คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : [Fic Attack on Titan] Levi x Eren + Mikasa : Ambition #2
Ambition
Part #2
“แม่คะ...” เสียงใสจากเด็กสาววัย 6 ขวบเอ่ยเรียกแม่ของเธอพร้อมกับมือเล็กที่กอดหน้าท้องนูนป่องของผู้ให้กำเนิด “มีอะไรจ๊ะ...” หญิงมีครรภ์นั่งอยู่บนเก้าอี้แท่นกลมลูบเรือนผมสีทองสว่างของบุตรสาวคนแรกเบาๆ พลางดวงตาสีเขียวชอุ่มหรี่ลงมองใบหน้าจิ้มลิ้มที่ซุกอยู่กับท้องของหญิงสาวกำลังเงยขึ้น เผยให้เห็นดวงตาสีนภาสดใสกลมโตเหมือนผู้เป็นพ่อไม่ผิดเพี้ยน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของตระกูล ‘เลออนฮาร์ท’
เนื่องจากกาลเวลายุคสมัยเปลี่ยนไป ประชากรที่มีนัยน์ตาสีเขียวลดลงมากจนหาได้ยากในสมัยนี้ หลายตระกูลที่มีบรรพระบุรุษดวงตาสีเขียวจึงพยายามที่จะมีลูกให้มากเพื่อรักษาให้ดวงตาสีหายากนั้นยังคงสืบไป แต่บุตรสาวคนแรกของ ‘คลาร่า’ ไม่ได้รับการถ่ายทอดสีตาของเธอ กลับได้รับจากผู้เป็นพ่อมาทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เมื่อไหร่น้องจะออกมาล่ะคะ หนูอยากเจอน้องจะแย่แล้วนะ...” เด็กสาวเอ่ยถามผู้เป็นแม่ทั้งสีหน้าบึ้งตึงกับการรอคอยมา 9 เดือน ทั้งที่แม่บอกว่าพอครบ 9 เดือนก็จะได้เจอน้อง อุตส่าห์เฝ้านับวันนับเวลามาจนถึงตอนนี้ แต่น้องก็ยังไม่ยอมออกมาเล่นกับเธอสักที ดวงตาสีฟ้าคลอด้วยน้ำตาที่เกิดจากความน้อยใจพลางลูบท้องของมารดาที่ข้างในนั้นมีน้องของเธอหลับใหลอยู่
บางที เป็นเพราะน้องอาจจะไม่อยากเจอหน้าพี่สาวคนนี้ก็ได้
“โถ่...ลูกแม่ อย่าน้อยใจสิจ๊ะ เดี๋ยวน้องก็ออกมาแล้ว เมื่อเช้าคุณหมอบอกว่าคงจะคลอดอีกสองสามวันแล้วล่ะจ๊ะ” เด็กสาวตาเบิกกว้างสุดขีดเมื่อได้ยินคำบอกกล่าวจากมารดา ร่างเล็กผละออกจะหน้าท้องของแม่แล้วกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ความหวังที่จะมีน้องสาวเหมือนคนอื่นใกล้จะเป็นจริงขึ้นมาแล้ว
“เย้! แล้วคุณพ่อรู้รึยังคะ ถ้าคุณพ่อต้องดีใจแล้วต้องรีบกลับมาแน่ๆเลยค่ะ” ลูกสาววัยเยาว์พูดอย่างรวดเร็วแทบไม่เป็นภาษาจนคลาร่าถึงกับต้องหลุดหัวเราะออกมา “คิกๆ รู้สิจ๊ะ คุณหมอบอกว่าเรื่องนี้คุณพ่อเขารู้ก่อนแม่ซะอีกนะ” หญิงสาววัย 30 ต้นๆเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มที่สุขใจไม่แพ้กับบุตรสาวที่ค่อยๆเดินเข้ามาโอบกอดหน้าท้องนูนป่องของเธออีกครั้งทั้งรอยยิ้มที่เปี่ยมล้นไปด้วยความตื่นเต้นและความสุขระคนกัน
“แองเจลิน่า...ลูกต้องรักน้องให้มากๆนะจ๊ะ ต้องคอยช่วยเหลือน้องเวลาที่น้องร้องไห้ คอยปกป้องน้องจากทุกสิ่งอย่างที่จะเข้ามาทำร้าย เข้ารึใจรึเปล่า”
“ค่ะแม่ หนูจะดูแลน้องเอง สัญญาเลย...” สิ้นคำพูด ‘แองเจลิน่า’ ยื่นนิ้วก้อยเล็กให้มารดาตามประสาเด็กสาวที่กำลังอยู่ในวัยน่ารัก คลาร่ายิ้มแล้วจึงยื่นนิ้วก้อยของเธอไปเกี่ยวนิ้วเล็กที่ลูกสาวยืนให้ก่อนจะปรับสีหน้าใจจริงจัง “สัญญาแล้วนะ...” หญิงสาวย้ำคำ นิ้วก้อยทั้งสองที่เกี่ยวกันเป็นสัญลักษณ์ของคำมั่นสัญญาที่เด็กหญิงให้ไว้กับผู้เป็นแม่ ทำให้คลาร่ามีความมั่นใจว่าบุตรสาวคนโตจะต้องดูแลลูกอีกคนที่จะลืมตาดูโลกในอีกไม่กี่วันได้ดี เชื่ออย่างนั้น
“แองเจลิน่า” หญิงสาวเอ่ยเรียกชื่อเบาๆพร้อมอีกมือที่ล้วงหยิบบางอย่างจากกระเป๋าเสื้อ สร้างความฉงนใจให้แองเจลิน่า ดวงตาสีฟ้ามองมือเรียวของแม่ที่กำบางอย่างไว้แล้วยื่นมาให้เธออย่างจับจ้อง แต่เมื่อคลายมือออกก็ทำให้เธอถึงกับตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อแสงอาทิตย์ยามเช้าส่องวัตถุมันเงากระทบม่านตาจนเด็กหญิงต้องหรี่ตารับแสงจ้า
กุญแจทองคำขาว
กุญแจสีขาวแวววาวระยิบระยับลายฉลุรูปหัวใจพร้อมลายสลักเป็นตัวอักษะเล็กๆ “Angelina” ถูกคล้องด้วยเชือกบางๆสีน้ำตาลทำเป็นสร้อยคอ คลาร่าจับสายคล้องกุญแจสวมคอให้กับแองเจลิน่า ดวงตาสีสว่างก้มมองกุญแจทองคำขาวที่ห้อยคอก่อนจะเงยหน้ามาสบดวงตาสีมรกตของมารดา
“มันเป็นกุญแจที่คุณพ่อสั่งทำไว้ตอนที่ลูกยังจำความไม่ได้ บอกว่า ถ้าลูกโตพอที่จะรักษาของมีค่าได้ ให้แม่เอามันให้ลูกติดตัว สวยไหมจ๊ะ...ลายฉลุพวกนี้พ่อเขาออกแบบเองเลยนะ” คล่าร่าถามด้วยใจจดจ่อ แต่เมื่อเห็นลูกสาวพยักหน้าหงึกหงักพร้อมฉีกยิ้มกว้างก็ดีใจแทนสามีที่ออกไปทำงานต่างจังหวัดเมื่อ 5 วันที่แล้ว ซึ่งคาดว่าตอนนี้คงกำลังจะเดินทางกลับมา
หลังจากที่สามีของเธอ ‘เอ็ดเวิร์ด’ รู้ว่าเธอตั้งครรภ์ลูกคนแรกก็ดีใจจนเนื้อเต้นถึงกับรีบสั่งทำกุญแจทองคำขาวสลักชื่อบุตรสาวที่ตั้งให้บอกว่า ‘เมื่อแองเจลิน่าโตขึ้น ฝากกุญแจนี้ไว้กับลูก ให้เก็บรักษาให้ดีๆ’ แต่หลังจากนั้น 6 ปี พอรู้ว่าเธอกำลังจะมีลูกคนที่สองให้จึงไปสั่งช่างทองคนเดิมให้ทำกุญแจทองคำขึ้นมาอีกอันที่เหมือนกันทุกอย่างยกเว้นแต่ว่า
ของลูกสาวคนที่สองเป็นทองคำ แต่ของแองเจลิน่าเป็นทองคำขาว
‘เอเลน จะเป็นชื่อของลูกอีกคนของเรา ฉันจะสลักชื่อเอเลนไว้บนกุญแจอีกอัน พอฉันกลับมาฉันจะฝากเธอไว้ เธอต้องรักษามันให้ดีและต้องให้ลูกของเราเก็บมันไว้ตลอดนะ’ เอ็ดเวิร์ดพูดทิ้งท้ายกับภรรยาท้องแก่ด้วยสีหน้าที่เหมือนมีบางอย่างในใจ ราวกับว่ารู้ไปหมดทุกสิ่ง คาดเดาอชแม่นยำไปซะทุกเรื่อง แล้วเดินออกไปไกลจนพ้นประตูบ้านขับรถออกไปทำงานต่างจังหวดที่แสนไกล ชื่อของเอเลนยังไม่ได้บอกให้แองเจลิน่ารู้ กะไว้ว่าให้ลูกสาวได้ทายเล่นๆ แต่มันก็ไม่มีโอกาสเสียแล้ว...
