ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [One Direction] Lilo - Libido

    ลำดับตอนที่ #3 : Libido 2 : ซับซ้อน

    • อัปเดตล่าสุด 14 พ.ค. 56




     
    it's not love not hate but it's just a Libido  | Chapter2





     

    -  II  -



                ความรู้สึกปวดหลังแล่นวาบขึ้นมาทันทีตอนล้มตัวลงนอน

     

     

                เจ้าของดวงตาสีฟ้าหันไปมองเลียมที่สลบอยู่ข้างๆตัวเอง “เลียม” เขากระซิบเสียงเบาพอให้อีกฝ่ายพอได้ยิน แต่เลียมก็แค่ครางงึมงำในลำคอแล้วก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา

     

                ท่าทางจะเหนื่อยจริงๆ

     

                ลูอิสยันตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง ถอนใจที่จะนอนต่อแม้ว่าจะเหนื่อยแทบขาดใจเพราะคิดว่าถึงยังไงเขาก็คงจะนอนไม่ลงจากอาการปวดหลังขนาดนี้ เขาเอื้อมมือไปคว้าเสื้อยืดสีขาวสกรีนลายที่กองไว้ข้างๆตัวขึ้นมาสวมก่อนจะสอดส่องสายตามองหากางเกงยีนส์ที่ถูกวางกองเอาไว้อีกฟากหนึ่งของห้อง

     

                เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ดวงตาสีฟ้าสดมองไปที่เลียมแวบหนึ่งก่อนจะคิดในใจว่ามันถอดยังไงให้กางเกงเขากระเด็นไปอยู่ไกลขนาดนั้นได้

     

                ลูอิสเดินไปหยิบกางเกงยีนส์ มือข้างหนึ่งดึงเสื้อยืดพอดีตัวลงมาปิดช่วงล่างเอาไว้ ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ตัวว่าไม่มีใครเห็นก็ตาม แต่ยังไงมันก็โล่งจนเขาเสียววาบ อย่างน้อยเขาก็คิดว่าปิดเอาไว้บ้างมันก็ไม่มีอะไรเสียหาย

               

                เขาเขยิบไต่กำแพงไปอย่างเงียบเชียบ ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นวาบไปตามเส้นเลือด เจ็บจนแทบจะหายใจไม่ออกยามที่ขาทั้งสองข้างอยู่ห่างกัน ลูอิสกัดฟันแน่นก่อนจะรีบสวมกางเกงให้เร็วที่สุด

     

                กางเกงยีนส์ที่ถูกดึงขึ้นมาสวมเอียงกะเท่เร่อย่างทุลักทุเล แต่ในเวลานี้เขาก็ไม่สนใจแล้ว ในหัวเขาตอนนี้มันมีอยู่สิ่งเดียวที่เด่นชัด

     

                นั่นคือ เขาจะลงไปได้ยังไง

     

                มันแย่มากที่เขาลืมคิดเรื่องนี้ไปตอนขามาบ้านเลียม ลูอิสเบ้ปากมองหน้าต่างที่เลื่อนปิดเอาไว้ ตอนขึ้นน่ะมันก็ง่าย แต่ตอนลงน่ะสิจะทำยังไงให้มันง่าย

     

                ขืนปีนลงไปด้วยสภาพร่างกายแบบนี้มันก็คงจะ แหกสถานเดียว

     

                ลูอิสกัดปากตัวเอง เห็นทีว่าเขาจะต้องลงไปข้างล่างด้วยบันได ซึ่งก็แน่นอนว่าตอนนี้ข้างล่างมันมีไนออลนอนอยู่ และเขาก็คงจะต้องเสี่ยง

     

                เขาเดินกะเผลกไปที่บานประตูก่อนจะเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดให้เบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้ ลูอิสเลื่อนตัวผ่านช่องประตูที่เปิดออกแล้วค่อยๆเลื่อนมือไปดึงลูกบิดให้ปิดจากอีกฝั่ง ซึ่งนับว่าดีที่ประตูห้องนอนเลียมมันไม่ฝืดและพื้นบ้านเลียมบุด้วยพรมทำให้เสียงที่เกิดขึ้นเบามากจนแทบจะไม่ได้ยินเขามั่นใจ

     

