คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : (SF) Mondschein (4/4) end
Mondschein | kapitel 4
Note: สูดหายใจเข้าลึึก ๆ ก่อนอ่านกันนะคะ + ถ้าลืมเนื้อเรื่องก็ย้อนกลับไปอ่านก่อนหน้าได้เลยค่ะ XD
บางครั้ง…ความฝันก็เชื่อมโยงกับอะไรบางอย่าง
.
.
ตั้งแต่คืนวันนั้น
วันที่มินฮยองได้รู้จักกับลูคัสในฝัน
ไม่มีวันไหนที่เขาไม่ได้เจอชายหนุ่มร่างสูงคนนี้ในฝันเลยสักครั้ง
ความฝันของเขาที่มีลูคัสอยู่ในนั้นกลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนตัวเล็กไปเสียแล้ว
ราวกับว่าทุกอย่างที่อยู่ภายในฝันนั้นเป็นเรื่องจริงเสียหมดทุกอย่าง
นอกจากความฝันแล้ว
มินฮยองก็ยังคงใช้ชีวิตตามปกติทุกอย่าง ตื่นเช้ามาออกมาเดินรับลมข้างหน้าบ้าน
กลับเข้ามาทำอาหารเช้าง่าย ๆ ทานตามด้วยยาและวิตามินต่าง ๆ
จากนั้นก็เดินไปเล่นเปียโนที่ห้องแห่งนั้น อีกทั้งยังคงเขียนไดอารี่สั้น ๆ
อยู่เป็นประจำ
หากว่ากิจวัตรประจำวันของคนตัวเล็กออกจะน่าเบื่อไปเสียหน่อยสำหรับคนอื่น
ๆ
แต่มินฮยองกลับชอบมันมากกว่าตอนที่ตัวเองยังเป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศเกาหลีใต้ ความสงบคือสิ่งที่เขาต้องการ
และคนตัวเล็กได้วาดฝันอยู่ภายในจิตใจว่าถ้าบั้นปลายชีวิตของเขา
ตัวเขาได้อยู่ในที่สงบ ๆ กับคนที่รักมันจะดีสักแค่ไหนกัน
เวลาล่วงเลยผ่านไปจวบจนแสงสุริยาลาลับ
มีเพียงหมู่ดาราที่เคียงคู่กับจันทราตัดกับฟากฟ้าที่เข้ม นี่เป็นอีกคืนที่มินฮยองรู้สึกโหวงใจแปลก ๆ คนตัวเล็กนั่งมองหมู่ดวงอยู่เงียบ ๆ อยู่สักพัก
ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ ๆ
ลูคัสเคาะมือเข้ากับกรอบประตูทางเข้าห้องเปียโนห้องนี้พร้อมกับส่งยิ้มบาง ๆ
ให้กับคนตัวเล็ก
“ผมหลับไปแล้วหรอ?”
“…” ลูคัสไม่ได้ตอบอะไรแต่กลับมอบรอยยิ้มอบอุ่นออกมาแทน
“งั้นผมก็คงหลับแล้ว
นี่เป็นความฝันของผมแล้วสินะ” คนตัวเล็กทำหน้าครุ่นคิดไปพักนึงก่อนจะยืดตัวขึ้นเพื่อบิดขี้เกียจหลังจากการนั่งมองดูดาวเป็นเวลานาน
ๆ
“ครับ…คุณน่ะหลับแล้ว”
“อ่าหะ…” มินฮยองขานตอบ “ดีจริง ๆ เนอะ”
“หืม?”
