คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : คาบ7>>>>เฟียซ
เฟียซ
ซ่า ซ่า
เข้าย่างปลายเดือนกรกฎาคมฝนก็เริ่มตกหนักขึ้นทุกวันต่างจากอากาศในช่วงต้นเดือนที่มีฝนตกหนักไม่มาก พอถึงกลางฤดูฝนแบบนี้ ก็ต้องพกร่มหรือไม่ก็เสื้อกันฝนมาทุกวัน เพราะเนื่องจากฝนที่โปรยลงมาเกือบทุกวัน บางวันก็มีฝนตกลงมาทั้งวัน บางวันก็ไม่มี แต่ที่แน่ๆ สัปดาห์ๆ นึงฝนจะตกมากกว่าสามวันขึ้นไปไม่ว่าจะไปที่ไหนๆ ก็ต้องมีร่มติดตัวตลอด จะว่าลำบากก็ลำบาก แต่ถ้าต้องมานั่งเปียกฝนละก็ เลือกยอมลำบากมีร่มเป็นอวัยวะที่เพิ่มมาจากเดิมซะยังจะดีกว่า
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่มีฝนโปรยลงมาตั้งแต่เช้า และวันนี้ก็ยังคงเป็นวันที่รถจะติดมากๆ และมีเด็กนักเรียนมาสายเยอะอีกวันหนึ่ง ฉันที่ต้องตื่นเช้าแล้วออกจากบ้านเร็ว เพื่อต้องมาทำหน้าที่บุรุษไปรษณีย์คอยส่งจดหมายรักให้คนสองคน เลยรอดจากรถที่ติดนานๆ และการเป็นส่วนหนึ่งในนักเรียนที่มาสายไปโดยสิ้นเชิง
ฉันกำลังเบื่อกับการยืนรอผู้ส่งจดหมายอยู่ จริงๆ พวกเธอก็ไม่ได้มาช้ากว่าเวลาที่กำหนดอะไร แต่ฉันต่างหากที่ดันมาเร็วกว่าเวลาที่นัด พอดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือสีชมพูสลับขาวโชว์ไว้ ก็เหลือเวลาอีกเพียงห้านาทีก่อนที่จะถึงเวลานัด ฉันจึงตัดสินใจรอต่อไป
เดี๋ยวนี้เวลาฉันนั่งอยู่ที่ห้องอาหารตอนเช้าแล้วเจอนายชาเย็นฉันไม่ค่อยจะแกล้งแล้วล่ะ เหตุการณ์มันฝังใจ แต่เปลี่ยนไปนั่งคุยด้วย หรือไม่ก็แอบไปนั่งข้างๆ แล้วทำเนียนๆ แอบอ่านหนังสือปกอ่อนสีน้ำตาลเข้มที่ดูรวมๆ แล้วไม่น่าสนใจอะไรเลยของนายชาเย็น หนังสือที่นายนี่ชอบหยิบออกมาอ่านตอนว่างๆ ในช่วงนี้แทนการนั่งมองนอกหน้าต่าง แต่ก็ใช่ว่าจะทำอย่างนั้นได้
เพราะเวลาขยับไปนั่งคุยด้วย นายนั่นก็จะเงียบไปไม่พูดโต้ตอบเลยซักติ๊ด ปล่อยให้ฉันเหมือนผีเหมือนวิญญาณที่ไม่มีใครมองเห็น (นายชาเย็นมองไม่เห็นคนเดียว) และก็ไม่ได้ยินเสียงที่กำลังนั่งพูดกับคน (อย่างนาย) อยู่ และเวลาที่ฉันแอบเข้าไปนั่งอ่านหนังสือด้วยร่วมกับนายชาเย็น นายนั่นก็จะปิดหนังสือแล้วหันมามองฉันด้วยสายตาที่แสนจะเข้าใจได้ง่ายๆ ว่า นายกำลังขับไล่ฉันอยู่
แต่ถ้าฉันไม่ยอมไปแล้วละก็ นายชาเย็นก็จะเอาหนังสือเก็บใส่กระเป๋าเป้ แล้วทำอย่างอื่นแทน แต่พอฉันจากไปแล้ว เขาก็จะหยิบขึ้นมาอ่านต่อ ทำให้ฉันรู้สึกอยากแกล้งเขามากมาย แต่ก็กลัวจะเจออุบัติเหตุแบบที่ล้มในห้องเรียนอย่างในวันนั้นอีก =_=^^
“นี่เธอ มานานแล้วเหรอ”
ขณะที่ฉันกำลังก้มหน้าก้มตาแล้วคิดอะไรเพลินๆ เพื่อแก้เบื่ออยู่ ก็มีเสียงๆ หนึ่งดังข้นมาจากเบื้องหน้า ฉันจึงเงยหน้าขึ้นไปมองเพื่อดูว่าเป็นใคร
“นายจอมโวยวาย” ฉันพูดเสียงเนือยๆ
“ยัยเบ๊อะ”
จี๊ดดดดด~ นะ นายเรียกฉันว่าอะไรนะ ยัยเบ๊อะเหรอ อ๊าก นายบังอาจเกินไปแล้วนะ ทำไมนะ เวลาเซ็งๆ อย่างนี้ต้องมาเจอคนที่ชอบชวนทะเลาะอย่างนายด้วย อย่ามาทำให้ฉันเครียดนะ คนอย่างฉันตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะมานั่งเถียง ยืนพูดกวนกับนายหรอกนะ
“นี่นาย ฉันไม่ได้ชื่อยัยเบ๊อะนะ”
“งั้นเธอชื่ออะไรล่ะ ฉันจะได้เรียกให้มันถูกๆ”
“แล้วทำไมฉันต้องบอกนายด้วยล่ะ”
“ไม่งั้นฉันก็จะเรียกเธอว่า ‘ยัยเบ๊อะ’ ต่อก็ได้”
“อย่ามาเรียกฉันอย่างนี้นะ”
