คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : World Apart.
มินฮยอกหมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจก เปลี่ยนแจ๊กเก๊ตตัวที่เท่าไหร่แล้วเขาเองก็จำไม่ได้ รู้เพียงแต่ว่าอยากดูดีและสุภาพในเวลาเดียวกันนี่มันช่างทำได้ยากเหลือเกิน เสื้อผ้าที่เขามีดูแฟชั่นและสีฉูดฉาดมากเกินไป จองชินนั่งมองเพื่อนรักแล้วอดขำกับท่าทางตลก ๆ ของเขาไม่ได้
“นายจะออกไปไหนกันแน่ ถึงได้ดูวุ่นวายขนาดนี้”
“ไปโบสถ์” มิฮยอกหันมาตอบแล้วมุ่งความสนใจไปที่เงาตัวเองในกระจกอีกครั้ง
“ไปโบสถ์??? นี่....เพื่อนรัก ชั้นน่ะยังรัก โลภ โกรธ หลงอยู่เลย แล้วอยู่ดี ๆ นายมาบอกว่าจะไปโบสถ์เนี่ยนะ ไม่น่ากลัวไปหน่อยเหรอ”
“เรื่องแบบนี้คนอย่างนายไม่เข้าใจหรอก” มินฮยอกพูดไปพลางหมุนตัวเองไปมา
“ไปเดท??” จองชินตลกกับคำพูดของตัวเอง
“ทำไม คนอย่างคังมินฮยอกจะไปเดทบ้างไมได้เหรอ ที่นายยังไปได้เลย” มินฮยอกฉุนเฉียวที่เพื่อนรักเห็นเขาเป็นตัวตลก
“อย่าโกรธสิ แค่แปลกใจ ว่าแต่กับใคร...คราวนี้ไม่เห็นนายพูดถึงเลย” มินฮยอกฟังแล้วชั่งใจควรจะบอกเพื่อนรักให้รู้ดีไหม หรือจะรอไปก่อน
“เรียกเธอว่า นูน่า นูน่าคนสวย” ใจจริงอยากจะอวดแทบแย่ แต่ก็ตัดสินใจไม่พูดออกไป
“นูน่าคนสวย” จองชินนิ่งคิดใครกัน เจ้าของดอกไม้ช่อนั้นหรือ
“เอาตัวนี้แหละ” ในที่สุดมินฮยอกก็ตัดสินใจเลือกแจ๊กเกตสีขาวสะอาดตา จะไปโบสถ์ก็ต้องทำตัวให้ดูเหมือนเทวดาสินะ แล้วหุนหันออกจากห้องไปทิ้งให้เพื่อนรักไขปริศนา X-men เพียงคนเดียว
จงฮยอนเก็บตัวอยู่ที่ห้องซ้อมมาหลายวัน วุ่นวายอยู่กับการเขียนเพลงใหม่ ทำดนตรีใหม่ จนไม่ได้ออกไปพบเจอใคร ประตูห้องซ้อมถูกเปิดออกจากใครบางคนที่เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะได้เจอ ณ ที่แห่งนี้ ฮโยยอนพาร่างกระทัดรัดของเธอเข้ามาพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรังในมือ จงฮยอนแทบจะตั้งตัวไม่ติดกับการมาถึงของเธอ เขาเอาแต่จ้องเธอที่เดินตรงมายังเขา ทั้งยิ้มทั้งตกใจ เธอคนนี้มักจะทำอะไรที่เขาคาดไม่ถึงเสมอ
“เซอร์ไพรส์....” ฮโยยอนดูร่าเริง เพียงแค่ได้เห็นแววตาแปลกใจของคนตรงหน้า เขารีบวางกีต้าร์ในมือลงกับขาตั้งของมันก่อนจะกุลีกุจอรับของมาจากเธอ
“นี่เราจะกินกันหมดนี้เลยเหรอ” ฮโยยอนพยักหน้า
“ชั้นมีเวลา 3 ชั่วโมงก่อนที่จะต้องไปทำงาน ดังนั้นนับจากตอนนี้เราจะเริ่มต้นชั่วโมงแรกด้วยการกิน” จงฮยอนจัดแจงกางเก้าอี้พับออกให้เธอนั่งตรงหน้าเขา ในขณะที่ฮโยยอนเริ่มค้นหาเป้าหมายในสัมภาระทั้งหมดที่เธอเอามาด้วย
“แต่งเพลงไปถึงไหนแล้ว รู้รึเปล่าว่าเขากำลังจะทำสงครามโลกกัน” เธอแกล้งแหย่เขา จงฮยอนหัวเราะ
