คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : First Kiss.
ซอฮยอนตรงเข้าห้องนอนทันทีเมื่อกลับมาถึงหอพัก สร้างความสงสัยให้กับพี่ๆ ถึงอาการบึ้งตึงไม่พูดไม่จาที่เธอมีมาตลอดบ่ายจนถึงตอนนี้ โดยปกติแม้ซอฮยอนจะรู้สึกไม่ดีแค่ไหนแต่เธอก็จะสามารถเก็บอารมณ์ได้ดี ไม่เคยแสดงออกให้คนรอบข้างต้องรู้สึกไม่ดี อาการแบบนี้จึงไม่เป็นที่คุ้นเคยของพี่ๆเท่าไรนัก
“ซอฮยอนเป็นอะไรดูเงียบๆไปนะ” ยูริเอ่ยขึ้นก่อน กระตุ้นให้ทุกคนต้องพูดออกมาถึงความสงสัยที่ต่างก็มีในใจเช่นกัน
“โกรธใครรึปล่าว” ยุนอาพูดแล้วหันไปมองทิฟฟานี่ที่ชอบแกล้งซอฮยอนบ่อยๆ ทิฟฟานี่ส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธทันที
“ทะเลาะกับยงฮวา” ซูยองตั้งข้อสงสัย
“สองคนนั้นทะเลาะกันเป็นด้วยเหรอ” แทยอนแย้ง “เรื่องที่ทะเลาะกันก็มีแค่เรื่องเดียวนั่นแหละ พี่จะมาหาชั้นหรือจะให้ชั้นไปหาพี่” แทยอนออกอาการล้อเลียน
“ไม่ใช่หรอก เมื่อเช้ายังมาพูดให้ฟังเลยว่าเพิ่งไปส่งกันที่สนามบินมา ไม่เห็นว่าจะทะเลาะกัน” ฮโยยอนชี้แจง ทุกคนต่างมืดแปดด้านไม่อาจรู้ได้ในสาเหตุที่ทำให้มักเน่ของวงไม่พอใจ “เดี๋ยวชั้นไปดูเอง พวกเธอไปพักเถอะ ไม่น่ามีอะไร” ฮโยยอนเสนอตัวแก้ปัญหา
ฮโยยอนค่อยเปิดประตูเข้าไปในห้องอย่างช้าๆ ด้วยถือวิสาสะเป็นเพื่อนร่วมห้องจึงไม่ได้เคาะประตูให้สัญญาณก่อน แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเพราะภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีเพียงแสงไฟสลัวที่ลอดเข้ามาจากไฟที่ถนนข้างล่างเท่านั้น ที่ทำให้ฮโยยอนเห็นว่าซอฮยอนกำลังฟุบหน้าอยู่กับหมอน มีเสียงสะอื้นเบาๆ กับไหล่ที่สั่นเทาเท่านั้นที่บ่งบอกว่าเธอกำลังร้องไห้เพียงลำพัง ฮโยยอนทิ้งตัวลงบนเตียงข้างๆน้องสาวช้าๆ ระวังไม่ให้เธอตกใจ แล้วลูบผมเธอเบาๆเป็นการปลอบโยน แม้จะยังไม่รู้ว่าสาเหตุแห่งน้ำตาครั้งนี้คืออะไร แต่ก็สงสารและเห็นใจ พลางนึกสงสัยไปถึงสาเหตุ ซอฮยอนโผเข้าหาฮโยยอนทันทีที่เห็นว่าพี่สาวคนสนิทของเธอได้มาอยู่ข้างๆ กอดร่างบางตรงหน้าไว้ราวกับว่าเป็นที่พึ่งสุดท้ายในชีวิตเธอ
“ซอฮยอน เป็นอะไรไป ใครทำอะไรเธอ บอกพี่มาสิ พี่จะไปจัดการให้” ฮโยยอนทั้งรักและห่วงเธอราวกับว่าเป็นน้องสาวคนหนึ่งของเธอ ซอฮยอนไม่ใช่ประเภทที่จะอ่อนแอ ตีโพยตีพายอะไรง่ายๆ เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ยิ่งเห็นน้ำตาก็ยิ่งเพิ่มความพลุ่งพล่านในใจ
“ขอชั้นร้องไห้หน่อยนะค่ะ พี่อย่าถามอะไรเลย” ซอฮยอนพูดเสียงขาดห้วง ยังคงสะอึกสะอื้น เรื่องที่อยู่ภายในใจ ความเสียใจ ความน้อยใจ แค่คิดว่าคนที่รักนอกใจก็ดูจะหนักหนาเกินไปสำหรับคนที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาไม่เคยคิดร้ายกับใครอย่างเธอ
ฮโยยอนทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้ซอฮยอนร้องไห้อยู่อย่างนั้น นานตราบเท่าที่ใจของเธอต้องการ หากมันจะเป็นวิธการเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอ กว่าที่ซอฮยอนจะร้องไห้จนหมดแรงและผล่อยหลับไป เสื้อของฮโยยอนก็เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา น้ำตาที่เธอไม่อาจทราบที่มาของมัน รู้เพียงแค่ว่าต้นเหตุจะไม่ได้รับการให้อภัยอย่างแน่นอน เสียงเพลงลอยมาจากในกระเป๋าที่ฮโยยอนทิ้งไว้ข้างเตียง เธอฉวยมันมาด้วยความรวดเร็วแล้วรีบออกจากห้องไปอย่างแผ่วเบาด้วยกลัวว่าจะเป็นสาเหตุให้ซอฮยอนตื่น