“ผมรู้สึกว่าดีจริง ๆ
ที่ผมไม่ได้อยู่เพียงตัวคนเดียวแม้กระทั่งในความฝัน”
มินฮยองพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
แววตาที่ทอประกายสดใสจ้องมองไปที่ใครอีกคนด้วยความรู้สึกที่เบาหวิวเหมือนตัวเองกำลังลอยได้
ชายหนุ่มร่างสูงยิ้มออกมาก่อนจะเอื้อมมือหนาของตนไปลูบที่ศีรษะทุย ๆ ของคนตัวเล็ก
“คุณความคิดน่ารักดี” ลูคัสพูดตามความคิด
“อ่าหะ”
คนตัวเล็กตอบรับ
ก่อนที่บรรยากาศรอบข้างจะตกอยู่ความเงียบอีกครั้ง
พวกเขาทั้งสองไม่ได้พูดอะไรต่อหลังจากนี้
แต่ความเงียบนี้กลับทำให้มินฮยองรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
เขาปล่อยให้ลูคัสเล่นผมตัวเองตต่อไปโดยไม่ได้แย้งอะไรออกมา
และเป็นคนตัวสูงที่เริ่มต้นบทสนทนาอีกครั้ง
“คุณ…” เสียงทุ้มเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนและลังเลเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างจนมินฮยองต้องเหลือบไปมอง
“หือ”
“ที่จริง…ผมมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากจะเล่าให้คุณฟัง”
“…”
“เพียงแต่…ผมไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนดี”
“ถ้าคุณไม่สบายใจที่จะเล่าก็ยังไม่ต้องบอกผมก็ได้นะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” ลูคัสเงียบก่อนจะพูดต่อ “ผมแค่กลัวผลลัพธ์หลังจากที่ผมเล่าให้คุณฟัง”
“ถ้าหากว่ามันเป็นผลลัพธ์ที่เกี่ยวกับผมโดยตรง…
ผมก็พร้อมจะยอมรับมันนะ หมายถึงว่าไม่ว่าช้าหรือเร็ว สุดท้ายคุณก็ต้องบอกผมอยู่ดี
ผมพูดถูกหรือเปล่า?” หลังจากที่มินฮยองพูดจบ
คนตัวสูงก็ลูบใบหน้าตัวเองเบา ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“โอเค ผมเล่าแล้วก็ได้”
“อ่าหะ”
“เป็นเรื่องของผมในสมัยเด็กเอง ตอนเด็กผมเป็นที่ค่อนข้างเกเรกับที่บ้าน
บ้านของผมทำธุรกิจท่าเรือในฮ่องกง พ่อของผมพร่ำบอกว่าในอนาคตผมจะต้องเรียนในสิ่งที่พ่ออยากให้เรียนเพื่อที่จะมารับช่วงต่อจากท่าน
แต่ผมกลับไม่คิดแบบนั้น”
“…”
“ผมก็มีความฝันของผม และเสียงดนตรีทำให้ผมมีความสุข” ลูคัสสบตามินฮยองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหมาย
“ผมชอบดนตรีและอยากจะเล่นมัน
ดังนั้นผมจึงขอพวกท่านเพื่อที่จะเรียนมัน ตอนแรกพ่อผมค้านหัวชนฝา
แต่ในที่สุดท่านก็ยื่นขอเสนอกับผม
ท่านยอมให้ผมเรียนเปียโนก็ต่อเมื่อผมรับปากว่าผมจะเรียนสิ่งที่ท่านอยากให้เรียนเหมือนกัน”
“…”
“สุดท้ายผมก็ตอบตกลงไป แล้วผมได้เรียนเปียโนที่ผมรัก คุณเชื่อหรือเปล่าว่านั่นเป็นสิ่งที่เดียวที่ทำให้เด็กอายุ12 รู้สึกถึงคำว่าความสุขที่แท้จริง”
“คุณเริ่มเรียนเปียโนตอนอายุ
12 หรอ?”
“ใช่ คุณรู้ไหม
อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขทุกครั้งที่เข้าคลาสเรียนเปียโนคืออะไร” ลูคัสถามขึ้นมาลอย ๆ
ทำให้มินฮยองที่นั่งขบริมฝีปากสะดุ้งขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรคนตัวสูงกลับไป
“…”
“ในคลาสเรียนของผม
ผมมีเพื่อนที่เป็นพาร์ทเนอร์คนหนึ่ง”
ทันทีที่ลูคัสพูดจบ
มินฮยองก็จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ละสายตา
เขาแทบไม่เชื่อในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเขา
เขาไม่เคยเชื่อในความบังเอิญหรือทฤษฏีโลกกลมมาก่อน
จนได้เจอกับคนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้
“พาร์ทเนอร์ของผมเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก
ๆ ที่ชอบยิ้มออกมาเมื่อตัวเองถูกครูชมว่าตั้งใจเรียนและทำมันได้ดี
เขามักจะบอกผมเสมอว่าเขาอยากเป็นนักเปียโนอาชีพแล้วดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นก็ทำสำเร็จแล้ว…”
“พอ!!!” มินฮยองพูดขึ้นมาอย่างสุดเสียง
“…”
“พอแล้วยกเหย..”
