ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยัยแสบซ่าขอป่วนหัวใจนายชาเย็น

    ลำดับตอนที่ #4 : คาบ4>>>>ซวยรอบสอง

    • อัปเดตล่าสุด 6 มี.ค. 53


    คาบ4

    ซวยรอบสอง

                    จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ

    เอก อี้ เอ้ก เอ้ก

    จากราตรีที่ปกคลุมด้วยความมืด มีเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องไปทั่วท้องฟ้าเท่านั้น ได้กลับผลัดเปลี่ยนจากความมืดมิด เป็นยามกลางวันที่มีแสงเรืองรองของตะวันที่ลุกโชนตลอดเวลา ความสว่างได้ไล่ความมืดออกจากท้องฟ้า จนตอนนี้ความสว่างจากดวงตะวันได้ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ทำให้สีฟ้าของท้องฟ้ากระจ่างไปทั่วครึ่งโลกแทนสีดำมืดที่โดนไล่ไปอยู่อีกครึ่งโลก

    แต่บรรยากาศของท้องฟ้าในยามเช้ายังคงแสดงความสวยออกมาได้ไม่เต็มที่นัก ถ้าขาดเสียงเพลงที่บรรเลงโดยหมู่สัตว์ปีก ผู้เป็นนักร้องในยามเช้าของทุกวัน ผู้ทำให้เกิดเสียงอันไพเราะในยามเช้า และบางครั้งก็เป็นนาฬิกาปลุกให้กับใครหลายคนเหมือนกัน นาฬิกาปลุกเสียงธรรมชาติ

    จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ

    เอก อี้ เอ้ก เอ้กกกก

    อะ.......อืม......งืม

    เสียงของเหล่านกน้อยๆ ที่กำลังขับประสานทำนองจนเกิดเป็นเนื้อร้องที่ไพเราะแสนจับใจ และในขณะเดียวกันก็ได้ปลุกให้ใครบางคนตื่นจากห้วงนิทราของการหลับใหล แล้วมาเผชิญกับโลกแห่งความจริงในตอนนี้

    งืม งัม อืมมม...ฮ้าวววววว

    มือเรียวยางได้รูปได้ทำการใช้งานโดยการยกขึ้นมาปิดปากที่กำลังอ้าจนเท่ากะละมังซักผ้า เพื่อไม่ให้เหล่าแมลงวันบินเข้ามาสร้างบ้านในปากของฉันจนสร้างได้หลายหลังไปแล้ว

    อืมมม...กี่โมงแล้วเนี่ย O_-” ฉันหันหน้าไปมองนาฬิกาเรือนน้อยสีชมพู รูปหัวหมูที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นจมูกหมู ที่ตั้งอยู่บนหัวเตียงนอนที่เป็นเตียงเดี่ยว มีผ้าปูที่นอนลายวงกลมหลากสี พื้นหลังสีฟ้า ดูแล้วน่านอนทีเดียว -O-

    อืม....หกโมงห้าสิบ อืมมมม -_-” นอนต่อ คร่อกกกกก

    -_- ZZZ

    หือ! O-O”

    ตึงตัง ตึงตัง

    โอ๊ย! โอ๊ย! อะไรกันเนี่ย นี่ จะวิ่งทำไม บ้านก็มีอยู่แค่นี้

    อะไรกันเล่าแม่ ก็หนูตื่นสายหนิ จะให้ใจเย็นอยู่ได้ไงไงล่ะ ฉันตะโกนลงไปข้างล่าง เมื่อแม่สุดเลิฟของฉันเริ่มเดปากบ่นที่ฉันวิ่งไปวิ่งมาอยู่ชั้นบนของบ้าน อันเนื่องมาจากการที่ฉันตื่นสาย (อีกแล้ว) T+T

     แล้วทำไมถึงตื่นสานล่ะห๊ะ

    ไม่รู้นาฬิกาเสียมั้ง

    ตึก ตึก ตึก ตึก

    ฝีเท้าของสาวน้อยผมดำอมน้ำตาลซอยนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่กำลังวิ่งลงบันไดไม้ด้วยความรีบร้อน หลังอาบน้ำ แต่งตัวเสร็จ

    นี่! อย่าวิ่งได้ไหม บ้านจะพังหมดแล้ว >o<”

    แม่ยังคงบ่นไม่เลิกไม่ลา เซ็ง –O-

    นี่แม่ นาฬิกามันไม่มีเสียงปลุกอ่ะ

    เดี๋ยวแม่เอาไปซ่อมให้

    อืม....แม่หนูไปก่อนนะ

    เออ เร็วด้วย นี่มันเจ็ดโมงครึ่งแล้ว

    หา O0O จริงอะ งั้นหนูไปก่อนนะแม่ สวัสดีค่ะ

    เออ -_-“

    ฉันรีบคว้ากระเป๋าและ นม  ขนมปัง เพื่อที่จะไปกินที่ไหนก็ได้ที่กินได้ซักแห่ง แล้วสาวเท้าออกไปนอกบ้าน ตรงไปยังจุดที่วินมอเตอร์ไซด์รวมอยู่กันเยอะเป็นจุดหมายปลายทาง

    แต่.........