“ค่ะ” ฮโยยอนกระซิบด้วยความลืมตัว ทั้งๆที่ออกมาอยู่นอกห้องแล้ว
“ทำไมต้องกระซิบล่ะครับ คุณทำงานอยู่เหรอ” จงฮยอนถามกลับด้วยความสงสัย
“อ๋อ...ไม่ค่ะ ชั้นกลัวซอฮยอนตื่น” รีบปรับเสียงเป็นโทนปกติ
“ผมถึงอิโนชิม่าแล้วครับ เหนื่อยมากเลย แต่ก็คุ้มมากเลยครับ ที่นี่สวยเหมือนบ้านเกิดผมเลย” จงฮยอนบอกเล่าน้ำเสียงสดใส
“ที่ปูซานเหรอค่ะ งั้นก็ต้องสวยมากเลย อากาศคงจะดีมาก” ฮโยยอนเห็นด้วย
“เมื่อกี้คุณบอกว่ากลัวซอฮยอนตื่น นี่ผมโทรมารบกวนคุณหรือปล่าว”
“ไม่ค่ะ ชั้นยังไม่นอน พอดีมีปัญหานิดหน่อยค่ะ ชั้นเลยอยากให้ซอฮยอนพักค่ะ”
“ปัญหา? ให้ผมช่วยอะไรมั๊ยครับ”
“ชั้นยังไม่รู้สาเหตุเลยค่ะ ซอฮยอนเอาแต่ร้องไห้ ร้องจนหลับไปไม่พูดอะไรเลย” จงฮยอนฟังแล้วนิ่งคิดไป
“บางทีคุณเองก็อาจจะเหนื่อย” จงฮยอนอยากจะแสดงความห่วงใย แต่คำพูดกลับฟังดูไม่เข้าท่า
“ค่ะ” ฮโยยอนไม่รู้จะตอบว่าอะไร งงกับประโยคบอกเล่าที่คล้ายจะเป็นคำถาม
“ไว้คุยกันวันหลังก็ได้ครับ” จงฮยอนตัดบทดื้อๆ คิดเอง เออเองว่าเธออาจจะอยากพักผอ่น
“ค่ะ” ฮโยยอนตอบรับอย่างงงๆ แล้วเขาก็วางสายไปเฉยๆ โดยไม่ล่ำลา
“อีตาบ้า อะไรเนี่ย คิดถึง ฝันดี สักคำก็ไม่เป็นหรือไง” ฮโยยอนบ่นใส่โทรศัพท์เซ็งๆ ไม่เข้าใจว่าจะเขาจะเชยเฉิ่มไปถึงไหน
ยงฮวาทิ้งตัวเองลงบนเตียงอย่างเหนื่อยล้า หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโชว์หน้าจอให้เห็นรูปแต่งงานที่ถ่ายคู่กับซอฮยอนตอนที่ยังอยู่ในรายการเรียลลิตี้ด้วยกัน จิ้มนิ้วลงไปบนหน้าจออย่างหัวเสีย ปากก็พร่ำบ่นไปเรื่อยๆ ด้วยความหงุดหงิดคนในรูป
“นี่ ไม่คิดถึงกันหรือไง ไม่มีเวลาโทรหาเลยใช่มั๊ย โทรไปก็ไม่รับ” ทำหน้าบูดบึ้งให้คนในรูปราวกับว่าเธอจะมารับรู้ แล้วโยนโทรศัพท์ลงไปกองที่พื้น หันไปควานหาไอแพดในกระเป๋าเป้ที่ทิ้งไว้ข้างเตียงแทน จัดแจงเข้าUFO ที่ใช้ล๊อกอินเฉพาะตัว ล๊อกอินที่มีไว้ติดต่อกับไอดอลคนดัง คนเดียวในใจเขาเท่านั้น
<ผมคิดถึงคุณ อยากเจอคุณอีก ผมจะรอคุณตอบกลับมา จาก Blue FanBoy> จ้องมองหน้าจอราวกลับว่าจะมีข้อความตอบกลับมาทันทีทันใด แต่ก็ไม่มีอะไรตอบกลับมา ไอแพดลอยลงบนพื้นพรมภายในห้องพักของโรงแรมตามโทรศัพท์มือถือไปติดๆ ยงฮวานอนหน้าบูดบึ้งมองขึ้นไปที่ดวงไฟบนเพดาน แสดงอาการไม่สบอารมณ์ออกมา จู่ๆจงฮยอนทิ้งตัวลงนอนข้างๆเขา หัวเราะเบาๆออกมาราวกับว่าจะเยาะเขา
“พี่นี่ตลกนะ”
“ตลกอะไร ทีนายน่ะทำท่าหนีไปคุยโทรศัพท์จุ้งจิ้งๆ แล้วไง อารมณ์ดีมากใช่มั๊ย ถึงได้มานอนหน้าเศร้าแบบเนี่ย ไม่ต่างกันหรอกว่ะ” ยงฮวาย้อนกลับ เพราะรู้ได้ทันทีว่าน้องชายไม่ได้มีความสุขหลังบทสนทนาที่เขารอคอยมาทั้งวันจบลง จงฮยอนถอนหายใจเฮือกใหญ่แทนคำโต้เถียง ความจริงพี่ชายคนนี้ก็พูดถูก เขาก็อยากจะมีบทสนทนาดีๆ หวานๆ กับฮโยยอนบ้าง แต่แล้วก็ทำได้แค่วางสายจากเธอมาเฉยๆ
“เฮ้อ....นี่เกิร์ลกรุ๊ปแห่งชาติกำลังจะครอบงำร๊อคแบนด์แห่งเกาหลีหรือไง” จงฮยอนรำพึงรำพันออกมาคนเดียว