“555 แล้วเธอน่ะ มาถึงโรงเรียนนานแล้วเหรอ”
“เออ =O= แล้วนายล่ะ”
“ตาบอดรึไง ฉันถือกระเป๋าอยู่แบบนนี้ คิดว่าฉันมาถึงนานแล้วเหรอ”
ชิชะ! อีตาบ้านี่ คนเค้าตอบดีๆ ยังมากวนใส่ให้รู้สึกว่าอยากเอาอะไรซักอย่างที่มันอยู่เบื้องล่างมาประทับตราให้มันเป็นรอยอยู่บนหน้ามากกกกกก
“นาย... >[]<” ฉับขบฟันกรอดและพูดให้เสียงรอดออกมาตามไรฟัน
“555 แล้วเธอมายืนอะไรตรงนี้ รอใครอยู่เหรอ หรือเธอมายืนรอฉัน โอ้โห ฉันนี่เสน่ห์แรงเหมือนกันนะเนี่ย ^[]^”
“อี๊....ใครบอกมาล่ะว่าฉันมารอนาย ถึงห้องสมุดจะอยู่ใกล้ทางประตูโรงเรียน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าฉันจะมารอนายนะ”
“เหรอ แล้วเธอมารอใคร”
“ใครก็ได้ที่ไม่ใช่นาย”
“งั้นก็เชิญเธอรอไปคนเดียวละกัน”
“ฉันก็ไม่ได้ขอให้นายมารอเป็นเพื่อนฉันซักหน่อย จะไปไหนก็รีบไปเลยไป ไป๊”
“ไล่กันงี้เลยเหรอ.....ไปก็ได้ ถ้าไม่ติดว่าฉันมาสายกว่าเพื่อนในกลุ่มนะ ฉันจะรอเป็นเพื่อนเธอแน่นอน ยัยเบ๊อะ”
“อ๊ากกกก~ นี่นายจะรีบไปไหนก็รีบไปเลยนะ แล้วก็อย่ามาเรียกฉันอย่างงั้นด้วย”
“55555 ^O^”
ทำไมนะ เช้านี้ฝนตกก็แย่พออยู่แล้ว ยังต้องมาโมโหโทโสเพราะนายจอมโวยวายมากวนอวัยวะส่วนล่างสุดของฉันแต่เช้าอีก ฉันได้แต่โวยวายในใจไล่ตามหลังเขาไปจนรับตา
อย่าให้เจออีกนะ แม่จะจับถ่วงคลองแสนแสบจริงๆ แน่ ว่าแต่นี่มันก็เจ็ดโมงจะสามห้าอยู่แล้ว ทำไมยัยสองคนนั่นยังไม่มาอีก
เวลาผ่านไปเร็วจนฉันเองแทบตามไม่ทัน ยืนคุยกับนายจอมโวยวายได้ไม่เท่าไหร่ ไม่นึกว่าเวลาจะผ่านไปได้เร็วแบบนี้ แต่เวลาในตอนนี้ ฉันกำลังยืนชะเง้อเป็นยีราฟคอยาวเหยียดมองหาคนสองคนที่เป็นผู้ส่งจดหมาย ถ้าไม่มีผู้ส่งแล้วไปรษณีย์จะทำงานได้ยังไงล่ะเนี่ย แต่แล้ว.....
“นี่เธอ”
“อะไรอีกล่ะทีนี้ เมื่อกี้ก็คนนึงแล้ว” ยืนชะเง้อเป็นยีราฟอยู่ดีๆ ก็มีคนมาทักอีกและ แต่ครั้งนี้เป็นเสียงผู้หญิง แต่ฉันก็ต้องหันไปข้างหลังตามทิศทางเสียงเพื่อหันไปดูว่าใคร
“อ๊ะ เธอ” หันไปปุ๊ป ก็ไม่ได้นึกว่าจะเป็นใครที่ไหนเลย นั่นจึงทำให้ฉันตกใจ เพราะคนที่เรียกฉันไม่ใช่ผีสางที่ไหน แต่เป็นเพื่อนของยัยคนที่เป็นผู้ส่งจดหมายนั่นเอง ที่กำลังยืนกอดอกพร้อมกับเดินเข้ามาหาฉันด้วยหน้าบึ้งๆ บูดๆ และสายตาที่พร้อมจะจิกเลือดจิกเนื้อฉันด้วย น่ากลัว >~<
“อะไร นึกว่าฉันเป็นผีรึไง”
ก็ใช่น่ะสิ แหม นึกว่าเป็นผีขนุน น้อยหน่า พุทรา มังคุด ละมุด ลำไย มะเฟือง มะไฟ มะกรูด มะนาว มะพร้าว ส้มโอ ฟักแฟงแตงโม ไชโยโห่หิ้วววววว
“ปะ เปล่า แค่ตกใจน่ะ ไม่นึกว่าจะเป็นเธอ”
“เหรอ *~*”
“อืม”
“เธอนี่ก็กล้าเหมือนกันนะ”
“ห๊ะ กล้าอะไร”
“ก็เมื่อกี้ไง”
“เมื่อกี้ ฉันทำอะไร”
เป็นอะไรของเธอเนี่ย เจอกันปุ๊ปก็พูดอะไรให้ฉันมานั่งเกาหัวหาเหาอีกอยู่ได้ ไม่ get วุ้ย แต่ว่าแสดงว่าเธอก็ยืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วใช่มั้ย แล้วมาปล่อยให้ฉันยืนอารมณ์เสียกับนายจอมโวยวายตั้งนาน แล้วทำไมไม่ออกมา
“ก็ที่ยืนเถียงกับนายคนเมื่อกี้อะ”
“อ๋อ...แล้วทำไมถึงบอกว่าฉันกล้าล่ะ”
“นี่เธอไม่รู้อะไรเลยจริงๆ เหรอ”
“ใช่”
“นายคนเมื่อกี้อะนะ เข้าเป็นผู้ชายที่ป๊อปปูล่าที่สุดในโรงเรียนเลยรู้มั้ย”
“จริงอะ OoO”
คุยกันมาตั้งนานและหลายครั้งอยู่ ไม่เคยรู้เลยนะเนี่ยว่าคนขี้โวยวาย กวน teen เดี๋ยวนี้ผู้หญิงเขาชอบผู้ชายแบบนี้แล้วเหรอ