    แฮกๆๆ ! อ...อะ....อะไรกันเนี่ยยยย....หายไปไหน....กันหมด O[]O”

    ที่จุดวินมอเตอร์ไซด์รวมตัว ซึ่งปกติต้องมีพี่วินๆ ทั้งหลายจอดรถมอเตอร์ไซด์ของตัวเองออกันอยู่ที่นี่ แต่ ณ บัดนาว มันได้หายไปไหนหมด เหลือเพียงฝุ่นผงและแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในจุดนั้น ณ ตอนนี้

    ในเมื่อรถเร่งด่วน (รถมอเตอร์ไซด์) ที่ใช้ในยามฉุกเฉิน (ตอนตื่นสาย) หายไปหมดแบบนี้ แล้วฉันจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย ถ้าขึ้นรถแท็กซี่ก็เปลืองตังค์ ตัดสินใจและ ขึ้นรถเมล์นี่แหละ

    เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉันก็รีบสาวตรงไปยังป้ายรถเมล์ที่ใกล้ที่สุด เหมือนฟ้าจะเป็นใจ เมื่อฉันไปถึงป้ายรถเมล์ก็มีรถเมล์สายที่ผ่านโรงเรียนวิ่งเข้ามาจอดอย่างพอดิบพอดีเหมือนมีมือมาจับวาง เลยทำให้ฉันวิ่งจรู๊ดดดด ขึ้นรถด้วยความดีอกดีใจสุดชีวิต

    รถประจำทางหรือที่ใครต่อใครเรียกว่า รถเมล์ ทำการออกตัวเดินทางต่อ และหยุดพักอีกครั้งที่ป้ายรถเมล์ป้ายต่อไป ต่อไป และต่อไป และก็ต่อๆไปอีกหลายป้าย นั่นทำให้เวลาที่เหลือก่อนนักเรียนทั้งโรงเรียนจะเข้าแถวของฉันเสียไปโดยใช่เหตุ แล้วจะทันไหมเนี่ย 7.40 แล้วนะ

    เสียงร้องโอดครวญที่มันดังก้องภายในสมองอันพอดิบพอดีกับหัวของฉัน (รู้ขนาดสมองด้วยเรอะ) ได้ทำหน้าที่ของมันไปพร้อมกับปากที่ตอนนี้กำลังเคี้ยวชิ้นขนมปังหลายๆ ชิ้น จนขนมปังทั้งก้อนหมด ตามด้วยการดูดนมกล่องขนาดกลางหนึ่งกล่อง และทำหน้าที่ไปพร้อมกับก้นของฉัน แต่ส่วนนี้ทำหน้าที่เพียงนั่งเท่านั้น โดยที่เบาะแข็งๆ เป็นที่รองรับอวัยวะส่วนนี้

    เอี๊ยดดดดดดดดด....

    โครงเหล็กลักษณะเป็นวงกลมอันใหญ่ หุ้มด้วยยางสีดำสนิทเคลื่อนไปข้างหน้าเล็กน้อย ก่อนที่จะหยุดอยู่กับที่เพราะไฟวงกลมสีแดงเป็นตัวบอกว่า หยุด

    รถเมล์สีขาวคันใหญ่ที่ตอนนี้ฉันสิงสถิตอยู่จอดแน่นิ่งสนิทอยู่หลังรถยนต์คันเล็กสีดำวาวที่จอดนิ่งอยู่เหมือนกัน รถหลายคันจอดสนิทอยู่ตรงสี่แยกขนาดใหญ่ที่ใครต่างขนานามว่า สี่แยกจอดสนิทอันเนื่องมาจากการที่ตำรวจผู้ลิขิตไฟจราจรสามสีที่อยู่ตรงสี่แยก กะ กำหนดเวลาไม่เป็น ชอบกำหนดเวลาตามใจตัวเอง ไม่นึกถึงผู้อื่น (ว่าเยอะและ) เลยทำให้แยกแต่ละแยกมีไฟแดงที่ปล่อยแสงนานถึงห้านาที รถแต่ละคันจอดนิ่งสนิทเป็นเวลาห้านาที แต่ถ้าคันหลังๆ จะได้รับสิทธิพิเศษจอดรถชมวิวดมควันนานเป็นสิบนาทีหรือไม่ก็มากกว่านั้น ส่วนเหลืองสามวินาที สั้นๆ ไปเขียวที่แปลว่า ไปถ้าไฟแดงห้านาที ไฟเขียวก็ต้อง.................สองนาที นั่นแปลว่า มีแต่รถที่โชคดีเท่านั้นถึงจะผ่านจุดนั้นได้ ภายในสองนาที ส่วนที่โชคร้ายก็รอต่อไป