นี่น่าจะเรียกว่าเป็นคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายในฐานะวงอินดี้มากกว่าคอนเสิร์ตใหญ่ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อสัปดาห์ก่อน บรรยากาศดีๆริมทะเล น่าจะชวนให้สี่หนุ่มแห่ง CNBLUE สดชื่นกระปรี้กระเปร่ากว่านี้ ถ้าไม่ติดว่ายงฮวาลีดเดอร์ของวงยังง่วนอยู่กับการจิ้มหน้าจอโทรศัพท์ซ้ำไปซ้ำมาเพื่อโทรหาคนเดิมซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมา
“อีก 15 นาทีสแตนด์บาย” เสียงทีมงานส่งสัญญาณ ทำให้ยงฮวาต้องลืมเรื่องส่วนตัว เตรียมสวมบทนักร้องร๊อคผู้เปี่ยมไปด้วยพลัง พร้อมจะให้ความบันเทิงกับแฟนๆนับพันที่มารออยู่หน้าเวที ทั้งๆที่มีเรื่องราวที่แสนสับสนวุ่นวายในใจ แต่ก็วางทิ้งไว้เบื้องหลัง เมื่อเลือกที่จะเป็นแบบนี้ก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
เสียงเพลงสุดท้ายจบลงแล้ว แฟนๆต่างส่งเสียงเชียร์อย่างมีความสุข เป็นการขอบคุณบทเพลงและการแสดงอันยอดเยี่ยมที่ทั้งสี่หนุ่มมอบให้ เหมือนอย่างเคยยงฮวาทำได้ดีในหน้าที่ของเขาเสมอ แม้จะมีเรื่องราวที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขในใจ วันนี้เป็นวันที่สองที่เขากับซอฮยอนขาดการติดต่อ ในทุกๆครั้งที่ต้องห่างกัน ไม่ว่าจะมีตารางงานที่ยากลำบากเพียงใด อย่างน้อยที่สุดก็จะมีข้อความส่งหากันบ่งบอกความเป็นไปของกันและกันในทุกๆวัน แม้จะนึกไม่ออกว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นระหว่างทั้งสองคน แต่ก็ยังอดกังวลใจไม่ได้ หากป่วยก็ควรจะมีข่าวให้เขาได้รับรู้ แต่นี้มีแต่เงียบหายไป มันเกิดอะไรยงฮวาคิดวนเวียนอยู่ซ้ำไปซ้ำมา
“ยงฮวา ไม่มาปูซานเหรอ” เสียงแม่ของเขาทักทายมาในโทรศัพท์ทันทีที่ยงฮวารับสาย
“ผมอยู่ญี่ปุ่นครับแม่ จะไปได้ยังไง”
“ไม่ได้มาหาแม่นานแล้วนะ ซอฮยอนจะมาพรุ่งนี้ไม่อยากมาด้วยกันเหรอ”
“อะไรนะครับ” ยงฮวาตาโตทันที นี่หมายความว่าแม่ของเขาติดต่อซอฮยอนได้ใช่ไหม “ซอฮยอนบอกแม่เหรอครับ”
“จ้า แม่เพิ่งคุยกับซอฮยอนเมื่อกี้นี่เอง นี่น้องเหมือนจะไม่สบายนะ ดูน้ำเสียงไม่ค่อยดี”
“เหรอครับ ผมคิดถึงแม่นะครับ ไว้ผมโทรหาแม่ใหม่นะครับ” ยงฮวาตาวาวขึ้นมาทันที รีบตัดสายเพราะมีสิ่งใหม่เข้าผุดเข้ามาในหัว ทุกคนติดต่อซอฮยอนยกเว้นเขาคนเดียวงั้นหรือ ชักจะแปลก ๆ แล้ว
“พี่ยังไม่ได้คุยกับซอฮยอนอีกเหรอ” จงฮยอนได้ยินบทสนทนาระหว่างแม่ลูกที่ดูเหมือนจะมีซอฮยอนมาเป็นประเด็น ยงฮวาส่ายหน้า
“เมื่อวานเห็นฮโยยอนบอกว่าซอฮยอนเอาแต่ร้องไห้ถามอะไรก็ไม่ตอบ บางทีเธอน่าจะมีปัญหา” ยงฮวาได้ฟังก็ปิ๊งขึ้นมาทันทีในหัว ซอฮยอนเก็บความรู้สึกได้ดี และเธอจะไม่มีทางบอกให้คนที่เธอโกรธรู้ บางทีเธออาจจะโกรธเขาอยู่ ว่าแต่มันเป็นเรื่องอะไรกัน
“แล้วทำไมเพิ่งมาบอก” ยงฮวาต่อว่าจงฮยอนตรงๆ ทำเอาจงฮยอนงงไม่รู้ว่าผิดอะไร ยงฮวารีบแพคกระเป๋าทันทีเหมือนจะมีแผนในใจไว้แล้ว สองมักเน่โต๋เต๋เปิดประตูห้องพักเข้ามา เห็นยงฮวาง่วนอยู่กับการเก็บของก็สงสัย
“พี่จะไปไหน เราจะกลับโตเกียวพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ” มินฮยอกถามงงๆ ยงฮวาไม่ตอบหันไปพูดกับจงฮยอนแทน
“จงฮยอนนายรู้ใช่มั๊ยว่าต้องทำยังไง เหมือนแบบที่นายเคยทำ”
“ทำอะไร” จงฮยอนฉุกคิดขึ้นมาได้หลังคำถามของตัวเอง “พี่อย่าบอกนะว่าจะกลับเกาหลี” จงฮยอนตกใจกับความคิดของตัวเอง สองมักเน่ก็พลอยตกใจไปด้วย พอดีกับที่ยงฮวาปิดกระเป๋าแล้วเดินตรงไปที่ประตู