“ก็ใช่น่ะสิ ขนาดฉันยังไม่กล้าเข้าไปพูคุยแบบเธอเลย”
“ทำไมล่ะ”
“คนที่ป๊อปก็ต้องมีแฟนคลับเยอะใช่มั้ยล่ะ ฉันกลัวโดนน่ะสิ”
“เหรอ ไม่อยากเชื่อ”
“เออ เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ อ่ะ นี่ จดหมาย”
นอกเรื่องซะตั้งนานก็เพิ่งจะเข้าเรื่องอะนะ
“แล้วเพื่อนเธอล่ะ”
“ป่วย มาไม่ได้”
“.......” จดหมายนี่ถูกเขียนตั้งแต่เมื่อวานแล้วเหรอ
“ฉันก็เลยเขียนแทน โดยที่เอ้บอกมาทางมือถือ” รู้ด้วยว่าฉันคิดอะไรอยู่
“อ๋อ”
“จริงสิ เธอน่ะ”
“หือ”
“ระวังพวกแฟนคลับด้วยละกัน”
“เอ่อ ขอบใจ”
แฟนคลับเหรอ บางทีที่ฉันโดนตบตอนนั้น อาจจะเป็นพวกแฟนคลับของนายนั่นก็ได้นะ งั้นนายนั่นก็ชื่อเฟียซน่ะสิ แต่ในโรงเรียนนี้ไม่ได้มีคนชื่อเฟียซคนเดียวซะหน่อย คงต้องให้แนนช่วยแล้ว
หลังจากทำพิธีการหน้าเสาธงจบก็ขึ้นห้องเรียน แม้ว่าฝนจะยังคงตกมาเรื่อยๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความเงียบเกิดขึ้นได้เลย ยิ่งในห้องเรียนที่เต็มไปด้วยเหล่าประชากรนักเรียนที่ทำให้ห้องเรียนเต็มไปด้วยเสียงคุยที่ดังเซ็งแซ่ คุณครูรินที่ต้องมาสอนคาบโฮมรูมก็ยังไม่มา เลยทำให้เหล่านักเรียนทั้งหลายเพิ่มระดับสียงคุยไปได้ตามอำเภอใจ
“นายชาเย็น นี่ของนาย” ฉันหยิบยื่นจดหมายที่ยังคงรูปสีชมพูหวานแหววเหมือนวันที่ผ่านๆ มาให้กับนายชาเย็นที่เป็นผู้รับตามปกติ
ฉันไม่ได้นับเลยว่า ฉันรับจดหมายของเอ้ ที่เป็นเจ้าของจดหมาย แล้วมาส่งให้นายชาเย็นไปกี่ฉบับแล้ว แต่ฉันก็ทำหน้าที่นี้มาได้เกินครึ่งเดือนได้แล้วมั้ง
ครืนนนนน
ฉันลุกออกจากเก้าอี้ ปล่อยให้นายชาเย็นนั่งตอบจดหมายไปคนเดียว ฉันต้องให้แนน เพื่อนเลิฟของฉันช่วยอะไรบางอย่างซักหน่อยนึง
“แนน”
“เอ้า! เอม”
“เอม สวัสดี” เจน เพื่อนที่นั่งคู่กับแนนกล่าวทักทายทันทีที่ฉันเดินมาถึงโต๊ะเรียนของแนน
“สวัสดีจ๊ะ เจน...แนนมีอะไรให้ช่วยหน่อย”
“อะไร”
“คือว่า ฉันอยากรู้ว่า....”
“ว่า”
“ตอนนี้ ผู้ชายที่ป๊อปที่สุดในโรงเรียนเป็นใคร ชื่ออะไร”
“เอ๊ะ! เอมสนใจเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ” เด็กสาวข้างๆ แนนสวนขึ้นมาทันทีที่ฉันพูดจบ
“เปล่าเจน”
“แล้วเมื่อกี้อะไร”
“พอดีฉันมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ”
“แล้วมันเกี่ยวกับผู้ชายที่ป๊อปที่สุดด้วยใช่มั้ยล่ะ” คราวนี้ยัยแนนก็เป็นฝ่ายสวนขึ้นมาบ้าง ต่อไปคงจะเป็นฉันที่สวนขึ้นมา
“เออดิ”
“แกเลยจะให้ฉันไปสืบประวัติให้”
“ใช่” ยัยนี่รู้ใจจริงๆ เลย
“เจน เธอรู้มั้ยอะ”
“ไม่ ฉันไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้”
“นะ แนนนะ”
“ก็ได้ ก็ได้”
“โอ้ ขอบใจจ้า เพื่อนรัก” ความดีใจสุดขีดมันทำให้ฉันโผเข้ากอดแนน แม้มันจะออกโอเวอร์ไปหน่อย แต่มันก็ช่วยแก้ข้อสงสัยของฉันได้แล้วกัน ถ้านายจอมโวยวายคือ ‘เฟียซ’ แล้วเฟียซคือผู้ชายที่ป๊อปที่สุดละก็ ฉันไม่ปล่อยไว้แน่ถึงจะเป็นคนที่ป๊อปที่สุดก็เถอะ แต่ก็เป็นตัวการที่ทำให้ฉันโดนรุมตบ (แต่ถ้ายิ่งไปทำเขาก็ยิ่งโดนนะ)
แอ๊ดดดด
“เสียงดังกันจริงนะค่ะ นั่งที่กันได้แล้ว”
ประตูหน้าห้องถูกเปิดออกพร้อมเสียงหวานๆ ของคุณครูประจำชั้นที่บอกให้นักเรียนที่ลุกออกจากที่กลับเข้าไปนั่งที่ใครที่มัน ฉันจึงต้องลาแนนแล้วเดินกลับไปนั่งที่บนเก้าอี้ของตัวเอง พร้อมกับที่นายชาเย็นเลื่อนจดหมายสีชมพูหวานแหววจากโต๊ะของตัวเองมาที่โต๊ะของฉัน
