คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : [OS] On Skin [ByungChan]
"บยองฮอนอา..."เสียงใสเรียกคนที่นั่งหันหลังให้พร้อมกันนั้นนิ้วเรียวก็จิ้มไปที่แผ่นหลังนั้นซ้ำๆ กระตุกชายเสื้อบ้าง ดึงเสื้อบ้าง...ไม่บ่อยนักหรอกที่จะเจอคนตรงหน้านิ่งใส่แบบนี้ เรือนผมสีบลอนด์ที่คล้ายกัน ต่างกันตรงที่อีกฝ่ายมีไฮไลท์หลายสีอยู่ตรงกลางผมช่วยให้ดูน่ามองยิ่งขึ้น แต่ตอนนี้เขาไม่อยากมองเห็นแต่ข้างหลังแบบนี้เลย
พวกเขานั่งอยู่ในสภาพนี้มาสักพักแล้วหลังกลับจากฮาวาย...ความจริงต้องบอกว่ามีเรื่องกันตั้งแต่ก่อนกลับแต่เพราะต้องเร่งทำงานถึงไม่มีเวลาได้คุยเหมือนตอนนี้มากกว่า...ถ้าถามว่าอีบยองฮอนโกรธหนักหนาด้วยเรื่องอะไร....อีชานฮีขอตอบเสียงแข็งและเสียงดังฟังชัดเลยว่า เรื่องขี้ประติ๋วนิดเดียว...กับไอ้แค่ไปสักที่หลัง ก็ไม่เชิงหลัง เอาเป็นแถวลาดไหล่มากกว่า...ก็ไม่ได้ตั้งใจจะไม่บอก ก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดเพียงแต่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ถึงไม่บอกต่างหาก
"ย้าาาา!!!! อีบยองฮอน จะไม่ตอบจริงๆใช่ไหมเนี่ย"ก็เพราะขีดความอดทนของชานฮีมีต่ำ บยองฮอนเองก็น่าจะรู้ดี แต่ก็ยังทำใจแข็งไม่สนใจกันอยู่ได้
"จะให้ตอบว่าอะไรล่ะ"เสียงทุ้มคุ้นหูพร้อมกับใบหน้าด้านข้างหันมาน้อยๆก่อนจะหันกลับเข้าหน้าต่างดังเดิม
"ข้างนอกมีอะไรน่ามองนักหนา คุยกันอยู่ก็มองหน้ากันดิ นายเคยบอกไม่ใช่หรือไงว่าเวลามีอะไรในใจก็พูดออกมา...แล้วทำไมครั้งนี้นายไม่พูดล่ะ"เมื่ออีกฝ่ายเปิดโอกาส คนตัวบางจึงใส่จนเกือบจะหมดที่อัดอั้นมา เสียงที่ออกมานั้นจึงดังกว่าเดิม เพราะทนมาตั้งแต่บนเครื่องบิน ทนจนมาถึงหอพัก ทนนั่งเรียกเหมือนคนบ้าอยู่ตั้งนานสองนาน
คนนั่งหันหน้าเข้าหน้าต่างถอนหายใจเสียงดังก่อนจะหันกลับมาจ้องดวงหน้าเรียวที่เขารัก เพราะการเตรียมตัวคัมแบ๊กทำให้ใบหน้าหวานดูตอบลง ดวงตากลมที่มีประกายคล้ายเป็นสิ่งส่งต่อความร่าเริงมาถึงเขาดูวาวโรจน์คล้ายโมโห แก้มทั้งสองข้างขึ้นสีเล็กน้อยเพราะความร้อนของอุณหภูมิห้องและอากาศภายนอกที่แตกต่างรวมถึงอารมณ์โกรธที่พลุ่งพล่าน ริมฝีปากอิ่มอมชมพูขบเม้ม....ทุกอากัปกิริยาบ่งบอกได้ว่าอีชานฮีกำลังจะโมโหกลับและจะไม่สนใจอีบยองฮอนอีกถ้ายังไม่ทำตามสิ่งที่เจ้าตัวต้องการสักนิด เขาจึงเริ่มต้นบทสนทนากลับบ้าง