“ยืนยันสถานที่อยู่ให้ชั้นด้วย อย่าให้พลาดล่ะ แล้วจะรีบกลับ” พูดแล้วเดินออกไปทันทีไม่ฟังความเห็นของน้องๆ สามแสบอ้าปากค้าง ยงฮวาทำยังกับว่าเกาหลีอยู่ห้องข้างๆ นึกอยากจะไปก็ไปได้เลยหรือไงกัน สามแสบมองหน้ากันเลิกลั่ก งานเข้าอีกแล้วสิ
“โอ๊ะ....ยงฮวา” แม่ของยงฮวาร้องขึ้นเมื่อพบว่ายงฮวาเดินอยู่ในบ้านตอนเช้าตรู่ “ไหนว่าอยู่ญี่ปุ่น มาได้ยังไง” พลางโผเข้ากอดลูกชายคนเล็กด้วยความคิดถึง
“ก็คิดถึงแม่ไงครับ” ยงฮวาออดอ้อน
“ไม่ใช่ว่ามาหาซอฮยอนหรอกรึ” แม่รู้ทัน
“ถ้ามาหาซอฮยอนก็ไม่ต้องมาถึงปูซานหรอกครับ ที่โซลก็ไปได้”
“ปากดีนะเนี่ยลูกชายแม่ แบบนี้ล่ะสิสาวๆถึงตามกันเป็นพรวน”
“แม่อย่าพูดแบบนั้นสิครับ ผมรักแม่คนเดียวนะ”
“จ๊ะ” แม่ลากเสียงยาว “เดี๋ยวเจอซอฮยอนก็ทิ้งแม่แล้ว” ยงฮวาไม่พูดต่อแต่หัวเราะแทน การได้กลับบ้านมาหยอกล้อกับแม่ของเขานับว่าเป็นความสุขอีกอย่างหนึ่ง บ้านเป็นที่ๆเดียวที่ยงฮวาเป็นตัวของตัวเองได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใคร หรือกล้องมาจับจ้องเขาอยู่ตลอดเวลา
ซอฮยอนนั่งนิ่งอยู่หลังเวที แม้จิตใจจะยังไม่พร้อมแต่เธอก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไหนจะแฟนเพลงที่มารอ แล้วยังมีแม่ของยงฮวาที่สัญญาว่าจะมาดูเธอแสดงในวันนี้ แม้จะโกรธและไม่พอใจยงฮวามากแค่ไหน แต่ผู้ใหญ่ก็ไม่ควรต้องมารู้ความบาดหมางระหว่างเธอกับเขา ถึงจะต้องแสร้งยิ้มก็ต้องทำ เธอจะไม่ยอมให้ใครมาพูดว่าเพราะเรื่องส่วนตัวทำให้เสียงานอย่างเด็ดขาด
หลังการแสดงเสร็จสิ้นลงซอฮยอนเดินกลับเข้าหลังเวทีอย่างเหนื่อยอ่อน การปั้นยิ้มมันเป็นเรื่องที่ยากลำบากจริงๆสำหรับเธอ เธอไม่มั่นใจว่าจะทำได้ดี แต่ในที่สุดมันก็ผ่านไปแล้ว หญิงชายคู่หนึ่งเดินตรงมายังเธอ เพียงแค่มองด้วยหางตาซอฮยอนก็จำได้ว่าเป็นใคร แม้จะขุ่นเคืองยงฮวาอยู่มากแต่เธอก็ยอมรับกับตัวเองว่าเธอแปลกใจที่เห็นเขามาปรากฏตัวที่นี่พร้อมกับแม่ของเขา เสียงพี่ๆในวงต่างพากันกรี๊ดกร๊าดที่เห็นยงฮวา เสียงเรียกยงซอบังมาเป็นระยะๆ ทั้งอยากแซวทั้งอิจฉาที่ยงฮวาอุตส่าห์ตามมาไกลถึงปูซานทั้งๆที่ความจริงแล้วเขาควรจะอยู่ญี่ปุ่น ซอฮยอนทำความเคารพแม่ของเขาอย่างนอบน้อม แต่ไม่แม้แต่จะยิ้มให้กับยงฮวาทำเอาเขาหน้าชาไปนิดหน่อยที่เธอเมินเฉย แต่ก็ยังยิ้มอยู่เพราะดูเหมือนว่าเรื่องที่เขาคิดไว้จะไม่ผิด พี่ๆทยอยกันเข้ามาทักทายและทำความเคารพแม่ของเขา ก่อนจะเปิดโอกาสให้ครอบครัวได้อยู่ด้วยกัน
“ตื่นได้แล้ว ตื่นได้แล้ว” จงฮยอนเข้ามาปลุกสองมักเน่ถึงในห้องพักแต่เช้าตรู่ สองมักเน่ยังงัวเงียไม่อยากจะตื่น
“มาปลุกทำไมแต่เช้าเนี่ย” จองชินปัดไม้ปัดมือจงฮยอนออก พร้อมกับดึงผ้าห่มมาปิดหน้าไว้
“ไปกับชั้นเดี๋ยวนี้ พี่ยงฮวาสั่งให้ทำอะไรจำไม่ได้เหรอไง” สองมักเน่งัวเงียแต่ก็ลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งของยงฮวาก็ทำให้ต้องฝืนร่างกายยอมตื่นทั้งๆที่ไม่อยากจะทำ
เพียงไม่นานสามแสบก็มาถึงอ่าวที่อยู่ใกล้ๆโรงแรมที่พัก มินฮยอกแทบจะลืมตาไม่ขึ้นแต่ก็เดินตามเพื่อนร่วมแก๊งค์ไปเรื่อยๆ