                ลูอิสเอนตัวให้บั้นท้ายตัวเองแนบลงไปบนราวบันไดแล้วค่อยๆเลื่อนเท้าลงไปตามขั้นบันได มือข้างหนึ่งจับราวข้างตัวเอาไว้หลวมๆเพื่อไม่ให้ตัวเองสไลด์ลงไปเร็วมากเกินไป เขาแทบจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกที่เมื่อลงไปยืนนิ่งๆอยู่บนพื้นแล้วพบว่ารอบข้างตัวเองยังคงมืดมิด ไม่ใช่ลงมาจ๊ะเอ๋กับไนออลอย่างที่สมองคิดในแง่ร้ายเอาไว้

     

                ไฟห้องครัวเปิด ...ไนออลคงเดินเข้าไปหาของกิน

     

                ลูอิสคว้ากำแพงอีกฝั่งเอาไว้ก่อนจะค่อยๆเดินไปตามทาง ประตูบ้านล็อคเอาไว้จากข้างใน เขาปลดกลอนก่อนจะรีบเปิดประตูออกไปช้าๆก่อนจะรีบออกมายืนข้างนอกอย่างรวดเร็ว ลูอิสถอนหายใจเมื่อออกมาได้แต่แล้วก็ต้องเหงื่อตกเมื่อมองไปยังภาพตรงหน้า

     

                ดวงตาใสแป๋วสีดำขลับคู่หนึ่งกำลังมองหน้าเขาอยู่

     

                ลูอิสยิ้มแหย ในใจรู้ดีว่าโลกิเห่าเสียงดังแค่ไหน

     

                เขาเริ่มออกวิ่งไปทางประตูรั้วอย่างทุกลักทุเลเมื่อหมาที่เลียมเลี้ยงเอาไว้เริ่มที่จะเห่าใส่ เขารู้ว่าโลกิแค่อยากจะเล่นด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ถ้าเขายื่นโง่อยู่ตรงนั้นต่อไอ้ตัวปัญหาที่อยู่ในห้องครัวตอนนี้ต้องโผล่หัวออกมาแน่ๆ

     

                โอ๊ย เจ็บ จะแหกแล้วโว้ย

     

                ลูอิสกระชากประตูรั้วหน้าบ้านออกก่อนจะรีบสไลด์ออกมาแล้วปิดตามอย่างรวดเร็ว เขาหอบหายใจมองโลกิที่ยังคงยืนเห่ามองตามเขาตาแป๋วอยู่หน้าประตูบ้าน ลูอิสยิ้มแหยๆก่อนจะโบกมือให้มัน เขาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อประตูบ้านเปิดออก ลูอิสเลื่อนตัวหลบอยู่หลังกล่องจดหมาย ไนออลคงโผล่หัวออกมาดูจากเสียงของโลกิแน่ๆ

     

                เขาค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากกล่องจดหมายเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายทันสังเกตเห็น ลูอิสหยิบรีโมทรถออกมาจากกระเป๋ากางเกงเมื่อเดินไปถึงซอยเล็กๆข้างๆบ้านของเลียม ก่อนจะกดปลดล็อคมัน แสงไฟกระพริบขึ้นเป็นอันรู้ว่าปลดล็อคเรียบร้อย เขาเปิดประตูฝั่งคนขับออกแล้วแทรกตัวเข้าไปข้างในตัวรถ

     

                เสียงเครื่องเล่นเพลงดังขึ้นทันทีหลังจากติดเครื่อง ลูอิสถอยรถออกจากซอย เพลงโปรดของเขาดังคลอเคลียท่ามกลางความเงียบ

     

                เพลงที่เปิดอยู่มันเป็นเพลงโปรดของเขากับเอลิเนอร์ที่เคยฟังด้วยกันตอนขับรถไปเที่ยวที่ไกลๆเอาไว้แก้เบื่อตายระหว่างทาง

     

                เขาฮัมเนื้อเพลงตามทำนองโดยอัตโนมัติ ลูอิสติดนิสัยชอบร้องเพลงเวลาขับรถมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

     

                ไม่สิ ตั้งแต่สามเดือนที่แล้ว

     

                เขารู้ตัวว่าตัวเองมักชอบคิดอะไรเพ้อเจ้อตอนที่หัวว่าง เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการถมที่ในสมองให้เต็มเขาจึงเลือกที่จะร้องเพลงมันซะ เขาจะได้ใส่ใจกับเนื้อร้องมากกว่าเรื่องไร้สาระในหัว

     