    ต๊อก ติ๊ก ต๊อก ติ๊ก ต๊อก

    เข็มนาฬิกาข้อมือหลายเรือนของใครหลายคนดังพร้อมกันท่ามกลางความเงียบ ความเงียบบนรถเมล์สีขาวที่จอดนิ่งสนิทอยู่บนแยกใดแยกหนึ่งของ สี่แยกจอดสนิทมีเพียงเสียงนาฬิกาข้อมือที่ดังก้องอยู่ภายในรถคันนี้

    เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ฉันรู้แค่ว่าห้านาทีที่นั่งรอสัญญาณไฟจราจรสีเขียวอยู่บนรถเมล์สีขาวนี้ มันนานนับชั่วโมงจนฉันอยากจะปาระเบิดใส่ป้อมตำรวจที่คอยควบคุมสัญญาณไฟจราจรซะจริงๆ ดันลืมไปซะได้ว่า ถ้านั่งรถเมล์ตอนไปโรงเรียนจะสายมันจะเป็นยังไง ฮือๆ ความงกดันเข้าครอบงำได้ผิดจังหวะซะจริงๆ คนสวยอยากร้องไห้ TToTT

    ต๊อก ติ๊ก ต๊อก ติ๊ก ต๊อก

    ปิ๊ง!

    บะ....บรืน...บรืนนนน

    ไฟสีแดงแรงฤทธิ์หาบวับไป ไฟสีเขียวขจีกลับฉับแสงขึ้นมาแทน รถคันหน้าสุดขยับเขยื้อนออกไปจากตรงจุดเดิม แล้วเคลื่อนตัวออกไปให้ไกลจากเส้นสีขาวบนพื้นสีเทาหยาบๆ รถคันหลังเริ่มออกเคลื่อนตัวเป็นลำดับไป รถที่อยู่แถวประมาณกลางๆ เริ่มขยับเขยื้อนไปเล็กน้อยจนรถวิ่งได้อย่างเต็มกำลัง

    รถเมล์คันสีข้าวเคลื่อนตัวไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ก่อนสี่แยก แล้วหยุด เปิดประตูรถเพื่อรับผู้โดยสารที่ยืนออกันอยู่ที่ป้ายรถเมล์ มีคนจากป้ายขึ้นมาบนรถอย่างหนาแน่นผิดจากปกติ จนเวลาผ่านไปได้ไม่นานผู้คนที่จะขึ้นรถคันนี้ก็หมด ประตูรถก็ค่อยๆ เลื่อนปิดจนสนิทดี แล้วตัวรถค่อยๆเคลื่อนเดินทางต่อไป

    ปิ๊ง...ปิ๊ง

    เอี๊ยดดดดด

    ไฟสีเขียวหายวับ ไฟสีเหลืองขึ้นมาจนครบเวลาที่กำหนด แล้วไฟสีแดงก็ฉายแสงขึ้นมาอีกครั้ง

    รถหลายคันเบรกหยุดรถจนจอดสนิท รถเมล์คันสีขาวที่เริ่มวิ่งออกจากป้ายได้ไม่ถึงกิโลก็ค่อยๆ ลดความเร็วลงจนจอดสนิทอีกครั้ง ระยะห่างจากรถถึงสี่แยกห่างกันไม่ถึงยี่สิบเมตรพอได้ ทำเอาอารมณ์ของผู้คนบนรถถึงกับอารมณ์เสีย การรอนานห้านาทีกลับมาเยือนอีกครั้ง

    เฮ้อออออ... เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของสาวน้อยผมสีดำอมน้ำตาลดังเบาๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจับจ้องไปที่ไฟแดงอย่างอารมณ์เสีย เธอก็เป็นหนึ่งในผู้โดยสารของรถเมล์คันนี้ที่อารมณ์ไม่ดีในตอนนี้และเบื่อสัญญาณไฟจราจรตรงสี่แยกเอามากๆ