“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่”
“จองชิน ชินกู”
“โทรหาจองชิน แต่ไม่โทรหาผม” คำพูดดูน้อยใจแต่น้ำเสียงของเขากลับดูเหมือนพร่ำบ่นมากกว่า
“คุณก็ไม่โทรหาชั้น ถือว่าเราหายกัน” จงฮยอนหัวเราะออกมาเบา ๆ ไม่เห็นว่าจะหายกันตรงไหน ก็แค่โทรหรือไม่โทร
“ช่วงเวลาที่เราไม่พบกัน คุณมีความสุขดีหรือเปล่า” จู่ ๆ เขาก็ตั้งคำถามแปลก ๆ ออกมา
“หมายถึง....เรื่องอะไร” เธอสะดุดในคำพูดของเขาอะไรบางอย่างสะกิดใจ เขาสงสัยเรื่องแบบนี้ทำไมกัน จงฮยอนเงียบไปไม่ตอบคำถาม หันไปให้ความสนใจกับอาหารที่ฮโยยอนนำมาด้วยแทนที่จะรับผิดชอบคำพูดของตัวเอง ทั้งคู่นิ่งเงียบไปนาน ต่างฝ่ายต่างรอให้ฝ่ายตรงข้ามพูดออกมาก่อน
“ชั้นเคยมีความสุขดี ก่อนที่เราจะมาเจอกัน” ในที่สุดฮโยยอนก็พูดออกมาก่อน
“หมายความว่า...ตอนนี้คุณไม่มีความสุข”
“มี...แต่มันไม่มากเหมือนที่คิดไว้” เธอตอบเขาด้วยความซื่อสัตย์ บางทีอะไร ๆ มันอาจจะดีขึ้นหากได้เปิดใจคุยกัน จงฮยอนเม้มปากแน่นหลังได้ยินคำตอบ
“ผมคงดูแลคุณได้ไม่ดี ผมขอโทษ”
“ชั้นรู้ดีว่านี่คือธรรมชาติของคุณ แต่ชั้นก็หวังว่าคุณจะเปลี่ยนมันบ้าง เปลี่ยนเพียงเล็กน้อยเพื่อชั้น” เธอก้มหน้าไม่กล้าสบตาเขาขณะที่พูดความจริงในใจออกมา
“ผม....เปลี่ยนตัวเองไม่ได้ เปลี่ยนให้เป็นแบบคนอื่นผมคงทำไม่ได้” เขาหลุดคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากได้ยังไงกัน สิ้นคำพูดนั้นหยดน้ำใส ๆ จากตาของคนอ่อนไหวที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ร่วงพราว เขาอึ้งไปจนทำอะไรไม่ถูก แค่อยากจะอธิบายให้เธอเข้าใจ
“ชั้นคงหวังมากไป” ฮโยยอนกล้ำกลืนก้อนน้ำตาก่อนจะตัดพ้อออกมา
“ผมแค่อยากอธิบาย เราควรจะพูดคุยกันแบบเปิดอกได้ ใช่มั๊ย” เธอปาดน้ำตาก่อนจะฝืนยิ้มออกมา
“เราคงต้องให้เวลากับเรื่องนี้มากกว่านี้ บางทีเราคงต้องมีเวลาสำหรับทบทวนความสัมพันธ์ของเราสองคน” เธอพูดแต่ละคำออกมาอย่างยากลำบาก จงฮยอนจ้องเข้าไปในดวงตาคมที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำใส ๆ ของคนตรงหน้าเขา เธอกำลังพยายามบอกเรื่องเลวร้ายกับเขาอยู่หรือไง
“คุณมาหาผมถึงที่นี้ เพื่อจะมาพูดเรื่องนี้งั้นเหรอ” เธอส่ายหน้า
“ชั้นกำลังพยายามรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเราไว้ แต่เท่าที่ดูเหมือนเราสองคนกำลังชินกับความห่างไกล” คำพูดของเธอแทบจะอธิบายความรู้สึกของเขาได้หมดจด เขามีความสุขกับการที่ได้รับรู้ว่ามีคนที่ตัวเองรัก แต่เขากลับไม่กระตือรือร้นที่จะรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ คนแบบเขา คนที่ไม่เคยวิ่งตามใคร แค่เพียงเท่านี้ก็มากเกินที่เขาเป็น จงฮยอนเป็นฝ่ายก้มหน้าบ้าง นี่เป็นโอกาสให้ฮโยยอนได้ระบายความรู้สึกในใจออกมา
