คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เด็กหอ
คำเตือน : สำหรับคนที่ยังไม่ได้ชม ห้ามอ่านบทความนี้เด็ดขาด เดี๋ยวจะหาว่าไม่รักกันจริง
ผมว่าจุดเด่นอย่างหนึ่งของผู้กำกับกลุ่มแฟนฉันมีร่วมกัน คือ
การให้สำคัญของมิตรภาพ และ การมองอดีตด้วยความสุขและความงดงาม
ไม่ว่าจะเป็นแฟนฉัน.....เพื่อนสนิท....เรื่อยมาจนถึงเด็กหอ
ล้วนแต่เป็นหนังที่อบอุ่นไปด้วยคำว่าเพื่อน......
คำพูดและเหตุการณ์ในหนังทั้งสามเรื่องเต็มไปด้วยมิตรภาพ ความสนุกสนาน
เป็นมิตรภาพที่เป็นธรรมชาติ และดูจริงใจ
นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมติดใจการทำงานของผู้กำกับกลุ่มนี้เรื่อยมา
และนี่ คือ สิ่งแรกที่อยากจะพูดถึงจากการได้ดูเด็กหอ
หนังใช้คำโปรยไว้ว่า “เพื่อนตายหาง่ายกว่าที่คิด” แค่คำพูดนี้ก็ โดนใจผมแล้ว และเหมือนจะบอกเป็นนัย ๆ ด้วยว่าชาตรีมันจะต้องเป็นเพื่อนกับผีแน่ ๆ และก็ เป็นเช่นนั้นจริง ๆ คนที่ดูแล้วจะทราบว่า เพื่อนตายคนนั้น คือ วิเชียร ช่ำชอง นั่นเอง
ผมว่ามีเด็กไม่กี่คนหรอกที่อยากจะออกจากบ้านไปอยู่โรงเรียนประจำ เป็นเรื่องจิตวิทยาสามัญธรรมดาของการพลัดพราก เมื่อไรก็ ตามที่เราจะจากสถานที่หนึ่ง ไปอยู่อีกสถานที่หนึ่ง ยกตัวอย่างเรื่องใกล้ตัวเช่น ตอนจบ ป. 6 ขึ้นม. 1 (ซึ่งก็ เป็นเหตุการณ์เช่นเดียวกับในเรื่อง) หรือ ตอนม. ปลายขึ้นมหาลัย ผมจำได้ว่ามันรู้สึกโหวงเหวงชอบกล รู้อยู่ว่าเพื่อนไม่ได้หายไปไหน ยังติดต่อกันได้ แต่มันก็ รู้สึกว่าบางอย่างหายไป และหลายอย่างจะไม่เหมือนเดิม กิจกรรมที่พวกเราอาจจะไม่ได้ทำร่วมกันอีก แค่เรื่องนี้ ก็ เหงาพอแล้วสำหรับเด็กคนนึงที่ต้องย้ายโรงเรียน
แต่สำหรับชาตรี ไม่ได้มีเพียงแค่นั้น
เนื่องจากชาตรีได้เห็นภาพที่ไม่เหมาะสมระหว่างพ่อกับสาวใช้ และการที่เขาถูกส่งไปยังโรงเรียนประจำอย่างกะทันหันในช่วงกลางเทอม ทำให้ชาตรีเกิดความแคลงใจระหว่างเขากับพ่อ....ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างชาตรีกับพ่อจึงได้พ่วงท้ายรถที่พาเขาไปยังโรงเรียนประจำด้วย
มาถึงวันแรก....ชาตรีก็ ถูกเด็กเจ้าถิ่นเขม่น จากนั้นตอนกลางคืนถูกชวนมาฟังเรื่องผี ไม่รู้ว่ามีเรื่องจริงไม่จริงกี่เรื่อง และ ชาตรีเจอดีแต่คืนแรกเมื่อตอนที่เขาปวดฉี่แล้วไปเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน ตอนเช้าชาตรีฉี่รดที่นอน.......ถูกเพื่อนล้อ ผ้าที่ชาตรีตากไว้ (ซึ่งไปทับที่ชาวบ้าน) ก็ หล่นไปกองกับพื้น บางวันชาตรีต้องตื่นขึ้นมาคนเดียวโดยที่เพื่อน ๆ ในหอแต่งตัวไปเรียนกันหมดแล้ว สิ่งต่าง ๆ ดูไม่ต้อนรับเขาเลย มีแต่เด็กชายคนหนึ่งที่ชื่อ “วิเชียร ช่ำชอง” ที่เข้ามาคอยให้คำแนะนำต่าง ๆ ในการใช้ชีวิตเด็กหอ เข้ามาคุยและเป็นเพื่อนกับชาตรี ความสัมพันธ์ระหว่างชาตรี กับ วิเชียร เป็นไปด้วยดีจนกระทั่งต่อมาหนังได้เฉลยในช่วงที่เด็กทั้งสองไปดูหนังกลางแปลงว่า “เพื่อนตายหาง่ายกว่าที่คิดจริง ๆ”
หลังจากที่ชาตรีรู้แล้วว่าวิเชียรเป็นอะไร เขาก็ กลัวแล้วหนีไปอยู่กับเพื่อนคนอื่น (ซึ่งก็ คือ ก๊วนเล่าเรื่องผีในตอนแรก)
ถึงตอนนี้สำหรับผมดูแล้วรู้สึกเกิดคำถามขึ้นมาคำถามหนึ่งว่า....
