คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Libido 4 : เด็กขี้โกหก
- IV -
แสงสีทองเจิดจ้าแยงเข้าดวงตาสีน้ำตาลเฮเซลนัทอย่างไม่ปราณี
เลียมกระพริบตาถี่ๆสองสามทีก่อนจะหาววอดออกมา ดวงตาสีน้ำตาลหยีเล็กเนื่องจากแสงแดดที่ริดลอดออกมาจากช่องว่างระหว่างซี่ม่านมู่ลี่บนหัว ความอบอุ่นจากเรียวแขนบางที่โอบรัดรอบตัวของเขาอยู่ทำเอาเขานิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะรีบปัดมันออกไปจากตัวอย่างรวดเร็ว ภาพในสมองแล่นผ่านหัวด้วยความเร็วอันน่าตกใจ
ก่อนที่เขาจะจำเรื่อง ‘เมื่อคืน’ ได้
ไม่สิไม่ ต้องเรียกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วมากกว่า
เลียมเหลือบมองแขนของคนที่นอนข้างตัวอีกครั้งแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อสังเกตเห็นเล็บที่ตัดแต่งและทาสีเคลือบอย่างดี อย่างน้อยเขาก็แน่ใจว่าลูอิสคงจะไม่เอาเวลาส่วนใหญ่ของตัวเองไปนั่งตะไบเล็บหรอก
เขาหันกลับไปมองแดเนียลที่ยังนอนหลับตาพริ้มอยู่ นับว่าโชคดีที่ผู้หญิงคนนี้ไม่ตื่นขึ้นมาตอนที่เขาเผลอตัวปัดมือเธอทิ้ง เขาเอื้อมมือไปรูดมู่ลี่ปิด ดวงตาสีน้ำตาลมองไปยังเตียงอีกครั้งด้วยความโหยหา แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่รู้สึกง่วงอีกต่อไปแล้ว
เลียมกดเปิดเครื่องสมาร์ทโฟน เขาเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเจอข้อความเป็นสิบจาก ’คุณผู้จัดการวง’
เลียม ถ่ายแบบตอน 8 โมง คิดว่ายังไม่ลืมนะ – พอล
เขาเบิกตากว้าง จริงด้วย เขาลืมไปสนิทว่าวันนี้เป็นวันที่เขาต้องกลับไปทำงานตามปกติ เลียมเหลือบดูเวลาบนหน้าจอและก็ไม่แปลกใจที่มันเป็นเวลา 9 โมงพอดิบพอดี
โดนด่าเละ นั่นอาจจะเป็นสามคำที่อยู่ในหัวของเลียมตอนนี้ แต่เขาก็ไสลด์ข้อความถัดมาขึ้นมาอ่าน ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วก็ตามว่าต้องเป็นข้อความด่าทอสบถสาบานของพอลแน่นอน
และแน่นอนว่าเขาก็ไม่เคยคิดผิดในเรื่องนี้จริงๆ
เฮ้ย ทำไมมึงยังไม่มาอีกวะ – พอล
โผล่ – หัว – ของ – มึง – มา – เดี๋ยว – นี้!! – พอล
และอีกสิบกว่าข้อความที่พอลส่งมาด่าพ่อแม่ของเขา
“เฮ้ย ไนออล!” เขาตะโกนลงไปจากบันได “ไนออล ทำไมนายไม่ขึ้นมาปลุกฉันให้ไปทำงานเนี่ย” เขาขมวดคิ้ว ไอ้เพื่อนร่วมวงตัวดีนี่ – ขอสวรรค์โปรดอย่าให้มันยังนอนอยู่เลย
แต่สิ่งที่เขาได้กลับมันก็มีแต่ .... ความเงียบ ไม่มีเสียงตะโกนตอบกลับมา ถ้ามันยังไม่ตื่น เลียมคิดว่ามันก็คงจะไหลตายไปแล้วเรียบร้อย
เขาเดินลงบันไดไป ก่อนจะโผล่หน้าออกไปดูโซฟาที่ทั้งว่างและโล่ง กระเป๋าเดินทางสีส้มอุจาดตาใบนั้นก็ไม่ได้อยู่บนพื้นห้องอย่างที่มันเป็นเมื่อคืน ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิตที่เขาตามหาโดยสมบูรณ์ ราวกับไนออล ฮอราน -- ไอ้งั่งหัวบลอนด์ที่เอาแต่กินนั้นไม่ได้ก้าวเข้ามาเหยียบบ้านเขาเมื่อคืน
