คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : [SF] :::: S.E.O.U.L. Story ::::
Title ::: [SF] S.E.O.U.L. Story >> Photo of Seoul By Sungmin
Couple ::: Sungmin & his camera
Rate ::: G
Note ::: ดู MV แล้วกรีดร้อง...อยากไปเที่ยวโซลมันซะเดี๋ยวนั้น
Note 2 ::: ฟิคเรื่องนี้มีสองตอนย่อยค่ะ ของเราขออุ๊บอิ๊บและเอาแต่ใจแต่งในส่วนของคุณอี(สุดที่รัก ^^) และคาดว่าอีกไม่นานเกินรอ คุณพี่สาวที่น่ารักจะนำในส่วนของ 'ใครอีกคน' มาลงให้อ่านกันนะคะ อ่านกันเพลินๆ...อย่าคิดมากค่ะ ^^
Warning ::: ป่วง!!! Again & Again...คึคึ
ในวันนี้...ผมทำได้แค่เพียงมองเขาผ่านเลนส์
ถึงแม้ลึกๆในใจของผมจะยังหวัง...
ว่าสักวัน...เขาอาจจะมองกลับมา ผ่านทางสายตาของเขาบ้าง
*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*
'โซล...เมืองแห่งความฝันที่ไม่มีวันสิ้นสุด'
นิยามสั้นๆของมหานครแห่งเทคโนโลยีที่มีประชากรรวมราวยี่สิบสี่จุดห้าล้านคน ที่นี่ไม่เพียงแต่จะเป็นเมืองหลวงที่รวมเอาความทันสมัยล้ำโลกเข้ามาไว้ด้วยกัน แต่ยังเป็นเมืองแห่งศิลปะที่ผสมผสานเอาความเป็นตัวตนของเชิ้อชาติกับศาสตร์และศิลป์แนวใหม่ไว้ได้อย่างลงตัว ทำให้ผมต้องหอบเอาเจ้าเพื่อนตัวอ้วนออกมาเดินเล่นรอบเมืองจนเป็นกิจวัตรเพื่อตามเก็บภาพในมุมต่างๆของมหานครแห่งสีสันนี้ไว้ในเมมโมรี่การ์ดแผ่นเล็ก แทนเซลล์สมองส่วนความจำที่อาจจะถูกลบเลือนไปได้ตามกาลเวลา
การประกวดนิทรรศการภาพถ่ายแห่งโซลที่กำลังจะถูกจัดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ช่างทำให้หัวใจดวงน้อยๆของผมเต้นแรงเสียยิ่งกว่าอะไร จะดีแค่ไหนกัน...ถ้าคนมีฝันคนหนึ่งจะได้มีพื้นที่ไว้สำหรับการถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในหัว กลั่นกรองผ่านเลนส์รับแสง แล้วฉายชัดเข้าสู่ประสาทสัมผัสของใครอีกหลายคน มันต้องเป็นเรื่องที่วิเศษมากๆเลยใช่มั้ยล่ะ
หลายครั้งที่ผมคิดแย้ง โซล...ไม่ใช่แค่มหานครแห่งความฝันอย่างคำนิยามที่ถูกกำหนดไว้ ให้ แต่จากการที่ผมได้เดินทางไปเก็บภาพตามสถานที่ต่างๆในเมืองหลวงแห่งนี้ ทำให้ผมได้ตระหนักรู้ว่า โซล...ยังเป็นมหานครที่อุ่นอวลไปด้วยไอรักจากผู้คนรอบข้างอีกด้วย
ถึงจะไม่ได้โรแมนติกกอย่างกรุงปารีส...แต่ก็น่ารักมีเสน่ห์อย่าบอกใคร
เป็นต้นว่า...ถ้าคุณได้มีโอกาสออกมาเดินเล่นสูดอากาศเย็นๆยามเช้าตามสวนสาธารณะริมแม่น้ำฮัน คุณก็อาจจะได้เห็นใครบางคนกำลังฝึกปั่นจักรยานอย่างเอาเป็นเอาตาย หวังเพียงแค่จะได้เป็นเพื่อนร่วมทางกับหนุ่มนักจ๊อกกิ้งเจ้าของรอยยิ้มคมผู้ซึ่งเป็นนายแบบจำเป็นให้กับผลงานของผม
หรือตอนกลางวันในเวลาราชการ คุณก็อาจจะเห็นคุณครูใจดีที่กำลังพาเด็กๆเดินแถวไปทัศนะศึกษาตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆรอบกรุงโซล โดยมีคุณตำรวจร่างกลมยืนอำนวยความสะดวกให้ด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง
แต่ถ้าคุณลองไปเดินช้อปปิ้งตามตลาดศิลปะอย่างย่านอินซาดง คุณก็อาจจะได้เจอกับเด็กสาวคนขายเสื้อผ้าแฮนเมดที่บางครั้งเธออาจหลุดท่าทางการวางเท้าแบบบัลเล่ และเจ้าของร้านขายของที่ระลึกหนุ่มผู้ซึ่งชอบฮัมทำนองเพลงแร็พจนติดปากกำลังยืนส่งยิ้มให้กันอย่างจริงใจ
ภาพของคนหลายคนกับบรรยากาศและอารมณ์ที่สื่อออกมา...