    เวลาผ่านไปแล้วผ่านไปเล่า ผ่านไปนานจนเหมือนจะเป็นชั่ว (เพราะที่จริงมันแค่สี่นาทีเอง) ฉันนั่งอยู่บนเบาะแข็งๆ อย่างๆว่างๆ ไม่มีอะไรจะทำ จึงตัดสินใจยกข้อมือเพื่อดูเวลาที่นาฬิกาสีชมพูสลับขาว หน้าปัดนาฬิกาลักษณะกลม กรอบรูปสีเหลี่ยมสีชมพู มันบอกเวลาว่าตอนนี้ 7.53 แล้ว

    ฮือๆ ไม่ทันแน่ๆ ทำใจซะเถอะฉัน ทำใจอย่างเดียวแล้วตอนนี้ TT-TT

    ปิ๊ง

     

    เมื่อเวลาผ่านไปครบห้านาที ไฟจราจรสีแดงเปลี่ยนเป็นสีเขียวอย่างเร็ว รถคันหน้าสุดเคลื่อนที่ผ่านเส้นสีขาวแล้วเลี้ยวไปตามแยกที่เป็นทางไปจุดหมายของตน รถเคลื่อนที่เป็นลำดับ รถเมล์คันสีขาวออกตัวเดินทางต่อไปพร้อมกับอารมณ์ของผู้โดยสารในรถที่คลายความอารมณ์ไม่ดีลดลง

    เย้! ไฟสีเขียวแล้ว คนสวยรอดแล้วค่า ^o^

    รถเมล์คันสีขาววิ่งตรงไปยังแยกที่อยู่ตรงข้ามเพื่อไปส่งผู้โดยสารที่ป้ายต่อไป ถ้าป้ายที่อยู่ตรงหน้าโรงเรียนของฉันก็นับตั้งแต่ป้ายหน้าไปสองป้ายก็ถึง อีกนิดเดียว

    รถเมล์จอดส่ง-รับผู้โดยสารแล้วสองป้าย ป้ายต่อไปเป็นป้ายที่ฉันกำลังรอคอย

    เอี๊อดดดด

    รถหยุดทำไมอะ? อ๋อ ติดไฟแดง ไม่เป็นไรไฟแดงสุดท้ายก่อนถึงโรงเรียน ใช้เวลารถติดประมาณสองนาที แต่ปล่อยไฟเขียวยังไม่ถึงนาทีเลย อ่า.......แล้วตอนนี้มันกี่โมง

    ฉันยกข้อมือขึ้นดูเวลาที่นาฬิกาสีขาวสลับชมพูบอก

    นาฬิกาเอ๋ย กี่โมงแล้วจ๊ะ ฉันกำลังโทรจิตคุยกับนาฬิกาข้อมือของตัวเอง

    แปดโมงหกนามีจ๊ะ

    อะไรนะแปดโมงหกนาที ข้าน้อยยอมตาย มันเลยเวลาเข้าแถวไปเยอะแล้วนะเนี่ย ไม่ทันแล้ว ฮือๆ T-T

    ปิ๊ง

    บรืนนนน

    สัญญาณไฟสีแดงหายวับเปลี่ยนเป็นสีเขียวไปในทันใด ตอนนี้ให้รถติดเป็นชั่วโมง ฉันก็ไม่โกรธแล้ว เพราะมันไม่ทันอยู่แล้วเนี่ย

    รถเมล์คันสีขาววิ่งต่อไปหลังจากที่รถหายติด แล้วจึงหยุดรถจอดตรงที่ป้ายตรงข้ามโรงเรียน

    ฉันบังคับเท้าก้าวลงจากรถเมล์อย่างเซ็งๆ แล้วเดินข้ามสะพานเพื่อข้ามฝั่งไปโรงเรียนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ฉันเดินข้ามสะพานลอยอย่างเอื่อยๆ เพรารู้ว่าถึงรีบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร

    แหมะ!