ช่างเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ
เขาก้มลงมองสภาพเสื้อผ้าที่ตัวเองกำลังใส่อยู่ ซึ่งมันก็เป็นเพียงเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงวอร์มที่คว้าเอามาจากพื้นหลังจากเสร็จภารกิจเมื่อคืนเท่านั้น
เอาวะ
เลียมหลับตาภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เร็วๆ เขาขอให้การถ่ายแบบวันนี้สื่อจะไม่ออกมาทำข่าวกันเยอะเท่าที่ควร มันไม่ใช่ว่าเลียมเป็นคนที่จะต้องดูดีที่สุดเมื่ออยู่หน้าสื่อ แต่มันก็นับว่าเป็นการสร้างภาพลักษณ์ดีๆให้แก่วงของตัวเอง
แต่ในเวลาแบบนี้เขาก็ไม่คิดว่าเขาจะมีเวลาพอให้คิดถึงเรื่องภาพลักษณ์ของวงตัวเองสักเท่าไหร่
เลียมรีบวิ่งออกไปหน้าบ้าน พร้อมที่จะกระโดดขึ้นรถแท็กซี่ทุกคันที่วิ่งผ่านหน้าบ้านแล้วตอนนี้
“ให้ตายสิ นี่มันจะไม่มาทำงานหรือไง!” พอลสบถ บีบโทรศัพท์รุ่นกระติกน้ำราวกับกำลังห้ามใจตัวเองไม่ให้กระทืบโทรศัพท์ในมือทิ้ง “พวกมึงก็ช่วยกันหาทางตามไอ้เวรนั่นมาทำงานกันหน่อยดิวะ” เขาหันมาว่า แต่ผู้ชายอีกสี่คนก็ดูจะไม่สะทกสะท้านอะไร พอลถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “อะไรนะ ชิบหาย สื่อมากันเต็มไปหมดแล้วหรอ” เขาสบถกับบลูทูธที่เสียบอยู่ในหู “เข้าใจแล้วๆ กำลังจะออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” ก่อนที่เขาจะเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปอีกทาง
ความเงียบอันน่าอึดอัดแผ่กระจายไปทั่วห้องแต่งตัว แฮร์รี่ขยับตัวอยู่บนเบาะโซฟาสีแดงเลือดหมู ดวงตาสีมรกตมองไปทางรุ่นพี่ใหญ่ของวงที่นั่งไขว่ห้างเล่นเกมในไอโฟนของตัวเองกับไนออลที่กำลังรัวนิ้วบนแป้นพิมพ์หน้าจอไอโฟนอย่างเมามัน ส่วนเซน... แฮร์รี่สารภาพว่าเขายังไม่กล้าพอที่จะหันหน้าไปดู ตั้งแต่มาถึง เซนยังไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ คนอื่นอาจจะคิดว่านี่เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเซนเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว แต่สำหรับแฮร์รี่มันไม่ใช่แค่นั้น เขารู้สึกได้ว่าเซนแอบมองหน้าตัวเองอยู่ทุกๆหนึ่งนาที
แฮร์รี่ สไตลส์เป็นคนทำลายความเงียบ “ว่าแต่พวกนายไม่มีใครติดต่อเลียมได้เลยหรอ?” อีกสามคนยักไหล่แทนคำตอบ แฮร์รี่ถอนหายใจก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน “ฉันจะออกไปซื้อของหน่อย มีใครอยากได้อะไรไหม” เขาถามตามมารยาท อย่างน้อยให้ลุกออกไปเดินเล่นก็ยังดีกว่ามานั่งเป็นเป้านิ่งให้เซนส่งสายตาอำมหิตให้อยู่ตรงนี้ กว่าจะรอเลียมมาถึงเขาก็คงได้ขาดใจตายก่อนพอดี
ไนออลละสายตาจากไอโฟนในมือขึ้นมาตอบ ดวงตาสีฟ้าประกาย “ซื้อขนมมาฝากด้วย เอาเยอะๆ ตั้งแต่เช้าฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย”