“ชั้นมาที่นี่เพียงเพราะต้องการพบคุณ ฉันยอมเสียเวลาอันมีค่าเพียงเพื่อให้เราได้มาอยู่ใกล้กันมากขึ้นแค่ไม่กี่นาที ตอนนี้ความรู้สึกของฉันมันเหมือนฉันวิ่งตามไขว่คว้าอะไรสักอย่างที่นับวันยิ่งไกลห่างออกไปเรื่อย ๆ แต่เท่าที่ดูคุณสุขสบายดี” เธอพูดออกมาตรง ๆ แม้จะเสียงสั่นเพราะความน้อยใจ แต่ไม่ได้ฟูมฟาย จงฮยอนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร เขาทำได้เพียงดึงร่างบางเข้ามากอดไว้ เขาเปลี่ยนตัวเองไม่ไหว ให้เปลี่ยนไปเหมือนคนอื่นเขาคงทำไม่ได้ แต่จะทำยังไงหากจะต้องเสียเธอไปจริง ๆ ฮโยยอนเพียงแต่ยืนนิ่งในอ้อมกอดเขา ไม่ได้รู้สึกดีเหมือนทุกครั้งที่เคยได้รับสัมผัสจากเขา มีเพียงเสียงสะทกสะท้อนในใจที่บอกกับเธอว่าเธอควรให้เวลาหัวใจได้พักเสียที
มินฮยอกพาตัวเองมายืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าโบสถ์ เขาดูไม่คุ้นเคยและเหมือนว่าสถานที่แบบนี้จะไม่เหมาะกับเขา ในขณะที่กำลังรอการมาถึงของใครบางคนเขาเองก็ยังหวั่นว่าจะมีใครสักคนที่รู้จักเขา มาพบเข้าโดยบังเอิญ รถยนต์คันหรูมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาก่อนที่หญิงสาวที่เขาเฝ้ารอจะก้าวลงมาจากรถ เธออยู่ในชุดลำลองสบาย ๆ ชุดกระโปรงสีขาวที่ยาวจนถึงข้อเท้าไม่ได้ทำให้ดูรุ่มร่าม แต่มันกลับทำให้เธอดูเหมือนนางฟ้าเสียมากกว่า เขาปรี่เข้าไปช่วยปิดประตูรถให้เธอทันที ทิฟฟานี่อดตลกไม่ได้กับท่าทีของเขา
“รอนานรึเปล่า” เธอตั้งคำถามแทนที่จะทักทายเขา
“ไม่ครับ ผมก็เพิ่งมาถึง”
“งั้นเราเข้าไปข้างในกันเถอะ” พูดจบเธอก็เดินนำเขาไป มินฮยอกรีบสาวเท้าเดินตามเธอไปติด ๆ
ภายในโบสถ์ดูเงียบสงบ นี่ไม่ใช่วันหยุดจึงไม่มีใครมาที่นี่ ทิฟฟานี่สัมผัสได้ถึงความสงบภายในจิตใจของตนเองทันทีที่เข้ามาไปในนั้น มินฮยอกเดินเคียงข้างเธอไปช้า ๆ ไม่เคยคิดจะมาโบสถ์แบบจริงจัง แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าที่นี่สวยงามเหลือเกิน ทั้งคู่กำลังเดินอยู่บนพรมสีแดงอันเป็นสัญลักษณ์แห่งเส้นทางไปสู่ความสุขทั้งปวง เมื่อเกิดคนเราก็มาทำพิธีที่นี่ด้วยความปิติยินดี เมื่อโศกเศร้าที่แห่งนี้ก็ใช้เป็นที่พักพิงใจ เมื่อมีมีความรักที่แห่งนี้จะเป็นสถานที่ประกาศสถานภาพแห่งรักแท้ และเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิตทุกคนจะมาสดุดีผู้จากไป ณ ที่แห่งนี้
“ผมต้องทำอะไรบ้าง” มินฮยอกหันไปถามเธอด้วยความใส่ใจ