    เท้าของฉันก้าวลงจากบันไดของสะพานลอยถึงขั้นล่าง แล้วพอเท้าแตะพื้นก็ได้เหยียบกับอะไรซักอย่าง ที่มันนิ่มๆ ฉันจึงก้มลงไปดู

    เฮ้ย! แย่แล้ว รองเท้าสีดำสนิทของฉันกำลังเหยียบอยู่บนสิ่งที่มีสีน้ำตาลๆ ปนดำๆ อยู่รวมกันเป็นก้อน มันไม่ใช่อะไรอื่น มันคือ คือ ขี้หมา

    อะไรกันเนี่ย ทำไมคนสวยๆ อย่างฉันต้องมาเจอกับสิ่งที่มันเหม็นๆ อย่างนี้ด้วย รองเท้าสวยๆ ของฉันทำไมต้องมาเลอะเปอะเปื้อนกับสิ่งเน่าๆ อย่างนี้ด้วยเนี่ย มันช่างโหดร้ายอะไรอย่างนี้หนอ TTOTT

    ฉันรีบยกเท้าตัวเองขึ้น แล้วเอาพื้นรองเท้าไปขูดกับสันขอบที่กั้นระหว่างถนนกับฟุตบาท เพื่อให้บางอย่างที่ติดกับพื้นรองเท้าออก หลังจากที่บางสิ่งที่อยู่ติดพื้นรองเท้าส่วนมากออกไปติดกับสันของที่กั้นแล้ว แต่ก็ที่มีติดอยู่ตรงร่องของพื้นรองเท้าหลงเหลืออยู่

    ช่างเถอะ เดี๋ยวค่อยหาไม้มาเขี่ยละกัน รีบไปโรงเรียนก่อนดีกว่า ฉันสาวเท้าเดินเข้าไปในโรงเรียน แล้วเดินไปนั่งรวมกันพวกที่มาสาย

    ฟุดฟิด ฟุดฟิด

     

    เวลาผ่านไปไม่นาน คนที่นั่งข้างๆฉันเริ่มทำหน้าเบ้ และทำจมูกฟุดฟิดดมอะไรบางอย่าง แล้วค่อยๆ หันหน้ามาทางฉันพร้อมจมูกที่กำลังดมกลิ่น

    นี่เธอ ได้กลิ่นอะไรเหม็นๆ มั้ย เด็กสาวข้างๆ หันมาถามฉัน (ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกัน) ทำเอาฉันเกือบสะดุ้งเพราะรู้ต้นตอของกลิ่นเหม็นๆ นี่

    อืม...ไม่นะ ฉันตอบเนียนๆ

    เหรอ

    เด็กสาวข้างๆ ยังคงทำหน้าเบ้ไม่หาย แล้วสายตาของเธอก้มองมาที่รองเท้าของฉัน แย่ล่ะ

    รองเท้าของเธอมีขี้หมาติดอยู่นี่

    ขวับ ขวับ

    สิ้นเสียงเด็กสาวที่อยู่ข้างๆ ฉัน ทุกคนก็หันมาจับจ้องฉัน หลายคนทำตาโตด้วยล่ะ

    จะ จะ จริงเหรอ ไหนๆ....จริงด้วย ไปเหยียบมาตอนไหนเนี่ย >o<;;” ฉันพูดพร้อมทำท่าตกใจ (หลอก) แบบเนียนๆ แล้วรีบวิ่งขอครุไปเข้าห้องน้ำ ปกติครูจะไม่ให้ใครเข้าห้องน้ำระหว่างที่กำลังดำเนินพิธีการน่าเสาธง (แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ให้) แต่ครูท่านรู้ถึงสาเหตุการเข้าห้องน้ำของฉัน จึงอนุญาต (ก็สมควร)

    ฉันเดินไปที่ห้องน้ำและหากิ่งไม้มาขูดเอา.....ออก แล้วก็เอาน้ำล้างพื้นรองเท้า แต่...........

    ทำไมกลิ่นมันยังเหม็นอยู่อะเนี่ย

    ไม่ว่าฉันจะล้างนำเปล่าซักกี่พันครั้ง กลิ่นอันเหม็นเกินบรรยาย (เวอร์ไป) ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหายเลย โอ๊ย! ยอมแพ้

    ฉันแบกเท้าของตัวเองไปหน้าโรงเรียนที่กักตัวนักเรียนที่มาสาย แต่ครูก็ปล่อยนักเรียนที่มาสายให้ขึ้นห้องไปแล้ว ฉันจึงเดิน (ลากเท้า) ขึ้นห้องเรียนไป

     

    แอ๊ดดดดด

    ยัยเอม เสียงใสๆ น่ารักๆ ของเด็กสาวคนหนึ่งเรียกชื่อของฉันหลังจากที่ฉันเดินเปิดประตูห้องเข้ามา