.
หญิงสาวในชุดนอนยาวกร่อมพื้นยืนเกาะระเบียงในห้องคอนโดมิเนียมชั้น 20 ท่ามกลางสายลมพัดเบาๆให้ผมสีทองพลิ้วปลิวไปตามลม เผยดวงตาสีเดียวกับท้องฟ้ายามเช้าที่ชโลมความเศร้าหมองข้างหนึ่งให้เปิดขึ้นมองดวงจันทร์เสี้ยวสูงสง่าบนท้องนภาสีมืด จันทรา ที่ให้แสงสว่างแก่มวลมนุษย์ในยาค่ำคืน กับก้อนเมฆทีครื้มที่ค่อยๆลอยเข้ามาปิดบังดวงดาวที่เคยส่องแสงระยิบระยับจนหมดสิ้น
มือบางแบออกพร้อมก้มมองสร้อยกุญแจทองคำขาวที่สลักชื่อของเธอเอาไว้ ‘Angelina’ ย้อนหวนความทรงจำวัยเด็กที่สุขสันต์กับครอบครัวทั้งพ่อ แม่ ที่ทุกวันนี้มันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว หมดสิ้นความสุขทั้งหมดมวล ไออุ่นที่ได้รับเคยเมื่ออยู่ในอ้อมอกของแม่ ความสนุกสนานเมื่อครั้งได้อ่านหนังสือกับพ่อ ต่อจากนี้มันจะไม่มีอีกแล้ว มันตายไปพร้อมกับแองเจลิน่าคนเดิมที่อ่อนแอได้แต่ร้องไห้รับกับความสูญเสีย แต่ตอนนี้มีเพียงตัวเธอคนเดียวเท่านั้นที่จะต้องเข้มแข็งและใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ ที่ไม่ได้สวยงามอย่างที่เคยฝันไว้ให้ได้
หญิงสาวกำลูกกุญแจทองคำขาวในมือแน่นแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องและเก็บกุญแจนั้นใส่กล่องเล็กๆที่ล็อกด้วยกุญแจอีกอันในกระเป๋าถือใบโปรด ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มแล้วเข้าสู่ห้วงนิทรา เพื่อเก็บแรงสำหรับวันพรุ่งนี้
เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เอเลนนอนอยู่บนเตียงในห้องพักส่วนตัวในคอนโดมิเนียมอีกที่ ที่ไม่ไกลกันเท่าไรนัก นัยน์ตาสีมรกตมองกุญแจทองคำสลักชื่อของเธอที่ชูขึ้นหาหลอดไฟบนเพดานที่ส่องแสงสีขาวสว่างจ้าทั่วห้อง แขนอรชรดึงกำมือกลับมากุมไว้ที่หน้าอก ในหัวคิดรำพึงรำพันถึงแม่ และพี่สาว...
ตอนนี้พี่อยู่ที่ไหน...
เอเลนครางในลำคอถึงพี่สาวคนโตที่เธอตามหามาเป็นเวลา 3 ปีนับตั้งเธอเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ น้ำตาสีใสคลอที่เบ้าตาจนรู้สึกร้อนฉ่า มือเรียวรีบยกขึ้นปาดน้ำตาลวกๆที่เปียกขนตาแพยาว ทันใดนั้นกลับรู้สึกได้ถึงฝีเท้าหนึ่งที่ใกล้เข้ามาทางประตูห้องนอนของเธอ จึงรีบดึงผ้าห่มคลุกโปงแกล้งหลับไปและไม่ลืมที่จะรีบยัดกุญแจทองคำใส่กระเป๋าสะพายที่วางไว้บนหัวเตียง
“เอเลน ทำไมยังไม่นอนอีก!!” อาร์มินเปิดประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว ประจวบเหมาะกับวินาทีที่เอเลนยกผ้าห่มคลุมโปงพอดี ทำให้เธอไม่ต้องสังเกตก็รู้ได้ทันทีว่าเพื่อสาวคิดจะใช้ไม้เดิมแกล้งหลับไม่ให้เธอบ่นที่นอนดึก “...” เอเลนกลั้นหายใจให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้แนบเนียนในสายตาฉับไวของเพื่อนสาว หวังว่าอาร์มินจะยอมคิดว่าตาฝาด แต่ในเมื่อสิ่งที่อาร์มินเห็นด้วยตาตอนที่เปิดเข้ามานั้นชัดเจนเกินจะทำให้เปลี่ยนใจคิดเป็นอย่างอื่น
“เอเลน!!!” “โอ๊ยๆๆๆ นอนแล้วนี่ไง” อาร์มินขึ้นเสียงหนักทำให้เอเลนต้องดีดตัวขึ้นมานั่งแล้วยีหัวแรงๆทำหน้าบูดใส่ “นอนดึกอีกแล้วนะ เดี๋ยวดวงตาก็คล้ำหมดหรอก พรุ่งนี้มีคิวเข้าสตูดิโอ เธอลืมไปแล้วรึไงว่าต้องเจอคุณรีไวล์น่ะ” เมื่อได้ยินชื่อของคุณรีไวล์ เอเลนที่กำลังจะฟุบหน้าลงกับหมอนก็ดีดตัวขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าสวยสะบัดหันมาหาอาร์มินพร้อมดวงตาสีเขียวเบิกกว้างสุดชีวิต ทำเอาอาร์มินตกใจสะดุ้งโหยง เพราะเอเลนเวลาทำตาโตนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าอะไรถึงเจ้าตัวจะไม่ตั้งใจก็ตาม
“ตายแล้วๆๆ ฉันลืมได้ยังไงเนี่ย ตายๆๆ ฉันลืมมากส์หน้า ทำไงดีๆๆ แล้วที่มากส์หน้าอยู่ไหนเนี่ย!!!” เอเลนกระวนกระวายใหญ่โตรีบลุกออกจากเตียงกึ่งคลานกึ่งวิ่งตรงมาที่โต๊ะเครื่องแป้งค้นหาที่มากส์หน้าในลิ้นชักหน้ากระจก อาร์มินทำหน้าเหยเกอึ้งตะลึง เมื่อเห็นท่าทีลุกลี้ลุกลนของเพื่อนนางแบบที่รีบควักที่มากส์หน้ามาแปะหน้าและแตงกวาที่หั่นเป็นแว่นในตู้เย็นมาแปะดวงตาสองข้างแล้วโยนตัวนอนเอกขเนกไปบนเตียง
