยู่เสมอฉายแววความเศร้าออกมาอย่างปิดไม่มิด ตายิ้มสวย ๆ เป็นปกติของอีเจโน่บัดนี้มีใต้ตาหมองคล้ำเหมือนกับคนอดหลับอดนอนมาหลายวัน ในมือของเพื่อนคนนี้มีช่อดอกเบญจมาศสีขาวช่อใหญ่มาด้วย ไหนจะแจมินที่ถูกเจโน่และดงฮยอกยืนประกบข้างและเริ่มจะสะอึกสะอื้นออกมาเมื่อเจโน่วางช่อดอกไม้สีขาวบนแกรนด์เปียโนนั่นอีก

     

    มินฮยองแทบไม่กล้าคิดสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปเลยด้วยซ้ำ

     

    นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย…”

     

    มินฮยอง

     

    เกิดอะไรขึ้นกับเรา ลูคัส

     

    ตอนนี้มินฮยองไม่สนใจว่าเพื่อนของตัวเองจะเป็นอย่างไรและจะทำอะไรต่อจากนี้ เขาสนใจเพียงอย่างเดียวก็คือลูคัสที่ทำตัวแปลก ๆ มาตลอดทั้งคืน คนตัวเล็กพุ่งเป้าไปที่ลูคัสพร้อมกับส่งสายตาคาดคั้นใส่คนตัวสูง

     

    แค่ลูคัสตอบเรามาตามจริง

     

    “…”

     

    “…”

     

    มินฮยอง…”

     

    ตั้งแต่เมื่อไหร่

     

    “…”

     

    “…”

     

    สามวันที่แล้ว วันนั้นมินฮยองกินยาไม่ทัน แล้วอาการมันกำเริบออกมา สุดท้ายมินฮยองก็สลบไป เราช่วยอะไรมินฮยองไม่ได้เลย ลูคัสเบือนหน้าออกอีกครั้งเมื่อเห็นคนตัวเล็กเดินถอยหลังออกจากเขาอย่างหมดแรง แล้วเราก็ไม่กล้าบอกเรา-ขอโทษนะ

     

    “…”

     

    เพื่อน ๆ ของมินฮยองอยากมาหาเป็นครั้งสุดท้าย

     

    “…อืม

     

    มินฮยองปาดน้ำตาที่คลอหน่วยอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเดินไปมองเพื่อนร่วมงานที่ยืนกอดแล้วร้องไห้ออกมาแบบไม่มีเสียง คนตัวเล็กเอื้อมมือไปยังช่อดอกไม้ที่วางอยู่หลังเปียโนก่อนจะมองเพื่อนทั้งสามคนด้วยความรู้สึกที่ตีรวนกันอยู่ในอก

     

    โอเคหรือเปล่า ลูคัสเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

     

    ไม่…” มินฮยองตอบ ถ้าตอบว่าโอเคก็คงเป็นการโกหก

     

    เราเข้าใจ ทุก ๆ การจากลามักน่าเศร้าเสมอ

     

    “…”

     

    แต่มินฮยองยังมีเรา

     

    เรายังมีลูคัส

     

    ใช่ ลูคัสยกยิ้มบาง ๆ ให้กับคนตัวเล็กก่อนจะยื่นมาออกมาเพื่อรอให้อีกฝ่ายจับ ซึ่งมือเล็ก ๆ ของมินฮยองก็ยื่นไปหาคนตัวสูงเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกมากมายให้แก่กัน

     

    จะมีเพียงแค่เรา แค่พวกเราในที่แห่งนี้

     

    “…”

     

    จะมีแค่ยกเหยและมินฮยองตลอดกาล

     

     

     

    .

    .

     

     

    ทุก ๆ การจากลา มักมีการเริ่มต้นครั้งใหม่เสมอ

    บางมิตรภาพก็เป็นสิ่งที่สวยงามอย่างหนึ่งในชีวิต

    เป็นทั้งแรงบันดาลใจ เป็นที่พักพิงยามเหนื่อยล้า

    เป็นความฝัน หรือเป็นแม้กระทั่งความสุข

     

     

     

    แด่ความรัก

     

    มิตรภาพ และ เสียงเพลง

     

     

    The end.

     

     

     

    ก่อนอื่นต้องขอโทษสำหรับตอนจบที่อาจจะช็อกสำหรับหลายๆคนนะคะ ; - ; ส่วนคนที่เดาทางได้หมด เราอยากบอกว่าคุณเก่งมากค่ะ แง

     

    ตอนแรกคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะแต่งยากเพราะวางพล็อตไว้แน่นมากๆ แต่กลายเป็นว่าแต่งยากสุดๆเลยค่ะ ;-; พูดตามตรงว่าที่ตอนสุดท้ายนี่ยากมากๆสำหรับเรามากๆ เพราะว่าก่อนหน้านี้พอดียุ่งกับธุระส่วนตัว แล้วพอกลับมาแต่งคือดิ่งมากๆ แต่งแล้วรู้สึกจุกอก 555 เพราะว่าเนื้อหามันหนักมากๆ แต่เราก็พยายามสื่อออกมาให้ดีที่สุดแล้วค่ะ แง u__u  

     

    สำหรับใครที่งงทามไลน์เรื่องหรือพลาดบางจุดไปเราจะอธิบายจุดหลัก ๆ ทั้งหมดด้านล่างนี้นะคะ (อยากรู้รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพิ่มเติมสามารถดีเอ็มมาถามได้ค่ะ ;;)

     

    1)    เรื่องนี้ไม่ใช่ดรีมเวิร์สค่ะ แต่เป็นนิมิตฝันของมินฮยองหมดเลยค่ะ ก็ลูคัสยังไม่ได้ไปไหนอะเนอะ ดังนั้นการที่ลูคัสจะมาปรากฏอยู่ในฝันไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ ยินดีด้วยสำหรับคนที่เดาถูกนะคะ

    2)  ถามว่าทำไมน้องถึงตาย เพราะว่าน้องเป็นโรคหัวใจค่ะ บวกกับโรคซึมเศร้า ซึ่งวันเกิดเหตุวันนั้นน้องหัวใจวายฉับพลันค่ะ นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมตอนก่อนๆน้องต้องกินยา เรื่องเขียนไดอารี่ก็เป็นอีกสิ่งนึงที่น้องต้องเขียนเพื่อให้คุณหมอประจำตัวที่รักษาโรคซึมเศร้าน้องอ่านค่ะ

    3)      Mondschein ก็คือ Moonlight ค่ะ เราได้ทิ้งปมเอาไว้ตั้งแต่ตอนแรกเลย ในเพลง Moonlight sonata ของเบโธเฟน เพลงนั้นจะสื่อถึงอารมณ์ความรู้สึกของเรื่องนี้เกือบทั้งหมดเลยค่ะ แฮ่

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×