...มันทำให้ผมยิ้มได้...ทุกที
และในวันนี้ ผมกับเจ้าเพื่อนตัวอ้วนของผม...ก็ยังคงทำหน้าที่ต่อไป
คลองชองกเยชอน คลองขุดกลางเมืองที่ถือได้ว่าเป็นคลองที่สวยที่สุดในประเทศเกาหลีใต้ พาดผ่านหัวใจสำคัญแห่งการค้าของมหานครได้อย่างเหมาะเจาะ ด้วยการออกแบบและประดับตกแต่งทางเดินเลียบคลองสายนี้ช่างพิถีพิถันนัก ทำให้หนุ่มสาวชาวโซลหลายคนเลือกที่จะมาใช้เวลาเดินเล่นกับคนคุ้นเคยกันที่นี่
ส่วนผมนะเหรอ...วันนี้ขอเป็นแค่ส่วนหนึ่งของบรรยากาศอุ่นๆนี่ก็แล้วกัน
ที่ๆผมยืนอยู่คือสะพานต้นคลองชองกเยชอน เมื่อมองจากมุมนี้ ผมจะสามารถเห็นเส้นทางของสายน้ำที่ทอดยาวออกไปเรื่อยๆ แถมผมยังสามารถหามุมเก็บภาพในช่วงเวลาต่างๆของวันจากคลองสายนี้ได้แบบไม่ลำบากอีกด้วย
ผมเริ่มเล็งกล้องเพื่อเก็บภาพในมุมกว้างของคลองในยามสาย แสงแดดไม่ร้อนและจ้าจนเกินไป รูปที่ออกมาจึงแอบถูกใจผมอยู่ไม่น้อย ผมเริ่มเล็งมุมภาพที่แคบลงกว่าเดิมเพื่อที่จะได้เก็บรายละเอียดปลีกย่อยที่ใครหลายคนอาจมองข้ามไปอย่างไม่ทันตั้งใจ และสิ่งที่ผมเพิ่งเห็นก็สร้างความแปลกใจให้ผมได้พอตัวเลยทีเดียว
ไม่ยักรู้มาก่อนเลยว่า ณ ทางเดินเลียบคลองจะมีคนเข้ามาทำกิจกรรมอย่างอื่นอีกนอกจากการถ่ายภาพ
ทั้งตัวมาสคอสเด็กผู้หญิงที่มายืนคอยแจกลูกโป่งสีสดใสให้กับเด็กๆที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวคลอง ทั้งนักเต้นบีบอยที่จับกลุ่มซ้อมเบาๆกันตั้งแต่หัววัน แล้วยังจะเหล่าจิตกรภาพเขียนที่นั่งแยกมุมกันวาดภาพตามจินตนาการนั่นอีก
อารมณ์ศิลปินโดยแท้...
เผลอมองจนเกือบลืมสิ่งที่คิดจะทำ เมื่อนึกได้ผมก็ตั้งกล้องเล็งอีกครั้ง ค่อยๆปรับโฟกัสให้เข้าที่เข้าทางอย่างที่คิด แต่ก่อนที่จะกดชัทเตอร์ครั้งที่สามเพื่อเก็บภาพคุณจิตรกรหนุ่มทางด้านฝั่งขวา ลมหายใจของผมแอบสะดุดจนตัวผมเองยังรู้สึกได้เมื่อเห็นภาพผ่านจอกล้องที่ปรับโฟกัสเรียบร้อยแล้ว
รู้สึกคุ้นจนบอกไม่ถูกว่าเคยเจอกันที่ไหน...
เมื่อความสงสัยมันรุมเร้า มือที่อยู่ไม่สุขของผมจึงได้แต่ปรับซูมภาพเข้าไปให้ใกล้จนสามารถเห็นใบหน้าคมนั้นได้อย่างชัดเจน
ที่แท้ก็เป็นนาย...โจคยูฮยอน เด็กศิลปกรรมศาสตร์เอกโมเดิร์นอาร์ทที่ใครๆก็พูดถึง
ผมลดเจ้าเพื่อนตัวอ้วนลงพร้อมๆกับความประหลาดใจที่แล่นปราดเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว
คนดังของคณะ...แอบมานั่งทำอารมณ์ศิลปินแถวนี้เองเหรอเนี่ย
โจคยูฮยอน...ชื่อที่นักศึกษาหลายคนในมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่ต้องเคยคุ้นหูกันบ้าง โดยเฉพาะนักศึกษาสาวที่ต่างก็พูดถึงศิลปินหนุ่มปีสี่ฝีมือฉกาจที่มีหน้าตาไม่ได้ด้อยไปกว่าผลงานของตัวเองเลย ท่าทางเงียบๆและไม่ค่อยจะสุงสิงกับใครมากนักทำให้ใครหลายคนอยากจะเข้าไปทำความรู้จักตัวตนของว่าที่จิตรกรหนุ่มคนดัง แถมผมยังเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับรอยยิ้มร้ายกาจของเจ้าตัวที่น้อยครั้งและน้อยคนนักที่จะได้เห็น
ส่วนตัวผมก็แค่เคยได้มองผ่านๆ เดินสวนกันบ้างในมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่เคยได้ลองสังเกตจริงจังสักทีว่าคนๆนนี้มีเสน่ห์ดึงดูดอะไร
แต่อย่างน้อยวันนี้ผมก็ได้รู้...
ว่าที่จิตรกรหนุ่มคนนี้...มีมุมส่วนตัวที่น่าสนใจอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ
*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*
หลายวันแล้วที่ผมยังคงวนเวียนกลับมาเก็บภาพที่คลองกลางเมืองอีกครั้ง...