"ก็เพราะไม่รู้จะพูดอะไรไง ไม่รู้ว่าจะต้องบอกว่าอะไรอีก..."ถึงจุดนี้คิ้วของชานฮีเลิกสูงขึ้นอีกครั้ง
"เราเคยคุยกันแล้วใช่ไหมชานฮี เรื่องการสักหรือการจะทำอะไรว่าจะคุยกันก่อน จะไม่ไปทำโดยพลการ.."ในเมื่ออีกฝ่ายนิ่ง เสียงทุ้มจึงเอ่ยถามต่อ
ไม่ชอบที่ชานฮีสักหรอ...ไม่หรอก อีบยองฮอนรักอีชานฮีที่เป็นอีชานฮี จะให้เจาะหูเพิ่มเป็น6รู จะสักให้เท่าพี่มินซูยังไงก็รัก..มันก็แค่....ความรู้สึกแปลกๆ ไม่เข้ากับชานฮีหรอ ก็ไม่ใช่อีก เขารู้สึกว่ามันดูเข้ากันดี เพิ่มเสน่ห์และความเซ็กซี่ของคนตรงหน้าด้วยซ้ำ...แล้วอะไรที่ไม่ชอบ..อาจเพราะเสียดายผิวขาวเนียนนั่นล่ะมั้ง และเขาเป็นคนที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปสัก ไม่รู้อะไรเลยจนกระทั่งพี่มินซูมาบอกว่าชานฮีไปร้านสักกับพี่มินซูมา และอีกอย่าง...คงเป็นเพราะข้อความที่อีกฝ่ายไปสัก...
"ใครจะไปคิดว่านายจะคิดกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ พี่มินซูเป็นคนบอกเรื่องนี้กับนายใช่ไหม"ชานฮีพรูลมหายใจและเอ่ยถาม ซึ่งอีกฝ่ายพยักหน้ารับพร้อมกับเสียงตอบรับในลำคอ...ถ้าเห็นเองแล้วโกรธ เขายังพอเข้าใจในเหตุผลและจะอธิบายให้ฟัง แต่นี่ก็รู้มาจากพี่มินซู แล้วยังไง..มันจะเป็นอะไรขนาดนั้น.....นี่แค่การสักมันเรื่องใหญ่ขนาดนี้เลยหรอสำหรับบยองฮอน
"ฉันขอถามความหมายของรอยสักนายได้รึเปล่า..ขอดูอีกทีชัดๆได้ไหม"แม้จะติดใจกับคำที่ใช้แต่ชานฮีเพียงแค่พยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นยืน ถอดเสื้อยืดตัวบางออกและหันหลังให้เท่านั้น
"This, too, shall pass away..งั้นหรอ"นิ้วเย็นลูบไปตามรอยนูนสีดำก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆจนคนฟังไม่รู้ว่าพูดเพื่อถามหรือคุยกับตัวเองกันแน่
ยิ่งเห็น...บยองฮอนก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเข้ากับชานฮีได้ดีเหลือเกิน ผมสีบลอนด์ขาว ลำคอระหงส์ตั้งตรง แผ่นหลังขาวเนียนตรงลาดไหล่ด้านขวามีตัวอักษรพาดผ่าน เอวคอดกิ่วกับกางเกงยีนสีสีซีด และที่ทำให้ต้องอมยิ้มออกมาก็คงจะหนีไม่พ้นรอยสีกุหลาบจางๆประปรายบนแผ่นหลังนั่น...แล้วบางทีพอเห็นแบบนี้ จะโกรธคนตรงหน้าต่อไปทำไมกันในเมื่อเขาเองก็ไม่ได้ไม่ชอบรอยสักนี้ขนาดนั้น ทำหน้านิ่งอมทุกข์มาเกือบวันเพื่ออะไรกัน