อาร์มินตบหน้าผากตัวเองแรงๆทั้งท่ายืนท้าวสะเอวมองสภาพของเอเลนที่นอนมากส์หน้าบ่นพึมพำเบาๆถึงพระเอกมาดนิ่งรีไวล์ แอคเคอร์แมน ที่เธอคลั่งไคล้มากซะจนมีโปสเตอร์อยู่ในห้องเก็บห้องอยู่ไม่ต่ำกว่าร้อยแผ่นและซีรีย์ละครอีกมากมายที่เธอนั้นยอมเสียเงินเสียทองไปซื้อมาดูหลายต่อหลายรอบจนแผ่นแทบเสีย หน้าอกใหญ่กระเพื่อมตามแรงหายใจพร้อมกับบ่นพึมพำพร้อมนิ้วเรียวเตอะที่มากส์หน้าให้กระชับขึ้น
‘โอ้... นี่หรอเพื่อนฉัน นางแบบเอเลน เยเกอร์ที่สง่างามในหน้าปกนิตยสาร’ อาร์มินพูดกับตัวเองเบาๆ แล้วเดินตรงไปนั่งข้างเตียงของเอเลนจนได้ยินสิ่งที่เธอพึมพำชัดขึ้น
“บ้าจริง นี่ฉันลืมได้ยังไงเนี่ย โอ๊ย แย่ที่สุดเลย ถ้าพรุ่งนี้ต้องไปเจอคุณรีไวล์ทั้งหน้าโทรมๆอย่างนี้จะมองหน้าเขาติดได้ยังไง ตื่นเต้นชะมัดท้องไส้ปั่นป่วนไปหมดแล้วเนี่ย โอ๊ย...” เอเลนบ่นคนเดียวเหมือนคนที่กำลังนอนละเมอทั้งดวงตาที่ถูกปิดด้วยแตงกวาแผ่นบางเย็นฉ่ำน้ำกับทั่วผิวหน้าที่แปะด้วยแผ่นมากส์หน้าสีขาวสูตรมะเขือเทศ
จนกระทั่งเสียงพึมพำนั้นค่อยๆเงียบไป เหลือแต่เพียงเสียงลมหายใจช้าๆปนเสียงกรนแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน ทำให้อาร์มินได้รู้ว่า ‘เอเลนหลับไปแล้ว’ หญิงสาวร่างบางลุกจากขอบเตียง เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่แขวนบรรจุเสื้อผ้ามากมายมีทั้งเคยใส่และไม่เคยใส่
แต่ชุดที่อาร์มินมองหาคือชุดกระโปรงยาวโลลิต้าที่เต็มไปด้วยผ้าระบายหนาหลายต่อหลายชั้น สีน้ำตาลช็อกโกแลตสลับขาวดูสวยงามในสายตาผู้พบเห็น ซึ่งชุดนี้ ซึ่งมันเป็นชุดแรกสำหรับใส่ถ่ายแบบที่สตูดิโอพรุ่งนี้ เวลาเที่ยงตรงตามตารางคิวที่เธอจดไว้ในคลิปบอร์ด สไตล์ลิสต์ให้เอเลนมาลองใส่ดู แต่ดูท่าว่าวันนี้แม่นางแบบสาวจะเถลไถลจนลืมลองชุดนี้เสียแล้ว แต่เท่าที่อาร์มินมองด้วยสายตาก็น่าจะพอใส่ได้อยู่
.
.
โอ๊ยยยยย!!!!!
เสียงหวานใสโอดครวญกับความอึดอัดทั้งท่านั่งคุกเข่าคว่ำหน้าบนโซฟาสีน้ำตาลนุ่มนิ่ม เมื่อเรียวจิกผ้าแน่นแล้วหอบหายใจแรงๆจนเจ้าของเรือนผมสีทองสว่างที่ดึงสายยางยืดรัดเอวชุดของเธอถึงกับใจหายวาบเมื่อแลเห็นใบหน้าของเพื่อนสนิทที่ฉายแววอ่อนล้าเต็มที ทั้งที่เพิ่งจะอาบน้ำมาแต่ร่างกายกลับเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ แม้จะเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำจนถึง 22 องศาก็ยังไม่อาจทำให้เหงื่อที่ไหลอาบเรือนร่างแห้งระเหยไปได้
“เอเลน ไหวไหม ฉันว่าพอก่อนเถอะนะ..” ผู้จัดการสาวร่างบางหย่อนสายยางยืดรัดเอวของชุดออกงานสำหรับวันนี้ ที่สไตล์ลิสต์จัดมาให้เธอครบเซตทั้งแต่เครื่องประดับบนศรีษะจนถึงรองเท้า มันเป็นชุดที่เอเลนชอบมากเป็นพิเศษเธอจึงอยากให้รูปลักษณ์ของเธอออกมาดูดีที่สุดเท่าที่จะทำให้ แต่ด้วยเอวของเธอที่มันไม่ได้แบบางอย่างนางแบบทั่วไปทำให้เป็นอุปสรรคในการใส่ชุดนี้ กับที่เมื่อคืนนี้เธอไม่ได้ลองชุดทำให้ไม่อาจเปลี่ยนชุดทัน จึงต้องจำใส่ไซส์นี้ให้ได้
“ม..ไม่ อาร์มิน ฉ...ฉันไหว ยังไหวอยู่ รัดให้มากกว่านี้อีกสิ!” นางแบบสาวหันมาพูดกับผู้จัดการส่วนตัวทั้งน้ำเสียงที่อ่อนแรงแต่ปากก็ยังบอกให้รัดแน่นกว่านี้ อาร์มินกลืนน้ำลายลงคอเอือกใหญ่ก่อนจะออกแรงดึงสายยางยืดที่รัดช่วงท้องให้แน่นขึ้นอีก ในใจบ่นคำนึงจินตนาการถึงวเลาที่ต้องเจอคุณรีไวล์ หากทุกอย่างไม่สมบูรณ์แบบเธอคงขายหน้าแย่!!
“โอ๊ยยยยย!!!!” เสียงหวานใสที่ดังอยู่ในห้องแต่งตัวแผดลั่นเช่นความโดนเชือด ก้องออกไปจนถึงกองสตูดิโอ ทำเอาช่างภาพทั้งผู้จัดการคนอื่นๆสะดุ้งโหยง ซึ่งในขณะนี้กำลังยุ่งอยู่กับการจัดฉากและแสงไฟเพื่อเตรียมพร้อมให้นางแบบคนสวยมาถ่ายแบบคู่กับพระเอกรีไวล์ แอกเคอร์แมนที่ตอนนี้ยังมาไม่ถึงสตูดิโอ แต่ก็ยังไม่มีใครทราบเช่นกันว่าทำอะไรอยู่
.
.