แฮร์รี่ชักเริ่มรู้สึกอยากถอดรองเท้าตบปากอีกฝ่ายให้เลือดกลบ ทีตั้งนานชวนคุยก็ไม่ยอมตอบ พอถามไปตามมารยาทดันถูกตอบกลับมาอย่างไร้มารยาทซะอย่างนั้น แฮร์รี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เข้าใจแล้ว” แฮร์รี่หมุนตัว ตั้งท่าจะเดินออกไปทางประตูหลัง
“เดี๋ยว” คำพูดประโยคแรกถูกเอ่ยขึ้นมาก่อนจะตามด้วยเสียงยันตัวลุกขึ้นของผู้ชายที่นั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้าม “ฉันไปด้วย”
แฮร์รี่เบิกดวงตาสีเขียวของตัวเองกว้างพร้อมกับกัดริมฝีปากตัวเองด้วยความประหม่า “เอ่อ ฝะ ฝากฉันไปซื้อมาก็ได้” เสียงหวานตอบกลับไปตะกุกตะกัก
“นายอย่าพูดเหมือนกับนายถือไหวได้ไหม” น้ำเสียงทุ้มตอบกลับมาเนือยๆ “แค่ของมันคนเดียวก็ทำนายทรุดอยู่หน้าเซเว่นแล้ว” เซนบุ้ยหน้าไปทางคนตัวเล็กผมบลอนด์ที่กำลังนั่งยิ้มกับโทรศัพท์อยู่
แฮร์รี่หมดคำพูด เรื่องเมื่อคืนก็ทีนึงแล้ว เขาไม่อยากหาเรื่องทะเลาะกับเซนอีก เมื่อคิดได้ดังนั้นแฮร์รี่จึงจำยอมพยักหน้าก่อนจะเดินนำไปยังประตูทางออก
ไม่น่าหาเรื่องใหม่ให้ตัวเองเลยให้ตายเถอะ
แฮร์รี่ปาดเหงื่อออกจากใบหน้าหวานของตัวเองทิ้ง ถุงพลาสติกสองถุงใหญ่ในมือหนักเสียจนไหล่ของเขาจะหลุดอยู่รอมร่อ แดดก็ออกเปรี้ยงทั้งๆที่เมื่อคืนหนาวแทบแย่ แน่นอนว่าแฮร์รี่เองก็เป็นหนึ่งในคนอังกฤษประเภทที่ไม่ค่อยสนใจสภาพภูมิอากาศของประเทศเกิดตัวเองเท่าไหร่ มันก็เป็นมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วล่ะมั้งที่แฮร์รี่ไม่เก่งวิชาสังคม ซึ่งแน่นอนว่าในวิชาเวรตะไลนี่ย่อมมีเรื่องภูมิศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง เวลาสอบทีไรก็ตกๆผ่านๆจนขนาดเพื่อนที่เรียนรุ่นเดียวกันออกปากถามว่าเขากลับบ้านตัวเองถูกได้ไง การที่ตัวเองเรียนจบออกมาได้นี่แฮร์รี่ก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะปฏิหารย์หรืออะไร
ว่าแต่ไอ้ทางนี่มันจะยาวไปไหนวะ ตอนขามาเซเว่นมันดูเหมือนจะใกล้มาก แต่ทำไมตอนกลับมันถึงได้ไกลบรรลัยขนาดนี้
“เป็นอะไรหรือเปล่า” เซนถาม มองหน้าเขา ซึ่งถึงแม้แฮร์รี่ไม่ต้องหันไปดูแต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องทำสีหน้าเป็นห่วงแน่ แฮร์รี่ส่ายหน้า “เอามาถุงหนึ่ง ฉันช่วย” เซนพูดเสร็จก็คว้าถุงในมืออีกฝ่ายมาทันทีกะไม่ให้อีกฝ่ายปฏิเสธ แต่แฮร์รี่ก็ยื้อมันเอาไว้ก่อนจะก้มหน้าก้มตาส่ายหน้าอีกครั้ง
“นายไม่สบายหรอ” เซนถาม เสียงของอีกฝ่ายราบเรียบแต่แฮร์รี่รู้ว่าอีกฝ่ายถามด้วยความหวังดี ใบหน้าหวานขึ้นสีจัด ก่อนจะรีบกระพริบตาถี่ๆ
ให้ตายสิ น้ำตามันพาลจะไหลอีกแล้ว
แฮร์รี่รู้ว่าตัวเองเป็นคนโกหกใครไม่เก่งและก็รู้ด้วยว่าเซนรู้ความจริงข้อนี้ดี ดังนั้นเขาจึงไม่อยากจะมองตาเซน เพราะไม่ว่าเมื่อไหรที่เขามองดวงตาสีน้ำตาลลึกคู่นี้ เขาก็จะต้องยอมแพ้แล้วคายทุกอย่างออกมาหมดทุกที แฮร์รี่จึงบอกตัวเองในใจตลอดเวลาว่าอย่ามองตาเซน
แต่ก็น่าเสียดายที่เซนไม่ได้ยิน
“แฮร์รี่?”
