ตอนที่ 38 : การเดินทาง Part 2
ตอนที่ 34 การเดินทาง [II]
การเดินทางของมนุษย์สู่เมืองเอลฟ์
....
ระหว่างที่รอเดียมาชวนไปโลกของเอลฟ์ เฟยฉางยังคงจิตตกอยู่กับเรื่องเงินที่นำไปใช้ในโลกของตัวเองไม่ได้ เขาอยากจะโยนตัวเองออกไปนอกหน้าต่างและโบยบินอย่างอิสระ และในคืนนั้นก็เป็นอย่างที่คิดไว้ ( เขารู้ว่าเป็นกลางคืนเพราะนาฬิกาข้อมือ ) เดียมาหาเขา
“ฉันมาชวนนายไปโลกเอลฟ์กับฉัน” เดียพูดอย่างเขินๆ
“ถ้าฉันไปกับนายที่นี่จะยุ่งเกินไปหรือเปล่า?” เฟยฉางลูบคางตัวเอง
“ยุ่งหรอ?” แขกคนอื่นๆก็ไม่มี นอกจากเมทาตรอนซึ่งไม่เคยโผล่มาให้เห็นสักครั้ง
“ก็..อนาคตอาจจะมีแขกเยอะ”
“ช่วงสามวันนี้ไม่มีการจองห้องพัก นายไม่ต้องห่วง” โอ๊ะ เขาเกือบลืมไปแล้วว่าเดียก็เป็นผู้จัดการฝ่ายขาย
“ฉันจะไม่เจออะไรรุนแรงใช่ไหม?” เฟยฉางประท้วงออกมาเบาๆ “ถ้าราชาเอลฟ์ไม่อยากให้ฉันไปที่นั่นละ”
“ที่จริงแล้ว ฉันอยากให้นายไปช่วยฉันน่ะ” เดียส่งยิ้มมาให้อย่างอ่อนโยนเพื่อให้เขาเก็บปากตัวเอง
“นายเป็นพวกล่อลวงใช่ไหม”
ในปกติแล้วเฟยฉางคุ้นเคยกับใบหน้าเย่อหยิ่งเหมือนสุนัขตัวเมียของเดียมากกว่า พอมาเจอโหมดอ่อนโยนอย่างนี้เขาก็อดรู้สึกอึดอัดไม่ได้ แต่ภายในหัวใจเขากลับอบอุ่นและฟู่ฟ่าขึ้นมา
“แล้ว..พวกเงินเดือนละ” ฤดูร้อนอันอบอุ่นภายในดวงตาของเดียแปรเปลี่ยนเป็นเหน็บหนาวทันที
“ที่พักและอาหารมีให้” เฟยฉางหลุบตาลงมองรองเท้าตัวเองอย่างเศร้าๆ เขาไม่ได้อะไรเลยนอกจากที่พักและอาหาร เหมือนเป็นหมูนั่นละ
“ฉันไปขอลาแล้ว และเราจะเดินทางกันพรุ่งนี้”
“นี่ถือว่าเป็นคำถามไหม?”
“ฉันไม่ได้ถาม แต่ฉันบอกให้นายรู้”
เขาจะทำเชี่ยอะไรได้ แล้วความอ่อนโยนก่อนหน้านี้คืออะไร? หรือมันถึงเวลาที่เขาควรไปพบจักษุแพทย์วะ?
.........
