คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 ภูตตนแรก
เจ้าของเรือนผมสีเงินยวงนามฟิเอต้า เทรย์ เลแซมเบิร์กค่อย ๆ ล้มลงอย่างช้า ๆ ก่อนจะหมดสติไป สาเหตุคงมาจากการล้มถึงสองครั้งสองครา
ขั้นแรก...ล้มหัวกระแทกอย่างรุนแรงจนทำให้กระทบกระเทือน
ขั้นสอง...โทสะพลุ้งพล่านทำให้อาการที่ควรจะพักฟื้นหนักขึ้นโดยเจ้าตัวก็ยังไม่รู้ตัว
ขั้นสาม...ใช้กำลัง
ขั้นสี่...ล้มลงอีกครั้งทำให้กระทบกระเทือนมากขึ้น
สุดท้าย เสียเลือดมาก...
ส่วนหลักฐานนั้นก็คือผมสีเงินด้านหน้ามีรอยเลือดติดอยู่และมีแผลบริเวณหน้าผาก ที่ไม่ใหญ่เท่าไหร่นัก แต่ก็มากพอที่จะทำให้เสียเลือดจนช็อก...
“ว้าย! นายหญิงฟิเอต้าเจ้าคะ นายหญิง ๆ เป็นอะไรไปคะ” เจ้าเต่าน้อยตัวเตี้ยม ๆ กลม ๆ สีเขียว ๆ เหมือนตุ๊กตาหากแต่แข็งกว่าจนทำให้คนเสียเลือดได้กำลังใช้แขน (?) ไม่ใช่สิ...ขาหน้าน้อย ๆ เขย่าตัวผู้ที่เพิ่งสลบโดยฤทธิ์เต่าอย่างเอาเป็นเอาตายและอาลัยอาวรณ์ราวกับเธอคนนั้นตายไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
ชาเซส ไม ซาโดรเนีย ที่สาม มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างรู้สึกสงสารคนที่สลบไปนิด ๆ แต่ก็รู้สึกยิ่งเพิ่มความสนใจในตัวของเจ้าของนามฟิเอต้ามากขึ้น... คงเป็นเพราะก้อนกลม ๆ เขียว ๆ นี่กระมังที่ทำให้เธอสนใจ
เธอเดินเข้าไปใกล้ ๆ แล้วหยิบบางสิ่งบางอย่างที่มีลักษณะยาวขึ้นมา ชาเซสจับท่อนไม้กลมสีน้ำตาลแล้วยกขึ้นก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้ ๆ ตัวประหลาดหรือก้อนสีเขียวพูดได้ ร่างระหงค่อย ๆ ย่อกายลงนั่งยองและเอาปลายของสิ่งที่ตนเองจับอยู่นั้น ‘เขี่ย’ เจ้าก้อนกลม ๆ (ในความคิดของชาเซส) อย่างเบามือแต่มันกลับทำให้เจ้าก้อนนั้นร้องออกมาอย่างไม่เป็นภาษา “โอ้ย! เจ้าทำอะไรของเจ้า เจ้าบังอาจเอาท่อนไม้มาเขี่ยข้าเลยรึ ข้าคือภูตผู้รักษาอัญมณีแห่งความหวังเลยนะ”
“อัญมณีแห่งความหวัง...?” ริมฝีปากได้รูปอิ่มขยับเอ่ยเสียงสูงเชิงสงสัย เจ้าก้อนกลม ๆ ก็พูดออกมาแบบไม่ได้ดูหรือไม่ได้ระวังอะไรทั้งนั้น “ใช่น่ะสิ อัญมณีแห่งความหวังรึเจ้าไม่เคยได้ยิน สิ่งที่ยิ่งใหญ่และ...”