    ยัยเอมทำไมมาสายอะ เอ๊ะ!” ยัยแนนเริ่มทำหน้าเบ้และทำจมูกฟุดฟิดมาทางฉัน

    กลิ่นอะไรเหม็นๆ มาจากแกอะ

    เอ่อ....คือ...ใช่กลิ่นไอ้นี่รึเปล่า ฉันพูดพร้อมยกเท้าขึ้นมา

    โอ้โห อะไรเนี่ย

    ฉันไปเยียบขี้หมามา ฉันกระซิบคนถาม

    อะไรนะ

    จะตะโกนทำไมยะ

    อุ๊ย! เค้าขอโทษ

    “-_-lll”

    แกรีบไปนั่งที่เถอะ

    เออ ไม่บอกฉันก็รู้ตัวยะ

    พอเริ่มสนิทกันก็เริ่มมี แกแล้วแฮะ

    ฉันเดินไปนั่งที่ที่ของตัวเอง นายชาเย็นกำลังอ่านหนังสืออะไรไม่รู้อยู่ แปลกจัง ปกติจะมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างทุกทีนี่หน่า แต่ช่างเถอะ

    ฟุด ฟิด ฟุด ฟิด

    เวลาผ่านไปได้ไม่นานแต่คุณครูก็ยังไม่เข้ามาสอน นาเย็นที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ก็เริ่มทำหน้าเบ้บอกไม่รับบุญและทำจมูกฟุดฟิดมาทางฉัน สงสัยกลิ่นเริ่มออกแล้วล่ะ

    นายชาเย็นที่ทำท่าดมกลิ่นอยู่ซักพักก็หยุดทำ แต่เปลี่ยนมาจ้องฉันแทนและเอามือปิดจมูก เล่นงี้เลยนะ

    อะ อะ อะไรของนาย ฉันหันไปพูดกับนายชาเย็นอย่างอึดอัดที่นายนั่นจ้องฉันไม่เลิก

    ........ คนที่ฉันถามไม่ตอบอะไร

    ........และต่างคนต่างก็ไม่พูดอะไรไปซักพัก จนฉันสิทนไม่ไหวแล้ว

    นี่นาย

    .......

    เลิกจ้องฉันซักทีได้ไหม

    .......

    นี่ นาย >-<” ฉันชักจะเริ่มโมโหแล้วนะ เอาสายตาดุดันของฉันไปเป็นของตอบแทนซะเถอะ

    นี่เธอ สายตาพิฆาตของฉันมันได้ผล ในที่สุดเค้าก็ยอมเปิดปากพูด

    อะไร

    อาบน้ำมารึเปล่า ทำไมถึงเหม็นแบบนี้ -0-”

    อาบ แล้วที่เหม็นน่ะ มันอย่างอื่นยะ ฉันพูดพร้อมกำลังถอดรองเท้าข้างที่เหยียบ.......ออกมา แต่ก็ยังจ้องหน้านายชาเย็นไม่เลิก (แน่นอนเขาไม่รู้)

    แล้วมันเหม็นอะไร

    ก็นี่ไง

    อุ๊บ 0*0

    555 สมน้ำหน้ากะลาหัวเจาะ....แหวะ>*<”

    สะใจค่า สะใจ ไม่ใช่อะไรหรอกนะ ก็แค่ฉันเอามือสอดเข้าไปในร้องเท้าข้างที่ถอดมา แล้วก็ยกรองเท้าข้างนั้นขึ้นมาอยู่ระดับเดียวกับใบหน้าของนายชาเย็น แล้วนายนั่นก็ทำหน้าเหมือนโดนปา.....ใส่ ก่อนที่จะลุกจากเก้าอิ้ว่งออกไปข้างนอกผ่านประตูหลังห้อง

    คงจะเหม็นมากๆ สิท่า ขนาดฉันที่เป็นคนถือ ไม่โดนเต็มๆยังได้กลิ่น แหวะ >TT< จากนั้นฉันก็วางรองเท้าลงโดยเร็ว แต่ก็ไม่ได้ใส่มัน

    ซักพักนายชาเย็นบนก็กลับเข้ามาพร้อมกับครูผมสีดำ ดัดลอน ใส่ชุดประโปรงสีชมพู คุณครูประจำวิชาภาษาไทย และยังเป็นครูประจำชั้นของพวกเราอีกด้วย นายชาเย็นเดินมาจนเกือบถึงโต๊ะของฉัน ฉันก็นึกสนุกอีกรอบหยิบรองเท้าข้างนั้นขึ้นมาแล้วจ้องหน้านายนั่น

    ดูเหมือนนายชาเย็นจะรู้ตัวและเห็นรองเท้าของฉันถึงได้ส่งสายตากินเลือดกินเนื้อมาจ้องฉัน แล้วเดินอ้อมหลังฉันไปนั่งที่ที่อยู่ข้างที่นั่งของฉัน