                กลิ่นประหลาดลอยอบอวลอยู่ในรถจะว่าหอมก็ไม่ใช่ เหม็นก็ไม่เชิง

     

                ลูอิสเบ้หน้า เขารังเกียจกลิ่นนี้

     

                มันมักจะติดเสื้อผ้าของเขามาด้วยเสมอยามที่เขามีอะไรกับเลียม

     

                ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบกลิ่นของเลียมหรือเลียมตัวเหม็นหรอกนะ ผู้ชายคนนั้นมีกลิ่นที่แตกต่างออกไปกลิ่นของขนมปังปิ้งอุ่นๆที่เพิ่งอบใหม่ๆ

     

                กลิ่นที่ทำให้เขารู้สึกรังเกียจจนถึงขั้นอิจฉา แต่ก็ยังยอมรับว่ามันช่างหอมเย้ายวน

     

                แต่กลิ่นนี้มันแตกต่างออกไป

     

                เหมือนเหม็นเน่าอะไรบางอย่าง แต่ก็หอมหวาน กลิ่นที่ฉุนติดจมูกทุกครั้งที่เขาหายใจเอาอากาศภายในรถเข้าไป ราวกับมันพยายามที่จะบีบเค้นเขา ลูอิสแทบจะรู้สึกถึงมือคู่หนึ่งขึ้นมาบีบรอบคอของเขา มันทำให้เขาแทบจะหายใจไม่ออกแล้วตายมันซะตรงนี้

     

                แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้หรอกว่ามันคือกลิ่นอะไร

     

                กลิ่นของ ความรู้สึกผิดมันช่างแย่กว่าสิ่งอื่นใด แต่กลิ่นของ ตัณหาที่หอมเย้ายวนมันมักจะเลื่อนมาพรางจมูกเขาเอาไว้ ให้เขาลืมเลือนความรู้สึกผิดไปในตอนแรกแล้วค่อยปล่อยให้มันมาทำลายเขาภายหลัง

     

                อย่างเช่นตอนนี้

     

                เขารู้ตัวว่าเขากำลังทำผิดมหันต์ มันช่างผิดมากเสียจนเขาไม่รู้แล้วจะทำอย่างไรต่อไป นอกจากจะทำได้เพียงก้มหน้าดำเนินเกมนี้ไปตามทางของมัน

     

                ลูอิสเจ็บปวด ไม่สิ ต้องบอกว่าตัวละครทุกตัวในเกมนี้เจ็บปวด

     

                เขายังจำใบหน้าของเลียมตอนมองไปยังแดเนียลได้ ดวงตาสีน้ำตาลอบอุ่นที่มองไปยังผู้หญิงคนนั้นมันไม่เหมือนตอนที่ผู้ชายคนนั้นมองเขา ดวงตาคู่นั้นมันเปี่ยมไปด้วยความรักไม่ใช่ความใคร่

     

                มันจะผิดหรือเปล่าถ้าเขาจะบอกว่าเขาอิจฉาเลียม

     

                อิจฉาความรักที่เลียมได้รับจากแดเนียล หรือจะอิจฉาความรักที่เลียมมีให้แดเนียล อิจฉาเรื่องบทบาทความสำคัญในวง อิจฉาไปเสียทุกเรื่อง

     

                อิจฉาจนอยากทำลายผู้ชายคนนั้นลง แต่ก็ยังเป็นห่วงอนาคตของตัวเอง

     

                อย่าถามเลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เพราะบางทีเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขานั้นกำลังคิดจะทำอะไร    

     

                เขาไม่รู้ว่าเขารู้สึกยังไงกับเลียม

     

                มันไม่ใช่ความรักหรือความรู้สึกชอบ เท่าที่เขาพอจะรู้เกี่ยวกับไอ้ความรู้สึกนี้มันก็แค่ความรู้สึกรุนแรงบางอย่างที่คอยควบคุมเขาอยู่และเขาจะต้องทำตามมัน

     

                ลูอิสเอื้อมมือข้างหนึ่งไปแตะรอยสีกุหลาบตรงซอกคอ ความรู้สึกร้อนจนแทบจะฉีกขาดเป็นชิ้นๆยังหลงเหลือเอาไว้ ...ทุกที่ที่เลียมสัมผัสมันเหมือนจะลุกร้อนเป็นไฟ

     

                เขาละมือจากรอยตรงคอไปกดปิดเครื่องเล่นเพลง ตอนนี้เพลงนี้มันทำให้เขารู้สึกแตกต่างไปจากเดิม มันไม่เหมือนที่ผ่านมาที่พอเขาร้องตามแล้วมันจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น

     

                เพราะมันไม่ใช่เพลงโปรดของเขาอีกต่อไปแล้ว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                .