เจ้าก้อนกลมสีเขียวสาธยายแบบไม่ดูสภาพรอบกายว่าเขาหันมาสนใจกันแค่ไหน ก็แน่สิ เต่าที่ไหนพูดได้กันเล่า! แถมไม่ใช่พูดธรรมดา มันเล่นพูดออกมาราวกับมนุษย์และมีความรู้ราวกับปราชญ์ในเรื่องอัญมณี แต่ก่อนที่จะเป็นจุดสนใจไปมากกว่านี้หลังจากที่มีคนตะโกนโหวกเหวกอยู่นาน ชาเซสก็ถือโอกาสหิ้วเจ้าเต่าน้อยใส่ถุงแล้ว ‘ลาก’ ผู้สลบไสลไปยังที่พำนักของตนทันที ระหว่างทางก็พูดกับเจ้าก้อนประหลาดด้วยน้ำเสียงเย็นอย่างเป็นปกติ
“เจ้าก้อนเขียว ข้าไม่ได้ใช้ไม่เขี่ยเจ้าหรอกนะ ถ้าเจ้าสังเกตให้ดีว่าทำไมถึงมีรอย ‘มีด’ อยู่ตรงลำตัวเจ้าได้แล้วล่ะก็ เจ้าจะรู้ว่าสิ่งที่ข้าใช้เขี่ยเจ้าคืออะไร”
เมื่อเจ้าเต่าน้อยนาม โซลีเซ ได้ยินดังนั้นแล้วจึงคิดทันที เอ๋? รอยมีด ๆ มีรอยมีดอยู่ตรงสีข้างของเธอด้วยนี่นา เอ๊ะ? แล้วรอยมีดนี่มันเป็นอะไรกันล่ะที่มาใช้เขี่ยเรา??
เจ้าเต่าน้อยโซลีเซก็ยังคงคิดไม่ตกอยู่อย่างนั้นจึงคิดย้อนกลับเหตุการณ์ไปดูอย่างฉงน...
ด้ามไม้กลมสีน้ำตาลคือด้ามมีดนั่นเอง หรือนั่นก็คือมีดที่ชาเซสขว้างใส่ฟิเอต้าแล้วหลบได้อย่างฉิวเฉียดนั่นเอง
หลังจากที่คิดได้แล้วโซลีเซจึงสำนึกได้ว่าตัวเองมีรอยมีดอยู่ที่สีข้างแล้วเลือดก็ไหลไม่หยุดอีกต่างหาก เต่านั้นมักทำอะไรช้าเสมอ ๆ นอกจากเคลื่อนไหวช้าแล้วยังไม่พอ แต่เต่าตัวนี้มีอะไรพิเศษด้วยนั่นก็คือ...หัวช้าและความรู้สึกช้าอย่างแก้เท่าไหร่ก็แก้ไม่หาย และคงไม่มีวันที่จะสามารถพัฒนา ขนาดที่ว่าชาเซสพูดว่า “รอยมีด” ก็ยังนึกไม่ได้ว่าเป็นมีดมาเขี่ยตัวเอง
ความเจ็บปวดค่อย ๆ แล่นเข้ามาก่อนที่เจ้าเต่าน้อยก้อนกลมสีเขียวนาม โซลีเซจะสลบไปเพราะตกใจจนเป็นลม...
ท่ามกลางความเงียบงัน รอบด้านมีเพียงความมืดมิดและกลิ่นธูปจาง ๆ เท่านั้น คาดว่าคงเป็นกำยานที่มีฤทธิ์ให้สลบ ซึ่งสถานที่นี้คือที่อยู่ของชาเซสนั่นเอง กำยานนั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ที่สลบไปเพราะเสียเลือดทั้งสองได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และอีกหนึ่งประโยชน์คือไม่ให้ฟิเอต้าขึ้นมาทำตัววุ่นวาย...
แต่ความหวังที่ว่าจะไม่ทำตัววุ่นวายนั้นต้องหมดลงเมื่อเจ้าคนสร้างความวุ่นวายนั้นตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทราเสียแล้ว ร่างระหงค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ ๆ คนที่เพิ่งตื่นก่อนจะยกมือขาวซีดนั่นขึ้นยกแตะหน้าผากอย่างแผ่วเบา
“หยุดนะ! เจ้าอย่าเอามืออันแสนเย็นเยียบของวิญญาณอย่างเจ้ามาแตะข้า! เจ้าคงกำลังจะกินดวงจิตข้าสินะ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเจ้าจงถูกผนึกเสียเถอะ”
...ไม่เลิก... ความคิดของชาเซส... มันยังไม่เลิกทำตัวน่ารำคาญ ผนึกวิญญาณ... ไร้สาระ!