“จำเราได้แล้วสินะ มินฮยองอา”
“ใครจะไปลืมเจ้าบื้อที่ทิ้งเราไปได้ล่ะ”
สรรพนามที่เปลี่ยนไป
ความทรงจำที่ปิดตายภายในก้นบึ้งหัวใจของมินฮยองนั้นถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง
ทำให้ความรู้สึกเดิม ๆ เมื่อ10กว่าปีก่อนไหลย้อนกลับเข้ามาหาคนทั้งคู่
และเป็นมินฮยองปล่อยน้ำตาแห่งความคิดถึงออกมาก่อน
หยาดน้ำตาแห่งความคิดถึงในวันนี้
ทำให้คนตัวเล็กรู้ว่าเขาไม่เคยลืม
‘รักแรก’ ของเขาได้เลย
“ขอโทษที่ทิ้งไป ขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อไปหาเลยสักครั้ง”
“…”
“ขอโทษจริง ๆ นะมินฮยอง”
คนตัวสูงเอื้อมมือไปเกลี่ยน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่าย ๆ
ก่อนจะดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดปลอบ
“ใจร้ายกับเรามากเลยนะ”
“เราขอโทษ”
“ใจร้ายจริง ๆ”
หลังจากที่ลูคัสหรือยกเหยปลอบคนตัวเล็กไปเสียยกใหญ่
เหตุการณ์ทั้งหมดก็กลับเข้าสู่ปกติ
มินฮยองที่ดูผ่อนคลายมากขึ้นเริ่มพิจารณาคนตรงหน้าอย่างตั้งใจ ก่อนจะถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยมาโดยตลอดออกไป
“ลูคัสหายไปไหนมา”
“อย่างที่เราเล่าไปตั้งแต่แรก พ่อเราไม่อยากให้เราเป็นนักเปียโน
แต่เราตกหลุมรักมันมากแล้วเราก็อยากทำตามความฝันของเรา เราก็เลยทะเลาะกับที่บ้านจนพ่อเราตัดพ่อตัดลูกกับเราเลย”
คนตัวสูงหัวเราะหึออกมาเมื่อเล่าถึงตอนนี้ ทุกครั้งที่เขานึกถึงเรื่องนี้
เขามักจะตลกชีวิตตัวเอง…
เกิดมาทั้งทีแต่ดันเลือกทางเดินชีวิตตัวเองไม่ได้จนต้องจบด้วยเรื่องแย่ ๆ แบบนี้
“ลูคัส…”
“เราโอเคแล้วมินฮยอง” คนตัวสูงตอบยิ้ม ๆ “หลังจากนั้นเราก็พยายามดิ้นรนเพื่อตามความฝันด้วยตัวเอง
เราลงประกวดเปียโนทุกรายการเท่าที่เราจะทำได้ สุดท้ายพระเจ้าก็เห็นใจคนอย่างเรา”
“…”
“เราลงประกวดที่โรงเรียนดนตรีโซล
และมีกรรมการคนนึงบอกกับเราว่าเขาเห็นอะไรบางอย่างในตัวเรา
เขาเห็นแววในตัวเราและเขาบอกว่าเรามีพรสวรรค์” ลูคัสพูดแล้วระบายยิ้มออกมา
“มิสเตอร์ซานเชสเขาส่งเราเข้าประกวดงานต่าง ๆ ในต่างประเทศ
เราค่อย ๆ สะสมประสบการณ์มาเรื่อย ๆ จนในที่สุดเราก็ได้เป็นนักเปียโนอันดับหนึ่งของโลก”
สิ้นสุดคำพูดของคนตัวสูง
มินฮยองก็เบิกตาโพลงอย่างตื่นตะลึงกับความสามารถของคนตรงหน้า กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้
มินฮยองคิดว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยที่อีกคนใช้เวลาทั้งหมดอุทิศตัวเองให้กับเสียงเปียโน
ซึ่งเมื่อเทียบกับนักเปียโนคนอื่น ๆ แล้ว