เมื่อคิดดังนั้นลำแขนแกร่งจึงวาดเข้ารอบเอวของอีกฝ่ายพลางซุกใบหน้าลงบนบ่าก่อนจะสูดความหอมเฉพาะตัวของคนตรงหน้าเข้าเสียเต็มปอด
"เดี๋ยวๆๆ นี่หลอกให้ถอดเสื้อหรอ...ไม่ต้องเลยนะ ฉันเหนื่อยมากเลย พรุ่งนี้ก็ต้องซ้อมเต้นอีก"แม้เสียงจะแข็งแต่ใครจะรู้ว่าคนที่ยืนหันหลังให้นั้น ใบหน้าที่เคยแดงเพราะแรงอารมณ์ตอนนี้ยิ่งแดงกว่าเก่าเพราะความเขิน...ใครจะไปตั้งตัวทัน ตอนแรกยังดูโกรธเขาจนไม่ยอมคุยด้วย อยู่ๆกลับมากอดแถมซุกหน้าลงอีก ถ้าจะทำอย่างน้อยให้ใส่เสื้อก่อนก็ยังดี...แบบนี้มัน...ล่อแหลมไปหน่อยล่ะมั้ง..
"หึหึ...อีชานฮีก็ลามกไม่ใช่เล่นๆเลยนะเนี่ย ฉันแค่กอดเฉยๆทำไมต้องห้าม แปลว่าในใจคิดอย่างอื่นอยู่ล่ะสิ คิด...อะไรน้าาา..."เสียงทุ้มลากยาวคล้ายแซว ทำไมจะไม่รู้ว่าคนตรงหน้าที่หันหลังให้กำลังเขิน มันก็ใช่ที่ว่าไม่เห็นหน้า แต่ใบหูที่แดงจนสังเกตเห็นมันบอกเขาได้ดีไม่แพ้เห็นใบหน้าเลยล่ะ
"ย้าาา!!...นายนี่ จริงๆเลยนะอีบยองฮอน"คนตัวบางสะบัดตัวออกจากอีกฝ่าย ชี้หน้าคาดโทษก่อนจะหยิบเสื้อที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาใส่..บางทีก็ไม่ชอบไอ้รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จากคนตรงหน้าเลยจริงๆ
"โอ๊ย..ไม่แกล้งแล้ว แล้วบอกฉันได้รึยังว่าทำไมถึงต้องเป็นคำนี้ล่ะ..."เพราะไปกอดอีกรอบจึงโดนฟาดแขนเข้าให้จนต้องร้องออกมา แต่ก็ยังไม่ลืมจะถามถึงสิ่งที่อยากรู้
"อยากรู้ไปทำไม..มันก็แค่คำๆนึง ประโยคๆนึง"ชานฮีถามกลับก่อนจะพลิกตัวออกจากวงแขนนั้นและสบตากับคนถาม
"เพราะนายประทับมันลงบนร่างกายของนาย มันจะอยู่กับนายไปอีกตราบนานชั่วชีวิต ฉันถึงอยากรู้ว่าทำไมถึงต้องเป็นคำนี้ คนเราเมื่อคิดจะสักคำว่าอะไร มันก็ต้องมีความหมายไม่ใช่หรอ..อาจไม่ใช่ความหมายที่ตรงตัว แต่เป็นความหมายที่เราแปลในความหมายของเราเอง"เขาคิดแบบนี้จริงๆถึงลองถาม เขาเคยคุยเรื่องนี้กับพี่มินซู เคยถามด้วยคำถามเดียวกันว่าทำไมถึงสักลายนี้ แต่คำตอบที่ได้ทำเอาเขาต้องส่ายหน้า เพราะคำตอบที่ได้รับนั้นคือ..ก็แค่ชอบ มันเป็นศิลปะเท่านั้นแหละ นายจะคิดอะไรให้มากมาย...แค่นี้จริงๆ หวังว่าเขาคงจะไม่ได้คำตอบอะไรแบบนั้จากปากของชานฮีหรอกนะ
“This, too, shall pass away...สำหรับฉันหรอ...
