ลำดับตอนที่ #16
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : [OS] Beside You [ByungChan]
Title: [OS] Beside You
Fandom: TEENTOP
Pairing: ByungChan [LeeByunghun x LeeChanhee]
Rating: PG
Genre: Fulff, Yaoi
Author: icypumpkin
--------------------------------------------------------------------------------
เสียงทีวียังคงดังแทรกเสียงหัวเราะของบุคคลสองคนที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น หนึ่งคือยูชางฮยอน เด็กหนุ่มแก้มกลมเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดง และอีกหนึ่งคือเชวจงฮยอน น้องเล็กของวง โดยมีอีกหนึ่งบุคคลที่นั่งอยู่หน้าจอคอมสี่เหลี่ยมที่มุมห้อง...อีชานฮี พี่รองของวง เจ้าของดวงหน้าเรียวใส ดวงตากลมโตและเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน ผู้ถูกยกตำแหน่งหน้าตาของวงให้ แต่ตอนนี้..ใบหน้าหวานนั้นกลับมึนตึงคล้ายอารมณ์ไม่ดีกับอะไรสักอย่าง
ปัง!!!!
เสียงตบโต๊ะที่ดังลั่นทำเอาน้องเล็กทั้งสองคนชะงักเสียงหัวเราะก่อนจะหันมองใบหน้าของพี่ชาย...ดวงตากลมโตคล้ายมีประกายไฟอะไรบางอย่างสุมอยู่ในนั้น คิ้วเรียวขมวดมุ่นเป็นปมก่อนจะหยิบข้าวของสองสามชิ้นที่พกติดตัวและทำท่าจะเดินออกไป
“พี่ชานฮี....เอ่อ...”เป็นจงฮยอนที่เรียกหา ทำเอาคนที่กำลังจะเปิดประตูหันมาเพียงครึ่งหน้าเท่านั้น
“จะตะกุกตะกักอะไรจงฮยอน มีอะไรก็รีบๆพูดมา ไม่มีพี่จะไปแล้ว”แม้น้ำเสียงที่ใช้จะไม่ใช่เสียงตะคอก หากแต่มันเย็นเยียบเสียจนคนฟังหนาวสันหลัง..และยิ่งบวกกับใบหน้าของคนพูดในตอนนี้แล้ว....อีชานฮีเป็นคนที่โมโหแล้วน่ากลัวที่สุดในวง
“พี่จะไปไหนหรอครับ...”
“ไม่ไกลนักหรอก เดี๋ยวกลับมา มีอะไรด่วนก็โทรหาละกัน...มีอะไร...ด่วน...นะ”ยังไม่ทันจะจบคำถามดี อีชานฮีก็พูดส่วนขึ้นทันควันก่อนจะเน้นหนักในช่วงปลายประโยคและเดินออกไป ทำเอาสองคนที่นั่งในห้องนั่งเล่นนั้นถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
“มีอะไรด่วน...แต่ถ้าไม่มีอะไรด่วนจริงๆ...”เป็นชางฮยอนที่พูดขึ้นบ้างหลังจากเงียบอยู่นานสองนาน
“โทรไปได้ตายแน่ๆอะดิ...พี่เขาโมโหอะไรขนาดนั้นนะ...”แม้จะรู้สึกแย่เล็กๆที่โดนพี่ชายพูดแบบนั้น แต่จงฮยอนก็พยายามจะเข้าใจ...พี่ชานฮีในยามอารมณ์ดีนั้นก็แสนจะน่ารัก อะไรโอนอ่อนให้น้องได้ก็ให้ รับด้วยรอยยิ้มไปเสียทุกอย่าง...แต่เพราะพี่ชายเขาก็คือคนปกติคนหนึ่ง...คนธรรมดาไม่มีใครที่จะอารมณ์ดีได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นในเวลาที่อารมณ์ไม่ดี...พี่ชานฮีก็จะกลายเป็นคนอีกคนหนึ่งที่นิ่งเงียบและพร้อมจะเหวี่ยงใส่ทุกคนที่ทำอะไรไม่ถูกใจ...ในตอนนี้ก็คงจะมีคนเพียงคนเดียวที่จะช่วยได้
แกร๊ก.....