“สิ่งสำคัญที่ทำให้คนเราเป็นเพื่อนกัน คือ อะไร”
ตอนนี้ทำให้ผมย้อนนึกไปถึงเพื่อนสนิท 2 คนของผม สมมติชื่อ A และ B A เป็นคนดีและมีน้ำใจมากมาย แต่แล้ววันหนึ่ง....A กลับได้เผยความรู้สึกว่าเขาชอบผู้ชายด้วยกันซึ่งผู้ชายที่เขาชอบนั้น คือ B เพื่อนสนิทอีกคนนึงของผมนั่นเอง ปัญหาคงจะไม่เกิดหาก A ไม่ไปบอก B และถึงปัญหาที่แม้จะเกิดแล้ว ก็ คงไม่รุนแรงขนาดนี้หากสิ่งที่ A ขอ B นั้นไม่ใช่การขอมีอะไรด้วย
หลังจาก A พูดกับ B ไป B โทรฯ มาคุยกับผม B บอกว่าเสียใจและโกรธมาก เขาบอกว่า “เพื่อนกัน...พูดอย่างนี้ได้อย่างไร” แล้วก็ ร้องห่มร้องไห้ A ก็ โทรฯ มาคุยกับผมว่า “เขาไม่ได้ตั้งใจ ผิดพลาดไปแล้วอยากแก้ตัว” ผมในฐานะคนกลางได้แต่พยายามบอกทั้งสองฝ่ายให้ใจเย็น ๆ ก่อน อย่าเพิ่งพูดคุย หรือ ตัดสินใจอะไรในช่วงที่น้ำกำลังเชี่ยว แต่ก็ ไม่สำเร็จ เพราะ A เพียรพยายามจะติดต่อกับ B ส่วน B ก็ เพียรพยายามวางโทรศัพท์ และปิดการติดต่อกับ A ทุกครั้ง มิตรภาพระหว่าง A กับ B ดูเหมือนจะแตกหัก เรื่องก็ คงจบลงเท่านั้น แต่ทว่า B มิได้พูดเรื่องนี้กับผมคนเดียว เรื่องราวทั้งหมดแพร่กระจายไปทั่วห้อง คนบางกลุ่มในห้องที่ไม่ค่อยชอบ A เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็ เม้าท์เรื่องนี้กันอย่างสนุกสนาน สิ่งที่ผมเห็น คือ ต่อหน้าพูดจาดี แต่ลับหลังกลับไปค่อนขอด นินทาว่าร้าย และพูดเป็นเรื่องสนุก
ผมเองในฐานะเพื่อนสนิทของทั้ง A และ B ผมรู้มานานแล้วละว่า A มีรสนิยมเป็นเช่นไร A ไม่เคยพูดออกมา แต่จากหลาย ๆ ลักษณะมันก็ บ่งบอกชัด ซึ่งผมเชื่อว่าคนอื่น ๆ ในห้องก็ ต้องรู้เช่นเดียวกัน และผมเองก็ สังเกตเห็นด้วยว่า A ค่อนข้างชอบ B ผมจึงไม่ค่อยแปลกใจนักกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจคือ พฤติกรรมของ B และคนอื่น ๆ ในห้อง
เล่ามานาน แต่ประเด็นที่อยากจะพูดถึงจากเรื่องเล่านี้ คือ การที่ A เสมือนถูกตัดขาดจากการเป็นเพื่อนกับ B และคนอื่น ๆ ภายในห้อง แม้ไม่แสดงออกอย่างชัดเจน แต่ว่า A รับรู้ได้จากความห่างเหินที่เกิดขึ้น คำถามคือ “สิ่งสำคัญที่ทำให้คนเราเป็นเพื่อนกัน คือ อะไร” ความผิดพลาด 1 อย่าง ลบล้างความดี 100 อย่างได้เลยหรือ มิตรภาพถูกผูกไว้กับความผิดพลาด 1 อย่างเท่านั้นหรือ
ในที่สุด A โทรฯ มาบอกผม พูดทั้งน้ำตาว่าเขาจะฆ่าตัวตาย
ผมตกใจ ผมจำรายละเอียดอื่น ๆ ในเรื่องที่คุยไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมจำได้ว่าได้บอกกับ A ไป คือ “ไม่ว่านายจะชอบผู้ชาย หรือ ไม่ก็ ตาม นายยังเป็นเพื่อนเราอยู่นะ ยังมีคนที่ห่วงนายอยู่นะ นึกถึงพ่อ แม่ พี่ ซิว่าเขาจะเสียใจแค่ไหนกับการกระทำด้วยอารมณ์ชั่ววูบของนาย”