คนตัวเล็กคิดว่าลูคัสใช้เวลาในการเดินตามเป้าหมายและคว้าความฝันได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งบางคนอาจจะใช้เวลาเป็น 10ปี หรือ 20ปีเลยกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้
“เก่งเกินไปแล้วนะ…”
“ที่เรามาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะนายด้วยส่วนนึงนะ มินฮยองอา”
“…”
“…”
“รู้แล้ว”
มินฮยองอมยิ้มเขินแล้วตอบอีกฝ่ายไปด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าปกติ “แต่ว่าเราก็ตามข่าวเกี่ยวกับนักเปียโนอยู่ตลอดนะ
แต่ทำไมเราถึงไม่รู้ว่าเป็นลูคัสนะ”
ทันทีที่คนตัวเล็กพูดจบ
ลูคัสก็หัวเราะออกมาพร้อมกับลูบหัวทุยๆของอีกคนอย่างเอ็นดู ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี
ลูคัสก็ยังรู้ว่ามินฮยองน่ารักเหมือนเดิม เหมือนกับมินฮยองที่ตัวเล็ก ๆ
ที่มักจะมียิ้มหวาน ๆ และสดใสมอบให้เขาเสมอ
“อาจจะเป็นเพราะเราไม่ชอบออกสื่อสักเท่าไหร่” คนตัวสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ
“อ๋อ…”
“เราไม่ได้อยากทำตัวเองให้เป็นที่สนใจด้วยล่ะ
เวลาไปไหนก็ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะถูกจับจ้อง”
“ก็เลยเป็นบุคคลปริศนา?”
มินฮยองพูดแซวคนตัวสูงอย่างขำ ๆ
“ก็ไม่ได้ขนาดนั้น…” ลูคัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาลง
ก่อนจะเหลือบมองคนตัวเล็กที่นั่งยิ้มกว้างออกมาเมื่อพูดถึงเรื่องความโด่งดังของตัวเขา
“ถ้าเราเป็นบุคคลปริศนาจริง ๆ
มันก็คงไม่เกิดเรื่องในวันนั้น…”
ลูคัสมองมินฮยองที่ทำหน้าสงสัยขึ้นมาทันทีที่เขาพูดจาแปลก
ๆ ใส่เจ้าตัว แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรกลับมา ราวกับว่ารอให้เขาเป็นคนพูดออกมาเอง
คนตัวสูงเงียบและเริ่มใช้ความคิดเพื่อชั่งน้ำหนักในสิ่งที่ตนกำลังลังเลว่าจะพูดมันออกมาดีหรือไม่
ทั้งยังคาดเดาปฏิกิริยาของมินฮยองไปต่าง ๆ นา ๆ เกี่ยวกับเรื่องที่จะเล่านี้
ทั้งคู่ต่างก็เงียบใส่กันไปโดยปริยาย
คนนึงกำลังคิดไม่ตก ส่วนอีกคนกำลังรอให้อีกฝ่ายพูดมันออกมาแต่ก็ไม่ได้คาดคั้นเอาความออกมาเป็นคำพูด
เพราะถ้าทำแบบนั้นก็เหมือนว่าตนนั้นกำลังไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเพื่อนเก่าตัวสูงและล้ำเส้นโดยที่อีกฝ่ายไม่อนุญาต
มินฮยองเหลือบสายตาขึ้นไปมองลูคัสหน่อย ๆ หวังดูท่าทีของคนตัวสูงแต่ก็เผลอสบตากันอย่างตรง
ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ และเป็นลูคัสที่เบือนหน้าออกมาก่อนเมื่อเจอเข้ากับสายตาที่ตัดพ้อและสะท้อนถึงความไม่เข้าใจและน้อยใจในตัวเขาปะปนกันไป