“พี่บยองฮอน!!!!”ยิ่งกว่าสวรรค์มาโปรด...คือความคิดของชางฮยอนกับจงฮยอนในตอนนี้ เพราะทั้งสองคนต่างพร้อมใจกันเรียกคนที่เปิดประตูเข้ามา เอาซะเจ้าตัวสะดุ้ง
“มีอะไร...พร้อมใจกันเรียกพี่ขนาดนี้”ผู้มาใหม่ที่ยังไม่รู้อะไรยิ้มรับคำน้องๆก่อนจะหันมองหาคนที่เขาคิดว่าอยู่หอ
“เรื่องคนที่พี่กำลังมองหาตอนนี้แหละครับ”คำพูดนั้นทำเอาบยองฮอนเลิกคิ้วและหันมองหน้าน้องทั้งสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟา
“ทำไม...ชานฮีเป็นอะไร เมื่อกี้พี่โทรคุยก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่”น้ำเสียงที่เริ่มร้อนรนทำเอาน้องทั้งสองหันมองหน้ากันโดยทันที
ก็เป็นแบบนี้กันทั้งคู่ พอเป็นเรื่องของอีบยองฮอน...อีชานฮีจะลนลานและรีบเร่งทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เหมือนในตอนนั้นที่บยองฮอนจะป่วย ชานฮีก็รีบไปหายา ต้มข้าวต้มที่ตัวเองก็ทำไม่ค่อยเป็น คอยนั่งเช็ดตัวให้ทั้งคืน หรือตอนที่บยองฮอนหายออกจากหอไป ชานฮีจะเป็นคนแรกที่อาสาบอกจะออกไปหาและก็ตามหาจนเจอ
ในทางกลับกัน หากเป็นเรื่องของอีชานฮี...อีบยองฮอนเองก็จะร้อนรนและกลายเป็นคนใจร้อนขึ้นมาในบัดดล ครั้งนั้นที่ชานฮีหายไปโดยที่บยองฮอนออกไปข้างนอก กลับเข้ามาเจ้าตัวแทบจะนั่งไม่ติด เดินเป็นหนูติดจั่นวนไปวนมา กดโทรศัพท์โทรหาเจ้าตัวและคนนู้นคนนี้ไปทั่วจนแบตแทบหมด ไหนจะตอนที่ทะเลาะกัน บยองฮอนไม่เคยรีรอที่จะเข้าไปง้อ แม้จะโดนเหวี่ยง โดนใครบอกว่าน่ารำคาญแค่ไหน...แต่อีบยองฮอนกลับพูดตอบด้วยเสียงหนักแน่นว่าสนใจแค่ชานฮีเท่านั้น หากคนอื่นรำคาญมากก็ออกไปหรือหาอะไรปิดหูกันเอง
“ไม่รู้ฮะ....พี่เขานั่งอยู่ที่โต๊ะคอม แล้วจู่ๆก็ตบโต๊ะเสียงดัง พอถามก็...”เสียงของชางฮยอนเงียบหายไปก่อนจะหันมองหน้าคนที่นั่งข้างๆ
“จงฮยอนโดนเหวี่ยงหรอ...เข้าใจชานฮีหน่อยนะ พี่เขาคงเครียดมากไป แต่เขารักและห่วงพวกนายนะ เชื่อสิ เดี๋ยวตอนกลับมาที่หอ ต้องหิ้วเค้ก หิ้วขนมกลับมาฝากพวกนายเพราะรู้สึกผิดแน่นอน”บยองฮอนลูบผมน้องทั้งสองคนก่อนจะเดินไปที่โต๊ะคอมที่คนที่หายไปเคยนั่ง...ไปเจออะไรในเน็ตหรือยังไงกัน ถึงเป็นแบบนั้น..
“โอ๊ะ....”รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนมุมปากของคนที่กดคลิกเมาส์เพียงไม่กี่ครั้งก่อนจะเดินออกจากหอโดยไม่วายหันมาโบกมือให้น้องทั้งสองคนโดยไม่ลืมจะกำชับให้อยู่เฝ้าห้องดีๆ อย่าทำเลอะเทอะ
หลังเดินออกจากหอ อีบยองฮอนไม่ลังเลในสถานที่ที่เขากำลังจะไป...อาจเพราะอะไรบางอย่างทำให้ฉุกคิด อาจเพราะระยะเวลาหลายปีที่อยู่ด้วยกันทำให้เขามั่นใจ...สถานที่นั้นคือตึกท๊อปมีเดีย...สถานที่ที่เป็นดั่งบ้านหลังที่สามของพวกเขา....บยองฮอนเสี่ยงดวงเดินไปดูยังห้องซ้อมเป็นที่แรก...แต่เมื่อเห็นแสงไฟที่มืดมิดแสดงถึงการบ่งบอกว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น...เขาจึงไม่ลังเลใจที่จะเดินไปอีกห้องหนึ่งในทันที
และก็เป็นดังคาดเมื่อได้ยินเสียงเปียโนแผ่วเบาแว่วเสียงออกมาจากห้อง...บยองฮอนค่อยๆเปิดประตูเข้าไปก็พบกับคนตัวเล็กคุ้นตา...เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนที่เจ้าตัวพึ่งไปทำมาใหม่ ใบหน้าขาวใสที่มีแววเครียดขึง กำลังนั่งจิ้มเปียโนไปทีละลิ่มตามที่เขาเคยสอนให้สำหรับเพลงบรรเลงง่ายๆ...ชานฮีไม่ใช่คนที่เล่นเปียโนไม่เป็น เพียงแต่เจ้าตัวไม่ขยันฝึกฝนถึงลืมสิ่งเหล่านั้นไป