“นักเรียนทำความเคารพ”
“สวัสดีค่ะ/ครับ”
สิ้นเสียงนายชาเย็นบอกทำความเคารพ นักเรียนทุกคนในห้องก็บอกสวัสดีคุณครูอย่าพร้อมเพรียงกัน (แต่มันก็ยังดังไม่เท่าเสียงคุยเมื่อตะกี้เลย) แล้วเงียบเพื่อรอให้คุณครูรินพูดบ้าง
“สวัสดีนักเรียนทุกคนค่ะ ต้นเดือนกันยาก็จะถึงงานกีฬาสีแล้ว บางคนก็คงจะมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบจากการลงสมัครเป็นสตาฟงานกีฬาสีที่เปิดรับสมัครไปเมื่อหลังสอบกลางภาคกันนะค่ะ” คุณครูรินร่ายยาวท่ามกลางความเงียบของนักเรียน โดยที่ไม่มีใครพูดขัดจังหวะเลยซักคน “รู้สึกว่า คุณครูที่เป็นหัวหน้างานจะแบ่งหน้าที่ให้แล้วใช่มั้ยค่ะงั้นชั่วโมงนี้ครูล่อยก็แล้วกัน ใครมีงานทำก็ทำกันนะค่ะ อย่าอ่านหนังสืออื่นนอกจากหนังสือเรียนนะค่ะ”
“ค่ะ/ครับ”
นักเรียนทุกคนตอบรับคำสั่งของครูรินเป็นอย่างดี แล้วเริ่มหยิบหนังสือเรียนขึ้นมา แต่ว่าที่เห็นหนังสือเรียนตั้งตระหง่านอยู่บนโต๊ะอย่างนั้น ที่จริงมันเป็นฉากหน้าที่ปิดบังหนังสือการ์ตูน นิตยสาร หนังสือไร้สาระทั้งนั้น แต่ก็มีบางคนที่อ่านหนังสือเตรียมบทเรียนจริงๆ และทำงานจริงๆ ไม่กี่คน
ส่วนฉันก็นั่งวาดรูปการ์ตูนเล่นไปพลางๆ ให้มันมีอะไรทำแทนกานั่งเบื่อ ฉันเองก็สมัครเป็นสตาฟงานกีฬาสีเหมือนกัน ฉันอยู่ฝ่ายอุปกรณ์ แต่ฝ่ายของฉันยังไม่ได้มีเรียกประชุมหรือสั่งงานอะไรมาเลย
ส่วนคนข้างๆ ฉันก็นั่งอ่านหนังสือเล่มเดิมที่เห็นอ่านอยู่เป็นประจำ ซักวันฉันจะแอบหยิบหนังสือเล่มนั้นเพื่อมาดูว่ามันเป็นหนังสืออะไร แต่จริงสินายชาเย็นเองก็เป็นสตาฟแล้วก็อยู่ฝ่ายงานฝ่ายเดียวกับฉันด้วยนี่
“อ่ะ นี่จดหมายของเพื่อนเธอ”
เพื่อนเจ้าของจดหมายสีชมพูหวานแหววหยิบจดหมายของเพื่อนที่ฝากบุรุษไปรษณีย์หญิงสาวแสนสวยคนนี้ส่งให้นายชาเย็น ก่อนที่จะเปิดมันอ่านแล้วตามด้วยรอยยิ้มที่เผยถึงความพึงพอใจกับสิ่งที่อยู่ในมือ
“นี่ ค่าจ้าง”
“โอ้ว ขอบใจจ้า $v$” ฉันยื่นมือไปหยิบธนบัตรใบละห้าสิบบาทจากมือของคนตรงข้าม จากนั้นจึงบอกล่าอย่างอารมณ์ดี แล้วเดินออกอไปจนพ้นเขตประตูโรงเรียนบานใหญ่สีขาวขุ่น แต่ก็ได้พบกับคนที่ไม่อยากจะเจออย่างนายจอมโวยวาย โดยเฉพาะตอนนี้ที่นายนั่นถูกผู้หญิงในโรงเรียนจำนวนมากรุมล้อมอยู่ด้วย ไม่เห็นจะหล่อตรงไหนเล้ย ชอบไปได้ไง
แต่ด้วยความที่ไม่อยากจะมีเรื่องเถียงก่อนกลับบ้านกับใครที่ไหน นั่นทำให้ฉันเดินผ่านฝูงชนกลุ่มนี้ไปโดยไม่สนใจ ประกอบกับไม่มีอะไรให้สนใจด้วย เพราะฉันไม่ใช่พวกเห่อคนหล่อนี่หน่า
“กรี๊ดดด รุ่นพี่ ขอถ่ายรูปหน่อยค่ะ”
“กรี๊ดดด ขอเบอร์หน่อยค่ะ”
“กรี๊ดดดดดดด”
ขณะที่ฉันเดินผ่านก็แทบหูแตกน้ำหูทะลักออกมาจากรูหู เพราะเสียงกรี๊ดของบรรดาสาวๆ ทั้งรุ่นน้อง รุ่นพี่และวัยเดียวกันที่ช่วยกันประสานเสียงจนพื้นดินแทบแยก โรงเรียนแทบถล่ม นายนั่นทนเสียงที่แสนจะแสบแก้วหูไปได้ยังไงกัน รีบไปดีกว่าไม่งั้นหูแตกแน่ >~<
จะว่าไปเรียนมาทั้งวันก็หิวเหมือนกัน หาซื้อขนมกินแล้วไปนั่งกินที่สวนสาธารณะใกล้ๆ โรงเรียนดีกว่า
ฉันเดินไปที่รถเข็นขายเครปญี่ปุ่นที่จอดขายข้างทางเดิน แล้วสั่งเครปมากิน จากนั้นก็เดินไปนั่งกินเครปที่เก้าอี้สาธารณะสีเขียว ในสวนสาธารณะใกล้ๆ โรงเรียน
หมับ
ใคร ใครมาบังอาจจับไหล่ฉัน
“ไง ยัยเบ๊อะ”
ใคร ใครมาบังอาจกล้าเรียนชื่อนี้ หรือว่า.......