ถ้าจะพูดว่าเหตุผลที่ผมย้อนกลับมาที่เดิมเพราะอยากจะเก็บภาพคลองสวยๆนี้ในหลายๆมุมมองก็คงจะเป็นเรื่องที่โกหกจนเกินไป ในเมื่อทุกครั้งที่กลับมา สิ่งที่ผมมองหาเป็นอันดับแรกไม่ใช่ทัศนียภาพที่อยากเอาไปขึ้นบอร์ดโชว์ แต่กลับเป็นชายหนุ่มคนเดิมที่ผมตั้งใจว่าจะคอยสังเกตดูพฤติกรรมของเขาในทุกวันด้วยความที่อยากพิสูจน์เสียงลือเสียงเล่าอ้างให้เห็นจริงด้วยตาตนเอง แต่ผม...กลับตกหลุมพรางที่ตัวเองขุดไว้โครมเบ้อเร่อ จะปีนขึ้นมาก็คงไม่ทัน
ในเมื่อทุกครั้งที่ผมปรับโฟกัสเข้าหา...เสน่ห์ที่ซุกซ่อนอยู่ก็ค่อยๆเผยออกมาให้เห็นอย่างไม่ตั้งใจ
พอมารู้ตัวอีกที...เขาก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของผลงานเกือบทั้งหมดไปซะแล้ว
มีหลายครั้งที่ผมเปลี่ยนมุมมองไปยังฝั่งตรงข้ามบ้าง ทางเดินข้างบนด้านหลังเจ้าตัวบ้าง มันทำให้ผมได้รู้อะไรบางอย่าง...คุณจิตรกรหน้าหยกคนนั้นทำให้รูปภาพของผมสวยขึ้นอีกเป็นกอง บางที...เขายังทำให้ผมเผลอตัวยิ้มตาม ทั้งๆที่ผมเพียงแค่มองเขาผ่านเลนส์ไกลๆเท่านั้น
แต่ด้วยความกล้าที่ผมรวบรวมมาจากไหนไม่รู้ ทำให้ในวันนี้...ผมเลือกที่จะลงมายืนถ่ายรูปอยู่บนทางเดินเลียบคลอง แถมยังเป็นฝั่งเดียวกับที่ที่คนคุ้นตาของผมมานั่งวาดภาพอยู่เกือบทุกวัน ถึงแม้จะไม่ได้ใกล้มาก แต่ก็เป็นจุดที่ใกล้ที่สุดเท่าที่ผมเคยคิดจะเหยียบย่างเข้าไป และสิ่งที่ผมกำลังจะทำต่อไปนี้...ก็คงเหมือนสิ่งที่ผมทำอยู่เกือบทุกวัน
มอง 'เขา' ผ่านเลนส์...อีกครั้ง
เสียงชัทเตอร์ยังคงดังอย่างต่อเนื่องเพื่อเก็บภาพคุณจิตรกรหนุ่มไฟแรงที่กำลังส่งยิ้มพึงพอใจให้กับผลงานของตนอยู่เงียบๆ
รอยยิ้มแบบนั้น ถ้าได้เห็นใกล้ๆ...จะเป็นยังไงนะ
ราวกับจิตใต้สำนึกเป็นตัวสั่งการให้มือซ้ายจอมทรยศของผมหมุนปรับโฟกัสกล้องให้ใกล้เข้าไปอีกหลายเท่า จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่ใบหน้าด้านข้างของคนถูกแอบมอง ดวงตาสีเข้มแต่อ่อนโยนคู่นั้นกำลังทอดต่ำอยู่บนกระดานวาดภาพตรงหน้า ดูเป็นประกายซะจนผมนึกอยากเก็บเอาไว้เพียงคนเดียว จมูกโด่งได้รูปที่ดูจะเป็นจุดดึงดูดให้ใครหลายๆคนต้องเหลียวมอง แล้วยังจะรอยยิ้มแห่งความสุขที่กำลังระบายอยู่เต็มแก้มนั่นอีก มันทำให้ผมเผลอมองภาพนั้นจนลืมที่จะกดชัทเตอร์ไประยะหนึ่งเลยทีเดียว
เหมือนจะนึกขึ้นได้...ถ้าเก็บภาพนี้เอาไว้ ก็คงดีไม่น้อย
แต่ก่อนที่ผมจะกดปุ่มถ่ายภาพเพียงเสี้ยววินาที จู่ๆใบหน้าเป้าหมายก็หันมามองในองศาเดียวกับที่ผมยืนอยู่ และ...ให้ตายเหอะ!!! ถ้าผมไม่ได้ตาฝาดหรือเกิดภาพมโนขึ้นมาเอง...
'เขา' กำลังส่งยิ้มมาที่ผม!!!
มือไม้ที่จับกล้องแอบสั่นเล็กน้อยแต่ก็ยังรู้สึกได้ ประหม่าไปนิดเมื่อคิดว่าใครคนนั้นอาจจะรู้ตัวแล้วว่าถูกแอบมอง ฝืนทำนิ่งกดชัทเตอร์ไปหนึ่งครั้งถ้วนก่อนจะคิดได้ว่าบางที...เขาอาจจะไม่ได้มองมาที่ผมก็ได้ ถ้าจะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นรอยยิ้มเมื่อครู่ก็คงโอเคอยู่
เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมจึงค่อยๆเปลี่ยนองศากล้องเล็กน้อยทำเหมือนว่ากำลังหามุมเก็บภาพมากกว่าที่จะจับจ้องอยู่ที่รอยยิ้มชวนหลงนั่น แล้วค่อยเดินไปหาที่สิงสถิตใหม่ต่อไป...
หวังว่าท่าทางของผมมันจะ 'เนียน' พอนะ
เนียนแหล่ะ...
...มั้ง!!!