เมื่อมองภาพนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อยๆไม่ได้ แววตาจริงจังกับมือเรียวที่กดไปตามลิ่มสร้างเสียงเปียโนให้กลายเป็นท่วงทำนอง ท้ายที่สุดก็แพ้ใจตัวเอง...แม้จะอยากยืนดูภาพนี้ไปอีกนานๆ แต่เขาอยากให้คนตรงหน้าเล่นด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มมากกว่าเครียดขึงแบบนี้ บยองฮอนจึงค่อยๆเดินเข้าไปก่อนจะสวมกอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง และวางคางลงบนกลุ่มผมนุ่ม
“ฮอนนี่....”ไม่ต้องมีเสียงใดให้ได้ยิน เพียงแค่อ้อมแขนที่ทาบทับ...เพียงแค่ไออุ่นและสัมผัสที่แสนอบอุ่น...อีชานฮีก็รู้ได้ทันทีว่าใครคือเจ้าของอ้อมกอดนี้
“มาเล่นเปียโนทำไมไม่บอกเลย จะได้มาเล่นด้วย”เสียงทุ้มเลือกจะถามในสิ่งอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากอีกฝ่ายเสียก่อน...บางทีเขาเองก็อยากจะรู้ ว่าถ้าหากเขาไม่ถาม...ชานฮีจะยอมบอกหรือเปล่า
“ด่วนตัดสินใจหน่ะ อยากเล่นก็เลยมาเลย...ขอโทษนะบยองฮอนที่ไม่ได้บอก”ชานฮียกมือขึ้นบีบแขนของคนที่โอบอยู่ด้านหลังและเอนตัวพิงลงไป
“ไม่หรอก...มา งั้นฉันเล่นให้ฟังดีกว่า..”หลังปล่อยให้ความเงียบไหลผ่านไปสักพัก บยองฮอนจึงดันตัวอีกฝ่ายให้นั่งดีๆก่อนจะขยับไปนั่งข้างๆ แต่ยังไม่ทันจะได้สัมผัสเปียโน มือของชานฮีกลับเอื้อมมารั้งเอาไว้แทน ก่อนที่เจ้าตัวจะเลื่อนกายเข้าหา นำมือของเขาไปโอบกอดร่างของตนเองไว้และมือของชานฮีก็กอดเขาอยู่เช่นกัน แม้จะอดอมยิ้มไม่ได้กับการกระทำแบบนี้ แต่บยองฮอนไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่นัก...มีไม่บ่อยนักที่ชานฮีจะอ้อน...และทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ มันก็มักจะมีเรื่องให้อีกฝ่ายไม่สบายใจอยู่เสมอ
“มีอะไรจะเล่าให้ฉันฟังหรอ...หืม”เสียงทุ้มถามเบาๆที่ริมหู ทำให้อีกฝ่ายพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะเอ่ยสำทับ
“นายเองก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรอ...ยังจะทำเป็นมาถาม”คำตอบนั้นทำเอาบยองฮอนหัวเราะน้อยๆและโยกคนในอ้อมกอดไปมา...
ชานฮีรู้ว่าบยองฮอนรู้ว่าเขามีปัญหาอะไรในใจถึงมาตามหาเขาเจอ
บยองฮอนเองก็รู้เช่นกันว่าในช่วงเวลาแบบนี้เขาควรทำตัวแบบไหน ควรพูดอย่างไรให้ชานฮีรู้สึกดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
.....เพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่พวกเขาไม่รู้ใจของกันและกัน.....
“มันก็แค่ข่าว..ชานฮียา...นายจะคิดมากกับสิ่งที่พวกเขาเขียนทำไมกัน”บยองฮอนเอ่ยปลอบและลูบหัวของคนที่ซุกหน้าอยู่กับไหล่ของเขา...ชานฮีส่ายหน้าแต่ไม่พูดตอบอะไรสักอย่าง หากแต่บยองฮอนรู้...เพราะตอนนี้เสื้อที่ไหล่ของเขามันอุ่นวาบ...อุ่นไปด้วยน้ำตาของอีกฝ่ายที่ไหลลงมา
เพราะอีชานฮีไปอ่านเจอข่าวของตนเองที่ถูกตีพิมพ์ลงทางอินเตอร์เน็ต ข่าวของการเป็นเด็กไม่ดี...ข่าวที่บอกว่าอีชานฮีโดนไล่ออกเพราะไม่ยอมไปโรงเรียนและอีกต่างๆนานา ไหนจะข่าวที่บอกว่าอีชานฮีขี้เหวี่ยงขี้วีน ชอบเหวี่ยงใส่แฟนคลับ ไม่ค่อยยิ้มคล้ายอารมณ์ไม่ดีอยู่ตลอดเวลา
ใครเล่าจะรู้ว่าอีชานฮีของอีบยองฮอนอ่อนไหวขนาดไหน...โดยเฉพาะยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานการร้องเพลง สมาชิกในวงและแฟนคลับ...ชานฮีจะยิ่งรู้สึกแย่เป็นร้อยเท่าพันทวี...อีชานฮีที่คนภายนอกมองว่าเข้มแข็ง ดูเป็นคนแข็งๆ ดูเหมือนจะขี้เหวี่ยงและขี้วีน....ใช่ อีบยองฮอนไม่เถียงหรอกว่ามีหลายครั้งที่ชานฮีเหวี่ยงจริงๆ แต่ทุกการกระทำเหล่านั้น มันมีเหตุผลในตัวมันเองเสมอ...ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เจ้าตัวจะเหวี่ยงโดยไร้เหตุผล...เหวี่ยงด้วยเรื่องไม่มีเหตุผล....น้อยคนนักที่จะรู้ว่าอีชานฮีเป็นคนแข็งนอกแต่อ่อนใน....