“โอ๊ยยย รีไวล์ พอแล้วๆ ได้เวลานัดแล้ว หยุดก่อนเถอะ..” ผู้จัดการฮันซี่ยืนยีหัวท่าทางร้อนรน พร้อมมองนาฬิกาข้อมือบอกเวลาใกล้เที่ยง ซึ่งเป็นเวลานัด แต่เพื่อนชายของเธอนั้นกลับ เอาเป็นเอาตายกับการวิ่งบนลู่วิ่งอย่างต่อเนื่องมา 5 ชั่วโมงเต็มไม่มีแม้จะหย่อนฝีเท้าหรือหยุดพักแม้นาทีเดียว กับตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วหลังจากรู้ว่ามีโปรเจกถ่ายแบบเเสดงละครกับเอเลน เยเกอร์ ก็เอาแต่เข้าฟิตเนสแทบทุกวัน จนวันนี้ก็ยังใช้ลู่วิ่งตัวเดิม แม้เธออยากจะเดินเข้าไปปิดลู่วิ่งจนใจขาดดิ้นแต่ด้วยสายตาเรียวคมที่ปราดมามองเธอนั้นมันช่างดุดันราวกับว่าสามารถประเคนหมัดหาเธอได้ทันทีกว่าเข้าวิ่งเข้าไปขวาง
“หุบปากซะยัยสี่ตา ฉันเพิ่งจะวิ่งมาแค่ 3 ชั่วโมงเอง นี่เพิ่งจะสิบโมงกว่าๆจะรีบทำไม..” ชายร่างกำยำในเสื้อกล้ามสีเทาเผยกล้ามมัดบนแขนชัดเจนกับกางกางสีน้ำเงินผ้านิ่มถอนหายใจ พลางเอื้อมมือไปกดปุ่มตรงหน้าให้ลู่วิ่งปั่นเร็วขึ้นอีกหนึ่งระดับ แขนแกร่งที่ขยับข้างกายตอนตอนยกขึ้นมามองนาฬิกาบอกเวลาสิบโมงสิบห้านาที ก่อนจะจับผ้าขนหนูสีขาวที่พาดบ่ากว้างมาเช็ดคราบเหงื่อบนหน้าผากแล้ววิ่งถี่ขึ้น
“ถ่านหมดรึไง!! นี่มันสิบเอ็ดโมงครึ่งแล้ว ไม่รู้เรื่องรึไง นี่นายวิ่งมา 5 ชั่วโมงแล้วนะรีไวล์!!!” ฮันซี่หันซ้ายแลขวามองนาฬิกาแขวนในห้องฟิตเนสทั้ง 2 เรือนสลับกับนาฬิกาข้อมือเป็นเวลาเดียวกัน มีแต่รีไวล์ที่บอกว่าตอนนี้เวลาสิบโมงกว่า ฮันซี่เหนื่อยอกเหนื่อยกับชายวัย 37 ปีตรงหน้าที่ออกกำลังกายแบบลืมสังขาร ถึงจะเดาออกก็ตามว่าที่ทำแบบนี้เพื่อให้เอเลนประทับใจเมื่อเจอกัน
“อะไรนะ!!” เสียงทุ้มต่ำหันมาเอ่ยกับฮันซี่พร้อมเสียงหอบหายใจถี่ๆแล้วก้มมองนาฬิกาข้อมือตัวเองอีกครั้ง เมื่อสังเกตดีๆก็พบว่าเข็มวินาทีนั้นไม่เดินแล้ว ทำให้เขาได้รับรู้ว่าลืมเปลี่ยนถ่านนาฬิกาอย่างที่เพื่อนผู้จัดการว่า นิ้วใหญ่กดปุ่มปิดลู่วิ่งให้หยุดนิ่ง ร่างเล็กกำยำเดินตรงมาหาฮันซี่ที่ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งใจ
“มิน่าล่ะ ทำไมวันนี้ถึงรู้สึกเหนื่อยกว่าวันปกติ” รีไวล์พึมพำพร้อมดึงผ้าบนบ่าแกร่งออกมาเช็ดเหงื่อบนใบหน้าหล่อเหลาและช่วงคอให้แห้งแล้วโยนไปพาดราวลู่วิ่งที่เพิ่งให้เสร็จเมื่อครู่ “ถ้ากล้ามเนื้อล้าขึ้นมาจะทำยังไงห๊ะ!! เดี๋ยวก็ไม่เข้าสตูดิโอไม่ไหวกันพอดี” ฮันซี่พยายามพูดอย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำใช้ได้แต่เมื่อเห็นสีหน้าของรีไวล์ที่ไม่ค่อยสบอารมณ์บวกกับท่าทีเหมือนหูทวนลมกลับทำให้เธออยากจะก่นด่าแต่ก็ไม่กล้า..
“บ้ารึไง แค่นี้เอง ฉันน่ะ ...โอ๊ยยย!!” “ว๊ายย!!! ตายแล้วรีไวล์” รีไวล์พูดไม่จบประโยคก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดผ่านหลังหัวเขาขณะที่กำลังจะก้าวขาเดินไปหยิบกระเป๋าสัมภาระ ร่างกำยำทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้นตัวสั่นเกร็งแต่ก็ยังพยายามฝืนตัวให้ยืนขึ้น ทำให้ฮันซี่ตกใจรีบก้มไปพยุงตัวเพื่อนชายให้ลุกขึ้น แต่พอกำลังจะตั้งขาได้ก็ร้องโอดโอยทรุดลงไปนั่งอีกรอบ
“ให้ตายสิ!! จนได้เลยนะรีไวล์ แล้วแบบนี้จะไปสตูดิโอไหวไหมเนี่ย” สิ่งที่ฮันซี่พูดเมื่อครู่ไม่ได้ทำให้รีไวล์สะทกสะท้านเท่าไร แต่สิ่งที่คนร่างเล็กกำลังคิดดังๆอยู่ในหัวก็คือ ‘เวรแล้วไง ขืนไปเดินกระเผลกๆต่อหน้าเอเลน คงอับอายแย่ แล้วแบบนี้ ที่ฉันวิ่งแทบเป็นแทบตายนี่จะมีความหมายอะไร’ รีไวล์พยายามกัดฟันอดทนกับความเจ็บเกินฝืน แล้วใช้แขนดันเข่าให้ยืนขึ้นด้วยตัวเองแม้จะรู้สึกทรมานมากเสียจนอยากจะร้องตะโกนความเจ็บออกมาดังๆ
“รีไวล์อย่าฝืนสิ เดี๋ยวฉันไปเลื่อนนัดให้ก็ได้นะ” ฮันซี่อยู่กับรีไวล์มาเนิ่นนานราวกับเป็นพี่สาวแท้ๆ มองเห็นรีไวล์เจ็บขนาดนี้จะปล่อยให้ฝืนไปสตูดิโอได้ยังไง มือเรียวรีบคว้าโทรศัพท์มือถือแล้วเริ่มกดเบอร์ของผู้กำกับ
หมับ!!
รีไวล์ฉวยคว้าโทรศัพท์ในมือของฮันซี่มาอย่างรวดเร็วไม่รอให้อีกฝ่ายจะได้พูดอะไรก็รีบพูดแทรกตัดบททันที “ไม่ต้อง!! ฉันไหวน่า...”คำแรกพูดด้วยน้ำเสียงดุดันแต่คำสุดท้ายกลับแผ่วเบา ดวงตาเรียวยาวจ้องเขม็งไปที่ดวงตาสีน้ำตาลไหม้หลังแว่นทรงกลมของอีกฝ่ายทำให้ฮันซี่ไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่มองแผ่นหลังกว้างเดินขากระเผลกๆไปคว้ากระเป๋าสัมภาระพาดบ่า แล้วล้วงหยิบกุญแจรถในกระเป๋ากางเกงออกมากดปุ่มปลดล็อกประตูรถ
ปิ๊บ!!!