*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*
คงต้องขอบคุณเจ้าพื้นที่ว่างขนาดสามตารางเมตรครึ่งและบรรดารูปถ่ายที่วางเกลื่อนอยู่ในห้องอัดที่ทำให้เวลาว่างของผมถูกเผาผลาญไปจนหมด วันเปิดนิทรรศการเริ่มใกล้เข้ามาทุกที ความคิดฟุ้งซ่านจึงถูกแทนที่ด้วยรูปแบบการนำเสนอแนวคิดที่จะสื่อของผลงาน สารภาพตามตรงเลยว่าผมก็แอบคิดถึง 'ใครคนนั้น' อยู่บ้าง หลังจากวันที่แกล้งทำตัวเนียนๆถอยห่างออกมา ผมก็ไม่ได้กลับไปที่นั่นอีกเลยเพราะงานที่รัดตัวจนแทบจะกระดิกไปไหนไม่ได้ และอีกอย่าง...ผมก็พอใจมากแล้วที่ได้แอบมองและเก็บภาพคนๆนี้ไว้เป็นความทรงจำ แอบภาวนาขออย่าให้เขาต้องมารู้ใจผมเลย ผมยังไม่อยากมีชีวิตพังๆเพราะถูกคนที่แอบมองเกลียดหรอกนะ
ให้ตายเหอะ!!! มัวแต่เพ้อเจ้อ แล้วกับสเปซพวกนี้ผมจะทำยังไงกับมันดีล่ะ...
คิดจนหัวแตกก็คิดไม่ออกหรอก
ถ้างั้น...ขอเวลาไปหาอะไรมาลงท้องหน่อยก็แล้วกันเนาะ
.
.
.
และมินิมาร์ทที่แสนจะคุ้นเคยก็ได้ช่วยชีวิตผมไว้อีกครั้งหนึ่ง
หลายหนที่ผมอยู่ในห้องมืดจนดึกดื่นเพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาล้างรูปจากฟิล์มให้เสร็จอย่างที่ตั้งใจ ก็ได้มินิมาร์ทขนาดกลางที่ตั้งอยู่ห่างจากสถานศึกษาของผมไปเพียงแค่หนึ่งบล็อคถนนเป็นที่พึ่ง ของที่ผมซื้อไปเพื่อชดเชยความหิวก็ยังคงเป็นของเดิมๆที่ผมชอบหยิบติดมือจนเป็นนิสัย
เพียงแค่เปิดประตูมินิมาร์ทแล้วเลี้ยวซ้ายเลียบกำแพงกระจกก็จะเจอกับตู้ไอติมขนาดกลางสีสะดุดตาตั้งอยู่ ถึงแม้ใจไม่ได้คิดอยากซื้อ แต่แอบมาเดินเฉี่ยวเล่นก็เพลินดีเหมือนกัน
อัพเดทเทรนไอติมจนพอใจผมก็เงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกกำแพงกระจกที่กางกั้น ทั้งๆที่ก็เดินเข้าออกมาตั้งหลายปี ฝากปากท้องไว้ที่นี่ก็ตั้งหลายหน แต่ดันไม่เคยคิดใส่ใจกับรายละเอียดรอบข้างเอาซะเลย ผมเพิ่งจะมาเห็นในวันนี้เองว่า เมื่อมองผ่านบานกระจกไป...มุมมองของ 'โซล' ที่แตกต่างออกไปก็ปรากฎให้เห็นอยู่ตรงหน้า บนเทือกเขานัมซานที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนักมีสัญลักษณ์ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของมหานครแห่งนี้ตั้งตระหง่านอยู่...
Seoul Tower...พ่อมดชุดขาวผู้ทอดตัวยาวอยู่ในสายหมอกจาง
แอบเจ็บใจตัวเองอยู่ไม่น้อย ในเมื่อภาพที่กำลังตกกระทบบนเรติน่ามันช่าง...เกินบรรยาย ถ้ามีเจ้าเพื่อนตัวอ้วนอยู่ในมือตอนนี้คงจะดีไม่น้อย ยิ่งมีแสงอาทิตย์อัสดงสาดส่องอยู่ที่ปลายผืนฟ้า ยิ่งขับเน้นให้หอคอยสีขาวดูน่าหลงใหลมากขึ้นไปอีก ถ้าไม่เก็บภาพเอาไว้ซะหน่อยก็น่าเสียดายแย่
Black Berry ของผมจึงถูกนำมาใช้แบบเฉพาะกิจ น้อยครั้งมากที่ตากล้องมือสมัครเล่นอย่างผมจะหยิบมือถือขึ้นมาบันทึกภาพเพราะหน้าที่เหล่านั้นผมมักจะโยนมันให้กับเจ้าเพื่อนตัวอ้วนอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงจะไม่ได้เป็นกล้องเพื่อถ่ายภาพแบบจริงจัง แต่อาศัยแค่คุณสมบัติพื้นฐานของมันบวกกับการปรับแต่งค่าอีกเล็กน้อย รูปที่ออกมาจึงถือได้ว่าไม่เลวนัก
พออารมณ์ดี ไอเดียก็เริ่มไหลเข้าสู่สมองเรื่อยๆ หลังจากที่เดินหาแรงบันดาลใจอยู่นาน ตอนนี้ก็ควรแก่เวลาที่จะกลับไปจัดการจับเจ้าความคิดในหัวใส่ลงในชิ้นงานซักที เป้าหมายต่อไปของผมจึงเป็นล็อคของกินที่อยู่ไม่ไกลมาก ทั้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ทั้งขนมอบกรอบถุงใหญ่ แถมด้วยขนมปังอีกหลายห่อที่ต้องระเห็จเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของผม คงช่วยให้กระเพาะอาหารน้อยๆผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไปได้อย่างไม่ลำบากนัก
ขณะที่ผมกำลังยืนชั่งใจระหว่างขนมปังไส้ช็อคโกแล็ตกับโรลนมสดชิ้นสุดท้ายอยู่ หางตาข้างขวาของผมก็แอบเห็นว่ามีคนเดินเข้ามาหาซื้อของในล็อคเดียวกัน ด้วยสัญชาตญาณป่วงๆของมนุษย์คนหนึ่งจึงแอบหันไปมองโดยไม่คิดอะไร...