“ข้าแค่จะวัดไข้ เจ้ายังไม่หายดีนะ” คำพูดยาว ๆ ครั้งแรกของชาเซสตั้งแต่เจอฟิเอต้าทำให้ชะงักไปครั้งหนึ่งก่อนจะตอบออกมาเนือย ๆ อย่างผิดวิสัย “ก็ได้ ๆ เห็นแก่ที่เจ้าช่วยข้า ข้าจะยอมเป็นเพื่อนกับวิญญาณสักครั้ง”
เพื่อนคนที่สอง...หลังจากเพื่อนคนแรกตายไปเพราะโรคร้ายขาดแคลนอาหาร แต่ยังไงเธอก็รู้สึกว่าไม่ว่าจะเพื่อนคนแรกหรือเพื่อนคนที่สองก็วุ่นวายเหมือนกันทั้งคู่อยู่ดี คิดแล้วก็ได้แต่หนักใจ
“ก็ได้” ตอบออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่หารู้ไม่ว่านั่นมันเป็นกลลวง...
“นั่นไง! เจ้ายอมรับแล้วไงว่าเจ้าเป็นวิญญาณน่ะ ถ้าเจ้าไม่ใช่วิญญาณเจ้าจะยอมรับคำเป็นเพื่อนกับข้าหรอ แล้วอีกอย่างมนุษย์ดี ๆ ที่ไหนจะมาอยู่ในถ้ำกัน!” ฟิเอต้าพูดอย่างมั่นใจในความคิดของตัวเองเต็มที่และชาเซสที่รู้ว่าตัวเองโดนหลอกก็อยากจะเข้าไปให้รางวัลที่หนึ่งแก่ฟิเอต้าสักรางวัลด้วยไม่รู้ว่าเพราะอะไรระหว่าง... วางแผนสารภาพ (?) เยี่ยมยอด กับ ซื่อจนโง่ยอดเยี่ยม...?
“เฮ้อ เจ้าอยากจะเข้าใจอะไรก็เข้าใจของเจ้าไปเถอะ ข้าขอยืนยันครั้งสุดท้าย ข้า ไม่ ใช่ วิญ ญาณ” ชาเซสพูดเน้นทีละคำอย่างเหลืออดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ชีวิตวิญญาณ เอ้ย! ไม่ใช่ ชีวิตมนุษย์โลกขนมปังจะต้องวุ่นวายขึ้นไปอีกแน่ ๆ และเธออาจจะต้องจบชีวิตแทนเพื่อนคนก่อนที่จบชีวิตเพราะเพื่อคนใหม่ก็เป็นได้...
“ถ้าเจ้าอยากให้ข้าคิดว่าเจ้าไม่ใช่วิญญาณ ข้าก็จะคิดว่าเจ้าไม่ใช่วิญญาณก็แล้วกัน” ...แต่ข้าขอหมายเหตุเจ้าไว้ว่า เจ้าเป็นวิญญาณขนมปัง... ฟิเอต้าคิดต่อในใจ แล้วพยักหน้าหงึก ๆ อยู่คนเดียวเหมือนคนบ้า (?) เล่นเอาชาเซสที่มองอยู่รู้สึกเสียว ๆ ไม่น้อยที่เห็นท่าทางแบบนี้
...รู้สึกเหมือนลางร้ายคืบคลานแหะ...
“อ้อ ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าฟิเอต้า เทรย์ เลแซมเบิร์ก เป็นนักผนึกวิญญาณ”
“ข้า ชาเซส ไม ซาโดรเนีย ที่สาม เป็นนักพเนจร”
“เอ๋? เป็นนักพเนจรทำไมมีที่สามด้วยล่ะ” ฟิเอต้าถามอย่างงุนงง ถ้าเป็นนักพเนจรส่วนใหญ่ไม่น่าจะมีลำดับที่นี่นา แสดงว่าต้องอยู่ในตระกูลที่ใหญ่มากแน่ ๆ แต่ชาเซสก็ตอบมาด้วยคำถามที่ทำเอาฟิเอต้าตอบไม่ออก ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มันรู้สึกเหมือน... “แล้วเจ้าล่ะ ทำไมถึงมีนามสกุล เทรย์ เลแซมเบิร์ก มันเป็นนามสกุลของตระกูลท่านชาย แทเวล เทรย์ เลแซมเบิร์ก ไม่ใช่หรอ?”