“ตรงนี้แหละ” จองชินชี้บอกตำแหน่ง “พี่จงฮยอน พี่ไปยืนตรงนั้นเดี๋ยวผมจะถ่ายรูปให้” จองชินจัดแจง
“ทำไมต้องเป็นชั้นด้วยล่ะ ถ่ายด้วยกันหมดสิ” จงฮยอนยังขัดแย้ง
“ถ่ายด้วยกันหมดได้ไงล่ะ ใครจะมาถ่ายให้ ที่สำคัญพี่ดูหล่อสุดนะวันนี้” จองชินอธิบาย พร้อมหว่านล้อมและค่อนแคะไปพร้อมๆกัน เมื่อเห็นชุดเต็มยศที่จงฮยอนแต่งมาดูจะมากเกินความจำเป็น
“งั้นนายมาถ่ายกับชั้น ให้มินฮยอกถ่ายให้” จงฮยอนหันไปมองหามินฮยอก แต่ก็พบว่ามินฮยอกน้อยหลับฟุบอยู่ที่ม้านั่งข้างหลังเขา ทำให้ต้องจนต่อปัญญายอมเป็นนายแบบจำเป็นเพียงลำพัง จงฮยอนเดินไปที่ริมอ่าวอย่างเซ็งๆ แล้วกางแขนออกมาจนสุด เป็นโพสต์ที่แสนจะสิ้นคิด
“ถ่ายเลย” จงฮยอนอยากให้มันจบลงเร็วๆ
“โห...โพสต์ได้เชยมาก” จองชินพูดแล้วหยิบเอาไอแพดเปิดโปรแกรมถ่ายรูปขึ้นมากดชัตเตอร์ อยากให้จบเร็วๆเพื่อที่จะกลับไปนอนต่อ
ระหว่างทางกลับไปยังโรงแรมจองชินก็รีบอัพโหลดรูปเพื่อทวิตทันที ปากก็พึมพัมถ้อยคำบรรยายรูปไปด้วย พยายามทำตัวราวกับว่าเป็นจงฮยอน
“นี่...พี่จะเลี้ยงข้าวเช้าเราใช่มั๊ย” มินฮยอกเพิ่งจะตาสว่างหลังจากที่คนอื่นปฏิบัติภารกิจเสร็จ
“ตอนให้ทำงานทำเป็นหลับ ที่นี่มาตาสว่างเลยนะ” จองชินแขวะ
“ก็มาด้วยนี่ไง เรื่องหลับก็มันช่วยไม่ได้นี่” มินฮยอกไม่รู้ร้อน
“รีบๆไปเหอะ เดี๋ยวมีคนจำได้ก็ยุ่งหรอก” จงฮยอนเตือนน้องๆ ทำให้สองมักเน่ต้องยุติสงครามย่อมๆไว้ แล้วรีบเดินตรงกลับยังโรงแรม
ซอฮยอนยังปฏิบัติกับแม่ของยงฮวาตามปกติ มีแต่ท่าทีเมินเฉยต่อยงฮวาเท่านั้นที่แสดงออกว่าเธอต่างไปจากทุกวัน คู่คุณแม่กับว่าที่ลูกสะใภ้เดินควงกันนำหน้าไปทิ้งให้ยงฮวาไล่ตามหลังโดยไม่ได้สนใจ ในขณะที่ยงฮวายังยิ้มได้แบบสบายใจ ไม่มีใครรู้จักซอฮยอนดีเท่าเขา การที่เธอแสดงออกว่าโกรธนั้นหมายความว่าเขายังมีค่าพอที่เธอจะให้ความสำคัญ ถ้าเพียงแต่หาทางทำให้เธอหายโกรธได้ อะไรๆก็จะดีไปเอง ตอนนี้เขาจึงควรจะดูท่าทีของเธอไปก่อน เพื่อรอเวลาที่เหมาะสม
อาหารชุดใหญ่ค่อยๆถูกลำเลียงออกมาวางตรงหน้า ทีละอย่างจนเต็มโต๊ะอาหาร ซอฮยอนดูจะตื่นเต้นที่ดูเหมือนจะมีแต่อาหารเพื่อสุขภาพแบบที่เธอชอบ จนเกือบลืมไปว่ากำลังโกรธยงฮวาอยู่ ยงฮวาอดที่จะยิ้มให้กับความน่ารักของซอฮยอนไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้ไม่ว่าจะทำอะไรก็น่ารักและดูดีเสมอ
“ทานเยอะๆนะลูก ทำงานมาเหนื่อยๆจะได้มีแรง” แม่พูดพลางตักอาหารใส่จานให้ซอฮยอน เธอรับมาด้วยความนอบน้อม
“คุณแม่ก็ควรจะทานเยอะๆนะค่ะ”
“แม่จะทานให้อร่อยเลยจ๊ะ” ยงฮวามองผู้หญิงสองคนที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนิทสนมอย่างมีความสุข พลางนึกสงสัยว่าซอฮยอนจะมีปฏิกิริยายังไงต่อหน้าแม่ของเขา หากเขาแสดงความใส่ใจเธอออกไปตอนนี้ ยงฮวาตักอาหารใส่จานให้เธอบ้าง ซอฮยอนไม่พูดอะไรเพียงแต่เลี่ยงที่จะตักอาหารของเขา
“หนูไม่ชอบเหรอจ๊ะ” แม่ออกจะสงสัย คู่นี้ตัวแทบจะติดกันตลอดเวลา เมื่อมีโอกาสอยู่ด้วยกัน แต่ท่าทีของซอฮยอนในวันนี้ดูแปลกไป
“อ๋อค่ะ หนูไม่ทานแฮม” ซอฮยอนตอบไม่เนียน
“แม่ไม่รู้เลยว่าหนูไม่ทานเลยสั่งมา แม่ขอโทษนะจ๊ะ”
“ไม่ค่ะ” ซอฮยอนปฏิเสธเป็นพัลวัน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะแก้ตัวยังไง เพียงเพราะอยากเอาชะยงฮวาแท้ๆทำให้เธอต้องรู้สึกผิดตามมา