ตุบ!
ถุงพลาสติกร่วงหล่นลงบนพื้นทันทีที่อีกฝ่ายเรียกชื่อ แฮร์รี่ยังคงนิ่งงันมองขนมกับน้ำร่วงลงไปบนพื้น เหรียญที่เป็นเงินทอนจากการซื้อของที่เคยอยู่ในถุงกลิ้งไปบนพื้น เซนอุทานก่อนจะรีบลงไปนั่งเก็บขนมเข้าถุงเหมือนเดิม แฮร์รี่กระพริบตาก่อนจะรีบลงไปช่วยเก็บอีกที
ให้ตายเถอะ เมื่อกี้เซนเรียกชื่อเขางั้นหรอ แฮร์รี่ทำเป็นก้มหน้าก้มตาเก็บเหรียญเข้ากระเป๋าตังค์เมื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาหน้าแดงมากขนาดไหน จะบอกว่าเขาเวอร์ก็ได้ แต่ตั้งแต่ที่รู้จักกันมาเซนเพิ่งจะเรียกชื่อเขาเป็นครั้งที่ห้าเอง
...ครั้งที่ห้า? โอ้ย นี่เขาบ้าผู้ชายขนาดว่างมานั่งนับว่าอีกฝ่ายเรียกชื่อเขากี่ครั้งด้วยหรอนี่ อย่างกับเด็กสาวอายุสิบหกแหนะ
แฮร์รี่สะบัดหัวเพื่อไล่ความคิดงี่เง่านั้นออกไปซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่สายตาพบว่าเหรียญๆหนึ่งกำลังกลิ้งเข้าไปในซอกตึก แฮร์รี่รีบวิ่งตามเข้าไปเก็บมันก่อนที่เหรียญนั้นจะกลิ้งไปไกลและลึกเกินกว่าเขาจะสามารถเก็บมันขึ้นมาได้
เป้าหมายกลิ้งไปชนกำแพงก่อนจะหยุดอยู่ตรงพื้นในซอกตึก แฮร์รี่ก้มตัวลงไปหยิบมันขึ้นมาใส่ในกระเป๋ากางเกง แต่เมื่อกำลังจะหันกลับออกไปก็พบว่าคนที่มาด้วยยืนบังทางออกอยู่ แฮร์รี่รีบหลบตาก่อนจะทำตัวลีบแล้วเดินออกไปทางช่องว่างข้างๆตัวเซนแทน แต่อีกฝ่ายก็เลื่อนตัวเข้ามาปิดมันแทบจะในทันที “ทำอะไรของนาย?” แฮร์รี่พูด พยายามให้เสียงตัวเองดูหงุดหงิดน้อยที่สุด
“เลิกทำให้ฉันหมดความอดทนได้แล้ว” เซนพูดเสียงนิ่งเหมือนเคย แต่แฮร์รี่กลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังใช้คำพูดนั้นตีแสกหน้าเขาอยู่
“ฉันไปทำอะไรให้นาย?”