“นายจอมโวยวาย”
อะไรกัน เมื่อกี้ยังเห็นสาวๆ รุมล้อมอยู่เลย ทำไมตอนนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ฉันนั่งกัดกินเครปแสนอร่อยอยู่ ยังกินไม่ทันจะเสร็จนายก็จะเข้ามาก่อกวนฉันอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย คอยดูนะคราวนี้ฉันจะเถียงไม่ให้แพ้นายแน่ นายจอมโวยวาย
“อย่ามาเรียกชื่อนี้ได้มะ”
“นายก็อย่ามาเรียกฉันว่ายัยเบ๊อะสิ”
“ก็ฉันไม่รู้ชื่อเธอนี่ ยัยเบ๊อะ”
“ก็ฉันไม่อยากให้นายรู้นี่”
“ถ้างั้นฉันก็จะเรียกเธอว่า ‘ยัยเบ๊อะ’ ต่อไป”
“ฉันก็จะเรียกนายว่า ‘นาจอมโวยวาย’ ต่อไป”
“อย่ามาเรียกฉันด้วยชื่อแย่ๆ อย่างนั้นนะ”
“ก็นายเรียกฉันก่อนหนิ”
“แล้วไงเล่า ว่าแต่เธอมาทำอะไรที่นี่”
“ตามีก็มองเอาเองสิ”
นายนี่มีตาไว้เป็นเครื่องประดับรึไง มีตาหามีแววไม่
“ตาของฉันมันมองเห็นว่าเธอกำลังกินเครปอยู่”
“แล้วเห็นว่าฉันกินปาท่องโก๋อยู่รึไง”
“เธอนี่มัน”
“อย่ามาวนเวียนแถวนี้น่า ฉันจะรีบกินแล้วรีบกลับบ้าน”
ไปซักทีสินายจอมโวยวาย ให้ฉันได้รับประทานเครปแสนอร่อยอย่างสงบหน่อยได้ไหม เครปฉันเปื่อยหมดแล้วเนี่ย
“ขอฉันกินมั่งสิ” นายจอมโวยวายไมพูดเปล่า ยังเอามือเอื้อมจู่โจมเข้ามาจากด้านหลังหมายที่จะหยิบแย่งเครปแสนอร่อยไปจากมือของฉัน แต่นั่นทำให้มือของหมอนั่นเผลอปัดเครปออกไปจากมือของฉัน ทำให้เครปหล่นล่วงตกลงไปสู่พื้นดิน ฉันนั่งมองเครปอย่างเสียดายอยู่บนเก้าอี้สาธารณะสีเขียว แต่ก็ไม่ได้โมโหหรือโกรธอะไรนายจอมโวยวาย
เครปที่แสนอร่อยของฉัน ยังกินไม่ทันจะหมดก็จากฉันไปซะแล้วเหรอเนี่ย ไปสู่สุขตินะ (เครปนะไม่ใช่ผี)
“ขะ ขอโทษนะ ยัยเบ๊อะ”
“ไม่เป็นไร” ฉันพูดไม่ได้หันไปมองคนที่ทำหน้าตื่นอยู่ข้างหลัง
“ฉันซื้อใช้ให้นะ เธอจะกินไส้อะไรล่ะ”
“ไม่เป็นไรไง ฉันไม่ได้โกรธอะไรนายซักหน่อย”
“แต่.....”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันจะกลับบ้านแล้ว” ฉันเก็บเครปที่อยู่บนพื้นดิน แล้วหยิบกระเป๋าเตรียมตัวเดินออกไปจากที่นี่ เพื่อจะกลับบ้าน แต่นายนั่นก็เดินมาขวางเอาไว้
“อะไรอีกเนี่ย”
“ให้ฉันไปส่งนะ”
“ไม่เอา ฉันมีเงิน กลับบ้านเองได้”
“ไม่ต้องหรอก ฉันมีรถมารับ”
“บอกว่าไม่เอาไง”
“ไปเถอะน่า”
“นี่นาย ฉันบอกว่าไม่เอาก็ไม่เอาสิ” อะไรของนายนี่ ฉันชักจะโมโหขึ้นมาแล้วนะ
“เอาเถอะน่า รถของฉันมาถึงแล้ว รีบไปเถอะ”
มือหนาๆ ของผู้ชายตรงหน้าเอื้อมมาจับแขนอันบอบบางของฉัน ดึงให้ฉันวิ่งตามเขาออกไปจากสวนสาธารณะ แล้ววิ่งไปตามทางเดียวกับที่เขาวิ่งไป ทำให้ผู้คนแถวนั้นจ้องมองมาที่เราสองคน ผู้หญิงหลายๆ คนที่ใส่ชุดนักเรียนโรงเรียนเดียวกับฉันต่างก็มองฉันด้วยสายตาที่อยากจะจกเนื้อกินเลือดฉันได้ทุกเวลา พรุ่งนี้ฉันคงต้องซวยแน่ๆ ฟันธงขาดเลย >O<
เราสองคนวิ่งมาจนในที่สุดคนที่วิ่งนำก็เริ่มชะลอจนเปลี่ยนมาเป็นเดิน เขายังคงจับแขนฉันแล้วเดินนำฉันเข้าไปหารถยนต์แบบสี่ที่นั่งสีดำวาวที่จดอยู่ริมถนนในบริเวณที่ห่างจากโรงเรียนพอสมควร นายจอมโวยวายเปิดประตูด้านหลังก่อนจะปล่อยมือจากแขนฉันแล้วผายมือข้างนั้นไปข้างในรถ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ‘เชิญครับ’ แต่เมื่อเขาเห็นว่าฉันมีท่าทีจะไม่เข้าไปในรถตามที่เขาต้องการ (แต่ฉันไม่ต้องการ) เขาจึงจับแขนฉัน แล้วพยายามดันให้ฉันเข้าไปในรถได้ แล้วเขาก็รีบเข้าไปในรถหลังจากที่ฉันเข้าไปแล้ว