ถ้าก่อนหน้านี้ไม่คิด...ตอนนี้ก็คงต้องคิดแล้วล่ะ
โจคยูฮยอน...ให้ตายเหอะ!!!
หิวเวลาไหนไม่หิว ดันมาหิวเวลาเดียวกัน แถม...ร้านสะดวกซื้อในโซลมีเป็นพัน แต่ดันมาเดินเตร่แถวมหาลัยเนี่ยนะ
ความคิดที่เพิ่งจะถูกจัดให้เป็นระเบียบเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า ได้ถูกคนที่ยืนห่างจากผมออกไปห้าก้าวทำให้มันพันกันยุ่งเหยิงยิ่งกว่าเดิม มือของผมคว้าเอาขนมปังทั้งสองชิ้นเข้าสู่อ้อมแขนโดยไม่ต้องหยุดคิดอีก ในเมื่อเสียงเต้นระทึกในอกมันดังตึกตักจนกลบเหตุและผลไปซะเรียบ พยายามเดินให้เนียนเข้าไว้ ไม่ช้าเกินไปและก็ไม่เร็วจนน่าสงสัย
เมื่อคิดว่าหลุดพ้นรัศมีหางตาของคนที่ผมกำลังหลบหน้าแล้ว อาการรีบเร่งขั้นโคม่าก็ทำเอาผมแทบกลั้นใจตาย มือหนึ่งเหวี่ยงเปิดประตูตู้แช่น้ำก่อนจะเอื้อมหยิบชาดำมะนาวของโปรด ในขณะที่อีกแขนก็รวบเอาของทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกันอย่างทุลักทุเลสุดบรรยาย
สภาพอเนถอนาถขนาดนี้...อย่าให้ 'เขา' ต้องบังเอิญมาเห็นเลยเถอะ!!!
รีบเดินด้วยความเร็วราวติดจรวดไปหาคุณแคชเชียร์สุดสวยเมื่อเห็นว่าของกินครบอย่างที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ เพราะถ้ายังฝืนอยู่ต่อไปคาดว่าผมคงได้ปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อแน่ สารภาพตามตรง...ผมมันคนเก็บความรู้สึกได้แย่อันดับต้นๆเลยล่ะ แถมนี่ยังต้องมาเจอแบบตัวต่อตัวและระยะใกล้เกินกว่าที่ใจของผมมันขีดเส้นเอาไว้แล้วด้วย
อย่าหาว่าผมหนีเลยนะ...แต่ตอนนี้มันยังไม่พร้อมแบบจริงจัง
คงต้องโทษความตะกละของตัวเองอีกครั้งที่ทำให้ผมต้องเผลอกลั้นหายใจไปหลายวิ เพราะในขณะที่พนักงานคิดเงินกำลังแสกนราคาของกินที่วางกองเป็นภูเขาลูกย่อมๆไปได้เพียงครึ่ง หางตาเจ้ากรรมที่ทำผมลำบากครั้งแล้วครั้งเล่าก็เหลือบไปเห็นหนุ่มจิตรกรเจ้าของรอยยิ้มสะกดจิตกำลังยืนต่อแถวรอคิวคิดเงินที่เคาเตอร์ถัดไปอย่างไม่รีบร้อน แถม...ยังดูชิวซะจนผมแอบเสียเซลฟ์ไปสามสิบเปอร์เซ็นต์
ผมรีบหยิบธนบัตรสามสี่ใบให้กับพี่สาวแคชเชียร์ตรงหน้า กะว่าถ้าได้เงินทอนเมื่อไหร่ก็จะรีบเดินใส่ความเร็วเต็มสปีดออกไปโดยไม่คิดเหลียวหลังแม้แต่ครึ่งองศา แต่ด้วยความที่เหรียญไม่พอทอนคืน พี่สาวที่น่ารักจึงต้องเดินไปเข้าเบิกถึงห้องด้านในโดยให้คุณพนักงานท่านอื่นช่วยมายืนประจำการแทนที่ ทำให้ช่วงเวลาชวนวิตกของผมยืดยาวต่อไปอีก
แต่ถ้า...ได้อยู่ใกล้ขนาดนี้แล้วจะแอบหันไปมองหน่อยนึง...เขาก็คงไม่รู้หรอกมั้ง
แกล้งทำเนียนว่ามองผ่านไปเรื่อย ไม่ได้นึกจะสนใจ 'ใคร' หรือ 'อะไร' เป็นพิเศษ ยิ่งของที่ 'ใครคนนั้น' ซื้อ...ยิ่งทำเป็นไม่สนใจอย่างแรง!!!
ว่าแต่...โจคยูฮยอนชอบกินชาเขียวนมด้วยเหรอ
มันคือความจริงที่ผมเพิ่งจะรู้เลยนะเนี่ย...