ก็คง...
ไม่ว่าจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นแค่ไหน มันก็จะผ่านไป เช่นเดียวกัน..ไม่ว่าจะมีเรื่องเศร้าเกิดขึ้นแค่ไหน มันก็จะผ่านไป ก็เหมือนกับสิ่งต่างๆที่ผ่านไป...
อะไรประมาณนี้ล่ะมั้งบยองฮอน"เพราะถามจริงๆมันก็แค่อารมณ์ชั่ววูบ..เป็นแค่คำๆนึงที่เขารู้สึกชอบและถูกใจจึงอยากลองนำมันมาพาดทับสลักไว้บนร่างกาย
"เฮ้อออ..."
"ถอนหายใจทำไมกัน สรุปหายโกรธแล้วใช่ไหมเจ้าไก่ตาตี่"เสียงหวานแควะ มือบางยกขึ้นบีบจมูกอีกฝ่ายเบาๆเหมือนที่บยองฮอนชอบทำตอนเขาดื้อหรือหงุดหงิด
"ก็ไม่ได้โกรธตั้งแต่แรกอยู่แล้ว.."คนที่ถูกหาว่าเป็นไก่ตอบกลับก่อนจะบีบจมูกแสนรั้นนั้นคืน จมูกรั้นเชิดเหมือนนิสัยเจ้าตัวไม่มีผิด
"ขี้โม้ ไม่โกรธแล้วทำไมไม่คุย ไม่โกรธแล้วตอนแรกนั่งหันหลังให้ทำไม"ชานฮีเอามือออกจากจมูกอีกฝ่ายก่อนจะเบะปาก
"ก็แค่โมโหนิดหน่อยที่นายไม่ยอมบอกฉันเท่านั้นเอง อ่อ..แล้วก็ทำอะไรก็ไม่ปรึกษา"
"กับไอ้แค่ไปสักที่หลังนี่ต้องขอคำปรึกษา ต้องบอกด้วยหรอ ตอนนั้นไปเจาะหูยังไม่เห็นพูดอะไร...เยอะขึ้นทุกวันนะบยองฮอน"เท่านั้นแหละตาที่ว่าตี่กลับเบิกโตเท่าที่จะโตได้ มือที่จับจมูกอยู่ปล่อยออกก่อนจะผงะไป...ไม่ต้องเสียงดังใส่กันขนาดนี้ก็ได้มั้ง..
"มันก็ใช่ แต่นายสักหลายที่ไม่ใช่รึไงเล่า ไหนล่ะที่เหลือ"เสียงที่ถามนั้นแสนฉงนจนชานฮีก็งงตาม..