“วันนี้พาเพื่อนฉันไปส่งที่บ้านเขาที เขาพูดบอกคนขับรถที่กำลังขับรถออกไปหลังจากที่ (ดูแล้ว) น่าจะจอดมานานแล้ว
“ครับคุณหนู”
“บ้านนายนี่ท่าจะรวยมากเลยนะ” ฉันพูดกับผู้ชายคนข้างๆ หลังจากที่สำรวจคำพูดของคนขับรถแล้ว
“ของมันแน่อยู่แล้ว”
ช่วยถ่อมตัวหน่อยก็ได้นะ ไม่ค่อยเลยนายนี่
“แล้วบ้านเธออยู่ไหน ฉันจะได้ให้คนขับรถพาไปส่งถูก”
เล่นจับยัดฉันเข้ามาในรถได้แล้ว ถ้าขืนไม่บอกว่าบ้านตัวเองอยู่ไหน นายคงจะพาฉันไปอยู่บ้านนายเลยใช่มั้ย งั้นฉันก็ควรที่จะบอกสินะ
“เดี๋ยวฉันบอกทางเองได้”
“งั้นตามใจ” พูดจบนายนั่นก็นั่งพิงเบาะรถดูฉันที่ต้องนั่งบอกทางไปบ้านตัวเองให้กับคนขับรถของเขา
กุ๊งกิ๊ง กุ๊งกิ๊ง
เสียงกระดิ่งที่ติดอยู่กับปลอกคอสุนัขสีน้ำตาลของเข้าคุกกี้ดังขึ้นพร้อมกับที่ฉันเปิดประตูห้องน้ำที่อยู่ในห้องนอน
“เอ้าคุกกี้ มาได้ไงเนี่ย” ฉันอุ้มสุนัขพันธุ์ชิสุผสมพุดเดิ้ลขนสีน้ำตาลขึ้นมาจากพื้นอย่างทนุถนอม แล้วเดินลงบันไดไปที่ห้องครัวเห็นแม่กำลังทำอาหารอยู่ ฉันจึงวางเจ้าคุกกี้ลง แล้วเดินไปล้างมือ จากนั้นจึงหยิบจานกับข้าวที่แม่ทำเสร็จแล้วเอาไปวางไว้ที่โต๊ะอาหาร ซักพักแม่ก็ถือจากข้าวสองจานออกมาจากห้องครัวแล้วมาวางไว้ที่โต๊ะกินข้าว
เราสองแม่ลูกนั่งกินข้าวพร้อมดูทีวี เพราะพ่อไปทำงานที่ต่างประเทศ สัปดาห์หน้าถึงกลับจึงทำให้บ้านหลังนี้มีเพียงคนสองคนกับอีกหนึ่งตัว
“ผู้ชายที่มาส่งลูกที่บ้านเมื่อตอนเย็นเป็นใคร” จู่ๆ แม่ก็พูดเปิดประเด็นเรื่องเมื่อตอนเย็น ส่วนที่รู้ว่าเป็นผู้ชายเพราะตอนที่ฉันลงจากรถของนายจอมโวยวาย ฉันดันลืมกระเป๋าถือไว้ในรถยังดีที่ฉันยังไม่เข้าบ้าน นายนั่นเลยเปิดกระจกแล้วยื่นกระเป๋าถือมาให้
“เพื่อน” ฉันตอบสั้นๆ ง่ายๆ แต่ได้ใจความ
“เหรอ นึกว่าแฟนซะอีก เฮ้อ! ลูกฉันขายไม่ออกเหรอเนี่ย น่าเสียดายหล่อซะด้วย”
“อึก! แค่ก! แค่ก! แค่ก!”
แม่ที่ตอนแรกวางมาดเข้มขรึมก็กลับมาเล่นตลกซะงั้น แถมยังมาชมนายนั่นด้วย ทำให้ฉันที่พอได้ยินถึงกับกลืนข้าวที่อยู่ในปากลงไปทั้งคำ (ยังเคี้ยวไม่หมดเลย T-T) อย่าพูดคำนี้อีกนะแม่
“เป็นอะไร”
“ปะ เปล่าค่ะ -_-^^”
“........”
“แม่ต้องห่วงหรอก หนุยังมีเวลาหาแฟนอีกหลายปี”
“หาให้หล่อแบบเพื่อนลูกคนนี้นะ”
“อึก! แค่ก! แค่ก! แค่ก!” มาอีกแล้ว ฉันว่าถ้าแม่พูดคำนี้อีกแม้แต่คำเดียว ฉันคงตายเพราะข้าวติดคอ แน่เลย
“เป็นอะไรน่ะ”
“เปล่าค่ะ”
“เฮ้ออออออ! O-“ ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ยาวเป็นครั้งที่ยี่สิบกว่าในรอบวัน หลังจาที่ฉันเพิ่งโดนแกล้งชนให้ล้มลงในห้องน้ำหญิงข้างๆ ห้องอาหารทำให้เสื้อผ้าฉันต้องเปียกไปโดยปริยาย
ที่จริงฉันเตรียมใจไว้ตั้งแต่มาถึงโรงเรียนแล้วว่าการที่หนุ่มป๊อปอย่างนายจอมโวยวายนั่นจูงแขนฉันวิ่งและพาขึ้นรถไปส่งให้ถึงบ้าน ก็ต้องมีหลายคนอิจฉาและตามมาด้วยการกลั่นแกล้งอย่างแน่นอน ฉันที่โดนแกล้งมาตั้งแต่เช้าตั้งแต่ย่างก้าวเข้าโรงเรียนก็โดนขัดขาให้ล้ม จนล่าสุดโดนชนล้มในห้องน้ำหลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จ ก็เลยเซ็งไป
แต่ก็ทำให้แค่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ตัวเองแล้วถอนหายใจเท่านั้นแถมยังได้แผลกลับมาอีก แต่ส่วนมากกก็เป็นแค่แผลถลอกเท่านั้น หลังจากนั่งพักไปได้ซักพักฉันก็ลุกออกจากที่ แล้วเดินไปที่โต๊ะแนนเพราะคิดอะไรได้ออก
“แนน ที่ให้ช่วยเป็นไงมั่ง” ฉันถามเปิดประเด็น แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นการเตือนความจำซะมากกว่า