เสียงประตูรถดังขึ้นจากการกดปุ่มตามด้วยเสียงปลดล็อกเบาๆ ดึงสติของฮันซี่ให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ก่อนจะรีบวิ่งตามเพื่อนพระเอกคนดังขึ้นรถตรงไปยังสตูดิโอที่ไม่ไกลจากบริษัทเลนซ่าเท่าไรนัก
.
.
“เอเลน เธอโอเคนะ” อาร์มินเดินประคองเอเลนมายืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องแต่งตัว เอเลนมองตัวเองในกระจกก็รู้สึกพึงพอในกับรูลักษณ์โดยรวมที่น่าจะลงตัว แต่มันไม่ดีเอาเสียเลยที่เธอต้องพยายามหายใจเบาๆเพื่อไม่ให้ยางยืดที่ถูกรัดแน่นคลายตัว พอผ่านไปไม่กี่นาทีเธอก็เริ่มชิน
“ฉันโอเค ล...แล้วมันเป็นยังไงบ้างล่ะอาร์มิน แต่แต่หัวจรดเท้า โอเครึเปล่า” เอเลนบิดตัวหันซ้ายทีขวาที่เพื่อมารอบๆตัวแล้วหันไปถามอาร์มิน ซึ่งดวงตาสีฟ้าสดใสตอนนี้ก็สะท้อนภาพสาวงามสูงสง่าไร้ที่ติ จนไม่อาจจะเชื่อว่านี่คือ เอเลนเพื่อจอมแก่นของเธอที่เคยเรียนด้วยกันตอนอยู่อเมริกา สมัยนั้นเอเลนยังดูแก่นแก้วและโผงผางเหมือนเด็กผู้ชาย แต่พอมาตอนนี้ราวกับเป็นคนละคน
ที่คาดผมประดับลูกไม้สีดำเข้ากับทรงผมมัดมวยเป็นช่อกุหลาบด้านหลัง ชุดประโปรงบานยาวกร่อมพื้นซ้อนผ้าระบายสีน้ำตาลสลับขาวและผ้าลูกไม้เล็กๆประดับอยู่ ด้วยเรือนร่างของเอเลนนั้นเซ็กซี่ดึงดูดสายตาคนพบเห็นยิ่งทำให้ดูดี แต่ขนาดไซส์ชุดที่ค่อนข้างเล็กจึงทำให้รัดติ้วจนเนื้อแทบปลิ้นแต่มันก็ดูเซ็กซี่เย้ายวนตรงกับอิมเมจที่ตั้งใจเอาไว้
นางแบบคนงามที่ถูกจัดแต่งด้วยเครื่องประดับก้าวเดินออกมาจากห้องแต่งตัว สร้างวามตะลึงให้แก่ทุคนที่กำลังจัดเตรียมงานจนอ้าปากหวอตาค้างกับเป็นแถวๆ..
...
ทุกอย่างเงียบสงัด จากที่มีเสียงจ็อกแจกที่วุ่นวายของทางทีมงานและช่างภาพ แต่ในตอนนี้สายตาทุกคู่นับสิบจับจ้องมองมาที่เอเลนแต่เพียงผู้เดียว ทำเอาเอเลนก็รู้สึกประหม่าสายตานั้น แต่อาร์มินกับยิ้มหัวเราะคิกคักภาคภูมิใจในตัวเพื่อนของเธอ แต่สำหรับแม่เลขนุการของเจ้าขอบริษัทเลนซ่าที่ได้รับมอบหมายให้มาดูแลที่นี่ กลับเบ้ปากแลบลิ้นเยาะเย้ยตรงมุมอับของห้องจึงไม่มีใครมองเห็นท่าทีของเธอ “แหวะ ก็งั้นๆ” แอนนี่พูดเบาๆพ่นลมหายใจมองเอเลนตั้งแต่หัวจรดเท้า ถึงมันจะสวยงามมากแค่ไหน แต่ในสายตาของแอนนี่นั้น อย่างมากก็แค่ ‘งั้นๆ’
แป๊ก!!!
เสียงปากกาในมือของรองผู้กำกับตกลงพื้นเรียกสติของทุกคนหลุดจากภวังค์ความลุ่มหลงกลับมาจดจ่ออยู่กับงานอีกครั้ง “เอ๊า! ยืนทำอะไรกันอยู่ นางแบบแต่งตัวเสร็จแล้ว รีบเตรียมฉากสิ อ..เออ ช่างภาพนะ ตั้งกล้องเสร็จรึยัง ให้ไวเลย ให้ไว เดี๋ยวคุณรีไวล์มาจะเสียเวลา” รองผู้กำกับคว้าโทรโข่งตะโกนด้วยเสียงตะกุกตะกักให้ทีมงานช่างภาพได้ยินทั่วกัน ทำให้ทุกคนกระปักประป่วนรีบวิ่งไปทำงานต่ออย่างไร้สติจนเกือบเดินชนกันล้มหน้าทิ่ม
“คุณผู้จัดการอาร์มินครับ ช่วยมาดูตรงนี้หน่อยได้ไหมครับ เหมือนมันจะมีปัญหานิดหน่อยครับ” ทีมงานคนหนึ่มตะโกนเรียกอาร์มินมาแต่ไกลพร้อมชี้นิ้วไปที่กล้องถ่ายรูปเสริมอุปกรณ์ขนาดใหญ่ราคาแพงเพราะด้วยความคมชัดสูง ดูท่าว่าตอนนี้มันจะมีปัญหานิดหน่อย ทั้งที่มันไม่ใช่หน้าที่ของผู้จัดการแต่อย่างอาร์มินเป็นคนที่รู้เรื่องกล้องเป็นอย่างดีมากเสียยิ่งกว่าช่างภาพบางคน
“อ๊ะ!! ค่ะๆ จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ” อาร์มินตะโกนกลับไปพร้อมส่งตายตาเชิงขอตัวให้เอเลน ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม มองเพื่อนสาวเดินตรงดิ่งไปที่กล้องถ่ายภาพอันใหญ่ และพูดคุยกับทีมงานคนนั้นอย่างเป็นกันเองพลางส่องกล้องปรับโฟกัสภาพไปเรื่อยๆ
.
“คุณเอเลนครับ มีคนคนๆหนึ่งมาขอพบครับ” ช่างภาพคนหนึ่งแอบกระซิบข้างหูเอเลนอย่างแผ่วเบา สร้างความฉงนใจให้เอเลนไม่ใช่น้อย หญิงสาวเลิกคิ้วสูงมองข่างภาพคนนั้นแล้วสงสัยตาเชิงถาม แต่ที่ที่ตอบกลับมาก็คือใบหน้าเฉยเมยไร้อารมณ์ความรู้สึก ช่างภาพหนุ่มหลีกทางให้เธอเดินไปยังประตูทางด้านหลังของสตูดิโอ เอเลนหันมาสบตาของชายหนุ่มอีกครั้งก่อนจะเอื้อมจับลูกบิดประตูเปิดออกไป...
หญิงสาวในชุดโลลิต้ารัดติ้วเดินพ้นประตูแล้วหันไปปิดมันให้มิดชิดราวกับว่าตอนนี้ตัดขาดจากสภาพแวดล้อมผู้คนภายในสตูดิโอเสียแล้ว เอเลนหมุนตัวหันไปรอบๆหาคนที่มาขอพบเธอในตอนนี้ ซึ่งเมื่อชะเงื้อมองตรงทางเดินแล้วมันก็ไม่เห็นมีใคร
“ไม่ได้เจอกันนานนะ เอเลน” เสียงทุ้มของผู้ชายดังขึ้นจากด้านหลังของเธอทำเอาเอเลนสะดุ้งโหยงรีบหมุนตัวหันไปมองเจ้าของเสียงนั้น ซึ่งเสียงนั้นก็ช่างคุ้นหูเสียเหลือเกินจนเธอไม่อยากจะเชื่อว่าคนตรงหน้าที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาที่นี่ กลับมาหาเธอผู้เป็นเพื่อนสมัยมัธยมปลายที่แยกย้ายกันไป
“แจนนนน!!!!!!”