    นักเรียน..... นายชาเย็นหยุดพูดไปชั่วขณะแล้วเหล่มามองทางฉันที่กำลังจ้องหน้านายคนที่พูดอยู่

    ทำความเคารพ นายนั่นหยุดเหล่แล้วพูดต่อ

    สวัสดีครับ/ค่ะ

    แล้วการเรียนการสอนก็ดำเนินไปตามปกติ

    แต่ซักพักทั่วทั้งห้องก็เริ่มมีกลิ่นเหม็นโชยไปทั่ว ทุกคนต่างทำหน้าเบ้และจมูกฟุดฟิดกัน มีเพียงงงงงงงงงแต่ฉัน นายชาเย็น และแนนที่ไม่ได้ทำกัน

    นี่ มีใครได้กลิ่นเหม็นบ้างมั้ย เพื่อนผู้ชายคนนึงในห้องพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าคนอื่นก็ดูเหมือนจะได้กลิ่น

    เออ...ฉันได้กลิ่น

    ใช่ๆ

    ฉันก็ได้กลิ่น

    เหม็นอะไรวะ

    ฯลฯ

    เมื่อมีหนึ่งเสียงตอบคำถามก็ย่อมมีอีกหลายเสียงตอบเหมือนกัน และก็เริ่มมีการคุยถึงเรื่องกลิ่นปริศนา ที่มีเพียงฉัน นายชาเย็น แนนที่รู้ที่มา แนนและนายชาเย็นหันมามองฉันตั้งแต่คำถามดังขึ้น แต่ตอนนี้ทุกคนกำลังคุยกันเรื่องกลิ่นเหม็นๆ ที่โชยเข้าจมูก

    หมับ

    เฮ้ย!” ฉันร้องอย่างตกใจเพราะ..........

    ครืนนนน

    เฮ้ยเจอต้นตอกลิ่นแล้วเว้ย เพื่อนในห้องคนนึง (ที่นั่งถัดจากฉันไปทางขวา) พูดขึ้นเมื่อกลิ่นมันรุนแรงขึ้นหลังจากที่นายชาเย็นก้มไปหยิบรองเท้าของข้างที่ฉันถอดเอาไว้ (ถอดอยู่ข้างเดียว) โดยพะลักการ บวกอย่างรวดเร็วจนฉันเผลอร้องออกไปด้วยความตกใจ ก่อนที่นายนั่นจะลุกขึ้นยืนแล้วชูรองเท้าของฉันขึ้นเหนือพื้น

    นายชาเย็นบ้า นายชาเน่า ใครใช้ให้หยิบไปมิทราบยะ T^T

    ทุกคนในห้องมองกันมาเป็นตาเดียวที่รองเท้าของฉัน บางคะนึงกับเอามือปิดจมูก ทำไมทุกคนถึงได้ทำกันแบบนี้ (ตัวเองก็เอามือปิดจมูกอยู่เหมือนกัน)

    เคน เธอรีบเอารองเท้าเน่าๆ นั่นออกไปวางไว้นอกห้องเดี๋ยวนี้เลย เร็วครูรินคนสวยทำไมถึงได้ไปว่ารองเท้าของหนูแบบนี้ล่ะค่ะ ไม่พูดคำว่า เน่าออกมาจะได้ไหม ฮือ TT-TT

    นายชาเย็นถือรองเท้า (เน่าๆ) ของฉันออกไปวางไว้ข้างนอกห้องทางประตูหลัง แล้วจึงเดินกลับเข้ามานั่งทีพร้อมกับอากาศบริสุทธิ์อีกครั้ง

    รองเท้าของช้านนนนนนนนนนนนนนนนน TTOTT

    เอาล่ะ เดี๋ยวกลิ่นก็หายไปเอง ตกลง....นั่นรองเท้าของใคร

    ขวับ

    นักเรียนทั้งห้องบวกคุณครูอีกหนึ่งคนหันมามองทางฉันเป็นตามันวาว เพราะรองเท้านักเรียนนั่นมันเป็นรองเท้านักเรียนผู้หญิงใส่ ซึ่งระหว่างฉันกับเคน ก็มีฉันเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวจากในสองคน ฮือ คนสวยตายแหน่

    ขะ ขะ ของหนู เองค่ะ -*-/”

    ฉันจำใจยกมือพร้อมยืนยอมรับความผิดอย่างหาที่จะหลีกเลี่ยงมิได้

    รองเท้าของเธอไปโดนอะไรมาถึงได้เหม็นแบบนั้น คำถามมันช่างจิ้มทะลุหัวใจซะจริง

    เอ่อ....เอ่อ....คือ....