ให้ตายเถอะ นี่เขากล้าพูดประโยคนี้ออกไปได้ยังไงเนี่ย
เซนไม่ได้ตอบอะไร แต่ใช้แรงผลักเขาเข้ามาติดกับกำแพง ซึ่งแฮร์รี่ก็คิดว่ามันแย่กว่ามาก มือของแฮร์รี่ทั้งสองถูกจับยกขึ้นไขว้กันแล้วล็อคเอาไว้เหนือหัวตัวเอง เซนใช้มืออีกข้างเชยคางแฮร์รี่ขึ้นไม่ให้อีกฝ่ายก้มหน้าก้มตาหลบสายตาตัวเองอีก เขาจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมแพ้แล้วมองเข้าไปในดวงตาสีเข้มของอีกคน
และเขาก็รู้ตัวว่าเขากำลังทำผิด
ความรู้สึกผิดเกาะกุมเข้าถึงขั้วหัวใจเมื่อแฮร์รี่มองเข้าไปที่ตาเซน ดวงตาสีเปลือกไม้คู่นั้นดูรวดร้าวเสียจนแฮร์รี่แทบอยากจะร้องไห้ เข้าไปกอดอีกฝ่ายเอาไว้ในอ้อมแขนตัวเองแล้วพร่ำบอกว่าเขาขอโทษ
“นายมีอะไรปิดบังฉันหรือเปล่าแฮร์รี่?” น้ำเสียงตัดพ้อดังกรอกหูแฮร์รี่ เหมือนกับว่ามันพยายามจะบีบรัดเขาให้ขาดใจตาย
เป็นครั้งแรกที่แฮร์รี่รู้สึกตัวว่าการหายใจมันยากแค่ไหน
แฮร์รี่ส่ายหน้า ซึ่งคำตอบนี้ทำเอาอีกฝ่ายเลิกคิ้ว แฮร์รี่ก็พอจะเข้าใจว่าทำไมเซนถึงทำหน้าแบบนี้ เขาก็ยังแอบแปลกใจตัวเองอยู่เลยว่าทำไมคราวนี้ตัวเองถึงทนได้นาน ทั้งๆที่เมื่อก่อนเขาจะรีบพ่นมันออกมาหมดเปลือกทันทีเลยแท้ๆ
“...หรอ” อีกฝ่ายคลายแรงออกจากข้อมือของแฮร์รี่ “แล้วเมื่อคืน ... นายไปไหนมา”
แฮร์รี่แทบจะล้มทั้งยืน เซนรู้... ? ทั้งๆที่เขาออกมาตอนที่เซนหลับ แล้วก็เข้าไปก่อนเวลาตื่นปกติของเซนแล้วนะ
“อะ เอ่อ” แฮร์รี่ตอบตะกุกตะกัก พยายามเค้นสมองหาคำตอบที่น่าจะดีที่สุดมาให้ “...ไปซื้อของกินน่ะ คือตอนกลางคืนมันหิว”
โอ้ย พระเจ้า แฮร์รี่ นี่แกมีปัญญาคิดเหตุผลได้แค่นี้หรือไง
แฮร์รี่ไม่แน่ใจว่าเซนเชื่อเหตุผลปัญญาอ่อนของตัวเองหรือเปล่า แต่อีกฝ่ายก็ยอมปล่อยมือของแฮร์รี่ลงแต่โดยดีก่อนจะคว้าตัวเขาเข้าไปกอดไว้แน่น “โถ่ ถ้างั้นนายก็ปลุกฉันสิ จะได้ไปเป็นเพื่อนนาย รู้ไหมตอนตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอนายฉันนี่แทบจะเป็นบ้า”
ความเชื่อใจของเซนมันมากเกินไป
สรุปว่าสิ่งที่เขากำลังทำในตอนนี้คือปกป้องอีกฝ่ายเอาไว้ หรือทำให้เจ็บมากไปกว่าเดิมกันแน่
“อืม” แฮร์รี่ผละออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย ก่อนจะพยายามยิ้มออกมาบางๆ “เข้าใจแล้ว ทีหลังจะปลุกนะ”
ไอ้เด็กเวรขี้โกหกเอ้ย
“มึงไม่มาถ่ายกับยามไปเลยล่ะไอ้เวรนี่” พอลตะคอกใส่เลียมที่พยายามทำตัวให้ดูน่าสงสารที่สุดอยู่ “หยุดก็ให้หยุดไปเยอะแยะแล้วยังจะไม่พออีก มึงอยากหยุดอยู่โรงพยาบาลไปทั้งชีวิตเลยไหม”
ลูอิสหาววอดให้ภาพตรงหน้า “พอเถอะน่าพอล ยังไงมันก็มาแล้ว ปล่อยมันให้ไปแต่งหน้าแต่งตัวดีกว่า”
พอลทำสีหน้าไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ยอมปล่อยตัวเลียมไปแต่งตัวแต่โดยดี “เร็วๆเลย ตากล้องเขาบ่นจะแย่แล้ว” พอลหันไปพูดกับเลียมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะสอดส่องสายตาไปทั่วห้อง “แล้วเซนกับแฮร์รี่ไปไหน?”