เอเลนตะโกนเสียงดังลั่นด้วยความดีใจจนลืมตัวเผลอกระโดกอดชายหนุ่มโดยลืมสถานะของตัวเองไป ทำเอาชายร่างสูงใหญ่เจ้าของชื่อ ‘แจน’ หน้าแดงก่ำไปถึงใบหู ด้วยที่ตั้งตัวไม่ทันตั้งรับแรงของเพื่อนเก่าที่โถมตัวเข้าใส่จนเกือบหงายหลังล้ม กับหน้าอกนุ่มนิ่มขนาดมหึมาทำเอาแจนรู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจไปชั่วขณะ
“โอ๊ย.. โอ๊ย... เอเลน ปล่อยทีเถอะ ฉ..ฉันอึดอัดนะเว่ย” การพูดที่ลงท้ายคำว่า ‘เว่ย’ บ่งบอกความสนิทสนมของเขากับนางแบบสาวสวยที่เป็นเพื่อนสนิทกันสมัยมัธยมปลาย ทำให้เอเลนนึกขึ้นได้รีบผละตัวออกจากร่างใหญ่ชุดสูทสีน้ำเงินเข้มเร็วพลัน ใบหน้าล้อมเรือนผมสีน้ำตาลเปี่ยมด้วยความดีใจจนถึงกับยิ้มตาหยีมองเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปีหลังจากแยกย้ายกันไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยต่างประเทศ..
“โห! นี่แกเปลี่ยนไปเยอะเลยว่ะ” เอเลนพูดใช้คำสรรพนามเก่าอย่างสนิทสนมแม้ห่างกันมานานพร้อมปราดตามองชายตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า กับผมสีน้ำตาลอ่อนที่ดูยาวกว่าเมื่อก่อนพอสมควรจนคล้ายทรงกะลาครอบ ทำให้เอเลนเผลอหลุดหัวเราะก๊ากออกมา ทำเอาแจนรู้สึกเขินมากเสียจนอยากจะมุดดินหนี
“ฮะๆๆๆ !!! โอ๊ย...แจน ทรงอะไรของแกเนี่ย มันไม่เข้ากับแกสักนิด อะ ...ฮะๆๆๆ โอ๊ยยย” “ห...หุบปากน่า ก็ฉันงานยุ่งไม่มีเวลาไปตัดผมนี่นา” แจนรีบแก้ตัวพลันโดยเอางานมาอ้าง แต่เอเลนก็ยังหัวเราะไม่หยุด หญิงสาวอยากจะตะโกนใส่หน้าว่าไม่เชื่อ แต่ด้วยความตลกจนเธอขำท้องแข็งทำให้พูดไม่ได้ศัพท์ เพราะด้วยปลายผมที่ค่อนข้างเท่ากันทั้งหัวคล้ายว่าเพิ่งไปตัดมาอาทิตย์กว่าๆ มีความเป็นไปได้ที่เจ้าตัวจะตั้งใจตัดทรงนี้ทั้งที่ไม่ได้ดูว่ามันเข้ากับเค้าหน้ายาวของตัวเองรึเปล่า
เอเลนพยายามกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองเพราเริ่มรู้สึกได้ถึงความชาแผ่ซ่านไปทั่วกรามจนเริ่มจะเกร็งค้าง ทำให้นางแบบคนสวยต้องรีบปิดปากสนิทแต่ก็ยังคงขำอยู่ในลำคอเมื่อหันไปมองใบหน้าของเพื่อนสนิทคนเก่าที่ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ทำให้ชินกับทรงผมนั่นไม่ได้เสียที ตรงกับแจนที่อยากจะหาอะไรมาพูดล้อเล่นเหมือนกัน แต่ด้วยที่อีกฝ่ายนั้นเพอเฟคไปหมดไม่มีที่ติ ทำให้ได้แต่ต้องยืนเงียบๆ มองอีกฝ่ายหัวเราะตนโดยไม่อาจโต้ตอบอะไรได้
“อา.. ว่าแต่ เธอเองนี่ก็เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะ เดินออกมาทีแรกฉันแทบจำไม่ได้แน่ะ ถ้าไม่เห็นสีตาของเธอคงนึกว่าเป็นคนอื่นแล้ว” แอจนเกาหัวแกรกๆด้วยความประหม่าที่ได้มายืนตรงหน้านางแบบสาวที่ลงปกนิตยสารโดยเขาแอบเห็นในร้านหนังสือหลายฉบับแต่ไม่เคยติดจะอ่านรายละเอียดชื่อทำให้จำไม่ได้ว่านี่คือเพื่อนสาวแก่นแก้วจอมทะโมนที่เคยเล่นดีดหินเป่ากบด้วยกันในโรงเรียนเมื่อหลายปีก่อน
“ฮะๆ แหม..แกก็พูดเกินไปแจน แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ เรียนจบมา ได้มาเปิดโรงพยาบาลตามที่ตั้งใจไว้รึเปล่า” เอเลนสำรวมท่าทางการพูดให้เป็นปกติ ทั้งที่ในใจอยากจะพูดว่า ‘นั่นสินะ ฉันเองก็แทบจำแกไม่ได้เหมือนกัน เห็นผมทรงกะลา ไม่นึกว่าจะแก คิดว่าเป็นทีมงานมายืนสอดส่องสตูดิโอ’ แต่อย่างนั้นมันก็ไม่ควร... ถามถึงการประสบความสำเร็จของแจนที่เรียนได้เกียรตินิยมสอบชิงทุนได้ไปเรียนแพทย์ต่อที่รัสเซีย ทำให้กลับมาคราวนี้สำเนียงการพูดมีสำเนียงแปลกๆติดมาเล็กน้อย
“อืม ฉันเรียนจบมาก็ได้มาเปิดโรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นักหรอก ก็มีคนไข้เยอะซะจนเตียงแทบไม่พอเลยล่ะ เออ..ฉันก็ดีใจด้วยนะที่เธอก็ได้เป็นนางแบบอย่างที่ใฝ่ฝันไว้” แจนยิ้มแสดงความดีแก่เอเลน ที่ในตอนนี้ดูเปลี่ยนไปมากทั้งบุคลิกกิริยาท่าทางที่สง่างามสมกับเป็นนางแบบก็พาแจนรู้สึกปลื้มใจไปด้วย “เช่นกันนะ ว่าแต่..”
เอเลนเว้นวรรคคำพูดแล้วกระตุกยิ้มมุมปากพร้อมหรี่ตามองชายร่างใหญ่เหมือนมีเลศนัยบางอย่าง “แล้วเรื่องผู้หญิงล่ะ ยังซดแห้วอยู่รึเปล่า คิกๆ” เอเลนหัวเราะเยาะเบาๆ เรียกสีระรื่อบนแก้มสากของคนตรงหน้าให้ชัดขึ้นจนเจ้าตัวถึงกับต้องหลบตาหนีด้วยความอับอายที่พบเจอมาหลายต่อหลายปี
ราวกับสำสาปให้ต้องอาภัพรักจนนับไม่ถ้วน..