ในวันรุ่งขึ้นเขาใส่เสื้อผ้าลงไปในกระเป๋าที่สั่งให้เลย์ตันทำให้สองชุดแล้วลากไปที่ทางเข้า กระเป๋าของเดียค่อนข้างเล- ไม่มีเลยนี่หว่า
“ทำไมนายถึงแบกกระเป๋าใบใหญ่ขนาดนี้?” เขาถามเมื่อเดินมาเห็น เฟยฉางหัวเราะเบาๆพร้อมกอดกระเป๋าตัวเองไว้
“ก็แบบ..เผื่อพวกเอลฟ์จะให้ของขวัญอะไรมา” ในเมื่อเขาไม่ได้เงินแต่อย่างน้อยก็ควรมีของขวัญถูกไหม? มันต้องมีการเตรียมรับมือกับทุกอย่างไว้เสมอสิ
เดียปล่อยให้เฟยฉางทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ทั้งสองคนเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์และพบกับอิเซเฟล
“นายจะไปด้วยไหม?” เฟยฉางถามด้วยน้ำเสียงติดไม่พอใจ เขายังคิดถึงเรื่องเงินที่ใช้ในโลกเขาไม่อยู่ มันก็แค่กระดาษเท่านั้นเอง ความชื่นชมในร่างกายของอิเซเฟลนั้นลดฮวบ
“ฉันจะพานายไปที่นั่น”
“ฉันปฏิเสธได้ไหม?” เฟยฉางหันไปหาเดีย
“ได้ แต่นายต้องไปที่นั่นเองนะ” เฟยฉางหุบปากอย่างขุ่นเคือง ไม่จ่ายเงินให้เขาไม่พอเดียยังหันไปท่องคาถาอะไรสักอย่างก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเป็นสายฟ้าและพุ่งออกไปสู่ความมืด เฟยฉางหันกลับมาก็เจอกับใบหน้าไร้ความรู้สึกของอิเซเฟลที่มองมาอยู่เช่นกัน
“ไปกันเถอะ” เฟยฉางพึมพำขึ้น ทันใดนั้นอิเซเฟลก็กางปีกและบินขึ้นด้านบนเฟยฉางเงยหน้ามองตาม ในตอนนี้เขาเห็นคล้ายกับนกอินทรีที่ดำดิ่งลงมาและก็ต้องตกใจเมื่อโดนคว้าเอวก่อนพุ่งทยายออกสู่ความมืด กระเป๋าเดินทางถูกปล่อยทิ้งลงพื้นพร้อมกับข้าวของที่กระจายออกมา
ความมืดที่ปกคลุมเหมือนกับผ้าสักหลาดหนาๆ ซึ่งไม่เพียงปกปิดตาของเขาเท่านั้น แม้กระทั่งปากและจมูกของเขาก็คล้ายโดนกดทับจนหายใจไม่ออก เฟยฉางรู้สึกเหมือนว่าหน้าอกของเขากำลังถูกบีบอัดอย่างไม่สบายตัว เขาจับมือของอิเซเฟลที่อยู่บนเอวอยากจะพูดบอกอะไรสักอย่างแต่ไม่สามารถพูดได้
ฟาค! ตอนนี้เขากำลังจะขาดใจตาย แทนที่จะได้กลายเป็นวีรบุรุษแห่งภูมิลำเนา เขาต้องกลายเป็นผีไม่มีญาติแน่ๆ ในหัวของเฟยฉางเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง จนไม่ทันสังเกตว่ามือที่เอวกำลังจับเขาพลิกไปอีกทาง จนกระทั่งริมฝีปากที่เย็นเหยียบและนุ่มกดทับลงมาบนปากที่สั่นเทาของเขา
ใจของเฟยฉางเต้นกระหน่ำ
เกิดอะไรขึ้น?
ฝันหรอ?
ฝันเปียก?
เขายื่นมือออกมาสัมผัสสิ่งที่คล้ายกับขนนกและนุ่มเบา นี่คือเป็นฝันจริงๆสินะ เฟยฉางคิดว่าตัวเองกำลังฝันจริงๆ ก่อนที่แรงกดบนริมฝีปากจะหายไปอย่างช้าๆ
“ค่อยๆหายใจ” เสียงทุ้มของอิเซเฟลดังขึ้นข้างหู ปลายจมูกของเขาปัดป่ายอยู่ข้างแก้มเย็น
..มันเป็นของจริงหรอ?
เอ่อ..
มันไม่ใช่ฝัน..?
เฟยฉางยังคงมึนงงโดยไม่รู้ว่าริมฝีปากของพวกเขาสัมผัสกันเป็นระยะถึงห้าครั้ง จนกระทั่งมีแสงสีขาวที่สว่างจ้าโอบล้อมรอบกาย
เฟยฉางตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นท้องฟ้าสีครามและทุ่งหญ้าสีเขียว เดียกำลังคุยกับเอลฟ์ในเครื่องแบบอยู่และเมื่อเห็นเขาตื่นขึ้นมาเดียก็พยักหน้าให้ เฟยฉางลุกขึ้นยืนตบเศษหญ้าบนร่างกายเขาและมองไปรอบๆ
“นายมองหาอะไร?” เดียถามหลังจากคุยกับเอลฟ์คนนั้นเสร็จ
“อิเซเฟล...อยู่ไหน?”