"ไหนบอกคุยกับพี่มินซู..."คนตัวบางเลิกคิ้วขึ้น
"ก็ใช่ไง ก็พี่มินซูบอกนายไปสักมาพร้อมเขา ไม่เชื่อก็ลองดูที่หลังช่วงลาดไหล่ด้านขวาที่นึงที่เห็นชัด แต่ก็มีอีกที่หรือสองที่...ถ้าไม่งั้นฉันจะโมโหทำไมกัน"
"อ๊ะ!!...บังมินซู..."คล้ายนึกอะไรขึ้นได้ ดวงตากลมโตเมื่อสักครู่คล้ายมีประกายไฟบางอย่างก่อนจะทำท่าเดินออกไปทำเอาคู่สนทนาต้องรีบรั้งตัวเอาไว้
"จะไปไหนชานฮี แล้วพี่มินซูทำไม"เสียงและใบหน้าที่ถามทำเอาคนที่กำลังจะหันมาเหวี่ยงต้องสงบลง..ก็ดูสิ ดวงตาเรียวบ่งบอกว่าตามเรื่องไม่ทัน ไหนจะมือที่เกาหัวตัวเองนั่นอีก
"พี่มินซูหลอกนายหน่ะสิ"ชานฮีเอ่ยตอบก่อนจะนึกไปถึงเรื่องวันนั้น
"คิดยังไงจะสักล่ะ"เสียงทุ้มต่ำผิดปกติของลีดเดอร์ถามขึ้นหลังจากเขาเอ่ยปากขอให้พาไปที่ร้าน
"เรื่องของผมปะล่ะ แค่อยากลองดู"แต่พอไปถึงที่ร้าน เห็นเครื่องมือเห็นอะไรยังไม่เท่าไหร่ เพียงแต่พอคิดว่าคำๆนี้จะติดอยู่บนร่างกายเขาไปชั่วชีวิตแล้ว..มันก็อดจะคิดมากไม่ได้ แต่เขาเองก็คิดไตร่ตรองเรื่องนี้มาสักพัก เอาหน่ะ ลองดูก็ไม่เห็นเสียหาย
"ทำไมเอาแค่ที่เดียว หรือสักแล้วเจ็บ"เสียงลีดเดอร์ยังคงตามมาหลอกหลอนในขณะเจ้าตัวพลิกอัลบั้มไปมาและวาดรูปอะไรบางอย่างลงบนกระดาษเปล่า
"ไม่เกี่ยวอะ..ผมไม่ใช่คนขี้กลัวขนาดนั้นสักหน่อย เพียงแต่แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ได้เสพติดการสักเหมือนพี่นะ"มินซูเพียงยิ้มรับกับคำพูดนั้น เพราะรู้ดีว่าอีชานฮีไม่กลัวกับเรื่องอะไรแบบนี้จริงๆ ไม่งั้นคงไม่ตัดสินใจปุปปัปและลงมือสักเลยแบบนี้หรอก
แต่ก็เพราะหมั่นไส้ลีดเดอร์ที่ทำตัวเหนือ พูดจากวนประสาทดีนัก เมื่อพี่มินซูก็ได้สักรอยใหม่เพิ่ม เขาจึงรีบโทรไปฟ้องเจ้าปลาบู่ของพี่แกทำเอาโดนสวดผ่านทั้งโทรศัพท์และกลับถึงหอไปอีกนาน นีแอลไม่ได้ไร้เหตุผลเพียงแต่หาว่าที่สักมามันดูสกปรกมากกว่าจะเป็นศิลปะชัดๆ
"เอาหน่า ช่างพี่เขาเถอะ ก็แค่คงอยากเอาคืนนายล่ะสิ"หลังฟังเรื่องคร่าวๆ บยองฮอนจึงพูดปลอบชานฮี
"ก็เพราะแบบนี้ไงถึงจะไม่ยอม"
"ทำไมกัน"
"ก็..โอ๊ย....ก็ฉันต้องมานั่งง้อนายอยู่ตั้งนานสองนาน นั่งคิดตั้งแต่บนเครื่องหัวแทบระเบิดว่าไอ้บ้าที่เมื่อคืนยัง...."พูดมาถึงจุดนี้ริมฝีปากช่างเจื้อยแจ้วก็หยุดลงก่อนจะกัดปากตัวเองเบาๆ