“โฮ่ย อย่าพูดแบบนั้นสิวะเอเลน...เจ็บว่ะ” ใบหน้าหล่าเหลาฉายแววห่อเหี่ยวเต็มทีทำเอาเอเลนรู้คำตอบจากในของเพื่อนหนุ่ม ‘อกหักเป็นงานอดิเรก’ มือเรียวบางเอื้อมตบบ่าคนตัวสูงกว่าเบาๆด้วยความรู้สึกผิดผุดขึ้นในใจที่ดันไปพูดสะกิดบางแผลที่สาหัสในใจของคนที่ต้องผิดหวังมาทั้งชีวิตอย่างแจน ทั้งที่หน้าที่การงานก็ดีเลิศ หน้าตาก็ไม่ได้แย่ แต่ไม่รู้ทำไมหญิงสาวถึงต้องปฏิเสธเขาร่ำไป
นั่นคือสิ่งที่แจนคิด แต่เอเลนเองก็พอจะรู้ถึงเหตุผลเพียงหนึ่งเดียวคือความใจร้อนผลีผลาม รีบไปซะทุกอย่าง จีบผู้หญิงสักคนไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ ทำเหมือนจีบมาเป็นเดือนๆรีบขอบคบซะจนอีกฝ่ายยังไม่ได้มีความรู้สึกอะไรด้วยเลย กับความขี้โอ่เก๊กหล่อของแพทย์หนุ่มที่ทำให้ใครเห็นเป็นต้องหมั่นไส้
“เอาเหอะน่า สักวันเดี๋ยวก็เจอคนที่ใช่เอง เอาอย่างงี้ไหมล่ะ ถ้าเจอใครที่ถูกใจ เดี๋ยวฉันจะช่วยเอง” เอเลนยิบตาให้กำลังใจแก่แจน ชายร่างสูงเมื่อได้ยินสิ่งที่เอเลนพูดก็ตาตื่นดีใจจนแทบเป็นลิงโลด “เฮ้ย!! จริงหรอวะเอเลน ขอบคุณมากนะเว่ย!!” แจนเม้มปากแน่นตาเป็นประกายราวกับแลเห็นความหวังในตัวของหญิงสาวตรงหน้าที่ส่งยิ้มมาให้ด้วยความมั่นใจ
ถึงลึกๆแล้วจะเป็นเพราะความสมเพชก็เถอะ
“เออแจน เดี๋ยวเที่ยงวันนี้ไปกินข้าวกันนะ ถือเป็นการฉลองที่เราได้กลับมาเจอกัน”
“เห! จะดีหรอวะ แกเป็นถึงนางแบบมีชื่อเสียงเชียวนะ ไปกินข้าวกับฉันไม่กลัวเป็นข่าวฉาวรึไง”
“ไม่เป็นไรเว่ย แค่เลี้ยงข้าวในชั้นล่างของสตูดิโอนี่เอง พี่ๆทีมงานเขาเป็นคนดีทั้งนั้น รับประกันเลยว่าแนะนำแกให้รู้จักว่าเป็นเพื่อนฉัน เขาไม่เอาไว้ทำข่าวหรอก อีกอย่างเป็นเพราะเป็นหน้าเป็นตาของบริษัทด้วย”
แจนพยักหน้าเข้าใจตอบรับคำเชิญของเอเลนแล้วขอตัวออกไปหาเลขาที่คอยอยู่ข้างนอกสักเดี๋ยว ไม่นานจะกลับมาอีก ก็คงเป็นเวลาพักเที่ยงของเธอพอดี เพราะงั้นเอเลนจึงไม่มีปัญหาอะไรและรีบเดินกลับไปยังสตูดิโอ ก็คงไม่พ้นคำถามจากรองผู้กำกับถึงบุคคลปริศนาที่เข้ามาขอพบทั้งที่ยังไม่เห็นหน้า ซึ่งเธอรู้ดีว่าเป็นเพราะความเป็นห่วง ด้วยความรักความเอ็นดูที่ทุกคนมีให้ต่อเธอ เอเลนจึงตอบไปตามความจริงว่าเป็นเพื่อนเก่า รวมถึงที่เธอชวนมาทานข้าวเที่ยวด้วยกัน ซึ่งทุกคนก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่กลับยินดีกับเธอเสียมากกว่า
.
.
“นี่รีไวล์ นายแน่ใจนะว่าไหว” เสียงใสเอ่ยถามจากด้านหลังคนร่างเล็กที่เดินนำหน้าไปยังสตูดิโอในชุดสุภาพที่เพิ่งไปเปลี่ยนมาในห้องน้ำเมื่อครู่ ดวงตาสีน้ำตาลไหม้หลังแว่นหรี่มองพระเอกรีไวล์ฝืนเดินกระเผลกๆตรงไปยังทางเลี้ยวมุห้องที่ไม่ไกลจากสตูดิโอเท่าไรนัก
“ไม่เห็นรึไงว่าฉันเดินได้ ยังจะถามอีก” ทั้งที่เพียงก้าวเดินก็เจ็บจนแทบทรุดทำให้ไม่อาจยืดขาเดินได้ดีๆแท้ๆ แต่ก็ยังปากแข็งแล้วกัดฟันฝืนความเจ็บปวดที่มากล้นเดินตรงดิ่งไปยังสตูดิโอถ่ายแบบทั้งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนคนหงุดหงิดแต่จริงๆแล้วกำลังอดทนอยู่กับหลังหัวเขาที่แทบจะหักเป็นเสี่ยงๆ
“โถ่เอ้ย... เพราะแค่อยากให้ผู้หญิงประทับใจ ถึงกับต้องหักโหมมาเกือบอาทิตย์เชียว สงสัยฉันจะดูคนไม่ผิดจริงๆสิน้า..” ฮันซี่ลากเสียงยาวล้อแซวรีไวล์ที่กำลังเขินจนหูแดงแจ๊ ใบหน้าคมเข้มหันมาสบกับใบหน้าทะเล้นทำเอาฮันซี่ต้องสะดุ้งโหยง “อย่ามาพูดมั่ว อาทิตย์ที่แล้วฉันกินเยอะไปหน่อยก็เลยกลัวว่าจะใส่ชุดของที่นี่ไม่ได้ตังหากล่ะ!!” พูดจบก็สะบัดหน้าหันกลับไปตามเดิม จึงไม่รู้ว่าแม่ผู้จัดการส่วนตัวกำลังกลั้นหัวเราะแทบเป็นแทบตาย จากเมื่อครู่ที่หันมาทำให้เธอได้เห็นใบหน้าที่แดงราวกับมะเขือเทศ
ผู้ชายปากแข็ง... โกหกได้แต่ปาก แต่ความจริงกลับแสดงออกทางใบหน้า..