สุดท้ายแล้วลูคัสก็แพ้ให้กับมินฮยอง
คนตัวสูงถอนหายใจออกมาก่อนจะสูดลมเข้าไปเต็มปอดเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจกับเรื่องที่เขาจะเล่าให้คนตัวเล็กฟังต่อไปนี้
ลูคัสยอมรับว่าเขาค่อนข้างกลัวผลลัพธ์ที่จะออกมามาก ๆ
แต่เขาก็หวังว่าอีกฝ่ายจะยังคงเป็นมินฮยองของเขาคนเดิม…
เพราะถึงไม่เล่าวันนี้
วันพรุ่งนี้หรืออนาคต
อีกคนก็ต้องรู้ความลับที่เขาปิดอีกฝ่ายมาตั้งแต่แต่แรกอยู่ดี
“วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนัก…” ดวงตาสีเข้มมองมินฮยองด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
“แล้วเราก็เพิ่งกลับมาจากออสเตรเลีย”
“…”
“เราซื้อบ้านเอาไว้หลังหนึ่งแถบชานเมือง… หมู่บ้านที่เราอยู่นี้อยู่ไม่ไกลจากสถานที่สำคัญ
ๆ ในเมืองสักเท่าไหร่ มินฮยองรู้ไหมทำไมเราถึงซื้อบ้านหลังนั้น”
ลูคัสพูดจบ
มินฮยองก็กลั้นหายใจและนั่งเกร็งโดยอัตโนมัติแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“บ้านหลังนั้นเป็นบ้านในอุดมคติของคนที่เราชอบในตอนเด็ก… บ้านสีครีมหลังไม่ใหญ่มาก มีชิงช้าโยกและสวนดอกไม้อยู่นอกบ้าน”
“…”
“เจ้าของบ้านหลังนี้คนก่อนก็คือเราเองมินฮยอง”
มินฮยองตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
เขาไม่รู้ว่าจะต้องจับต้นชนปลายตรงไหน เกิดอะไรขึ้นกับตัวเขาและลูคัส อีกทั้งเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้มันคืออะไร
คนตัวเล็กได้แต่นั่งนิ่ง ๆ ทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา
ความฝัน
เสียงเปียโน บ้านหลังนี้
และ
ลูคัส..
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย…”
มินฮยองพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว “เรื่องที่เกิดทั้งหมดมันหมายความว่ายังไง
ลูคัส”
“มินฮยองคงไม่เชื่อ” ลูคัสหยุดพูดไปครู่นึง “วันนั้น…วันที่เรากลับมา มีคนร้ายสองคนบุกเข้ามาในบ้านและเข้ามายิงเราถึงห้องเปียโน…”
“…”
“ไอ้พวกนั้นมันบอกเราว่านี่เป็นรางวัลสำหรับคนเก่ง
แด่นักเปียโนอันดับหนึ่งของโลก”
มินฮยองปิดปากก่อนจะปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา
คนตัวเล็กเริ่มร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้น เนื้อตัวสั่นเทาจนลูคัสรู้สึกสงสารจับใจแต่ก็ไม่กล้าเอื้อมมือเข้าไปกอดหรือปลอบใจคนตรงหน้า
เขารู้ว่าอีกฝ่ายขวัญเสียมาก
และนั่นก็เป็นเพราะตัวเขาเอง
“มินฮยองเข้าใจในสิ่งที่เราจะสื่อใช่ไหม?”