“ฉันกลัว....”เสียงอู้อี้ที่ดังขึ้นทำให้บยองฮอนยิ้มออกมาน้อยๆ
“ไม่ต้องกลัวไปหรอก...ทุกคนต้องเข้าใจนายสิ....นายได้ลองเปิดSNSดูบ้างหรือยัง”ผมที่สะบัดไปมาบนไหล่ทำให้เขารู้ว่าเจ้าตัวยังคงไม่ได้เปิดดู...บยองฮอนจึงหยิบมือถือของตนขึ้นก่อนจะเปิดอะไรบางอย่างให้คนตัวบางดู...เพียงไม่นาน รอยยิ้มก็กลับมาฉายชัดอยู่บนใบหน้าใสอีกครั้ง แม้จะยังมีคราบน้ำตาและจมูกรวมถึงดวงตาที่ยังแดงอยู่
“เห็นไหม...ใครๆก็รักและเข้าใจนายกันทั้งนั้น...และนายยังมีฉันที่คอยอยู่ข้างๆนะ”
“อื้อ..ขอบคุณนะฮอนนี่”ชานฮียิ้มรับกับคำพูดนั้นก่อนจะได้รับรอยยิ้มตอบ และไม่นานเสียงเปียโนก็ดังขึ้น...
“ยิ้มแบบนี้สิน่ามอง นายหน่ะต้องยิ้มเยอะๆรู้ไหม เพราะนายยิ้ม ฉันถึงรู้สึกว่าโลกมันสดใส...เพราะนายยิ้มฉันถึงยิ้มตามและเพราะนายยิ้ม ฉันถึงรู้สึกว่า.....
….
........
…………
…….
….
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าทางข้างหน้ามันจะมีอุปสรรคอีกมากแค่ไหน....เราจะผ่านมันไปด้วยกัน....”
คำพูดที่คล้ายเป็นดั่งคำสัญญา...ไม่ต้องมีคำใดๆมาเอ่ยให้ดูสวยหรู ไม่ต้องพูดคำสัตย์สาบานว่าจะต้องทำตามวาจาที่เคยลั่นไว้...เพราะพวกเขารับรู้มันได้ด้วยใจของกันและกัน.....
“มา...ร้องเพลงกันดีกว่า”
“เพลงนั้นอีกแล้วหรอ....”คำพูดที่สวนขึ้นทำเอาคนเล่นเปียโนหยุดชะงักก่อนจะหันมามองหน้าคนถาม
“ทำไมนายถึงใช้คำว่าอีกแล้วหรอล่ะ เราต้องซ้อมไว้เยอะๆ เวลาไปอัดเพลงจริงๆจะได้ไม่ต้องอัดหลายรอบไง”อีชานฮีหัวเราะกับคำพูดที่แสดงออกถึงความมั่นใจนั้น....ก่อนจะสะกิดให้อีกฝ่ายเริ่มบรรเลงเปียโนอีกครั้ง
เสียงเปียโนก้องกังวานคลอเคล้ากับเสียงหวานของคนข้างกาย...เนิบช้า..ไม่เร่งรีบ ค่อยเป็นค่อยไปคล้ายกับเส้นทางที่พวกเขากำลังร่วมเดิน ก่อนที่บางจังหวะจะเร่งเร้าขึ้นเมื่อถึงท่อนร้องของอีกคน...มันคือเพลงที่ยังไม่เคยมีใครได้ยิน....
เพลงที่มีเพียงพวกเขาทั้งคู่ที่รู้...เพลงที่อีบยองฮอนแต่ง... เพลงที่มีอีบยองฮอนเป็นคนบรรเลง เป็นคนร้องท่อนแร๊พและอีชานฮีเป็นคนร้อง...และแน่นอน เพลงนี้เป็นเพลงของอีชานฮี....