“พี่ไม่เสียใจหรอกนะ แต่คุณแม่คงจะเสียใจ” ยงฮวาได้ทีกดดัน ซอฮยอนไม่รู้จะทำยังไง
“ไม่หรอกไม่เป็นไรลูก หนูไม่ต้องฝืนทานหรอก” แม่พยายามทำให้สบายใจ ซอฮยอนขอโทษซ้ำอีกครั้ง พลางนึกหมั้นไส้ยงฮวาที่ดูเหมือนจะพอใจที่เธอตกหลุมพราง
มื้ออาหารผ่านไปพร้อมความรู้สึกผิดของซอฮยอน ความสำราญใจของยงฮวา ทั้งสามคนพากันออกมายืนรอพ่อของยงฮวาที่หน้าร้าน ซอฮยอนรู้สึกลำบากใจที่ดูเหมือนว่าเธอจะสร้างความลำบากให้กับแม่ของยงฮวาอีกครั้ง
“ให้พี่ยงฮวาพาคุณแม่กลับเลยก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูจะให้พี่ผู้จัดการมารับ” ซอฮยอนเสนอ
“ไม่เป็นไรลูก แม่กับพ่อจะไปธุระต่อ หนูก็ให้พี่เขาไปส่งที่โรงแรมแหละดีแล้ว” คุณแม่ดูอ่อนโยน ให้เหตุผลที่ดูจะเข้าทางลูกชายเป็นอย่างดี
“แล้วอย่าลืมไปคิดดูนะ พรุ่งนี้ไปค้างที่บ้านแม่สักคืนแล้วค่อยกลับนะ” แม่ย้ำหัวข้อที่พูดกันขณะมืออาหาร ทำเอาซอฮยอนไม่กล้าปฏิเสธ ยงฮวาได้แต่ยิ้มกริ่ม
“หนูจะคิดดูค่ะ” ซอฮยอนรับคำอย่างว่าง่าย พลันรถสีดำยี่ห้อหรูก็ขับเข้ามาจอดตรงหน้า พ่อของยงฮวาก้าวลงมาจากรถท่าทางดีใจที่ได้พบซอฮยอน เธอทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“มาทีไรก็ไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะลูก คราวนี้พ่อก็งานยุ่งอีก” ซอฮยอนแค่ยิ้มรับ “ไว้คราวหน้าไปค้างที่บ้านนะเราจะได้มีเวลาคุยกัน” เหมือนมากดันซอฮยอนซ้ำลงไปอีก
“ค่ะ” ซอฮยอนได้แต่รับคำ
ทั้งคู่ยืนส่งพ่อแม่จนพ้นสายตาไป ซอฮยอนเห็นว่าพ้นสายตาผู้ใหญ่แล้วเธอจึงรีบเดินไปอีกทางโดยไม่พูดอะไรกับยงฮวา เขาหันไปมองแล้วก็อมยิ้ม เอ็นดูความเป็นเด็กที่แฝงอยู่ในตัวซอฮยอนผู้เคร่งครัด แล้วจึงกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเธอไป ซอฮยอนดูเหมือนจะไม่ได้สนใจว่ายงฮวาตามเธอมา เขาจึงตัดสินใจคว้าแขนของเธอเพื่อให้เธอหยุดเดิน
“เดี๋ยวสิซอฮยอน” ซอฮยอนหยุดเดินแล้วหันมามองเขาสีหน้าเรียบเฉย “พี่จะไปส่งไง”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพี่ยองมินจะมารับค่ะ” ซอฮยอนพูดน้ำเสียงเรียบเฉย
“ไม่อยากให้พี่ไปส่งงั้นเหรอ” ยงฮวาแกล้งเย้า
“ค่ะ พี่กลับไปเถอะค่ะ” ยงฮวาได้ฟังถึงกับหน้าเสีย ซอฮยอนดูมั่นใจเกินไปที่ปฏิเสธเขาแบบนี้
“อยากให้มีคนมาจำเราได้หรือไง ไปกับพี่ก่อนที่จะมีคนมาเห็นดีกว่า” ยงฮวาให้เหตุผลที่เธอเองก็ไม่อาจปฏิเสธ ซอฮยอนลังเลแต่ก็ยอมตามเขาไปในที่สุดด้วยจำนนต่อเหตุผล
ระหว่างทางที่รถแล่นไปซอฮยอนไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว นี่ดูว่าจะไม่ง่ายอย่างที่ยงฮวาคิดซะแล้ว ซอฮยอนไม่เคยเมินเฉยกับเขาขนาดนี้ นี่มันคือความผิดเรื่องอะไรที่ทำให้ซอฮยอนโกรธได้มากขนาดนี้ ยงฮวาคิดวนไปมาสารพันร้อยแปดถึงเหตุผลที่ซอฮยอนอาจจะโกรธแต่ก็คิดไม่ออกเลยสักข้อ บางทีเขาควรจะถามเธอตรงๆถึงสาเหตุ ถ้าเพียงแต่เธอจะยอมบอกตามตรง ยงฮวาเลือกที่จะจอดรถ ณ ที่แห่งหนึ่งที่ดูมืด มีเพียงแสงไฟสลัวจากไฟส่องทางเท่านั้นที่พอจะทำให้ซอฮยอนมองออกว่าสถานที่แห่งนี้คือชายหาด
“ไปเดินเล่นกันมั๊ย” ยงฮวาพูดขึ้น