“ไปซื้อขนมให้ผม” ไนออลตอบแบบไม่ละสายตาออกจากไอโฟนในมือ “เดี๋ยวก็มา”
อีกฝ่ายทำสีหน้าไม่ค่อยพอใจ “เออ ฉันก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นแล้วกัน” พอลเดินบ่นออกไปนอกห้องแต่งตัว
ลูอิสดันตัวขึ้นจากโซฟาก่อนจะเดินไปหาเลียมที่ห้องแต่งตัว ผ้าม่านลายการ์ตูนสีชมพูหวานแหววตามรสนิยมของสไตลิสของวงที่อุตส่าห์หนีบมันติดมาด้วยปิดล้อมรอบพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กๆเพื่อไม่ให้คนภายนอกมองเข้าไปเห็นคนที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ข้างใน ระหว่างทางมีราวแขวนเสื้อผ้าที่ถูกเตรียมเอาไว้ถ่ายในเซ็ตถัดไปเรียงกันเป็นแถว
“ชุดนี้ไม่ค่อยเหมาะกับนายเลยแฮะ” ลูอิสกระชากผ้าม่านสีชมพูให้เปิดออก “นายเหมาะกับชุดที่ดูเป็นคุณชายมากกว่า พวกสีโมโนโทนอะไรนั่น ใส่สีโทนพาสเทลแล้วดูเหมือนกะเทยใจแตกเป็นบ้า”
เลียมเบิกตามองลูอิสกว้างก่อนจะรีบดึงกางเกงขึ้นอย่างรวดเร็ว สภาพหมิ่นเหม่แบบที่เขาใส่แค่บอกเซอร์เมื่อกี้มันไม่ควรเกิดขึ้นไม่ว่าจะในกรณีไหนก็ตาม “นายเข้ามาได้ไง”
“แล้วทำไมจะไม่ได้” ลูอิสเลิกคิ้ว “พูดเหมือนกับว่ามันจะต้องสแกนม่านตาก่อนเข้ามาอย่างนั้น อีกอย่างผ้าม่านนี่มันบาง จะยืนดูข้างนอกหรือข้างในมันก็แทบไม่ต่างกันหรอก”
“นั่นมันเหตุผลอะไรของนาย” เลียมบ่น “ออกไปเลย ฉันยังแต่งตัวไม่เสร็จ”
ลูอิสยักไหล่ “ไม่ ฉันจะมาช่วยนายแต่งตัวไง”
“แต่ฉันไม่อยากได้”
เหมือนกับพูดหูซ้ายทะลุหูขวา ลูอิสก็ยังคงเดินลอยหน้าลอยตาเข้ามาอยู่ดี เลียมเบ้ปาก ก่อนจะหันหลังให้อีกฝ่ายแล้วรีบติดกระดุมเสื้ออย่างรวดเร็ว
“ชายเสื้อนายโผล่ออกมาข้างนอกนะ เขาให้เก็บเอาไว้ข้างในไม่ใช่หรือไง” ลูอิสเอื้อมมือทั้งสองข้างไขว้ไปข้างหน้าอีกฝ่ายก่อนจะจับชายเสื้อยัดเข้าไปในกางเกง
ถ้าเขาแค่ยัดชายเสื้อเข้าไปก็ดี
“ลูอิส...” เลียมเลิกคิ้ว “เอามือนายออกไปเดี๋ยวนี้ นั่นมันไม่ใช่ชายเสื้อ”
“นายคิดว่าฉันโง่หรือไง”
เลียมดึงแขนลูอิสออกมาจากกางเกงตัวเอง “ยังไม่ใช่ตอนนี้”
ลูอิสจ้องไปที่ใบหน้าของเลียม พยายามไม่หลุดหัวเราะออกมาเมื่อสีหน้าของอีกฝ่าย “แล้วตอนไหน”
“ไม่รู้ แต่ที่นี่ไม่ได้ เดี๋ยวกางเกงเปื้อน”
แล้วทำไมมันต้องพูดกับเขาเหมือนกำลังสั่งสอนหมาตัวเองด้วยวะ
“ฉันไม่ทำหรอกไอ้โง่” ลูอิสกระชากแขนของอีกฝ่ายลงมาเร็วๆ เลียมเซเหมือนจะล้ม เขาจึงรีบฉวยโอกาสโอบคออีกฝ่ายก่อนจะประกบจูบลงไปบนริมฝีปากบางของเลียม ลูอิสใช้เขี้ยวของตัวเองเกี่ยวริมฝีปากล่างของเลียมให้เปิดออกก่อนจะแทรกลิ้นเข้าไปหาความอุ่นชื้นนั้น มืออีกข้างลูบเน้นลงไปบริเวณเป้ากางเกงของอีกฝ่ายช้าๆ