ตรงทางเลี้ยวหักมุมของผนัง สองร่างต่างความสูงเดินเลี้ยวซ้ายไปยังอีกโซนที่เป็นห้องแต่งตัวชายที่ทางทีมงานจัดไว้ให้เพื่อรอเขาโดยเฉพาะ แต่ทันทีที่เดินพ้นทางเลี้ยงมารีไวล์ก็ถึงกับต้องเลิกคิ้วสูงเมื่อมองเห็นร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงทางเดิน
“มิคาสะ” “อ้าว...คุณอารีไวล์” เสียงทุ่มต่ำเอ่ยเรียกชื่อหลานชายร่วมสายเลือดในชุดสุภาพคล้ายๆกับเขาที่อยู่ใกล้ๆห้องแต่งตัว ซึ่งมิคาสะเองก็ตกใจเช่นกันที่ไม่นึกว่าจะมาเจอคุณอาจะๆแบบนี้ ทั้งที่ตั้งใจแอบมาแท้ๆ “ไหนบอกว่ามีคนมาขอดูเพชรของที่บริษัทไม่ใช่รึไง”รีไวล์ขมวดคิ้วถาม จากความรู้สึกเขินอายที่ถูกแซวเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิดทันทีเมื่อได้หน้ามิคาสะ
“ผมให้รองประธานบริษัทจัดการทุกอย่างแทนแล้วล่ะครับ พอดีว่าอยากมาดูคุณอาถ่ายแบบกับคุณเอเลนน่ะครับ” เจ้าของเรือนผมสีดำขลับยาวเคลียต้นคอตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแด่คนที่มีอายุมากกว่าทั้งสีหน้านิ่งเรียบอย่างเคย หลังจากวันนั้นที่รีไวล์มีท่าทีพออกพอใจแม่นางแบบเอเลน เยเกอร์ เขาก็ไม่รอช้าที่จะตั้งตัวเป็นคู่แข่งทางหัวใจทันที เพราะหญิงสาวในภาพนิตยสารคนนี้ก็ดันต้องตาต้องใจเขาเหลือเกินจนไม่ไหว ถึงขนาดอยากจะเอาชนะใจเธอให้มาเป็นคู่รัก
แต่มารผจญก็คือคุณอารีไวล์ที่ได้รับโอกาสได้ถ่ายแบบและเล่นละครเคียงคู่กับเอเลน จะให้เขายืนมองอยู่เฉยๆโดยที่ไม่ทำอะไรมันก็ยังไงอยู่ ถ้ามีรีบจับจองมีหวังโดนแย่งไปก่อนพอดี ถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงเจ็บใจจนดิ้นตายแน่ๆ จึงรีบโทรศัพท์ไปหารองประธานบริษัทให้จัดการทุกอย่าง โดยอ้างว่าญาติเสียซึ่งรองประธานก็เชื่อสนิทใจด้วยน้ำเสียงตอนที่โทรศัพท์คุยกันเหมือนคนที่เสียใจราวกับจะร้องไห้ จึงรับคำโดยไม่ถามอะไรต่อ ซึ่งในเวลานั้นมิคาสะก็แอบปลื้มในการใส่อารมณ์แอคติ้งน้ำเสียงของตัวเองซะไม่มี
ช่วยไม่ได้นี่ครับ.. ทั้งหน้าที่การงาน ชื่อเสียง หรือแม้กระทั่งทรัพย์สินเงินทองของผมไม่ได้น้อยกว่าคุณอาเลย แสดงว่าผมก็ต้องมีสิทธิ์ที่จะจีบคุณเอเลน
“แล้วทำไมแกถึงรู้ว่าสตูดิโออยู่ที่นี่..”สีไวล์ถามทั้งสีหน้าเหยเกไม่สบอารมณ์ แต่มันไม่ได้ทำให้มิคาสะรู้สึกอะไรแม่สักนิด
“แหม คุณอา น่าจะรู้นี่ครับสำครับทุกวงการ ผมน่ะเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว กับอีแค่ผู้กำกับวงการบันเทิง แค่ผมโทรกริ้งเดียว ก็รู้ทางมาได้ถึงที่ หรือแม้กระทั่งถามทางไปถึงที่อยู่ของคุณเอเลน ผมก็ทำได้นะครับ” มิคาสะกระตุกยิ้มมุมปากแฝงความเย้ยหยันใส่รีไวล์ผู้เป็นอา ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบสนองมาต้นดวงตาดุดัน ซึ่งเป็นสิ่งที่อาหลานใช้ประกอบการสื่อสารแก่กันและกันบ่อยซะจนเป็นเรื่องปกติที่ทำให้ความสัมพันธ์ไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไรนัก
ฮันซี่ผู้เฝ้ามองการสนทนาของทั้งคู่มาเป็นเวลาชั่วครู่ รู้สึกได้ถึงรังสีทะมึนน่ากลัวที่ทั้งสองหนุ่มตรงหน้ามอบให้แก่กัน มันช่างน่าขนลุกเกินกว่าจะเฝ้ามองเฉยๆได้ “อ...เออ! รีไวล์ มาถึงแล้วก็รีบไปเปลี่ยนชุดเถอะนะ ทุกคนคงรอแย่แล้ว” ผู้จัดการสาวยิ้มแห้งๆบอกกันเพื่อนชายที่ตอนนี้กำลังฉุนกึกกับคำพูดของมิคาสะ รีบเชิดหน้าเดินผ่านมิคาสะเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างในห้องของที่เตรียมไว้ให้ ซึ่งก็มีเหล่าทีมงานรอต้อนรับการมาถึงของนักแสดงชายยอดนิยมอย่างเขากันอย่าลุ้นระทึก
“นี่ มิคาสะ ฉันถามอะไรเธอหน่อยสิ” หญิงสาวหน้าทะเล้นปรับน้ำเสียงให้หนักแน่จริงจังพอที่จะทำให้เจ้าของใบหน้าคมคายหายมาสบตา
“ครับ มีอะไรหรอครับ”
“เธอน่ะ ชอบเอเลนเหมือนกันงั้นหรอ..” ฮันซี่กลืนน้ำลายลงคอเอือกใหญ่ก่อนถาม ทำให้มิคาสะรู้ว่าหญิงสาวตรงหน้านั้นแอบรู้สึกลำบากใจมากพอสมควร “ใช่ครับ ผมชอบเธอเหมือนที่คุณชอบนั่นแหละครับ” ใบหน้าคมคายเผยรอยยิ้มแบบางอ่อนโยน แต่มันกลับสร้างความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีนักให้กับฮันซี่ ซึ่งมิคาสะก็เข้าใจดี ว่าคนที่เป็นคู่แข่งของเขานั้นก็คือเพื่อนสนิทของเธอที่คบกันมาแสนนาน
ฮันซี่พยักหน้าแล้วหมุนตัวเดินตรงไปอีกทางเพื่อไปหาสไตล์ลิสต์ที่เป็นคนเลือกชุดให้รีไวล์ซึ่งอยู่อีกโซนห้องข้างๆ มิคาสะยืนงงกับท่าทางของฮันซี่ที่จู่ๆก็มาถามแล้วก็จากไป ยืนทิ้งให้เขายืนอยู่เพียงลำพัง จนในสมองสั่งการให้คิดว่าควรจะทำอะไร แต่สิ่งแรกที่คนหนุ่มคิดเป็นอันดับแรกก็คือใบหน้าของนางแบบเอเลนที่ตอนนี้คงจะรออยู่ในสตูดิโอทำให้เขาทนไม่ไหวที่จะต้องรีบไปเจอเธอ...
..........................
กลับมาแล้วจ้าสำหรับฟิค Ambition นี้ จากที่ไปอัพ Position จนใกล้จะจบอยู่แล้ว ในตอนนี้ทุกท่านแลเห็นประจุขั้วบวกขั้วลบที่กำลังจูนเข้าหากันไหมคะ 5555 ต่างคนต่างอยากเจอกันแทบใจขาดดิ้นแล้ว เพราะงั้นตอนหน้าพวกพระนางทุกคู่จะได้เจอกันแล้วค่ะ ทั้งเอเลนกับคุณรีไวล์ แจนกับอาร์มิน และคู่สุดท้ายที่น่าจะรู้กันดีว่าเป็น มิคาสะกับแอนนี่นะเออ ฝากติดตามกันต่อไปนะคะ ถ้าท่านมาคอมเม้นให้มินล์จะเป็นกำลังใจอย่างมาก ขอบคุณมากๆค่ะ ><
ความคิดเห็น