*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*
ในที่สุด...พื้นที่ว่างขนาดสามตารางเมตรครึ่งก็เต็มไปด้วยเรื่องราวของมหานครใหญ่ที่คุ้นเคย
จะแตกต่างออกไปก็ตรงที่...เป็นการนำเสนอผ่านรูปถ่ายหลายสิบใบในมุมมองของช่างกล้องมือสมัครเล่นที่ชื่ออีซองมิน ผมยืนมองผลงานของตัวเองที่ถูกติดไว้บนฝาผนังห้องตามคอนเซ็ปที่ได้วางไว้ ภาพถ่ายในมุมและช่วงเวลาต่างๆกันของโซลถูกจัดให้อยู่เป็นสัดส่วน ไล่มาตั้งแต่ช่วงเช้า กลางวัน และเย็นตามลำดับ ส่วนตรงกลางของห้องผมได้นำหอคอยกล่องกระดาษทาทับด้วยสีขาวมาตั้งเพื่อเป็นไฮไลท์ของนิทรรศการณ์ ตามผนังของหอคอยจะมีส่วนหนึ่งของกล่องยื่นออกมาให้สามารถตั้งวางรูปโชว์ได้ ในส่วนนี้ผมเลือกที่จะใช้เพื่อสื่อถึงช่วงวลาในยามค่ำคืนของมหานครแห่งสีสัน
รอบๆหอคอยมีรูปถ่ายที่สื่อถึงแสงสีและบรรยากาศชวนอบอุ่นของโซลในยามค่ำคืน ประดับด้วยแสงไฟดวงเล็กๆที่จัดไว้อย่างลงตัวอยู่โดยรอบ โชคดีที่ในส่วนงานของผมแทบจะไม่มีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์เข้ามารบกวน หลอดไฟที่ผมตั้งใจหามาตกแต่งจึงสามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
และรูปถ่ายที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดของหอคอย ก็คือภาพถ่ายที่ผมยกให้เป็นตัวแทนของอารมณ์และจิตวิญญาณ ที่ผมใช้ความพยายามอยู่หลายเดือนในการสื่อสารมันออกมาผ่านสิ่งที่ผมรักภายใต้คอนเซ็ปอันเด่นชัดอยู่ในหัวของผมตั้งแต่วันที่หัวใจเริ่มรับรู้ถึงกลิ่นอายของมัน...
Love of Soul...Light of Seoul...
ภาพของสีสันแห่งสายน้ำยามโพล้เพล้ ณ คลองใหญ่กลางเมืองกำลังโลดแล่นไปตามเส้นทางของมันโดยมีฉากหลังเป็นย่านช็อปปิ้งชื่อดังที่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากร้านค้าต่างๆ หลากหลายชีวิตเลือกที่จะเข้ามาดื่มด่ำบรรยากาศของคลองสายโรแมนติกไปพร้อมๆกัน โดยมีสายตาของชายหนุ่มต้นเรื่องกำลังทอดมองผู้คนเหล่านั้นพร้อมด้วยรอยยิ้มอุ่นอยู่หลังเฟรมผ้าใบ...
ชายหนุ่มคนนั้น...คนที่ผมอยากถ่ายทอดมุมมองผ่านตัวตนของเขามากที่สุด
เผลอจมอยู่กับความคิดจนมีผู้ชมงานเข้ามาถามรายละเอียดของงานแสดง ผมจึงได้ดึงตัวเองกลับมายืนอยู่ในความเป็นจริงอีกครั้ง ความสุขเริ่มหลั่งไหลเข้ามาสู่จิตใจของผมจนแทบจะล้นออกมาทางรอยยิ้มบนใบหน้า เพียงแค่ผู้เสพความสุนทรียศิลป์นั้นเข้าถึงความงามของผลงานที่ผมพยายามสื่อออกมา แค่นี้...ผมก็ถือว่าสิ่งที่ผมทำมันได้บรรลุถึงจุดที่พอใจแล้ว
.
.
.
เมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงบ่ายของวัน ผมก็ไหว้วานให้เพื่อนร่วมชมรมช่วยดูแลในส่วนของงานที่จัดแสดง ก่อนที่จะขอปลีกตัวไปหาอาหารกลางวันทานแบบไม่ต้องพิถีพิถันนัก พอท้องอิ่มก็ต้องไปรับช่วงต่อจนถึงเย็น แต่ก่อนที่จะต้องกลับไปดูแลความเรียบร้อย ความคิดอยากเถลไถลของเด็กซนๆก็เข้าสิงผมอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ขอแอบไปสร้างกำลังใจก่อนก็แล้วกัน...
ทางเดินอันแสนคุ้นทอดยาวจากบันไดหินอ่อนไปจนสุดความยาวของตึก ณ ห้องท้ายปลายทางเดินคือแหล่งซ่องสุมของช่างภาพสมัครเล่นฝีมือฉกาจภายในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งนี้...ชมรมถ่ายภาพ ภายในห้องกว้างถูกแบ่งออกเป็นห้องย่อยอีกสองสามห้องเพื่อประโยชน์ใช้สอยที่แตกต่างกันออกไป ฝาผนังสีขาวแทบจะหาที่ว่างจากบอร์ดไม้ปักหมุดไม่ได้ เพราะถ้าปล่อยให้ผนังแสนสวยไร้เงารูปถ่ายแล้วล่ะก็ ห้องนี้คงจะไม่สมกับเป็นห้องชมรมเด็กแนวอย่างแน่นอน
ผมเดินผ่านรายละเอียดปลีกย่อยเหล่านั้นก่อนที่จะเปิดประตูเข้าสู่ห้องมืด...ห้องที่ใช้ล้างรูปสุดคลาสสิคของชมรม มือขวาเอื้อมออกไปหยิบเอารูปถ่ายของตัวเองที่ผ่านกระบวนการล้างจนเสร็จเรียบร้อยแล้วขึ้นมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
สายตาของผมอ่อนโยนลงเมื่อไหร่ก็ยากที่จะรู้...