“อ๋อ! เรื่องนั้นน่ะเหรอ”
“แล้วยังมีเรื่องอื่นอีกเหรอ”
“ฉันลองถามใครหลายคนแล้ว เค้าบอกกันว่า”
“ว่าอะไร”
“หนุ่มที่ป๊อปที่สุดตอนนี้ชื่อ เฟียซ อยู่ชั้นม.5/7 สายศิลป์-ญี่ปุ่น”
“หา! ก็อยู่ห้องข้างๆ เราน่ะสิ”
“ใช่ สายเดียวกับเราด้วย” ยัยแนนทำท่าเคลิ้มปลาบปลื้ม
“ฉันตายเร็วแน่ O-“ แต่ฉันทำท่าเคร่งเครียด
นี่มันไม่ใช่เรื่องจริงใช่มั้ย งั้นก็แสดงว่าที่ฉันโดนพวกนั้นตบเอาตอนนั้นก็เพราะฉันไปยืนเถียงต่อว่านายจอมโวยวายหรือนายเฟียซที่พวกนั้นพูดถึงสินะ ที่แท้ฉันก็รู้จักกับนายเฟียซมาตลอด แต่แค่ไม่รู้จักชื่อเท่านั้นเอง แล้วที่นายนั่นจูงมือฉันแล้วคนอื่นเห็นกันทั่งแบบนั้นเมื่อวาน วันนี้ฉันคงไม่รอดแน่ ทำใจ T^T
“เอม มีคนอยากพบ” มีน เพื่อนร่วมห้องของฉันตะโกนจากหน้าห้องเพื่อบอกฉันแค่นี้ หวังว่าไม่ใช่ยัยพวกนั้นนะ
ฉันเดินอย่างหวาดหวั่นออกจากห้อง แล้วก็พบเด็กสาวสามคนยืนรอฉันอยู่ข้างนอก แต่พวกเธอไม่ใช่คนพวกนั้นในวันนั้น
เด็กสาวสองคนในกลุ่มจับแขนฉันคนละข้าง
“มีคนอยากพบเธอ” เด็กสาวทั้งสองดึงฉันให้ไปกับพวกเธอ
พวกเธอพาฉันไปที่ห้องน้ำแห่งเดียวที่อยู่ในซอยลึก ที่นั่นมีเด็กสาวซึ่งรออยู่ห้าคน จากที่ฉันดูแล้วมีทั้งรุ่นพี่ รุ่นน้อง และรุ่นเดียวกัน แต่ที่ไม่คาดคิดว่าจะเจอก็คือยัยสาวสวยที่เป็นตัวนำที่สั่งให้คนอื่นตบฉันเมื่อรั้งก่อน ข้างเธอมีเด็กสาวที่สวยกว่า เธอสวยมากยืนเคียงคู่กัน ทุกคนกำลังมองมาที่ฉันอย่างน่ากลัว
เด็กสาวสองคนยังคงไม่ปล่อยแขนฉัน แต่กลับยิ่งจับแขนฉันให้แน่นขึ้นอีก คงกลัวว่าฉันจะหลุดไปได้
ตึก ตึก
ยัยสาวสวยตัวนำครั้งที่แล้ว (แล้วก็คงจะนำครั้งนี้ด้วย) เดินมาหาฉัน จ้องมาที่ฉันอย่างเอาเรื่อง
เพี๊ยะ!
“ฉันบอกเธอแล้วใช่มั้ย ว่าอย่าไปยุ่งกับเฟียซอีก”
“ฉันจำได้ว่าเธอไม่ได้พูด”
อ้าว! ปากเรอะ ทำงานร่วมกันแต่ทำไมไม่ปรึกษากันก่อนล่ะ พ่อจ๋า แม่จ๋า ช่วยลูกด้วย ฮือออออ TTOTT
“เหรอ แต่เพื่อนฉันบอก เธอก็ควรจะทำตามสิ”
“ก็ฉันบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่รู้จัก”
“งั้นเหรอ แต่ฉันเห็นเธอดูเหมือนจะสนิทกับเค้าด้วยนะ”
“ก็ได้ ฉันรู้จักเค้า”
“เห็นไหม ครั้งที่แล้วเธอโกหก”
เพี๊ยะ!
เธอจะตบฉันทำไม ฟังที่ฉันพูดก่อนสิ
“นี่คือสิ่งตอบแทนที่เธอโกหก”
“ฟังก่อนสิ”
“ฟังอะไร”
“ฉันรู้จักเขาก็จริง แต่ฉันไม่รู้จักชื่อของเขา”
“อย่ามาหน้าด้านโกหกหน่อยเลย”
“ฉันพูดจริงนะ”
ทำไมยัยพวกนี้ถึงได้เชื่อคำพูดของฉันยากเย็นอย่างนี้นะ อย่าให้หลุดไปได้นะ จะเอาคืนทั้งของเก่าและของใหม่แน่
“งั้นเหรอ ถามหน่อยมีคนที่รู้จักกันจนดูเหมือนสนิทกันที่ไหนบ้าง ที่จะไม่รู้จักชื่อของอีกฝ่ายน่ะ”
“ใช่ เธอน่ะมันจอมโกหก”
“คิดจะฮุบเฟียซไว้คนเดียวล่ะสิ”
“หัดเจียมตัวซะมั่งสิ”
ยัยชะนีหลายตัวที่อยู่รอบๆ เริ่มพูจาต่อว่าฉันต่างๆ นานาน
“เธอน่ะ จำใส่กะลาหัวไว้เลยนะ ว่าคนที่คู่ควรกับเฟียซคือ โรส สาวที่ป๊อปที่สุดเท่านั้น” ยัยชะนีสาวสวยคนตรงหน้าเอานิ้วจิ้มหัวแล้วผลักหัวฉัน ก่อนที่จะหันไปหาหญิงสาวสวยที่ยืนอยู่ข้างหลัง ฉันเดาว่า นั่นคือโรสที่เธอพูดถึง
“โอเค ฉันจะไม่ไปยุ่งกับเฟียซของพวกเธออีกก็ได้” ฉันอุตส่าห์ยอมพูดออกมาแล้ว หวังว่าเรื่องคงจะจบซักทีนะ
“ดี ยอมพูดจนได้นะ แต่” สาวสวยที่คาดว่าชื่อโรส พูดออกมาอย่างพอใจ แต่ก็ชะงักกับคำว่าแต่
“ฉันขอเอาคืนหน่อยเถอะ ที่เธอบังอาจมาย่างเท้าขึ้นไปบนรถของเฟียซ”
เพี๊ยะ!