ลูคัสพูดเสียงเบาจนเหมือนเป็นเสียงกระซิบ
“ฮึก..” คนตัวเล็กพยักหน้า
“เราตายแล้วมินฮยอง ตายมานานแล้ว”
“…”
“..ขอโทษ”
“มะ..ไม่”
“…” ลูคัสมือไม้อ่อนทันทีที่ได้ยินอีกคนพูดออกมา
เขาคิดเอาไว้แล้วว่าใครจะมารับเรื่องแบบนี้ได้กัน
“ไม่ได้กลัวลู..ฮึกคัส”
“…”
“แ-แต่เสียใจที่ไม่ได้เจอก-กันก่อน..อึก..หน้านี้”
เป็นมินฮยองที่เอื้อมมือไปจับคนตัวสูงก่อน
มือเล็ก ๆ บีบมือเบา ๆ เข้าที่ฝ่ามือหนาของคนตัวสูง
น้ำตาที่ยังคงไหลไม่หยุดบดบังภาพตรงหน้ามินฮยอง
ก่อนที่ดวงตากลมโตจะปิดลงเมื่อลูคัสยกมืออีกข้างขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้คนขี้แยอีกรอบ
ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาแห่งความเศร้าหรือน้ำตาแห่งความสุข
คนที่อยู่ข้างมินฮยองและคอยเช็ดน้ำตาให้ก็ยังคงเป็นลูคัสเหมือนเดิม
“ไม่เป็นไรมินฮยอง ไม่เป็นไร”
“…”
“แค่ตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว”
ลูคัสดึงตัวเล็กเข้ามากอดเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีกลัวเขาอย่างที่คิด
ใบหน้าของมินฮยองฝังลงที่ไหล่หนาอย่างแนบแน่นเพื่อสื่อว่าตนไม่ได้เกลียดหรือผลักไสคนตัวสูง
ก่อนจะโดนลูคัสโอบรัดเข้าไปให้จมอกยิ่งกว่าเดิม
ทั้งคู่ใช้เวลาซึมซับและปลอบโยนซึ่งกันและกันอยู่แบบนี้ไปสักพัก มินฮยองจึงเริ่มสงบลง
“ลูคัส”
“ครับ”
“…”
“…”
“แล้ว…ทำไมเราถึงเจอลูคัสในความฝันล่ะ”มินฮยองตัดสินใจถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยที่สุดออกไป
ทำให้อีกฝ่ายเผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา
“จริง ๆ เรื่องนี้… มันก็พูดยากเหมือนกันนะ” ลูคัสลูบคางตัวเอง “บางทีหลักการทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้… เช่น ความฝันที่เชื่อมโยงกับโลกคู่ขนานอะไรประมาณนี้”
“อ่าหะ”
“บางทีการที่เราผูกพันกับบ้านหลังนี้แล้วก็ผูกพันกับมินฮยองเลยทำให้มินฮยองเห็นเราในความฝันก็ได้ล่ะมั้ง” ลูคัสเอ่ยออกมาอย่างติดตลก เสียงนุ่มทุ้มที่หัวเราะออกมาทำให้มินฮยองรู้สึกเขินขึ้นมาหน่อย
ๆ คนตัวเล็กเสมองไปที่แกรนด์เปียโนตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง
“ก็ยังดะ…” ยังไม่ทันที่มินฮยองพูดจบ
คนตัวเล็กก็ได้เสียงเครื่องยนต์ดังรอดเข้ามา ก่อนจะจอดอยู่บริเวณหน้าบ้านของเขา
กริ๊ก
เสียงไขประตูดังขึ้นมาจากด้านหน้าประตูทำให้ทั้งมินฮยองและลูคัสต้องหันมามองหน้ากัน
และเป็นลูคัสที่แสดงสีหน้าไม่สู้ดีขึ้นมาอีกครั้งก่อนฝ่ามือหนาจะดึงมือเล็กเข้ามาบีบเบา
ๆ
“เนี่ยคือความฝันหรอ” มินฮยองเอ่ยถามคนตัวสูงโดยไม่มีเสียง
มินฮยองที่เริ่มจะสังเกตความไม่ชอบมาพากลได้ก็มองหน้าลูคัสอย่างคาดคั้น
แต่อีกฝ่ายทำเพียงแค่ส่ายหน้าออกมาและไม่พูดอะไร
เสียงฝีเท้ามากกว่าสองคู่เดินเข้ามาใกล้เรื่อย
ๆ ทำให้มินฮยองหายใจไม่ทั่วท้อง เหมือนมวลอากาศในห้องแห่งนี้บีบให้ตัวของเขาเล็กลง