                .

                .

     

                ร้านกาแฟสไตล์โมเดิร์นประดับด้วยเฟอร์นิเจอร์สีดำ-แดงที่อยู่ติดกับถนนใหญ่ดูเงียบสงบเสียจนน่าเหลือเชื่อ เธอเหลือบดูนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังกำแพงของร้าน ก่อนจะคิดว่ามันคงไม่แปลก ใครเขาจะมานั่งจิบกาแฟกันตอนสี่ห้าทุ่มกัน บ้าหรือเปล่า

     

                ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เธอก็คงเข้าข่ายคำว่าบ้าอยู่ไม่น้อย

               

                ดวงตาสีน้ำตาลมองไปยังผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ใบหน้าขาวสะสวยไร้เครื่องสำอางของอีกฝ่ายดูโทรมเสียมากกว่าตอนที่นัดเจอกันครั้งที่แล้วเสียจนเธอแปลกใจ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ช่วงนี้เพอร์รี่คงทำงานหนักหรือไม่ก็คงจะมีเรื่องอื่นๆให้เครียดมากเกินไปหน่อย ริ้วรอยบนใบหน้าถึงได้เพิ่มมากขึ้นขนาดนี้

     

                ไม่ว่าล่ะ ตอนนี้เธอก็รู้แล้วว่าทำไมเวลาออกสื่ออีกฝ่ายถึงต้องแต่งหน้าอยู่เสมอ ซึ่งเธอก็คิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกมากเลยทีเดียว

               

                “แดเนียล ได้ข่าวของเอลิเนอร์บ้างหรือเปล่า?” เพอร์รี่กระซิบถาม ผมสีบลอนด์ที่ถูกกัดให้เป็นสีม่วงดัดหยิกประต้นคอ ดูท่าคู่สนทนาจะรำคาญมันอยู่ไม่มากก็น้อย แดเนียลเห็นอีกฝ่ายเอื้อมมือไปสะบัดมันออกเป็นรอบที่สี่

     

                เธอส่ายหน้าก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบ “ไม่เลยค่ะ ช่วงนี้เราไม่ได้คุยโทรศัพท์ด้วยกันมานานมากแล้ว”

     

                เพอร์รี่พยักหน้าก่อนจะถอนหายใจ “ฉันลองถามเซน ฝ่ายนั้นก็ไม่เคยสนใจอะไรเลย นี่เห็นบอกว่าจะไปถามลูอิสให้ ไม่รู้ลืมไปแล้วหรือยัง”

     

                “งั้นหรอคะ...”

     

                บรรยากาศเงียบกันไปพักหนึ่ง เพอร์รี่กัดริมฝีปากล่างของตัวเอง แดเนียลแอบเหลือบตามองก่อนจะเผลอคิดในใจอย่างห้ามไม่ได้ว่าบางทีที่เพอร์รี่กัดปากตัวเองแบบนี้เพราะติดนิสัยของเซนมาก็ได้

     

                “จะว่าไปแล้ว ฉันได้ยินมาแว่วๆว่าเธอบินไปถ่ายแบบที่ปารีสนะคะ” เธอยิ้มบางๆ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันเชื่อว่าถ้าเอลิเนอร์กลับมาแล้วจะต้องติดต่อเราแน่นอน”

     

                เพอร์รี่ยิ้มฝืดๆกลับมา “ถ้ามันไม่ใช่แบบที่ฉันคิดก็ดีแล้วล่ะ”

     

                แดเนียลถอนหายใจ “เอลิเนอร์คบกับลูอิสมานานมากแล้วนะคะ ช่วงแรกๆเธออาจจะโดนแฟนคลับแอนตี้บ้างตามประสา แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าเธอเป็นที่ยอมรับโดยกว้างขวางมากทีเดียว เพราะฉะนั้นมันไม่มีทางหรอกค่ะที่เธอจะหายไปเพราะโดนแฟนคลับแบนน่ะ” เธอพูดออกมาเร็วๆ “อย่าคิดมากเลยค่ะ เวลามีเรื่องไม่สบายใจเอลิเนอร์ก็จะปรึกษาเราตลอดนี่”