“กลับไปแล้ว”
ก็ไม่แปลกที่จะไม่เจออิเซเฟล แต่ทำไมใจของเขาถึงรู้สึกว่าผิดหวัง
“ไปเถอะ ปราสาทเอลฟ์อยู่อีกไม่ไกลเราต้องไปถึงก่อนดวงอาทิตย์ตก” เฟยฉางเพิ่งตระหนักได้ว่าเขาไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์มานานแล้ว
“นี่เป็นดวงอาทิตย์เดียวกันกับที่โลกมนุษย์ไหม?”
“แล้วมันมีดวงอาทิตย์อื่นอีกหรอ?” เดียตอบอย่างหงุดหงิด
“แล้วทำไมเราถึงไม่เห็นโลกของนายผ่านดาวเทียม” เฟยฉางพยายามอย่างยิ่งที่จะเบนความหงุดหงิดนั้นไปเรื่องอื่น
“แต่ละโลกแตกต่างกันและมีเหตุผล”
“เอิ่ม..อธิบายให้มันเข้าใจง่ายๆได้ไหม?”
“นายมองไม่เห็นเพราะว่ามองไม่เห็น”
“เออ..เข้าใจเลย” เฟยฉางกำมือจนข้อนิ้วลั่น
“งั้น..นายกำลังพูดอะไรกับเอลฟ์นั่น?”
“นาย”
“ฉัน? อา.. หรือพวกเขาอยากให้อะไรฉัน?” เขาเสียใจที่ไม่ได้พกกระเป๋ามาด้วย
“ไม่ เขาอยากจับนาย”
“...ฉันดูเหมือนพวกลี้ภัยหรอ”
“นายไม่มีบัตรผ่าน”
“...แต่นายชวนฉันมา”
“นั่นเป็นเหตุผลที่ตอนนี้นายไม่ได้อยู่ในคุก”
“แค่ตอนนี้? นายหมายความว่าไง”
“นายต้องให้โอเมดันโด้ยกโทษให้นายก่อน”
โอเมดันโด้? หวังว่าเขาจะอารมณ์ดีอยู่นะ ดูเหมือนว่าอยู่ดีๆเฟยฉางงานก็เข้าแบบไม่ทันได้เตรียมตัว
ปราสาทเอลฟ์นั้นเล็กว่าที่คิดไว้ มันใหญ่พอๆกับคฤหาสน์หลังใหญ่ของมนุษย์
“เอลฟ์ดำเริ่มชื่นชอบความหรูหราหลังจากที่พวกเขาได้รับอิทธิพลจากความบาป” เดียอธิบาย
“แล้วเมื่อก่อนเอลฟ์แห่งแสงอยู่กันยังไง?”
“ไม้”
“ไม้บริสุทธิ์น่ะหรอ?”
“ใช่”
“เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาก”
“ใช่”
เมื่อเดียมาถึงประตูของปราสาทเอลฟ์ ยามก็โค้งคำนับให้อย่างเคารพนอบน้อมเพราะรู้ตัวตนของเขาอย่างดี การลงโทษในคุกก็ใกล้เข้ามาทุกขณะเฟยฉางจึงหยุดและยืนนิ่งอยู่กับที่ เพียงไม่นานเดียก็เดินย้อนกลับมา
“เป็นยังไงบ้าง ฉัน..เข้าข้างในได้ไหม?” เดียส่ายหัว
“โอเมดันโด้ไม่อยู่ที่นี่ เขาไปตามล่า ล็อคตินี่อยู่”
“ตามล่าล็อคตินี่หรอ?” เฟยฉางเริ่มวิตกกังวล ทั้งๆที่เป็นวันหยุดงานได้มาท่องเที่ยวต่างโลกแต่เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในวันหยุดพักผ่อน
“ใครคือล็อคตินี่? โอเมดันโด้ตามหาเขามานานแค่ไหนแล้ว?” นี่เป็นหนึ่งผู้ลี้ภัยหรือเปล่า เหมือนกับเขาไหม
“ล็อคตินี่เป็นพี่ชายของโอเมดันโด้” เดียตอบพร้อมกับเริ่มเข้าใจความรู้สึกของเฟยฉาง เขามองอย่างเห็นใจ
“เขาเป็นคนทรยศที่อับบาดอนพูดถึง”