“พี่บอกว่าจะพาชั้นไปส่งไงค่ะ” ซอฮยอนไม่เล่นด้วย ยงฮวาไม่พูดอะไรบางทีอาจจะต้องใช้วิธีที่เด็ดขาดกว่านี้ เขาเดินลงจากรถแล้วไปเปิดประตูฝั่งที่ซอฮยอนนั่ง จัดแจงปลดเข็มขัดนิรภัยให้เธอ แล้วคว้าข้อมือพาเธอลงมาจากรถ
“แฮฮุนแดนะ ไม่อยากไปกับพี่เหรอไง” ซอฮยอนไม่ตอบแค่ถอนหายใจแล้วเดินตามแรงจูงจากเขาไป ยงฮวามาหยุดอยู่ที่หาดทราย ข้างหน้าเป็นพื้นน้ำทะเลที่มืดมิด ได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งอย่างชัดเจน ทะเลยามกลางคืนช่างเงียบสงบและสวยงามในแบบของมัน
“โอเคมั๊ย ใส่รองเท้าส้นสูงบนหาดทราย” ยงฮวาใส่ใจเหมือนอย่างเคย ยังกุมมือเธออยู่
“คิดว่าจะโอเคมั๊ยค่ะ ไม่เห็นว่าพี่จะต้องถามเลย” ซอฮยอนดูอารมณ์ไม่ดี ยิ่งเขาพยายามทำดีเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกว่าโกรธเขามากขึ้นเท่านั้นเมื่อเทียบกับเรื่องที่เขามีใครอีกคน
“เด็กน้อย วันนี้ดูอารมณ์ไม่ดีนะ ใครทำอะไรเธอบอกพี่หน่อยสิ” ยงฮวายังคงใจเย็น ซอฮยอนไม่ตอบแต่กลับปล่อยมือออกจากการเกาะกุมของเขาแล้วหันหลังเหมือนจะเดินหนีไป ยงฮวาคว้าไหล่ของเธอไว้ได้ทัน จับให้เธอหมุนกลับมาประจันหน้ากับเขาตรงๆ
“โกรธอะไรพี่ ถ้าพี่เป็นจำเลยในเรื่องนี้ พี่ควรจะมีสิทธิ์แก้ต่างก่อนที่ศาลจะตัดสินไม่ใช่เหรอ” เขาสบตากับเธอตรงๆ ซอฮยอนไม่หลบตากลับมองลึกเข้าไปในแววตานั้น เล่นละครแค่สองเรื่องเขาก็แอคติ้งได้ดีขนาดนี้เลยหรือ ทั้งสายตา ท่าทางนั่น ยงฮวาใช้ทักษะการแสดงที่เขามีใช่ไหม
“พี่อุตส่าห์มาจากญี่ปุ่นก็เพียงเพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันนะ อย่าทำแบบนี้กับพี่เลย” ยงฮวาเกือบจะอ้อนวอน
“ถ้าลำบากพี่ก็ไม่ต้องทำสิค่ะ เปลี่ยนไปทำอะไรที่ง่ายๆแทนสิ” ซอฮยอนดูจะเอาจริง
“ฮยอ-น อย่าประชดพี่เลย บอกมาเถอะว่าโกรธพี่เรื่องอะไร พี่จะอธิบาย ถ้ามันเป็นความผิดของพี่จริงพี่ก็พร้อมจะยอมรับ” ซอฮยอนฟังแล้วเงียบไป ปกติเธอเป็นคนที่มีเหตุผล แต่เธอก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่านี่มันออกจะดูร้ายกับยงฮวาไปหน่อยที่ไม่ให้โอกาสเขาอธิบาย แต่เพียงแค่เธอคิดถึงสาเหตุที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ขึ้นมาก็เหมือนมีก้อนบางอย่างมาจุกที่คอ น้ำใสๆเอ่อท้นขึ้นมาที่ตา ทั้งเจ็บใจ เสียใจเหมือนถูกหลอก น้อยใจที่เขาปิดบัง ความรักที่เธอปฏิเสธตลอดมาไม่ว่าจะมาจากใครที่ไหน แต่เธอกลับเปิดใจยอมรับผู้ชายตรงหน้าคนนี้เขามาในชีวิต โดยที่ไม่เคยคิดสักนิดว่าเขาจะมาทำร้ายในภายหลัง มันยากเกินจะอธิบายได้ด้วยคำพูดในเวลาแบบนี้
ยงฮวามองหยดน้ำตาที่สองข้างแก้มของนางฟ้าอย่างเจ็บปวด ไม่มีผู้ชายที่ไหนชอบเห็นน้ำตาผู้หญิง โดยเฉพาะน้ำตาของผู้หญิงที่เขารัก และยิ่งได้รู้ว่าเขาเป็นที่มาของมันก็ยิ่งเจ็บปวดใจ เขาค่อยปาดน้ำตาที่แก้มเธออย่างอ่อนโยน หวังเพียงจะช่วยปลอบโยนเธอได้บ้าง
“อย่างร้องไห้สิ พี่ใจไม่ดีเลย” เขาพูดเสียงแผ่วเบา แล้วดึงร่างบางมากอดไว้แนบอก
“สร้อยเส้นนั้น ในกระเป๋าของพี่ ชั้นอยากรู้ที่มา” ซอฮยอนพูดออกมาอย่างยากลำบาก ยงฮวานิ่งคิดไปนาน เหมือนจะลืมไปแล้วว่ามีของแบบนั้นในกระเป๋าของเขา เขาคลายอ้อมกอดแล้วแล้วถอยหลังไปแค่พอให้ได้มองหน้าของเธออย่างชัดเจน
“ซอลลี่ให้พี่มา” ยงฮวามองลึกเข้าไปในตาเธอ ซอฮยอนสับสนนี่เขาพูดออกมาง่ายๆแบบนี้เลยหรือไง “พี่อธิบายได้ พี่อยากให้เธอฟัง”