แล้วก็ วางหูกันไป
หลังจากนั้น A โทรฯ มาขอบคุณ เขาบอกว่าวันนั้นเกือบจะเอาคัตเตอร์กรีดข้อมือตัวเองอยู่แล้ว เขาบอกว่าโชคดีที่โทรฯ มาหาผม
ทุกวันนี้ผมกับ A ยังคบเป็นเพื่อนกันอยู่ ผมกับ B ก็ ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ ส่วน A กับ B ไม่ต้องพูดถึง.....ความสัมพันธ์ขาดสะบั้นตั้งแต่วันที่ A เปิดเผยความในใจกับ B ไปแล้ว นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่าง A กับเพื่อนคนอื่น ๆ ในห้อง ก็ ดูเหมือนจะถูกตัดขาดไปด้วย
ขอออกตัวก่อนว่า....ไม่ได้ยกตัวว่าเป็นคนดี แต่อยากแสดงความเห็นของผมในเรื่องมิตรภาพเท่านั้น เพราะนอกจากผมแล้วก็ ยังมีเพื่อนในห้องบางส่วน (ซึ่งเป็นส่วนน้อย) ยังคงยอมรับ A และเป็นเพื่อนกับ A ด้วยความจริงใจอยู่
และก็ ไม่ได้กล่าวหาว่า B และคนอื่น ๆ ในห้องผิด เพราะแต่ละคนย่อมมีขีดจำกัดและเหตุผลของตัวเอง สำหรับผม ผมยอมรับได้ แต่สำหรับ B และอีกหลายคนอาจยอมรับไม่ได้ เป็นความแตกต่างระหว่างบุคคล
ย้อนกลับมาที่เด็กหอ ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างชาตรี กับ วิเชียร จะถูกทดสอบด้วยคำถามที่ว่า “มิตรภาพระหว่างคนสองคนเกิดจากอะไร” มิตรภาพถูกผูกไว้กับคำว่าคนเป็น และคนตายหรือไม่ นี่ไม่ใช่เป็นประเด็นหลักที่หนังต้องการจะสื่อ แต่หนังเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงและนึกไปไกลถึงเรื่องที่ผมเล่ามา
ช่วงถัดมาชาตรีได้ตัดสินใจกลับมาคบกลับกับวิเชียรอีกครั้ง มิตรภาพระหว่างคนทั้งสองก็ พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งในช่วงสุดท้ายของหนังได้ทำให้เห็นว่าคำว่าเพื่อนจะพาคุณไปไกลได้แค่ไหน ชาตรียอมเสี่ยงชีวิตเป็นวิญญาณเพื่อช่วยให้วิเชียรหลุดพ้นจากบ่วงกรรม
ชาตรีบอกว่าสิ่งที่เขากับวิเชียรเหมือนกัน คือ ไม่มีตัวตนในสายตาของคนอื่น
ช่วงถัดมาของหนังช่วงหนึ่ง......วิเชียรได้ย้อนถามชาตรีว่า แล้วนายเคยเห็นคนอื่นอยู่ในสายตาบ้างไหม
ในเรื่องผมเห็นว่ามีตัวละครสี่ตัวที่ดูเหมือนจะติดอยู่กับอะไรบางอย่าง
คนแรก คือ ตัวชาตรีเองที่ติดอยู่กับความโกรธพ่อของตัวเองที่ไปมีอะไรกับสาวใช้ในบ้าน
คนที่สอง คือ พ่อของชาตรีที่ได้รับผลกระทบตามมา กับการที่ลูกไม่ยอมให้อภัยในความผิดพลาดของตัวเอง
คนที่สาม คือ ครูปราณีที่ติดอยู่กับความรู้สึกผิดของความเชื่อที่ว่าตนเป็นต้นเหตุให้วิเชียรต้องฆ่าตัวตาย
คนที่สี่ คือ วิเชียรที่ต้องโดดน้ำฆ่าตัวตายซ้ำ ๆ ทุกตอน 18.00 น.