ลูอิสละริมฝีปากออกเมื่อปลายนิ้วพบกับความแข็งภายใต้เนื้อผ้านั้น เป็นจังหวะเดียวกับที่แฮร์รี่เปิดประตูห้องแต่งตัวเข้ามาทันที ลูอิสยิ้ม
“เลียม ออกมาได้แล้วนะ พอลให้เวลาอีกห้านาทีจะถ่ายแบบแล้ว” เสียงแหบหวานของแฮร์รี่ดังเข้ามาก่อนจะตามด้วยเสียงปิดประตู ลูอิสเดาว่าแฮร์รี่คงไม่รู้ว่าเขาอยู่ข้างในนี้กับเลียมเพราะอีกฝ่ายเหมือนจะแค่แง้มประตูแล้วตะโกนเข้ามาเท่านั้น
ลูอิสเปิดม่านที่กั้นห้องแต่งตัวเอาไว้ออก ก่อนจะเดินออกไปที่ประตูห้อง แง้มมันออกเพื่อดูให้แน่ใจว่าแฮร์รี่ไปแล้วและไม่มีคนอื่นอยู่แถวนี้ เขาหันหน้ามาหาเลียม “ไม่ต้องรีบตามออกมานะ” ดวงตาสีฟ้ามองต่ำลงไปที่เป้ากางเกงของอีกฝ่าย ริมฝีปากบางยิ้มเยาะ “แล้วก็ไอ้นั่นน่ะ... ไปจัดการให้เรียบร้อย” อีกฝ่ายยังคงช็อคกับสิ่งที่เกิดขึ้น ยืนแข็งเหมือนหุ่น มืออีกข้างจับผ้าม่านสีหวานเอาไว้ “ห้องน้ำเดินตรงไป เลี้ยวซ้าย เผื่อนายจะยังไม่รู้”
“...” เลียมยังคงนิ่งอึ้ง พูดไม่ออก
“แล้วก็อย่าให้มันเลอะกางเกงล่ะ” ลูอิสหัวเราะเบาๆ ก่อนจะปิดประตูตามหลังไป
สวัสดีค่ะ
ในที่สุดเราก็ได้กลับมาพบกันซักทีกรี๊ดดดดดด
ฮือออ สารภาพว่าไม่ได้อัพฟิคเรื่องนี้นานมาก ต้องขอโทษจริงๆจากใจด้วยค่ะ
ตอนนี้อิ่มตั้งชื่อว่า 'เด็กขี้โกหก' คือไม่รู้จริงๆว่าตอนนี้ควรให้คู่ไหนเด่น ถถถถ #อ้าว
ก็เลยยกชื่อตอนให้ Zarry ไป เพราะ Lilo จะวินตอนท้ายไง
ลูอิสยั่วมากเลยค่ะ เขินอะ อยากเขียนแบบนี้มานานแล้ว
ได้มาเขียนคู่หลักตอนสามหน้าสุดท้าย สรุปเรื่องนี้คู่ไหน 555555555
มีคนสังเกตไหมว่าตอนนี้ไม่มีรูปขึ้นหน้าตอน คืออิ่มขี้เกียจเองไม่ใช่ไร 55555555555555
ตอนนี้ใช้เวลาแต่งนานที่สุดแล้ว สิบหกหน้าห้าชั่วโมง ทรมานก้นตัวเองสุดๆ
สำหรับคนที่ขี้เกียจเม้นท์ในนี้ อยากขอร้องอะไรอย่างหนึ่งว่าถ้าเล่นทวิตเตอร์ (หรือเฟสบุ๊ค?ตอนนี้มันแท็คได้แล้วนี่นา) ก็รบกวนติดแท็ค #LiloLibido ไปด้วยได้ไหมคะ เวิ่นฟิคไปแท็คไป แล้วอิ่มจะตามไปอ่าน เห็นคนอื่นเขามีกันแล้วอยากได้มั่ง 5555555555555555555 คือมันรู้สึกดีนะ อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่ามีคนอ่านฟิคเรา
วันนี้เวิ่นยาวจัง -_- ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ มีบางคนทวงฟิคด้วย น่ารักอะ
เจอกันตอนหน้านะ สวัสดีค่ะ บ๊ายบาย
❀ Supercell
ความคิดเห็น