END
Talk: สำหรับใครที่สั่งจองฟิกไป รบกวนเช็คอีเมลล์ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ และหากใครสนใจ ยังสั่งและเปิดโอนถึงวันที่10 พฤศจิกายน 2556 นี้นะคะ ^^
Fandom: TEENTOP
Pairing: ByungChan [LeeByunghun x LeeChanhee]
Rating: PG
Genre: Fulff, Yaoi
Author: icypumpkin
--------------------------------------------------------------------------------
เสียงทีวียังคงดังแทรกเสียงหัวเราะของบุคคลสองคนที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น หนึ่งคือยูชางฮยอน เด็กหนุ่มแก้มกลมเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดง และอีกหนึ่งคือเชวจงฮยอน น้องเล็กของวง โดยมีอีกหนึ่งบุคคลที่นั่งอยู่หน้าจอคอมสี่เหลี่ยมที่มุมห้อง...อีชานฮี พี่รองของวง เจ้าของดวงหน้าเรียวใส ดวงตากลมโตและเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน ผู้ถูกยกตำแหน่งหน้าตาของวงให้ แต่ตอนนี้..ใบหน้าหวานนั้นกลับมึนตึงคล้ายอารมณ์ไม่ดีกับอะไรสักอย่าง
ปัง!!!!
เสียงตบโต๊ะที่ดังลั่นทำเอาน้องเล็กทั้งสองคนชะงักเสียงหัวเราะก่อนจะหันมองใบหน้าของพี่ชาย...ดวงตากลมโตคล้ายมีประกายไฟอะไรบางอย่างสุมอยู่ในนั้น คิ้วเรียวขมวดมุ่นเป็นปมก่อนจะหยิบข้าวของสองสามชิ้นที่พกติดตัวและทำท่าจะเดินออกไป
“พี่ชานฮี....เอ่อ...”เป็นจงฮยอนที่เรียกหา ทำเอาคนที่กำลังจะเปิดประตูหันมาเพียงครึ่งหน้าเท่านั้น
“จะตะกุกตะกักอะไรจงฮยอน มีอะไรก็รีบๆพูดมา ไม่มีพี่จะไปแล้ว”แม้น้ำเสียงที่ใช้จะไม่ใช่เสียงตะคอก หากแต่มันเย็นเยียบเสียจนคนฟังหนาวสันหลัง..และยิ่งบวกกับใบหน้าของคนพูดในตอนนี้แล้ว....อีชานฮีเป็นคนที่โมโหแล้วน่ากลัวที่สุดในวง
“พี่จะไปไหนหรอครับ...”
“ไม่ไกลนักหรอก เดี๋ยวกลับมา มีอะไรด่วนก็โทรหาละกัน...มีอะไร...ด่วน...นะ”ยังไม่ทันจะจบคำถามดี อีชานฮีก็พูดส่วนขึ้นทันควันก่อนจะเน้นหนักในช่วงปลายประโยคและเดินออกไป ทำเอาสองคนที่นั่งในห้องนั่งเล่นนั้นถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
“มีอะไรด่วน...แต่ถ้าไม่มีอะไรด่วนจริงๆ...”เป็นชางฮยอนที่พูดขึ้นบ้างหลังจากเงียบอยู่นานสองนาน
“โทรไปได้ตายแน่ๆอะดิ...พี่เขาโมโหอะไรขนาดนั้นนะ...”แม้จะรู้สึกแย่เล็กๆที่โดนพี่ชายพูดแบบนั้น แต่จงฮยอนก็พยายามจะเข้าใจ...พี่ชานฮีในยามอารมณ์ดีนั้นก็แสนจะน่ารัก อะไรโอนอ่อนให้น้องได้ก็ให้ รับด้วยรอยยิ้มไปเสียทุกอย่าง...แต่เพราะพี่ชายเขาก็คือคนปกติคนหนึ่ง...คนธรรมดาไม่มีใครที่จะอารมณ์ดีได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นในเวลาที่อารมณ์ไม่ดี...พี่ชานฮีก็จะกลายเป็นคนอีกคนหนึ่งที่นิ่งเงียบและพร้อมจะเหวี่ยงใส่ทุกคนที่ทำอะไรไม่ถูกใจ...ในตอนนี้ก็คงจะมีคนเพียงคนเดียวที่จะช่วยได้
แกร๊ก.....