ไม่มีเสียงพูดคุยจากบุคคลที่กำลังเดินเข้ามาแม้แต่น้อย จนในที่สุดมินฮยองก็ได้เห็นใบหน้าของผู้มาเยือน
เป็นนาแจมิน
อีดงฮยอก และอีเจโน่ เพื่อนสนิทของเขาเอง
“มะ…” ยังไม่ทันที่มินฮยองจะเอ่ยอะไรออกไป
ลูคัสก็ดึงแขนคนตัวเล็กเอาไว้อีกครั้ง ก่อนจะพเยิดหน้าให้อีกคนมองผู้มาใหม่
มินฮยองมองตามที่ลูคัสบอกก่อนจะเริ่มแปลกใจ
เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เดินเข้ามาทักทายเขาอย่างที่ควรจะทำ อีกทั้งเพื่อน ๆ
ทุกคนของเขายังใส่ชุดสีสุภาพกันทุกคนทั้ง ๆ
ที่ปกติเขาและเพื่อนทุกคนต่างแต่งตัวกันอย่างเรียบง่ายเสียด้วยซ้ำ
เมื่อสังเกตดูอีกทีก็พบว่าใบหน้าของดงฮยอกที่มักจะร่าเริงอยู่เสมอฉายแววความเศร้าออกมาอย่างปิดไม่มิด
ตายิ้มสวย ๆ เป็นปกติของอีเจโน่บัดนี้มีใต้ตาหมองคล้ำเหมือนกับคนอดหลับอดนอนมาหลายวัน
ในมือของเพื่อนคนนี้มีช่อดอกเบญจมาศสีขาวช่อใหญ่มาด้วย
ไหนจะแจมินที่ถูกเจโน่และดงฮยอกยืนประกบข้างและเริ่มจะสะอึกสะอื้นออกมาเมื่อเจโน่วางช่อดอกไม้สีขาวบนแกรนด์เปียโนนั่นอีก
มินฮยองแทบไม่กล้าคิดสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปเลยด้วยซ้ำ
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย…”
“มินฮยอง”
“เกิดอะไรขึ้นกับเรา ลูคัส”
ตอนนี้มินฮยองไม่สนใจว่าเพื่อนของตัวเองจะเป็นอย่างไรและจะทำอะไรต่อจากนี้
เขาสนใจเพียงอย่างเดียวก็คือลูคัสที่ทำตัวแปลก ๆ มาตลอดทั้งคืน คนตัวเล็กพุ่งเป้าไปที่ลูคัสพร้อมกับส่งสายตาคาดคั้นใส่คนตัวสูง
“แค่ลูคัสตอบเรามาตามจริง”
“…”
“…”
“มินฮยอง…”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“…”
“…”
“สามวันที่แล้ว วันนั้นมินฮยองกินยาไม่ทัน แล้วอาการมันกำเริบออกมา
สุดท้ายมินฮยองก็สลบไป… เราช่วยอะไรมินฮยองไม่ได้เลย” ลูคัสเบือนหน้าออกอีกครั้งเมื่อเห็นคนตัวเล็กเดินถอยหลังออกจากเขาอย่างหมดแรง
“แล้วเราก็ไม่กล้าบอก… เรา-ขอโทษนะ”
“…”
“เพื่อน ๆ ของมินฮยองอยากมาหาเป็นครั้งสุดท้าย”
“…อืม”
มินฮยองปาดน้ำตาที่คลอหน่วยอยู่เล็กน้อย
ก่อนจะเดินไปมองเพื่อนร่วมงานที่ยืนกอดแล้วร้องไห้ออกมาแบบไม่มีเสียง
คนตัวเล็กเอื้อมมือไปยังช่อดอกไม้ที่วางอยู่หลังเปียโนก่อนจะมองเพื่อนทั้งสามคนด้วยความรู้สึกที่ตีรวนกันอยู่ในอก
“โอเคหรือเปล่า” ลูคัสเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่…” มินฮยองตอบ “ถ้าตอบว่าโอเคก็คงเป็นการโกหก”
“เราเข้าใจ ทุก ๆ การจากลามักน่าเศร้าเสมอ”
“…”
“แต่มินฮยองยังมีเรา”
“เรายังมีลูคัส”
“ใช่” ลูคัสยกยิ้มบาง ๆ
ให้กับคนตัวเล็กก่อนจะยื่นมาออกมาเพื่อรอให้อีกฝ่ายจับ ซึ่งมือเล็ก ๆ
ของมินฮยองก็ยื่นไปหาคนตัวสูงเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกมากมายให้แก่กัน
“จะมีเพียงแค่เรา แค่พวกเราในที่แห่งนี้”
“…”
“จะมีแค่ยกเหยและมินฮยองตลอดกาล”
.