     

                อีกฝ่ายส่งยิ้มมาให้อีกครั้ง ซึ่งเท่าที่เธอสังเกตดูมันดูดีขึ้นมาจากครั้งที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด “นั่นสินะ บางทีฉันอาจจะคิดมากไป”

               

                แดเนียลเงยหน้าขึ้นจากแก้วกาแฟของตัวเอง อีกฝ่ายเริ่มที่จะเหม่อมองออกไปนอกกระจกทั้งๆที่มือยังคนกาแฟอยู่ กาแฟบางส่วนกระฉอกออกมาจากปากแก้ว แต่ดูท่าอีกฝ่ายจะยังไม่รู้สึกตัว

     

                “เอ่อ แล้วคุณกับเซนช่วงนี้เป็นยังไงบ้างคะ?” เธอเริ่มบทสนทนาขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะคิดว่า ไม่น่าเลย จากสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายที่มีต่อประโยคคำถามของเธอ

     

                สีหน้าของเพอร์รี่ดูตึงเครียดขึ้นมากะทันหัน ก่อนที่จะพยายามซ่อนมันเอาไว้ ดวงตาสีฟ้าละออกมาจากหน้าต่าง “ก็เรื่อยๆเหมือนเดิมนั่นแหละ” เพอร์รี่เว้นช่วงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “แต่ช่วงนี้เซนเงียบขึ้นมากกว่าปกติ ไม่รู้ว่าเครียดเรื่องงานหรือว่าเรื่องอะไรกันแน่”

     

                “ช่วงนี้เลียมก็ไม่ค่อยมีเวลาให้ฉันเหมือนกัน” เธอส่งยิ้มบางๆไปให้อีกฝ่าย “คงจะเป็นเรื่องงานนั่นแหละค่ะ อย่าคิดมากเลย มันไม่มีอะไรหรอก”

     

                ไม่หรอก เธอไม่คิดอย่างนั้น

     

                เพอร์รี่ส่งยิ้มขอบคุณกลับมาให้ก่อนที่จะเหลือบมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง “นี่ดึกมากแล้ว ถ้ายังไงฉันขอตัวก่อนดีกว่าจ้ะ พอดีพรุ่งนี้มีอัดเสียงแต่เช้า” เธอยันตัวขึ้นจากเก้าอี้อีกฝั่ง มีท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนจะโน้มตัวลงมาจูบแก้มเธอ

     

                “ไว้ฉันจะโทรไปหาค่ะ” เธอยิ้มก่อนจะโบกมือให้อีกฝ่าย “เดี๋ยวฉันจะอยู่ที่นี่อีกพักหนึ่ง”

     

                เธอมองอีกฝ่ายกระชับกระเป๋าสะพายเข้ากับตัวแล้วเดินจากไป แดเนียลหยิบสมาร์ทโฟนออกมาก่อนจะกดโทรเบอร์ที่เธอนั้นจำได้ขึ้นใจ

     

                เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ แดเนียลยกกาแฟขึ้นมาจิบอีกครั้งระหว่างรอให้อีกฝ่ายรับสาย

     

                “ฮัลโหล?” เสียงเข้มๆที่ดูเย็นชาของอีกฝั่งกรอกเข้ามาทันทีที่รับโทรศัพท์

     

                “สวัสดีค่ะ ไม่รู้ว่าคุณจะยังจำเสียงฉันได้อยู่หรือเปล่า” เธอยิ้ม “แต่ฉันโทรมาหาเพื่อที่จะบอกคุณว่าเพอร์รี่กลับไปแล้วนะคะ”

     

                “แล้วทำไม?” น้ำเสียงจากปลายสายยังคงดูไม่ยินดียินร้าย แต่เธอก็ไม่โง่พอที่จะดูไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลัง พยายาม ทำให้มันดูเป็นอย่างนั้น

     

                เธอขยับตัวบนเบาะเก้าอี้ ก่อนจะมองไปยังรอบข้าง เมื่อเห็นว่าไม่มีคนนั่งอยู่ก็รีบกระซิบตอบกลับไปทันที “ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณค่ะ”

     

                อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆตอบกลับมา “เธอต้องการอะไรอีก”

     