เธอเดินเข้ามาและง้างมือขึ้นตบที่ใบหน้าสวยๆ ของฉันจนเป็นรอยมือแดงที่ประทับอยู่บนแก้ม เจ็บอะ
“หาจริงเหรอ”
“บังอาจเกินไปแล้ว”
“กรี๊ด ฉันอยากขึ้นมั่ง”
“วันนี้เธอตายแน่”
แล้วเหล่าชะนีก็ร้องผัวๆ ต่อว่าคาดโทษฉันเป็นชุดใหญ่ คงไม่มีใหญ่กว่านี้อีกนะ
“ฉันคงต้องสั่งสอนเธอซักหน่อยแล้วมั้ง”
แล้วที่พวกเธอทำอยู่มันยังไม่เรียกว่าสั่งสอนอีกหรือไง
ยัยชะนีที่คาดว่าชื่อโรส ดึงคอเสื้อของฉันแล้วเดินนำไป ฉันและยัยชะนีอีกสองตัวที่ล็อกแขนฉันก็เดินตามต้อยๆ จนมาหยุดอยู่ในห้องน้ำห้องหนึ่ง
“พวกเธอจะทำอะไรฉัน”
“เดี๋ยวก็รู้ จับมันมาคุกเข่าตรงนี้” ยัยชะนีหน้าสวยชี้นิ้วสั่งให้ยัยชะนีสองตัวที่ทำหน้าที่กันฉันไม่ให้หลุดไปตบพวกเธอพาฉันไปนั่งคุกเข่าหน้าอ่างน้ำเล็กๆ ที่รองน้ำทำอะไรไม่รู้ ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกแล้วล่ะว่าพวกเธอจะทำอะไร
“โรสเธอจะทำอะไร” เพื่อนของยัยชะนีหน้าสวยกระดึ๋บเข้ามาถามเพื่อนของตัวเอง
“จะทำอะไรเล่า ก็แค่....”
“อุ๊บ! บุ๊ง บุ๊ง บุ๊ง อา...”
ทุกคนคงสงสัยว่ายัยนี่ทำอะไร แค่ยัยชะนีโรสเกิดบ้าอะไรขึ้นมาซักอย่างแล้วมาลงที่ฉันโดยการจิกกผม T-T กดหัวลงน้ำ TOT แล้วถึงขึ้นมา Y-Y เจ็บค่ะ
“เป็นไงล่ะ แต่ยังไม่มากพอหรอก” พูดเสร็จแล้วก็กระทำทรมาณกรรมกับฉันแบบเดิม
ยัยชะนีโรสจับผมของฉันกดลงดึงขึ้นอยู่หลายครั้ง พอฉันขึ้นห้องครูคงคิดว่าฉันเกิดบ้าอยากสระผมแน่
“นี่พวกเธอ หยุดนะ” เสียงทุ้มๆ ดังขึ้นมาขัดจังหวะที่ยัยชะนีโรสกำลังจะจิกหัวฉันกดจุ่มน้ำเป็นรอบที่เจ็ดสิบเจ็ด (ไม่ถึงหรอก)
ส่วนตัวฉันเองกำลังมองเจ้าของเสียงทุ้มๆ อย่างเหนื่อยๆ อิ่มๆ (สงสัยกินน้ำเข้าไปเยอะ YTTY)
“นาย” ยัยชะนีโรสพูดอย่างตกใจกับนานชาเย็นที่เข้ามาเห็นตัวเองกำลังทำร้ายผู้หญิงที่แสนบอบบางคนนี้อย่างใจร้ายใจดำอำมหิต
“นายอีกแล้วเหรอ อย่ามายุ่งนะ” เพื่อนของยัยชะนีโรสพูดเสียงดุกับผู้ชายทีเข้ามาห้ามเหตุการณ์ไว้ทัน
แต่นายชาเย็นไม่สนใจกับคำพูดนั้นแล้วเดินผลักผู้หญิงคนอื่นที่คอบขวางทางเดินไว้ออกไปให้พ้นทาง ก่อนจะพยุงตัวของฉันขึ้นและส่งสายตาดุๆ ไปที่คนที่คอยจะดึงให้ฉันไปทนทุกข์ต่อ แล้วค่อยพยุงตัวฉันเดินออกไปถึงห้องเรียน
ยังดีที่คุณครูยังไม่มาสอน แนนเองก็ช่วยพยุงฉันแทนนายชาเย็นตั้งแต่หน้าห้องเรียนจนถึงที่โต๊ะเรียน เพราะรู้เรื่องที่ฉันโดนตบมาคราวก่อนก็เลยไปยืนเป็นยีราฟคอยาวรออาหารอยูที่หน้าห้องเรียน
ยัยชะนีคนนั้นเล่นจับฉันกดน้ำซะจนอิ่มแปล้ แล้วแรงหทดเลย แทบจะเดินไม่ได้ แต่ฉันก็เลือกลากขา (เพื่อให้ดูว่ายังไหว) ดีกว่า หมดแรงโดนนายชาเย็นอุ้มหรือจับขี่หลัง แต่ฉันว่าเค้าคงไม่เลือกทำแน่ -_-“
“ขอบใจนายมากนะนายชาเย็น ^-^” ฉันพูดทันทีที่นายชาเย็นนั่ง
“ฉันแค่เห็นว่ามันไม่ถูกก็เท่านั้นเอง”
นายช่วยทำหน้าเหมือนได้ช่วยคนเกือบตายหน่อยสิ ไม่ใช่หน้าตายอย่างทุกที นายนี่ยิ้มเป็นรึเปล่าเนี่ย
แต่ว่าฉันไม่น่านอนเล้ย โต๊ะเปียกหมดแล้ว
ความคิดเห็น