ตอนที่ 42 : หลบหนี Part 2
ตอนที่ 32 หลบหนี [II]
ความฉลาดมอบคำถามยากๆ เช่นเดียวกับความงามที่ดึงดูดแมลงวัน
....
ล็อคตินี่กล้ำกลืนความเจ็บปวดและพยายามลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ ใช้ประโยชน์จากเปลวเพลิงในมือวาดไปบนปูนปลาสเตอร์สีขาวแต่มันก็ไม่เกิดผลใดนอกจากทำให้แข็งและหนักขึ้น เฟยฉางเห็นความเจ็บของเขาก็รู้สึกทนไม่ได้
“
ให้ฉันไปเอามูนเฟรมเพิ่มไหม?”
“ไม่มีประโยชน์” ล็อคตินี่ส่ายหัวกัดฟันตอบ
“ถ้างั้นจะทำยังไง” เฟยฉางถาม
“ไม่รู้” เปลวไฟของล็อคตินี่ลดแสงลงก่อนจะคงที่อย่างแผ่วบาง
“พี่ชายของฉันไม่เคยใช้คาถาผิด” ใช่ เรื่องพวกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับโอเมดันโด้
“ทำไมนายไม่ระวังตอนที่อ่านมัน?” เฟยฉางอดไม่ได้ที่จะบ่น สโนว์ไวท์อาจจะลงเอยด้วยการแต่งงานกับคนแคระทั้งเจ็ดแทนที่จะเป็นเจ้าชาย หากแม่เลี้ยงของเธอไม่ประมาทเหมือนนาย
“ฉันเคยแอบจดมันตอนที่ชายช่วยฉันตอนนั้น แต่มันก็เป็นเวลาหลายปีแล้ว..”
“แม้แต่บ้านก็มีวันหมดอายุ” เฟยฉางส่ายหัว
“....”
“นายมีเครื่องสื่อสารอะไรไหมที่ใช้ติดต่อกับราชาเอลฟ์ได้ บางทีราชาเอลฟ์อาจมีวิธี” ตาของเฟยฉางเป็นประกายขึ้นมา
“ตอนนี้ฉันเป็นผู้ก่อกบฏ” ล็อคตินี่มีสีหน้าเจ็บปวดขึ้นมา
เฟยฉางคิดว่ามันเป็นเรื่องดีถ้าพี่น้องจะเล่นกัน แต่ว่าไม่สามารถเล่นกันแรงขนาดนี้ได้ พอนึกไปนึกมาเขาก็นึกถึงคำพูดของอับบาดอน
“นายแทงราชาเอลฟ์ด้วยใช่ไหม?” เพราะเรื่องนี้ทำให้เขาสนใจเอลฟ์ตรงหน้ามาก อยากรู้เหตุผลถึงการตัดสินใจครั้งนั้น แม้จะเป็นการกระทำที่เด็ดขาดแต่ล็อคตินี่ที่เขาเห็นนั้นคือจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ทำไมถึงได้กระทำอย่างต่อหน้าอย่างนั้น
“ถ้าเดียไม่ทำเรื่องนั้น” ความจริงมันช่างน่ารังเกียจเหลือเกิน ล็อคตินี่พูดอย่างโกรธเคือง
“แล้วพี่ชายของฉันจะเสียความเป็นตัวเองหรอ- แดมอิท!!” ไฟในมือของเขาดับสนิท เฟยฉางถอนหายใจหนักหน่วงก่อนหันมาให้ความสำคัญกับสถานการณ์ตอนนี้
“แม้ว่ามันจะหยาบคายที่จะถามแต่เพื่อความสัมพันธ์ของโลกเราทั้งสอง ถ้านายเป็นอะไรไป จะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน?” เสียงของเขาขาดๆหายด้วยความเกรง เฟยฉางจับประสานมือตัวเองไว้และค่อยๆถดตัวถอย
“นายจะออกไปข้างนอกได้” ในความมืดมิดเสียงของล็อคตินี่ฟังดูเศร้ามาก ทำให้ใจของเฟยฉางสั่นไหว
แสงสีแดงส่องสว่างท่ามกลางความมืดก่อนน้ำเสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยจะดังขึ้น
“นายอยู่ไหน?”
เขาเอามือหยิบเข็มกลัดทับทิมที่ได้มาตั้งแต่วันที่เขาเป็นพนักงานโนอาห์อาร์คเต็มตัว เขาสวมมันอยู่เสมอเพราะว่ามันแพง และเสียงของอิเซเฟลที่พูดมาอย่างชัดเจนนั้นทำให้น้ำตาของเขาเอ่อขึ้นดวงตาทั้งสองข้าง
“ฉันอยู่ที่นี่” เขาจ้องมองมันพร้อมกับตอบกับ เขากำลังรู้สึกเหมือนได้เจอกับครอบครัวที่สูญเสียไปนานแล้ว
“ที่นี่มันที่ไหน?” อิเซเฟลถามต่อ
“ป่าแห่งการหลอกลวง” เฟยฉางตอบอย่างกระวนกระวายพยายามคุ้ยความจำตัวเอง
“มัน..เอ่อ..ป่ามันใกล้กับปราสาทเอลฟ์อะ”
“...ไปตั้งแคมป์?”