รู้สึกเหมือน...ปวดหัว...มาก แต่อาการนั้นก็ต้องหายไปสิ้นเมื่อมีกระแสอุ่น ๆ ไหลผ่านโสดประสาท เธอหันไปดูที่มาของความอบอุ่นนั่น เธอเห็นเจ้าเต่าพูดได้อยู่ข้างหลัง
“อ้า...นายหญิงฟิเอต้า นายหญิงรู้สึกดีขึ้นแล้วใช่มั้ยเจ้าคะ” เธอพยกหน้าตอบคำถามของเจ้าเต่าน้อยแล้วถามกลับ “เจ้าคือ...โซ...โซละ...โซเซ รึเปล่า?”
“ไม่ใช่ค่ะ นายหญิง ข้าโซลีเซค่ะ” เจ้าเต่าพูดแก้
“ช่างเถอะ ๆ ข้าอยากเรียกเจ้าว่าโซเซ มันคงดีกว่าเยอะ” ฟิเอต้าพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ระคนขบขัน โซลีเซเห็นดังนั้นจึงน้อมรับ “เจ้าค่ะ หากนายหญิงประสงค์ โซลีเซผู้นี้ก็ยินดีเจ้าค่ะ”
โซลีเซพยักหน้าอย่างน้อมรับ ฟิเอต้าจึงส่งยิ้มหวานให้ แต่ก็มีเรื่องที่สงสัยอยู่จึงตัดสินใจถามอย่างเอาเป็นเอางาน “โซเซ เจ้าเป็นตัวอะไรมาจากไหน ทำไมเป็นเต่าถึงพูดได้ล่ะ”
โซลีเซยิ้มกับคำถามนั้นแล้วก็เกิดแสงสว่างขึ้นรอบตัวก่อนจะกลายเป็นหญิงสาวสง่าคนหนึ่ง ผมสีเขียวสดกับนัยน์ตาสีดำดังท้องฟ้ายามราตรีที่มีประกายระยิบของดาวทออยู่เสมอ ใบหน้าเรียวงามนั้นเนียนใสราวกับท่านหญิงจากดินแดนแห่งความงาม แต่จะว่าไปก็คงไม่สวยเท่าชาเซสหรือฟิเอต้าหรอก
“ข้าโซลีเซ เป็นภูตหนึ่งในหกตนที่ดูแลอัญมณีแห่งความหวัง ซอนเทนาเวียเจ้าค่ะ พวกเราจะมีร่างเป็นสัตว์แต่สามารถเปลี่ยนกายเป็นมนุษย์ได้ ตอนนี้มีผู้ต้องการมันมากเกินไป และผู้ที่ต้องการแต่ละคนนั้นมีแต่ความละโมบ ความลุ่มหลง เราจึงจำต้องหานายแห่งอัญมณีเจ้าค่ะ เพื่อที่ซอนเทนาเวียจะได้ไม่ถูกขโมยไปด้วยฝีมือผู้ประสงค์ร้ายเจ้าค่ะ ผู้ที่พวกข้าเลือกก็คือ ท่านฟิเอต้า เทรย์ เลแซมเบิร์ก และท่านชาเซส ไม ซาโดรเนีย ที่สามเจ้าค่ะ แต่ข้ายังหาท่านชาเซสไม่พบเลย” โซลีเซอธิบายยาวพร้อมกับพูดอย่างเหนื่อยอ่อนและท้อแท้ในตอนท้าย
“เอ๋? ชาเซสหรอ? ชื่อคุ้น ๆ นา” ฟิเอต้าเปรยออกมาเบา ๆ เชิงสงสัย แต่ในสถานที่ถ้ำแบบนี้ เสียงเบา ๆ ก็กลายเป็นเสียงดังได้เหมือนกัน
“ก็ข้าไง ข้าเองชาเซส ไม ซาโดรเนีย ที่สาม”
“...”
ความคิดเห็น