“พี่บยองฮอน!!!!”ยิ่งกว่าสวรรค์มาโปรด...คือความคิดของชางฮยอนกับจงฮยอนในตอนนี้ เพราะทั้งสองคนต่างพร้อมใจกันเรียกคนที่เปิดประตูเข้ามา เอาซะเจ้าตัวสะดุ้ง
“มีอะไร...พร้อมใจกันเรียกพี่ขนาดนี้”ผู้มาใหม่ที่ยังไม่รู้อะไรยิ้มรับคำน้องๆก่อนจะหันมองหาคนที่เขาคิดว่าอยู่หอ
“เรื่องคนที่พี่กำลังมองหาตอนนี้แหละครับ”คำพูดนั้นทำเอาบยองฮอนเลิกคิ้วและหันมองหน้าน้องทั้งสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟา
“ทำไม...ชานฮีเป็นอะไร เมื่อกี้พี่โทรคุยก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่”น้ำเสียงที่เริ่มร้อนรนทำเอาน้องทั้งสองหันมองหน้ากันโดยทันที
ก็เป็นแบบนี้กันทั้งคู่ พอเป็นเรื่องของอีบยองฮอน...อีชานฮีจะลนลานและรีบเร่งทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เหมือนในตอนนั้นที่บยองฮอนจะป่วย ชานฮีก็รีบไปหายา ต้มข้าวต้มที่ตัวเองก็ทำไม่ค่อยเป็น คอยนั่งเช็ดตัวให้ทั้งคืน หรือตอนที่บยองฮอนหายออกจากหอไป ชานฮีจะเป็นคนแรกที่อาสาบอกจะออกไปหาและก็ตามหาจนเจอ
ในทางกลับกัน หากเป็นเรื่องของอีชานฮี...อีบยองฮอนเองก็จะร้อนรนและกลายเป็นคนใจร้อนขึ้นมาในบัดดล ครั้งนั้นที่ชานฮีหายไปโดยที่บยองฮอนออกไปข้างนอก กลับเข้ามาเจ้าตัวแทบจะนั่งไม่ติด เดินเป็นหนูติดจั่นวนไปวนมา กดโทรศัพท์โทรหาเจ้าตัวและคนนู้นคนนี้ไปทั่วจนแบตแทบหมด ไหนจะตอนที่ทะเลาะกัน บยองฮอนไม่เคยรีรอที่จะเข้าไปง้อ แม้จะโดนเหวี่ยง โดนใครบอกว่าน่ารำคาญแค่ไหน...แต่อีบยองฮอนกลับพูดตอบด้วยเสียงหนักแน่นว่าสนใจแค่ชานฮีเท่านั้น หากคนอื่นรำคาญมากก็ออกไปหรือหาอะไรปิดหูกันเอง
“ไม่รู้ฮะ....พี่เขานั่งอยู่ที่โต๊ะคอม แล้วจู่ๆก็ตบโต๊ะเสียงดัง พอถามก็...”เสียงของชางฮยอนเงียบหายไปก่อนจะหันมองหน้าคนที่นั่งข้างๆ
“จงฮยอนโดนเหวี่ยงหรอ...เข้าใจชานฮีหน่อยนะ พี่เขาคงเครียดมากไป แต่เขารักและห่วงพวกนายนะ เชื่อสิ เดี๋ยวตอนกลับมาที่หอ ต้องหิ้วเค้ก หิ้วขนมกลับมาฝากพวกนายเพราะรู้สึกผิดแน่นอน”บยองฮอนลูบผมน้องทั้งสองคนก่อนจะเดินไปที่โต๊ะคอมที่คนที่หายไปเคยนั่ง...ไปเจออะไรในเน็ตหรือยังไงกัน ถึงเป็นแบบนั้น..
“โอ๊ะ....”รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนมุมปากของคนที่กดคลิกเมาส์เพียงไม่กี่ครั้งก่อนจะเดินออกจากหอโดยไม่วายหันมาโบกมือให้น้องทั้งสองคนโดยไม่ลืมจะกำชับให้อยู่เฝ้าห้องดีๆ อย่าทำเลอะเทอะ
หลังเดินออกจากหอ อีบยองฮอนไม่ลังเลในสถานที่ที่เขากำลังจะไป...อาจเพราะอะไรบางอย่างทำให้ฉุกคิด อาจเพราะระยะเวลาหลายปีที่อยู่ด้วยกันทำให้เขามั่นใจ...สถานที่นั้นคือตึกท๊อปมีเดีย...สถานที่ที่เป็นดั่งบ้านหลังที่สามของพวกเขา....บยองฮอนเสี่ยงดวงเดินไปดูยังห้องซ้อมเป็นที่แรก...แต่เมื่อเห็นแสงไฟที่มืดมิดแสดงถึงการบ่งบอกว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น...เขาจึงไม่ลังเลใจที่จะเดินไปอีกห้องหนึ่งในทันที
และก็เป็นดังคาดเมื่อได้ยินเสียงเปียโนแผ่วเบาแว่วเสียงออกมาจากห้อง...บยองฮอนค่อยๆเปิดประตูเข้าไปก็พบกับคนตัวเล็กคุ้นตา...เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนที่เจ้าตัวพึ่งไปทำมาใหม่ ใบหน้าขาวใสที่มีแววเครียดขึง กำลังนั่งจิ้มเปียโนไปทีละลิ่มตามที่เขาเคยสอนให้สำหรับเพลงบรรเลงง่ายๆ...ชานฮีไม่ใช่คนที่เล่นเปียโนไม่เป็น เพียงแต่เจ้าตัวไม่ขยันฝึกฝนถึงลืมสิ่งเหล่านั้นไป