                เธอลอบหัวเราะออกมาเล็กน้อย “คุณก็รู้ดีไม่ใช่หรอคะว่าฉันต้องการอะไร....” เธอเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะรีบพูดต่อ “จะให้ฉันออกไปรั้งเพอร์รี่ไว้ดีไหมคะ ความจริงฉันก็รู้สึกสงสารเธอนะคะ ดูเธอเครียดน่าดู ฉันก็เลยคิดว่าถ้าผู้หญิงคนนั้นได้รู้ความจริง บางทีเธออาจจะรู้สึกดีขึ้นก็ได้”

     

                อีกฝ่ายนิ่งไปนาน ดูจนตรอก เธอขยับริมฝีปากสีแดงสดออกมาเป็นรอยยิ้ม

     

                “แล้วตกลงคุณจะมาหาฉันหรือเปล่าคะ?

     

     

     

     

     

     

                .

                .

                .

                .

                .

                .

     

                ไนออล ฮอรานพยายามมองหาของกินภายในตู้เย็น แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อรู้ว่าภายในนั้นมันมีของที่เขาพอจะกินได้อยู่เพียง 30 เปอร์เซ็นต์จากของภายในตู้เย็นทั้งหมด

     

                ดวงตาสีฟ้าสดฉายแววผิดหวังลึกๆ ก่อนจะบ่นกระปอดกระแปดออกมาเล็กน้อย “อะไรวะ มีแต่ของสด ทำแบบนี้มันดักคอเอาไว้ชัดๆ” เขาเบ้ปากก่อนจะหยิบโยเกิร์ตรสสตอร์เบอร์รี่ออกมา แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เปิดฝามันออก เสียงเห่าอันดังกึกก้องของโลกิก็ทำเอาเขาเลิกคิ้วเล็กน้อย

     

                ไอ้หนูนั่นมันเห่าอะไรของมัน?

     

                เขายักไหล่ไม่สนใจ ไนออลตั้งท่าจะดึงเก้าอี้ในห้องครัวออกมานั่งแต่เสียงของโลกิที่เริ่มจะเห่าอีกครั้งก็ทำเอาเขามุ่ยหน้าอย่างรำคาญ ดวงตาสีฟ้าสดมองขึ้นไปยังข้างบนโดยอัตโนมัติ ถ้าเกิดมันยังเห่าอยู่แบบนี้เลียมกับแดเนียลจะต้องตื่นขึ้นมาดูในอีกไม่ช้าแน่ๆ

     

                เขาถอนหายใจอย่างรู้สึกผิด ยังไงๆก็รบกวนไปแล้วรอบหนึ่ง ถ้ายังไงออกไปดูให้หน่อยก็ไม่เสียหายเพราะเขายังไงเขาก็ยังไม่ได้คิดจะนอน

     

                คิดได้ดังนั้นเขาก็วางโยเกิร์ตทิ้งเอาไว้บนโต๊ะกินข้าว ไนออลเดินตรงไปยังประตูบ้านก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเสียงรองเท้าดังอยู่ข้างนอก

               

                มีใครอยู่ข้างนอกนั่น?

     

                ไนออลรีบกระชากประตูให้เปิดออกทันที ดวงตาสีฟ้าสดมองไปยังโลกิที่ยืนเห่าอยู่หน้าบ้าน เขาเลิกคิ้วเมื่อเห็นโลกิกระดิกหางอย่างร่าเริงใส่อากาศ

     

                เขามองตามสายตาของโลกิไป ก็พบว่ามันไปหยุดอยู่ตรงรั้วหน้าบ้านซึ่งเท่าที่เขาดูตอนนี้มันก็แค่รั้วบ้านธรรมดา ไม่มีขโมย ไม่มีโจร ไม่มีอะไรทั้งนั้น

     

                แล้วไอ้เสียงวิ่งที่เขาได้ยินจากข้างในบ้านนั่นล่ะ?