เช้าตรู่ที่หน้าหอพักของ CNBLUE ทั้งสี่หนุ่มง่วนกับการขนเครื่องดนตรีและสัมภาระด้วยความรีบเร่งเพื่อจะไปให้ทันเที่ยวบินที่จองไว้ สำหรับการเตรียมตัวแสดงคอนเสิร์ตในฐานะวงอินดี้ครั้งสุดท้ายที่ญี่ปุ่น ซอลลี่มาปรากฏกายอย่างเงียบๆโดยที่ไม่ได้นัดหมายไว้ก่อน มินฮยอกสะกิดยงฮวาเบาๆเมื่อเห็นเธอ ทำให้ยงฮวาจำต้องละทิ้งงานไปพบเธอ
“พี่กำลังรีบนะ มีอะไร” ยงฮวาดูไม่ใส่ใจ
“ชั้นรู้มาว่าพี่จะมีคอนเสิร์ตใหญ่พรุ่งนี้ค่ะ ชั้นอยากไปให้กำลังใจแต่ชั้นติดงาน ก็เลยอยากเอาของขวัญมาให้พี่ก่อน” ซอลลี่พูดแล้วส่งของขวัญให้ มันคือกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินผูกริบบิ้นสีฟ้าสีประจำวงของยงฮวา
“ขอบใจนะ พี่ต้องไปแล้วล่ะ” ยงฮวาพูดแล้วเดินจากมาโดยไม่ฟังคำลาจากเธอ
“พี่ต้องใส่มันที่คอนเสิร์ตนะค่ะ” ซอลลี่ตะโกนไล่หลัง ยงฮวาเพียงแค่โบกมือให้เธอโดยไม่แม้แต่จะหันไปมอง ก่อนจะขึ้นรถจากไป ซอลลี่มองตามไปจนสุดสายตา
“นี่คือที่มาที่เธออยากรู้ ทั้งหมดเป็นความจริง พอพี่รู้ว่ามันคืออะไรพี่ก็คิดว่าพี่ควรจะคืนมันให้กับซอลลี่แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เจอกันเลย มันเลยถูกทิ้งไว้ในกระเป๋าแบบนั้น” ยงฮวาบอก ในแววตามีแต่ความจริงใจ ซอฮยอนพยักหน้า ความจริงเธอควรจะถามเขาให้รู้เรื่องก่อนที่จะตีโพยตีพายแบบนี้ มันเกือบจะทำให้เธอกับยงฮวาต้องผิดใจกันใหญ่โตเสียแล้ว
“ชั้นขอโทษค่ะ ชั้นควรจะถามพี่ก่อนที่จะโกรธพี่แบบนี้” ซอฮยอนรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยมันก็เป็นสาเหตุให้พี่ต้องมาหาเธอถึงที่นี่ไง” ยงฮวาดูอ่อนโยน ซอฮยอนขยับเข้าไปใกล้เขา สองแขนโอบเอวของยงฮวาอย่างไม่เคอะเขิน ยงฮวาออกจะแปลกใจที่ซอฮยอนกอดเขาก่อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยฝันถึงสิ่งนี้เลย บางทีนี่อาจจะถึงเวลาที่สกินชิพจะพัฒนาไปอีกขั้น สองมือของเขาค่อยๆประครองดวงหน้าที่งดงามพร้อมกับโน้มตัวลงไปใกล้ ริมฝีปากบางสวยได้รูปตรงหน้าช่างเย้ายวนใจ จะเป็นไรไหมถ้าเขาจะไม่ห้ามใจตัวเอง ยงฮวาค่อยๆสัมผัสริมฝีปากบางสวยอย่างแผ่วเบา รับรู้ได้ทันทีถึงหัวใจที่เต้นรัวอยู่ในอกของหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆ ละเลียดชิมรสหวานหอมของจูบแรกในฐานะคู่รัก เหมือนโลกนี้มีเพียงเราสองคน ล่องลอยอยู่ในสรวงสวรรค์ ไกลแสนไกล
มีพี่คนนึงที่คุยกันบ่อยในเฟสมาแซวว่าไรเตอร์555 อ่านแล้วตลกจริงแฮะ ไม่เรียกตัวเองว่าไรเตอร์ดีกว่า
บัวก็แค่บิวต์อารมณ์ไปงั้นแหละค่ะ ไม่ชอบกินมาม่าเลยไม่ไหว เดี๋ยวจิตตก 555 เอาเล็กๆพอมีสีสันแก้เลี่ยนนิดหน่อย ถนัดกุ๊กกิ๊กมากกว่าค่ะ อีกอย่างบุคลิกจริงของน้องซอเป็นคนมีเหตุผลนะคะ น้องน่าจะฟังถ้าเหตุผลดีพอ ตัวพี่ยงเองก็ชัดเจนมาตลอด ก็ไม่น่ามีปัญหาให้ดราม่ามากมายค่ะ บัวพยายามจะเขียนเรื่องบนพื้นฐานบุคลิกของทั้งคู่ค่ะ คือมองจากการแสดงออกผ่านสื่อต่างๆที่เราเห็น ไม่อยากสร้างบุคลิกใหม่ให้ทั้งคู่เพราะว่ามันยากที่จะทำให้คนอ่านเชื่อค่ะ บัวยังไม่เก่งขนาดนั้น ตอนหน้าขอพี่ยงจัดเต็มอีกสักตอน น้องซอร้ายบ้างพอสะใจ แล้วจะขึ้นพาร์ทใหม่ค่ะ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะค่ะ
ความคิดเห็น