เฟยฉางได้ยินอย่างนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“งั้นก็รอเขาที่นี่”
“นายรอที่นี่แล้วกัน ฉันจะไปดูหน่อย” เฟยฉางจับแขนเขาไว้ทันที
“เราจะไปด้วยกัน”
นายพูดเล่นใช่ไหม? รอบๆนี้หูตาเต็มไปหมด มีความเป็นไปได้สูงนะว่าถ้าเขาอยู่เพียงลำพังอาจจะถูกส่งเข้าคุก เดียเหมือนอ่านความคิดเขาได้จึงพยักหน้า
พลบค่ำกำลังจะมาถึงในไม่ช้า ดวงอาทิตย์คล้อยไปทางทิศตะวันตกสาดส่องมาให้เห็นเงาของคนทั้งสองอยู่บนพื้น
“ทำไมนายถึงคุยกับยามคนนั้นนานนัก”
“พูดถึงนายนั่นแหละ ฉันต้องอธิบายว่านายมาจากไหน”
“ถ้าสมมติว่าโอเมดันโด้ไม่ยกโทษให้ฉัน ฉันจะต้องถูกยามที่ปราสาทตามล่าไหม?”
“ไม่”
“จริงหรอ?”
“อืม.. จริงๆแล้วหน่วยทหารม้าต่างหากที่จะตามล่านาย”
“เอ่อ...หน่วยทหารม้าของเอลฟ์มีเท่าไหร่?”
“ประมาณสองสามหมื่น..มั้ง?”
“พวกเขาเป็นเอลฟ์ที่ใจดีและอ่อนโยนหรือเปล่า?”
“ไม่ พวกนั้นเป็นเอลฟ์มืด”
“..ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ฉันไม่วิ่งแน่ๆ”
“นายจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ฉันไม่ได้สนใจ”
ท้องของเฟยฉางเริ่มคำรามเมื่อถึงเวลาห้าโมงครึ่งตามความเคยคิด
“เราถึงหรือยัง?”
“นายเพิ่งถามไปเมื่อสามนาทีที่แล้ว”
“เป็นเพราะคำตอบนายเมื่อสามนาทีที่แล้วคือไม่รู้”
“และนายคิดว่าสามนาทีต่อมาคำตอบจะเปลี่ยนหรอ”
“ก็ไม่หรอก แต่ก็หวังนิดๆ” เฟยฉางบีบลงบนต้นขาที่ตอนนี้ตะคริวกินแล้ว เสื้อสูทของเขาถูกถอดออกมาผูกไว้ที่เอว ส่วนขากางเกงก็ม้วนขึ้นมาสองสามทบคล้ายชาวประมง ตรงข้ามกับเดียที่ยังคงมีสภาพเรียบร้อยเหมือนเดิม หน้าผากของเขาก็แห้งสนิทไม่มีร่องรอยจากเหงื่อเลยแม้แต่น้อย
เฟยฉางจ้องมองด้วยความแปลกใจขณะที่เช็ดเหงื่อตัวเองออกจากกรอบหน้า
“นายควบคุมความร้อนของร่างกายด้วยลิ้นหรอ?” เดียชะงักทันที
“ฉันล้อเล่นนา..” เฟยฉางยิ้มแหยเชิงขอโทษ
“เขาอยู่ที่นี่” เดียพูด
“อะไร?” หลังจากที่หันไปถาม เฟยฉางก็เห็นรถม้าโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้าลอยค้างอยู่กลางอากาศ เปลวไฟที่ดุดันแผดเผาอยู่ใต้กีบม้าที่เต้นรำเป็นจังหวะอยู่ด้านบน โอเมดันโด้อยู่ด้านบนของรถม้า เส้นผมสีดำเงาโบกสะบัดตามแรงลมอยู่ด้านหลังทำให้ภาพที่เห็นเต็มไปด้วยพลังและสง่างาม
จ๊ะเอ๋ แวะมาลงให้ตอนนึงขอรับ!! ตอนหม่าย หม่าย ส่งท้ายปีนะขอรับ !!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ขอบคุณค่า