"ยัง...."เสียงกวนประสาทที่รู้ทันว่าเมื่อคืนที่ชานฮีว่ามันคืออะไรและเกิดอะไรขึ้น ทำให้คนเล่าหน้าสีขึ้นเลือดฝาดไหนจะดวงตากลมที่หันมาจิกใส่ทำเอาคนแซวต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นเป็นความหมายว่ายอมแพ้
"เออ...นั่นหน่ะแหละ ตื่นขึ้นมาผีบ้าที่ไหนเข้าสิงถึงไม่ยอมคุยด้วย ทั้งๆที่เมื่อคืนก็น่าจะเห็นหมดแล้วไม่ใช่รึไง มานั่งนิ่งทำตัวเป็นหุ่นบูชาเทพเจ้าไก่อยู่ได้"ก็ยังไม่วายจะแขวะคนตรงหน้าอีกสักที
"เอาหน่า...แต่ฉันชอบนะที่นายง้อ"รอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้าของคนพูด
ครั้งนี้เขาพูดจริง เจ้าตัวดีที่ปกติมักจะเหวี่ยง จะโกรธ ขี้หงุดหงิดและเป็นเขาที่ต้องคอยเอาใจกลับมานั่งกระตุกชายเสื้อร้องถามว่าเป็นอะไร พยายามเอาหน้ามาใกล้ๆบอกให้ยิ้ม ยอมลงทุนหอมแก้ม...บอกเลยว่าความจริงก็ยอมตั้งแต่ช่วงแรกแล้ว แต่ขอเก๊กและแกล้งเจ้าตัวอีกสักหน่อย..ก็เล่นง้อซะน่ารักแบบนี้ใครกันจะไม่อยากให้ง้อนานๆ ชานฮีโหมดขี้อ้อนมาไม่บ่อยหรอกนะ..แต่อย่าเอ็ดไปเชียว ถ้าโดนรู้เข้า คงไม่มีคราวหน้าให้อีบยองฮอนได้อมยิ้มและได้กำไรแบบนี้อีกแน่ๆ
"แต่ฉันไม่ชอบนี่ ไม่ชอบเวลานายเงียบไม่ยอมตอบด้วย"ปากอิ่มเบะออกอีกครั้งอย่างไม่ชอบใจ
"เอาเถอะ งั้นวันหลังถ้าจะไปสักอีกก็บอก จะได้ไปด้วยกัน..ดีไหม จะได้ไม่มีปัญหา ไม่มีพี่มินซูมาพูดปั่น"
"ดี..แต่นายเขียนเพลง ฉันไม่อยากกวน"ชานฮีไม่รู้หรอกว่าพี่มินซูพูดอะไรกับบยองฮอนถึงได้โกรธเขาเอา ไว้ไปจัดการทีหลัง.. การแก้แค้นหน่ะ 10ปีก็ยังไม่สายหรอกนะ..บังมินซู
"ไม่เป็นไร อยากไปไหน อยากทำอะไรก็บอก จะพาไป จะได้ไปด้วยกัน"เสียงทุ้มบอกก่อนจะลูบผมสีบลอนด์นั้นเบาๆ มันไม่ได้นิ่มและลื่นเหมือนช่วงแรกตอนชานฮีทำผมสีดำหรือสีน้ำตาล แต่ก็ไม่ได้แข็ง..กำลังดี ลื่นมือ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป
"งั้นไปกินกาแฟ อยากกินกาแฟ"ได้ทีก็รีบคว้าโอกาส บยองฮอนเพียงแค่ยิ้มรับก่อนจะดึงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น หยิบกระเป๋าสตางค์ ใส่เสื้อฮู้ดและเดินออกจากหอพักไป
ชานฮียิ้มรับกับแขนที่โอบพาดไหล่ของเขาเอาไว้ แม้จะเดินจับมือกันไม่ได้ แต่บางทีแค่นี้ก็พอ ความจริงแค่เดินข้างกันและคุยกันไปเรื่อยๆก็พอแล้ว แค่มีอีบยองฮอนที่ตามใจอีชานฮีแบบนี้..ก็พอแล้ว...
"ว่าแต่..ที่นายพูดแบบนั้นก็หมายความว่า...ฉันสักเพิ่มได้จริงๆหรอบยองฮอน...."
END
ความคิดเห็น