“สวดมนต์ ที่นี่มีหนังสือให้เราสวดมนต์ และนายก็สามารถขอพรจากที่นี่ได้” ทิฟฟานี่ดูมีความสุข หลังจากนั้นเธอจึงพาให้เขาไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้านหน้าสุด แนะนำให้เขาสวดมนต์ตามเธอ แม้จะดูไม่คุ้นเคยแต่มินฮยอกก็เต็มใจจะทำตาม โบสถ์ทั้งโบสถ์เงียบสงบมีเพียงเสียงพึมพำจากการสวดมนต์ของทั้งคู่ เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ นานพอที่บทสวดมนต์จะจบลง
“นูน่าขอพรว่าอะไรครับ” มินฮยอกสงสัย
“แล้วนายล่ะขอพรว่าอะไร” มินฮยอกส่ายหน้า ไม่บอก
“นูน่าไม่อยากรู้หรอกครับ” ทิฟฟานี่เอียงคอสงสัย อะไรที่เขาขอแล้วเธอไม่อยากรู้ บาทหลวงประจำโบสถ์เดินตรงมายังทั้งคู่ ทิฟฟานี่หันไปทำความเคารพอย่างคุ้นเคย
“ทิฟฟานี่....เองเหรอ พ่อนึกว่าเป็นคนอื่นซะอีก” บาทหลวงทักทายเธออย่างเป็นกันเอง เธอยิ้มก่อนจะหันไปแนะนำตัวให้มินฮยอก
“นี่คังมินฮยอกคะหลวงพ่อ เขาเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก” บาทหลวงฟังแล้วพยักหน้าเข้าใจ
“นี่จะแต่งงานเหรอ พ่อหนุ่มคนนี้ช่างโชคดีเสียจริง” บาทหลวงพูดพร้อมกับเผยยิ้มออกมา มินฮยอกยิ้มร่าเก็บอาการไม่อยู่ บาทหลวงรูปนี้ต้องดูดวงแม่นมากแน่ ๆ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” มินฮยอกรีบโค้งคำนับให้เขาคล้ายว่าจะตอบรับสิ่งที่บาทหลวงรูปนี้คิดอยู่
“ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ” ทิฟฟานี่รีบแก้ตัวพัลวัน
“ยังไม่แต่งตอนนี้งั้นเหรอ” บาทหลวงยังพาซื่อ ทิฟฟานี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้จะอธิบายยังไง ผิดกับมินฮยอกที่เริงร่ากับความเข้าใจผิดนั่น
บรรยากาศรอบ ๆ ศาสนพิธีแห่งนี้ช่างเงียบสงบ คู่ตาหยีกำลังเดินทอดน่องอย่างสบายอารมณ์ในสนามหญ้าที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยรูปปั้นกรีกมากมายและต้นไม้ที่ให้ดอกสีขาว เพราะเป็นช่วงสายของวันที่แดดกำลังสดใสอากาศจึงเย็นสบาย สายลมเอื่อย ๆ พัดมากระทบร่างทั้งคู่เพียงเบา ๆ มินฮยอกรู้สึกราวกับล่องลอยอยู่ในสวรรค์ที่มีนางฟ้ากำลังเดินเคียงข้างเขา
“นูน่ายังไม่บอกเลยครับว่าขอพรอะไร”
“นายก็ยังไม่บอกเหมือนกันนี่” มินฮยอกหัวเราะเบา ๆ
“บาทหลวงรูปนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ เลย สามารถหยั่งรู้ถึงพรที่ผมขอด้วย” ทิฟฟานี่ชะงักหยุดเดินแล้วหันมาจ้องหน้าเขาในทันที
“อะไรนะ” เธอดูตกใจ ไม่ได้โกรธ
“นั่นแหละครับ พรที่ผมขอ” มินฮยอกยิ้มจนตาหยีแล้วเดินนำหน้าเธอไป ทิฟฟานี่ถอนหายใจเบา ๆ อดยิ้มให้กับตัวเองไม่ได้ ขอให้ได้แต่งงานกับเธออย่างนั้นหรือ กล้ามากเลยนะเจ้าตี๋น้อย