ผมรู้แค่เพียงว่า...ทุกครั้งที่ได้คิดถึงรอยยิ้มตรงหน้านี้ หัวใจของผมมันอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด
รู้สึกถึงคิ้วที่ขมวดกันเล็กน้อยของตัวเองเมื่อประสาทการมองเห็นเริ่มรับรู้ถึงความผิดพลาดบางอย่างที่เกิดขึ้นกับรูปถ่ายในมือ
อันที่จริง...มันคือความผิดพลาดของผมเอง
ไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อว่าตั้งแต่อีซองมินได้ร่ำเรียนวิชาถ่ายภาพชั้นสูงมาจากอาจารย์คิมจงอุน...อาจารย์ผู้เป็นนักถ่ายภาพมืออาชีพและคร่ำหวอดในวงการนักเล่นกล้องมานาน ก็ถ่ายรูปได้คมชัดและเป็นที่ยอมรับในหมู่เพื่อนร่วมชมรมเสมอมา
แต่ทำไม...แค่เพียงรูปใบนี้ใบเดียวเท่านั้น ที่แลดูเหมือนว่ามือของคนถ่ายจะ 'สั่น' อย่างเห็นได้ชัด
หรือจะเป็นเพราะนาย...โจคยูฮยอน
ที่ทำให้ 'หัวใจ' ดวงนี้สั่นไหว...เพียงแค่นายบังเอิญส่งยิ้มผ่านมาเท่านั้น
.
.
.
ทันทีที่กลับไปถึงสถานที่จัดแสดง ผมก็จัดการแปะมือกับเพื่อนแล้วกลับมาประจำตำแหน่งเดิมของตัวเองอีกครั้ง เดินสำรวจรอบบริเวณปะปนไปกับผู้ชมหนึ่งรอบถ้วนก็ไปสะดุดตาเข้ากับแผ่นกระดาษ Post It สีเขียวสดที่ถูกหมุดปักไว้บนบอร์ดไม้ขนาดเล็กที่ผมตั้งใจวางเอาไว้ให้ผู้เข้าชมงานได้มีส่วนร่วมและแสดงความคิดเห็นต่อการจัดนิทรรศการณ์ในส่วนของผมเอง
ถ้าจำไม่ผิด...ก่อนออกไปเถลไถลก็ไม่เห็นมีนี่นา
สงสัยคงมาตอนที่ผมแอบไปพักพอดีล่ะมั้ง
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้ติดใจเจ้า Post It สีสวยแผ่นนี้นัก อาจจะเพราะลายมือหวัดนิดๆที่ดูแล้วเจ้าของน่าจะมีอารมณ์ศิลป์อยู่พอตัว หรืออาจจะเพียงเพราะมันติดอยู่ในระดับสายตาที่ผมกำลังให้ความสนใจอยู่ก็เป็นได้...
"รูปถ่าย...สวยมากครับ"
แต่สิ่งที่ผมรู้แน่ๆในตอนนี้ก็คือ...
ข้อความในกระดาษแผ่นนั้น...มันพอจะทำให้ผมนั่งอมยิ้มไปได้อีกหลายวันเลยล่ะ
*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*
ช่วงย่ำค่ำของวันสิ้นปี...ผมตัดสินใจที่จะกลับมาเยี่ยมเยือนคลองชองกเยชอนอีกครั้ง
ทั้งรุ่นเพื่อนและรุ่นพี่หลายคนต่างก็ออกปากถามว่าในคืนนี้ผมจะไป Countdown เข้าสู่ปีใหม่และวันเกิดของตัวเองที่ไหน เมื่อตอบไปว่ายังไม่มีจุดหมายที่แน่นอน คนเหล่านั้นก็รีบชวนให้ไปฉลองปาร์ตี้กันยิกๆ อันที่จริงตัวผมเองก็ไม่ใช่พวกแอนตี้งานรื่นเริงอะไรนัก แต่ในปีนี้..ผมก็แค่อยากจะกลับไปยืนในที่ที่ผมเคยมีความสุขในการแอบมองใครบางคน ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของผมเลยก็ตาม
คู่รักหลายคู่ที่จับจูงมือกันมาเดินเล่นทอดอารมณ์บนทางเลียบคลองทำเอาผมแอบนึกอิจฉาอยู่ไม่น้อย ความสุขที่รายล้อมอยู่รอบผู้คนเหล่านั้นมันทำให้ผมเจ็บแปลกๆในอกข้างซ้าย อดที่จะคิดไม่ได้...ถ้าคนที่ผมแอบมองอยู่ทุกวันยอมหันกลับมามองที่ผมบ้าง รอยยิ้มเปิดเผยแบบนั้นก็คงจะอวดผู้คนอยู่บนหน้าของผมแน่ๆ
แต่ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้... 'ตัดใจ' ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสินะ
.
.
.
สองทุ่มกว่าแล้ว...
ถึงจะหิวบ้างแต่ผมก็ยังไม่ได้ตกลงใจเลือกอาหารร้านไหนเพื่อฝากท้อง อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศแสนดีที่ทำให้ผมกับเจ้าเพื่อนตัวอ้วนไม่สามารถทำใจเดินหันหลังให้กับภาพอันสวยงามนี้ได้
มุมเดิม...ที่ผมยังคงยืนอยู่
เมื่อลองยกเจ้าเพื่อนตัวเขื่องขึ้นส่องไปยังที่ที่คุ้นเคยของใครคนนั้น ผมก็เห็นแค่เฟรมผ้าใบหลายอันตั้งอยู่แต่ปราศจากเงาของผู้เป็นเจ้าของ ลดกล้องลงเล็กน้อยเพื่อเช็คให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้เล็งองศาผิดไปจากเดิม
แล้ว 'เขา' หายไปไหนกันนะ...