เฟยฉางได้ยินก็แทบจะทรุด เขารีบอธิบายเรื่องทุกอย่างอย่างรวดเร็วก่อนที่จะถามว่า
“ฉันควรทำไง?”
“รอความตาย” เฟยฉางชะงัก
“รอความตายของล็อคตินี่” อิเซเฟลพูดต่ออย่างเยือกเย็นอย่างที่เฟยฉางไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่!” เฟยฉางโพล่งออกมา คำตอบของเขาไม่เพียงทำให้อิเซเฟลแปลกใจ แม้แต่ล็อคตินี่ที่สะดุดลมหายใจไปช่วงหนึ่ง
“เอ่อ..ฉันหมายถึง การช่วยชีวิตผู้คนถือว่าเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง คุณครูสอนฉันเมื่อตอนอายุยังน้อย เพื่อดูแลดอกไม้และพืช...”
“มีก้อนหินรอบตัวนายมั่งไหม?” อิเซเฟลขัดจังหวะ
เฟยฉางคลำหาก้อนหินด้วยแสงอันน้อยนิดจากทับทิม แต่ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างจากด้านหลัง เขาหันไปพบกับดวงตาที่อ่อนล้าและเปลวไฟที่ไม่คงที่ของล็อคตินี่ เขารีบกำหินกรวดสีขาวขนาดเท่าฝ่ามือมา
“ได้แล้ว”
“ตัดเอาไอความมืดสีขาวๆนั่นออก” อิเซเฟลกล่าว
“ตัด?” เฟยฉางวางหินบนมือและเห็นว่าขอบมันแหลมคม ก่อนจะมองไปที่ล็อคตินี่ที่แทบหมดสติไปแล้วแต่พยักหน้าให้เขา
เฟยฉางขยับเข้าหาด้วยความระมัดระวังมองไปที่เท้าเขาด้วยการสั่นไหวเล็กน้อย เมื่อเห็นในระยะใกล้ถึงได้เห็นว่ามันไม่ได้เป็นรูปร่างเหมือนปูนปลาสเตอร์
“เขายังขยับได้อยู่ ให้เขาตัดเองได้ไหม?” เฟยฉางวางเข็มกลัดทับทิมไว้บนหน้าอกและจับก้อนหินด้วยมือทั้งสองข้างอย่างประหม่า
“รอจนกว่าจะไม่ขยับ” ความกล้าหาญของเฟยฉางถูกรีดเค้นออกมาจากในอก
“จะใช้เวลาเท่าไหร่?”
“ไม่รู้”
ล็อคตินี่ตกอยู่ในอาการโคม่าไปครึ่งซีกแล้ว แต่เปลวไฟกลางฝ่ามือของเขายังติดอยู่ถึงมันจะมีแสงน้อยก็ตาม เฟยฉางอดไม่ได้ที่จะชื่นชมการต่อสู้และดิ้นรนของเอลฟ์ตรงหน้า
ภายใต้แสงสลัวของเปลวไฟและเข็มกัดทับทิ้ม สีขาวแข็งกระด้างบนเท้าของล็อคตินี่ดูน่ารังเกียจมาก เฟยฉางจึงหาเรื่องคุยเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
“จริงสิ ทำไมนายถึงติดต่อฉันมา”
“เดียแจ้งว่านายหายไป” เดีย? เฟยฉางตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกในฐานะนักจับคู่มือใหม่ ที่ไม่ถูกมองข้ามเมื่อหมดประโยชน์
“โอ้” เขาถือหินไว้ในมือและถูนิ้วโป้งเข้ากับขอบหินแหลมคม ความเจ็บวิ่งผ่านปลายนิ้วของเขาทำให้ต้องส่งเสียงออกมาเบาๆ
“เกิดอะไรขึ้น?” อิเซเฟลถามอย่างร้อนรน
“มีสัตว์ประหลาด!” เฟยฉางจงใจทำให้เขากังวลจึงตอบออกไปด้วยเสียงต่ำ แสงทับทิมยังคงกระพริมแต่ไม่มีเสียงออกมา
เขาจะมาไหม? เฟยฉางคิดอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป
“นายเบื่อหรอ?” อิเซเฟลถาม มันไม่ใช่คำตอบที่เฟยฉางคาดหวังไว้
“ทำไม?”