กยูริวุ่นวายอยู่กับการซ้อมละครเวทีงานใหม่ที่แสนจะท้าทายของเธอ แม้จะยากแต่เธอก็อยากจะลองทำให้ดีที่สุด เสียงผู้กำกับสั่งพักนักแสดงต่างแยกย้ายไปประจำมุมของตัวเอง ทีมงานคนหนึ่งเดินเข้าไปกระซิบส่งข่าวกับเธอ ก่อนที่เธอจะพยักหน้าและปลีกตัวออกมาจากที่แห่งนั้น
กยูริเดินลัดเลาะหลบสายตาผู้คนตรงมายังรถตู้ที่จอดอยู่บริเวณลานจอดรถใกล้ ๆ ก่อนจะเปิดประตูรถออกแล้วพบว่าไม่มีใครอยู่บนรถคันนั้น เธอหันหลังกลับไปมองจนทั่วบริเวณ มั่นใจว่าไม่ได้จำรถผิดคัน ก่อนจะต้องตกใจสุดขีดมีใครบางคนกอดเข้าที่เอวพร้อมทั้งเอามือปิดปากไม่ให้โอกาสเธอได้กรีดร้องก่อนจะลากเธอเข้าไปในรถคันนั้น ชั่วเวลาเพียงเสี้ยวนาทีเดียวที่เธอรู้สึกราวกับว่าชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ทำได้เพียงดิ้นร้นให้พ้นจากอันตรายครั้งนี้
“ผมเองครับ” เสียงคุ้นเคยกระซิบที่ข้างหู เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา หลังจากที่มือหนาของเขาพ้นจากปากของเธอ
“เล่นอะไรบ้า ๆ” ดูเหมือนว่าเธอจะงอน ทำท่าจะหนีจะไปจากเขา จองชินรั้งร่างบางนั้นเอาไว้ดึงเธอมาจนหลังของเธอแนบชิดอยู่กับอกหนาของเขา
“ปล่อยนะ” เธอยังขัดขืน แทนทีจะปล่อยให้เธอเป็นอิสระจองชินกลับยิ่งกระชับอ้อมแขนของเขาแน่นยิ่งขึ้น
“อย่าดิ้นซิ....ผมอยากอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน” เขากระซิบข้างหูแผ่วเบา กยูรินิ่งไปนั่นก็เป็นสิ่งที่เธอต้องการเหมือนกัน จองชินถือโอกาสเกยคางไว้บนไหล่ของหญิงสาว เธอเปลี่ยนจากการดิ้นรนมาเป็นเกาะกุมมือของเขาไว้
“จะไปวันไหน...” กยูริถามเสียงอ่อย
“พรุ่งนี้ครับ....”
“คราวนี้ไปจีน แล้วจะไปไหนต่อ”
“ตารางงานยาวเหยียดเลย....”
“พี่ก็ไปออสเตรเลียนะ เพิ่งเห็นตารางเมื่อวาน” จองชินได้ฟังแล้วยิ้มร่า ข่าวดีเสียจริง
“จริง ๆนะ” กยูริไม่ตอบแต่พยักหน้าแทน ก่อนที่เธอขยับตัวออกจากอ้อมแขนของเขา แล้วหันไปจ้องหน้าเขาตรง ๆ
“พี่ต้องไปทำงานต่อนะ....” จองชินจ้องมองใบหน้าที่สวยหมดจดตรงหน้าแล้วฝืนยิ้มออกมา อยากจะต่อเวลาอีกสักหน่อย
“ผมคิดถึงพี่นะครับ” เขาพูดออกมาพร้อมกับคว้ามือเรียวบางมาเกาะกุมไว้ กยูริไม่ตอบว่าอย่างไรเพียงแต่ขยับเข้าไปใกล้ แล้วจูบเบา ๆ ที่แก้มของเขาเป็นคำตอบแทนความรู้สึกในใจเธอ เขาฉวยเอาร่างบางนั้นมากอดไว้แนบอก อยากจะอยู่แบบนี้ให้นานเท่านาน หากหยุดเวลาได้เขาคงจะทำอย่างไม่ลังเล ขอเพียงแค่ได้มีเวลาอยู่กับเธอคนนี้เท่าที่ใจต้องการ
เดี๋ยวนี้ไรเตอร์นิยมมาม่าบ่อยนะคะ ชีวิตหวานเกินไปก็นะ..... ตอนนี้ไม่มียงซอเลย เก็บไว้ตอนหน้าเต็ม ๆ ไปเลยละกันคะ
ความคิดเห็น