.
ทุก
ๆ การจากลา มักมีการเริ่มต้นครั้งใหม่เสมอ
บางมิตรภาพก็เป็นสิ่งที่สวยงามอย่างหนึ่งในชีวิต
เป็นทั้งแรงบันดาลใจ
เป็นที่พักพิงยามเหนื่อยล้า
เป็นความฝัน
หรือเป็นแม้กระทั่งความสุข
แด่ความรัก
มิตรภาพ และ
เสียงเพลง
The end.
ก่อนอื่นต้องขอโทษสำหรับตอนจบที่อาจจะช็อกสำหรับหลายๆคนนะคะ
;
- ; ส่วนคนที่เดาทางได้หมด เราอยากบอกว่าคุณเก่งมากค่ะ แง
ตอนแรกคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะแต่งยากเพราะวางพล็อตไว้แน่นมากๆ
แต่กลายเป็นว่าแต่งยากสุดๆเลยค่ะ ;-; พูดตามตรงว่าที่ตอนสุดท้ายนี่ยากมากๆสำหรับเรามากๆ
เพราะว่าก่อนหน้านี้พอดียุ่งกับธุระส่วนตัว แล้วพอกลับมาแต่งคือดิ่งมากๆ
แต่งแล้วรู้สึกจุกอก 555 เพราะว่าเนื้อหามันหนักมากๆ
แต่เราก็พยายามสื่อออกมาให้ดีที่สุดแล้วค่ะ แง u__u
สำหรับใครที่งงทามไลน์เรื่องหรือพลาดบางจุดไปเราจะอธิบายจุดหลัก
ๆ ทั้งหมดด้านล่างนี้นะคะ (อยากรู้รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ
เพิ่มเติมสามารถดีเอ็มมาถามได้ค่ะ ;;)
1) เรื่องนี้ไม่ใช่ดรีมเวิร์สค่ะ
แต่เป็นนิมิตฝันของมินฮยองหมดเลยค่ะ ก็ลูคัสยังไม่ได้ไปไหนอะเนอะ ดังนั้นการที่ลูคัสจะมาปรากฏอยู่ในฝันไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ
ยินดีด้วยสำหรับคนที่เดาถูกนะคะ
2) ถามว่าทำไมน้องถึงตาย เพราะว่าน้องเป็นโรคหัวใจค่ะ
บวกกับโรคซึมเศร้า ซึ่งวันเกิดเหตุวันนั้นน้องหัวใจวายฉับพลันค่ะ
นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมตอนก่อนๆน้องต้องกินยา
เรื่องเขียนไดอารี่ก็เป็นอีกสิ่งนึงที่น้องต้องเขียนเพื่อให้คุณหมอประจำตัวที่รักษาโรคซึมเศร้าน้องอ่านค่ะ
3)
Mondschein ก็คือ Moonlight ค่ะ เราได้ทิ้งปมเอาไว้ตั้งแต่ตอนแรกเลย ในเพลง Moonlight sonata ของเบโธเฟน
เพลงนั้นจะสื่อถึงอารมณ์ความรู้สึกของเรื่องนี้เกือบทั้งหมดเลยค่ะ แฮ่
ความคิดเห็น