ทั้งๆที่ยังกังวลเพราะไม่เห็นคนเคยคุ้นตา แต่ความคิดแผลงๆก็ฉายเข้ามาในหัวเพียงเสี้ยววินาที
ในเมื่อตั้งแต่วันที่ผมรู้ว่าตัวเองเป็นปาปารัซซี่เฉพาะกิจ สายตาทั้งสองข้างของผมก็ยังไม่เคยเห็นผลงานศิลปะจากปลายพู่กันของคุณจิตรกรคนนั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เพราะฉะนั้นเพื่อพิสูจน์คำกล่าวชมในข้อสุดท้ายนี้ ถ้าจะแอบไปเดินดูให้เพลินตาเล่นสักหน่อย...ก็คงไม่เป็นอะไรมากมายหรอกมั้ง
ในเมื่อเจ้าตัวไม่อยู่...โอกาสดีๆแบบนี้จะหาได้จากที่ไหนอีกล่ะ
.
.
.
ทั้งๆที่ทำใจกล้าเดินลงมาชมภาพวาดของคุณนายแบบจำเป็นในระยะสายตาได้แล้ว แต่ในใจลึกๆก็ยังอดหวั่นไม่ได้ ในเมื่องานที่รักของคนที่ชอบกำลังวางอวดอยู่ตรงหน้า ความรู้สึกบางอย่างก็เพิ่มขึ้นจนแทบจะหยุดไม่ได้
ปลื้มจริงๆที่ได้เห็น...
ไม่ผิดจากคำกล่าวที่เคยได้ยินมาตลอด เมื่อสองตาของผมจับจ้องอยู่ที่เฟรมผ้าใบผืนแรก รูปวาดที่แลดูจะลงตัวไปหมด ทั้งลายเส้นร่างดินสอดำ ทั้งน้ำหนักมือในการแรเงา และสีสันที่ใช้แต่งแต้มเพื่อเพิ่มมิติให้กับรูปวาด ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะลงตัวจนอดที่จะเอ่ยปากชมอย่างคนอื่นไม่ได้จริงๆ
'โซล'....ในมุมมองของโจคยูฮยอน
เมื่อเดินดูภาพที่สอง สาม และสี่ต่อไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งทำให้ผมเพลินตาสบายใจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมุมเมืองไหนที่โจคยูฮยอนคนนี้จับเข้ามาใส่ในผลงานของเขา ก็เรียกได้ว่าสวยงามไร้ที่ติ แถมยังสื่อถึงอารมณ์ของคุณจิตรกรที่มีต่อสถานที่นั้นได้อีกด้วย
แต่อยู่ๆการเดินของผมก็เริ่มสะดุดเมื่อได้มายืนอยู่ที่หน้ารูปภาพเฟรมที่ห้า...
ภาพของสะพานธารน้ำ...จุดเริ้มต้นคลองสายสำคัญของมหานครแห่งนี้ที่มองจากด้านล่าง เผยให้เห็นถึงความสวยงามของสถาปัตยกรรมการออกแบบที่ทันยุคทันสมัย ผู้คนมากมายที่เข้ามาทำกิจกรรมต่างๆเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ เจ้าของภาพช่างเป็นคนที่เก็บรายละเอียดได้ดีเยี่ยม ไม่เว้นแม้แต่ผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังยืนถ่ายรูปอยู่บนคอสะพาน!!!
ให้ตายเถอะ!!! อย่าบอกนะว่า...
สองขาของผมเริ่มก้าวพาตัวผมเองไปหยุดอยู่หน้าภาพวาดอีกหลายๆภาพ ทุกภาพเป็นมุมที่แตกต่างกันออกไป แต่จะมีสองอย่างที่ยังคงเหมือนเดิม หนึ่งก็คือฉากหลังยังคงเป็นคลองชองกเยชอน และสอง...ชายหนุ่มตัวเล็กที่มีกล้องสะพายติดตัวอยู่เสมอ
ความรู้สึกที่ส่อเค้าลางมาตั้งแต่ต้น...กำลังบอกความนัยบางอย่างให้ผมได้รับรู้
และภาพสุดท้ายที่ตั้งวางไว้ราวกับจงใจนั้น คือภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ในมือกำลังยกโทรศัพท์เคลื่อนที่ขนาดพอเหมาะสีดำขึ้นในระดับสายตาราวกับกำลังจะถ่ายรูปอะไรบางอย่างผ่านแผ่นกระจกใสที่กางกั้นอยู่หน้าตู้ไอติมสีสวย แถมบนใบหน้ายังระบายไปด้วยรอยยิ้มที่เหมือนเด็กน้อยยามได้พบของที่ถูกใจ
เพิ่งรู้ก็วันนี้...หัวใจของผมมันช่างเต้นได้หนักและแรงซะจนผมนึกกลัว
"ภาพวาดพวกนี้...ถูกใจคุณมั้ยครับ"
เวลาสามทุ่มสี่สิบห้านาทีของคืนวันที่สามสิบเอ็ดธันวาคม ณ คลองชองกเยชอน...
อีซองมินกำลังรับรู้ถึงความสุขที่ปรี่ล้นจนแทบท่วมปอดน้อยๆของตัวเอง
.
.
.
[End of 'Photo of Seoul']
Ps.เอาฟิคเก่ามาลงใหม่ค่า ^^"
ความคิดเห็น