     

                ราวกับมีคนสาดน้ำเย็นๆใส่หน้า ไนออล ฮอรานขนลุกซู่ซ่า เขารีบกระชากประตูบ้านปิดทันที ดวงตาสีฟ้ามองไปยังกระเป๋าสีส้มที่ตัวเองขนมาด้วยโดยอัตโนมัติก่อนจะรีบคว้ามันมาถือเอาไว้ในมือ

     

                ไม่ไหวแล้วโว้ย บ้านมีผีแบบนี้ยังไงก็ไม่ทน

     

                เขาหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงตัวเองขึ้นมากดโทรหาจอร์ชมือกลองของวงวันไดเร็คชั่นแล้วรีบวิ่งออกจากบ้านทันที        

               

               

     

     

     

     

     

     

     

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

               

                เขากำสมาร์ทโฟนในมือตัวเองแน่นก่อนจะมองไปยังเรือนร่างที่นอนหลับไม่รู้เรื่องข้างๆตัวเอง เขาเอื้อมมือคว้าผ้าห่มมาคลุมตัวให้อีกฝ่ายแล้วถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

     

                ไม่เป็นไร เรื่องนี้มันจะจบลงด้วยดี เขาพยายามที่จะบอกตัวเองอย่างนั้น

     

                เขายันตัวลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปยังตู้เสื้อผ้า หยิบเอาเสื้อยืดของเจ้าของห้องที่นอนหลับไปแล้วมาสวมหัว ไม่ใส่ใจที่เสื้อมันจะไม่พอดีตัวเขามากแค่ไหน ถึงยังไงเขาก็ต้องใช้มัน เพราะเขาเองก็ไม่อยากที่จะใส่เสื้อยืดตัวเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกหรอก

     

                ในกระจกบานใหญ่หน้าตู้เสื้อผ้าสะท้อนเงาของเขา ใต้ดวงตามีรอยคล้ำที่ฟ้องว่าตัวเขาเองนอนน้อยมากแค่ไหน เขายกมือขึ้นมาตบลงบนใบหน้าของตัวเองเบาๆ พยายามที่จะฉีกยิ้มออกมา แต่ความพยายามช่างไร้ค่าเสียเหลือเกินเนื่องจากรอยยิ้มที่สะท้อนกลับมาดูเป็นอะไรที่ฝืนธรรมชาติสุดๆ เขาล้มเลิกความตั้งใจแล้วตั้งท่าจะเดินออกไปนอกห้อง แต่มันก็เป็นเวลาเดียวกันที่โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นมาพอดี เขาสะดุ้งก่อนจะหยิบมันออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขารีบมองไปยังคนที่นอนอยู่บนเตียง ....ยังไม่อยากให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาตอนนี้

     

                เขารับโทรศัพท์พยายามที่จะทำเสียงให้นิ่งที่สุด “มีอะไร”

     

                “คุณอยู่ที่ไหนแล้วคะ?” เสียงผู้หญิงคนเดิมดังเข้ามาทางปลายสาย ....เสียงที่น่ารังเกียจเสียจนเขาอยากจะอาเจียนออกมา

     

                “กำลังจะออกไป” เขากระซิบเสียงแผ่ว

     

                “หรอคะ” อีกฝ่ายพูดเสียงราบเรียบ ทำเอาเขาต้องขมวดคิ้วออกมาเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ “รีบๆมานะคะ ถ้าคุณมาดึกมากร้านจะปิดเสียก่อน แล้วเราอาจจะไม่ได้คุยกัน”

     

                เขาเผลอบีบโทรศัพท์ในมืออย่างไม่รู้ตัว “รู้แล้ว” ก่อนจะกดตัดสายไป

     

                เขากัดริมฝีปากก่อนจะรีบเก็บโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋ากางเกงตามเคย แล้วรีบเดินสาวเท้าออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว


























    แงง ตอนนี้อัพช้า ขอโทษนะ ;_____;
    คือพอดีงานปิดเทอมยังไม่เสร็จ เลยต้องปั่นอันนั้นก่อน
    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านฟิคเรื่องนี้นะคะ ขอบคุณจริงๆ ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว
    ตอนนี้ใช้ชื่อตอนว่า 'ซับซ้อน'
    มันหมายถึงเรื่องราวต่อไปนี้จะซับซ้อนมากขึ้น
    เช่น ลูอิสเป็นอะไร เลียมจะเป็นยังไง แดเนียลนิสัยจริงๆคืออะไรแล้วกำลัวางแผนอะไรอยู่
    เพอร์รี่กังวลเรื่องอะไรแล้วคนที่โผล่ออกมาตอนสุดท้ายคือใคร? (เดาว่าหลายคนน่าจะรู้มั้ง)
    สรุปแล้วตอนนี้จะเป็นอะไรที่เริ่มผูกปมค่ะ
    ไปแล้วนะ ฝากไว้ให้ไปคิดเล่นๆกัน
    เจอกันตอนหน้าค่ะ :)















    Supercell

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×