ตัวละครทั้งสี่ต้องการการใส่ใจ ต้องการการดูแล และต้องการให้ใครบางคนมาเข้าใจ
พ่อของชาตรี กับ ชาตรี จะเห็นว่าฝ่ายพ่อพยายามหาทางออกโดยการโทรฯ มาหาชาตรี แต่ปัญหา คือ ชาตรีไม่ยอมรับโทรศัพท์ คนที่พูดมีเพียงฝ่ายเดียวจึงไม่เกิดการสื่อสาร ปัญหาความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้รับการแก้ไข
ครูปราณีวนเวียนอยู่กับความรู้สึกผิด นั่งเฝ้ามองลิ้นชักดึงเข้าออก ฟังเครื่องเล่นแผ่นเสียงชำรุดที่เล่นแต่เนื้อซ้ำซากวนไปวนมา ขณะที่วิเชียรต้องออกไปฆ่าตัวตายทุกครั้งตอน 18.00 น.
อีกประเด็นหนึ่งที่ผมได้จากการดูหนังเรื่องนี้ คือ เรื่องของการให้อภัย โดยข้อแรก คือ เราต้องรู้จักให้อภัยผู้อื่น บุคคลที่ผมว่า คือ ชาตรีที่ต้องให้อภัยพ่อตัวเอง ส่วนอีกข้อหนึ่งคือ เราต้องรู้จักให้อภัยตัวเอง บุคคลนั้น คือ ครูปราณี แม้ในเรื่องครูปราณีจะได้รับรู้ทีหลังว่าตนไม่ได้เป็นต้นเหตุ และวิเชียรไม่ได้ฆ่าตัวตายก็ ตาม แต่ในชีวิตจริงจะมีซักกี่คนที่โชคดีได้รับรู้สิ่งเหล่านี้ ดังนั้นผมเชื่อว่าคนเราต้องรู้จักให้อภัย....ทั้งต่อตนเองและบุคคลอื่น บางครั้งหากมองว่าเราไม่ได้อยู่ในสายตาของคนอื่นเพียงมุมเดียว ก็ คงจะมองเห็นแต่ว่าเราเป็นผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียว แต่หากลองมองคนอื่นให้อยู่ในสายตาแล้ว...บางทีเราก็ อาจเป็นผู้กระทำต่อคนอื่นเช่นกัน และบางทีการให้อภัยอาจจะง่ายขึ้นหากเรารู้จักมองอีกแง่มุม เพราะการจะหลุดพ้นจากบ่วงกรรมทั้งหลายต้องใช้กรรไกรที่ชื่อว่า “การให้อภัย” เป็นตัวตัดเท่านั้น
และแล้วแผ่นเสียงก็ ต้องเล่นเพลงต่อไปจนจบ ชีวิตคนเราก็ ต้องดำเนินต่อไปเช่นกัน
ผมเห็นความแตกต่างในฉากบนรถระหว่างขาไป กับ ขากลับ
ขาไปเต็มไปด้วยความลึกลับ..........แต่ขากลับพร้อมด้วยความประทับใจ
หนังไทยปี 2549 อีกเรื่องที่ควรค่าแก่การชม
บันทึกไว้เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 มี.ค. 2549
identity
ความคิดเห็น