“มันไม่มีสัตว์ประหลาดที่โลกนั้นหรอก มีตัวเดียวคือบิบิที่ชอบเล่นกับคนอื่น”
“นายรู้เรื่องพวกนี้ได้ไง” เฟยฉางถามกลับ
“มันคือความรู้ทั่วไป”
นี่คือสิ่งที่อิเซเฟลต้องการจะสื่อ คือเขาไม่มีความรู้ทั่วไปและยังไม่รู้จักปกปิดอีก เฟยฉางขยับนิ้วโป้งตัวเองอย่างหดหู่อีกครั้งจนเกิดรอยขีดข่วน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนจนกระทั่งไฟในมือของล็อคตินี่ดับลง
ในความมืดมิดมีเพียงกลางหน้าอกของเฟยฉางเท่านั้นที่มีแสงเล็กๆ เฟยฉางพยายามหาเรื่องตลกที่เคยเจอในโรงแรมมาคุยกับอิเซเฟลตลอดเวลา แม้อีกฝ่ายจะไม่พูดเยอะมากนักแต่ก็ตอบกลับมาเป็นครั้งคราวทำให้เขาโล่งใจ
เขาได้ยินเสียงแตกหักมาจากข้อเท้าของล็อคตินี่ เขารีบหันเอาเข็มกลัดไปส่องทันที
“ดูเหมือนว่าฉันจะเริ่มทำให้มันแตกแล้ว”
“นายกลัวกลิ่นไหม?”
“กลัว”
“หาอะไรปิดจมูกนาย” เฟยฉางนิ่งไปครู่ก่อนจะถาม
“เอามือได้ไหม?”
“แล้วแต่”
“ฉันเริ่มได้ยัง?”
"อือ”
เข็มกลัดตรึงไว้ที่เสื้อ มือข้างหนึ่งเขาปิดแน่นที่จมูก ส่วนอีกมือตรงเข้าไปกระเทาะลงไปส่วนแข็งๆนั่นจนมันแตกเป็นสองส่วน กลิ่นเหม็นรุนแรงพุ่งเข้าจู่โจมทันที เขาคิดอยู่แล้วว่ามันจะเหม็นแต่ไม่คิดว่ามันจะเหม็นขนาดนี้
ล็อคตินี่อาการหนักกว่าเฟยฉาง ตอนแรกเขาลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจแต่ก็ต้องตะลึงกับกลิ่นเหม็นจนสลบไป เฟยฉางรีบถอยออกมาห่างเพื่อไม่ให้ได้กลิ่นนั่น
“ฉันควรไงต่อ?”
“ออกจากป่า”
“...การตัดไอ้นั่นออกมันช่วยอะไรได้บ้างไหม?”
“ไม่”
“แล้วนายให้ฉันทำมันทำไม!?”
“นายอยากช่วยชีวิตเขาไม่ใช่หรอ? ถ้านายไม่ยอมเอาอันนั้นออก คาถาที่เอลฟ์ร่ายไว้จะไม่หาย เพราะมันถูกผูกไว้ด้วยกัน”
“แล้วจะทำไงต่อ?”
“ไอความมืดนั่นหมดเมื่อไหร่ก็บอกฉัน”
“ทำไม?” เขาถามแต่อิเซเฟลไม่พูดอะไรต่อ เขาจึงเอามือขึ้นปิดจมูกอีกครั้งตอนที่เดินกลับเข้าไปอีกครั้ง เขาหยิบกิ่งไม้มาแล้วเขี่ยของแข็งๆนั่นออกจากเท้าของล็อคตินี่ทีละนิดแต่มันค่อนข้างจะยาก เฟยฉางเลยกลั้นหายใจและยกขาของล็อคตินี่ขึ้นเขี่ยเอาสิ่งที่ติดอยู่ออก เขาใช้เวลาทั้งชั่วโมงในการจัดการสิ่งนั้นและไม้ก็ถูกโยนทิ้งทันที
“โอเค เสร็จแล้ว” เฟยฉางหอบหายใจนอนราบกับพื้น
“วางเข็มกลัดบนพื้น”
เฟยฉางทำตามที่อีกคนบอก
“เรียกชื่อฉันดังๆ”
“....ทำไมต้องเรียก?” แค่คิดถึงฉากเรียกชื่อเขาก็อยากจะหัวเราะ อิเซเฟลเงียบลง ความเงียบนี้สร้างความกดดันให้เขาไม่น้อย เฟยฉางจึงลุกขึ้นแล้วถอยหลังออกไปครึ่งก้าว สองมือป้องปากและตะโกนเสียงดังลั่นเท่าที่จะทำได้
“อิเซเฟล!!!!”
ทับทิมเปร่งประกายสีแดงออกมา ย้อมทุกอย่างในสายตาให้กลายเป็นสีแดง เฟยฉางทำอะไรไม่ได้นอกจากหันหลบแสงจ้านั้น ครู่ใหญ่กว่าแสงจะค่อยๆจางลงและเมื่อหันกลับมาเขาก็เห็นอิเซเฟลจับจ้องมาที่เขาภายใต้ปีกใหญ่ที่กางอยู่
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เเกือบหล่อแล้วเฮียถ้าไม่ติดว่าต้องตะโกนออกมาดังๆ5555