เมื่อมองภาพนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อยๆไม่ได้ แววตาจริงจังกับมือเรียวที่กดไปตามลิ่มสร้างเสียงเปียโนให้กลายเป็นท่วงทำนอง ท้ายที่สุดก็แพ้ใจตัวเอง...แม้จะอยากยืนดูภาพนี้ไปอีกนานๆ แต่เขาอยากให้คนตรงหน้าเล่นด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มมากกว่าเครียดขึงแบบนี้ บยองฮอนจึงค่อยๆเดินเข้าไปก่อนจะสวมกอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง และวางคางลงบนกลุ่มผมนุ่ม
“ฮอนนี่....”ไม่ต้องมีเสียงใดให้ได้ยิน เพียงแค่อ้อมแขนที่ทาบทับ...เพียงแค่ไออุ่นและสัมผัสที่แสนอบอุ่น...อีชานฮีก็รู้ได้ทันทีว่าใครคือเจ้าของอ้อมกอดนี้
“มาเล่นเปียโนทำไมไม่บอกเลย จะได้มาเล่นด้วย”เสียงทุ้มเลือกจะถามในสิ่งอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากอีกฝ่ายเสียก่อน...บางทีเขาเองก็อยากจะรู้ ว่าถ้าหากเขาไม่ถาม...ชานฮีจะยอมบอกหรือเปล่า
“ด่วนตัดสินใจหน่ะ อยากเล่นก็เลยมาเลย...ขอโทษนะบยองฮอนที่ไม่ได้บอก”ชานฮียกมือขึ้นบีบแขนของคนที่โอบอยู่ด้านหลังและเอนตัวพิงลงไป
“ไม่หรอก...มา งั้นฉันเล่นให้ฟังดีกว่า..”หลังปล่อยให้ความเงียบไหลผ่านไปสักพัก บยองฮอนจึงดันตัวอีกฝ่ายให้นั่งดีๆก่อนจะขยับไปนั่งข้างๆ แต่ยังไม่ทันจะได้สัมผัสเปียโน มือของชานฮีกลับเอื้อมมารั้งเอาไว้แทน ก่อนที่เจ้าตัวจะเลื่อนกายเข้าหา นำมือของเขาไปโอบกอดร่างของตนเองไว้และมือของชานฮีก็กอดเขาอยู่เช่นกัน แม้จะอดอมยิ้มไม่ได้กับการกระทำแบบนี้ แต่บยองฮอนไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่นัก...มีไม่บ่อยนักที่ชานฮีจะอ้อน...และทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ มันก็มักจะมีเรื่องให้อีกฝ่ายไม่สบายใจอยู่เสมอ
“มีอะไรจะเล่าให้ฉันฟังหรอ...หืม”เสียงทุ้มถามเบาๆที่ริมหู ทำให้อีกฝ่ายพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะเอ่ยสำทับ
“นายเองก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรอ...ยังจะทำเป็นมาถาม”คำตอบนั้นทำเอาบยองฮอนหัวเราะน้อยๆและโยกคนในอ้อมกอดไปมา...
ชานฮีรู้ว่าบยองฮอนรู้ว่าเขามีปัญหาอะไรในใจถึงมาตามหาเขาเจอ
บยองฮอนเองก็รู้เช่นกันว่าในช่วงเวลาแบบนี้เขาควรทำตัวแบบไหน ควรพูดอย่างไรให้ชานฮีรู้สึกดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
.....เพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่พวกเขาไม่รู้ใจของกันและกัน.....
“มันก็แค่ข่าว..ชานฮียา...นายจะคิดมากกับสิ่งที่พวกเขาเขียนทำไมกัน”บยองฮอนเอ่ยปลอบและลูบหัวของคนที่ซุกหน้าอยู่กับไหล่ของเขา...ชานฮีส่ายหน้าแต่ไม่พูดตอบอะไรสักอย่าง หากแต่บยองฮอนรู้...เพราะตอนนี้เสื้อที่ไหล่ของเขามันอุ่นวาบ...อุ่นไปด้วยน้ำตาของอีกฝ่ายที่ไหลลงมา
เพราะอีชานฮีไปอ่านเจอข่าวของตนเองที่ถูกตีพิมพ์ลงทางอินเตอร์เน็ต ข่าวของการเป็นเด็กไม่ดี...ข่าวที่บอกว่าอีชานฮีโดนไล่ออกเพราะไม่ยอมไปโรงเรียนและอีกต่างๆนานา ไหนจะข่าวที่บอกว่าอีชานฮีขี้เหวี่ยงขี้วีน ชอบเหวี่ยงใส่แฟนคลับ ไม่ค่อยยิ้มคล้ายอารมณ์ไม่ดีอยู่ตลอดเวลา
ใครเล่าจะรู้ว่าอีชานฮีของอีบยองฮอนอ่อนไหวขนาดไหน...โดยเฉพาะยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานการร้องเพลง สมาชิกในวงและแฟนคลับ...ชานฮีจะยิ่งรู้สึกแย่เป็นร้อยเท่าพันทวี...อีชานฮีที่คนภายนอกมองว่าเข้มแข็ง ดูเป็นคนแข็งๆ ดูเหมือนจะขี้เหวี่ยงและขี้วีน....ใช่ อีบยองฮอนไม่เถียงหรอกว่ามีหลายครั้งที่ชานฮีเหวี่ยงจริงๆ แต่ทุกการกระทำเหล่านั้น มันมีเหตุผลในตัวมันเองเสมอ...ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เจ้าตัวจะเหวี่ยงโดยไร้เหตุผล...เหวี่ยงด้วยเรื่องไม่มีเหตุผล....น้อยคนนักที่จะรู้ว่าอีชานฮีเป็นคนแข็งนอกแต่อ่อนใน....
“ฉันกลัว....”เสียงอู้อี้ที่ดังขึ้นทำให้บยองฮอนยิ้มออกมาน้อยๆ
“ไม่ต้องกลัวไปหรอก...ทุกคนต้องเข้าใจนายสิ....นายได้ลองเปิดSNSดูบ้างหรือยัง”ผมที่สะบัดไปมาบนไหล่ทำให้เขารู้ว่าเจ้าตัวยังคงไม่ได้เปิดดู...บยองฮอนจึงหยิบมือถือของตนขึ้นก่อนจะเปิดอะไรบางอย่างให้คนตัวบางดู...เพียงไม่นาน รอยยิ้มก็กลับมาฉายชัดอยู่บนใบหน้าใสอีกครั้ง แม้จะยังมีคราบน้ำตาและจมูกรวมถึงดวงตาที่ยังแดงอยู่
“เห็นไหม...ใครๆก็รักและเข้าใจนายกันทั้งนั้น...และนายยังมีฉันที่คอยอยู่ข้างๆนะ”
“อื้อ..ขอบคุณนะฮอนนี่”ชานฮียิ้มรับกับคำพูดนั้นก่อนจะได้รับรอยยิ้มตอบ และไม่นานเสียงเปียโนก็ดังขึ้น...
“ยิ้มแบบนี้สิน่ามอง นายหน่ะต้องยิ้มเยอะๆรู้ไหม เพราะนายยิ้ม ฉันถึงรู้สึกว่าโลกมันสดใส...เพราะนายยิ้มฉันถึงยิ้มตามและเพราะนายยิ้ม ฉันถึงรู้สึกว่า.....
….
........
…………
…….
….
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าทางข้างหน้ามันจะมีอุปสรรคอีกมากแค่ไหน....เราจะผ่านมันไปด้วยกัน....”
คำพูดที่คล้ายเป็นดั่งคำสัญญา...ไม่ต้องมีคำใดๆมาเอ่ยให้ดูสวยหรู ไม่ต้องพูดคำสัตย์สาบานว่าจะต้องทำตามวาจาที่เคยลั่นไว้...เพราะพวกเขารับรู้มันได้ด้วยใจของกันและกัน.....
“มา...ร้องเพลงกันดีกว่า”
“เพลงนั้นอีกแล้วหรอ....”คำพูดที่สวนขึ้นทำเอาคนเล่นเปียโนหยุดชะงักก่อนจะหันมามองหน้าคนถาม
“ทำไมนายถึงใช้คำว่าอีกแล้วหรอล่ะ เราต้องซ้อมไว้เยอะๆ เวลาไปอัดเพลงจริงๆจะได้ไม่ต้องอัดหลายรอบไง”อีชานฮีหัวเราะกับคำพูดที่แสดงออกถึงความมั่นใจนั้น....ก่อนจะสะกิดให้อีกฝ่ายเริ่มบรรเลงเปียโนอีกครั้ง
เสียงเปียโนก้องกังวานคลอเคล้ากับเสียงหวานของคนข้างกาย...เนิบช้า..ไม่เร่งรีบ ค่อยเป็นค่อยไปคล้ายกับเส้นทางที่พวกเขากำลังร่วมเดิน ก่อนที่บางจังหวะจะเร่งเร้าขึ้นเมื่อถึงท่อนร้องของอีกคน...มันคือเพลงที่ยังไม่เคยมีใครได้ยิน....
เพลงที่มีเพียงพวกเขาทั้งคู่ที่รู้...เพลงที่อีบยองฮอนแต่ง... เพลงที่มีอีบยองฮอนเป็นคนบรรเลง เป็นคนร้องท่อนแร๊พและอีชานฮีเป็นคนร้อง...และแน่นอน เพลงนี้เป็นเพลงของอีชานฮี....
END
Talk: สำหรับใครที่สั่งจองฟิกไป รบกวนเช็คอีเมลล์ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ และหากใครสนใจ ยังสั่งและเปิดโอนถึงวันที่10 พฤศจิกายน 2556 นี้นะคะ ^^
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น