    ว่าไงล่ะ

    คือ.....รองเท้าของหนูไปเหยียบ......ขี้หมามาค่ะ

    อะไรนะ OoO” ทุกคนในห้องช่างพร้อมเพรียงใจในการอุทานซะจริง ตอกย้ำ

    *O*”

    “O*O”

    “+O+”

    “*_*”

    “O_O”

    และอีกพันหน้าที่เพื่อนๆ ที่เป็นที่รักของฉันบรรจงปั้นขึ้นมาเพื่อความหมายว่า จริงเหรอ

    งั้น.....เอ่อ..น่ะ น่ะ นั่งลงได้จ๊ะ -*-lll”1

    คะ ค่ะ T*T”

    งั้นเรามาเริ่มเรียนกันต่อเลยนะค่ะ -_-lll” แล้วสายตาทุกคู่ก็กลับไปมองหน้าห้องอีกครั้ง

    การเรียนดำเนินไปอย่างปกติเหมือนอย่างที่เคย แต่แค่มีภารโรงหรือก็คุณครูท่านอื่นเปิดประตูเข้ามาถามว่า รองเท้าข้างนี้ของใคร(แต่ก็ไม่มีใครที่จะยกรองเท้าขึ้นมาถาม มีแต่ชี้) และ ทำไมเอาออกไปวางไว้นอกห้องส่วนคนตอบคำถามทั้งหมดก็ต้องเป็นเจ้าของรองเท้าข้างนั้นหรือก็คือฉันนั่นเอง

    ออดดดดดดดดด

    นักเรียนทำความเคารพ

    ขอบคุณค่ะ/ครับ

    เสียงออดดังขึ้น บอกเวลาหมดคาบเรียน แต่สำหรับม.5เวลาหลังจากนี้หนึ่งชั่วโมงคือ สวรรค์ เพราะถึงเวลาที่จะได้ไปพักกินข้าวกันแล้ว

    นี่ยัยเอม เก็บของเร็วๆ สิ คนอื่นเค้าออกไปกันหมดแล้ว ฉันยังจำได้อยู่นะว่า ก่อนหน้านี้ยัยนี่เรียกฉันว่า เอมแต่ตอนนี้ยัย มันมาจากไหน

    เดี๋ยวสิ  ก็รีบอยู่นี่ไง

    เร็ววิ >*<”

    เออๆ เสร็จแล้ว

    ปะ ปะ เร็ว

    ค้าบๆ

    ตึก ตึก ตึก กึก

    เอ้า! นั่นทำอะไรน่ะ หยุดเดินทำไมเล่า ยัยแนนถามอย่างอารมณ์บ่จอย เมื่อเห็นว่าฉันที่กำลังเดินตามหลังกลับหยุดเดิน แล้วหันไปมองคนที่นั่งเท้าคางมองนอกหน้าต่าง

    นี่ นายชาเย็น เอ้ย! นายเคน

    คนที่ฉันเรียกทำแค่เหล่มามองคนที่เรียกชื่อของตัวเอง

    .....

    นายไม่ไปกินข้าวเหรอ เดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก

    ......

    เป็นโรคกระเพาะเข้าโรงบาล ฉันไม่รู้ด้วยนะ เพราะว่าฉันเตือนแล้ว

    นี่ยัยเอม พูดอะไรน่ะ นั่นมันเรื่องของเขานะ เราก็อย่าไปยุ่งกับเรื่องของเขาสิ

    ใช่......มันเรื่องของฉัน เธอมายุ่งอะไรด้วย จู่ๆ นายนั่นก็เปิดปากพูดต่อว่าฉันต่อจากยัยแนน

    งั้นเหรอ

    .......

    นั่นสินะ มันเรื่องของนาย มันเกี่ยวกับฉันซักนิด

    .......

    กระเพาะก็กระเพาะของนาย นายปวดท้องฉันไม่ได้ปวดท้องร่วมด้วยซักหน่อย

    ......

    นายจะเข้าโรงบาล ฉันก็ไม่ได้เข้าด้วยนี่เนอะ งั้นฉันไม่สนนายและ

    ......

    ไปกันเถอะแนน.......คนเค้าอุตส่าห์เป็นห่วง

    อึก ฮึ

     

    นี่เคน ไม่ไปกินข้าวเหรอ เด็กหญิงวัยมัธยมต้นพูดถามเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้กับเธอด้วยน้ำเสียงที่สดใสและห่วงใย

    เรื่องของฉันเด็กชายวัยเดียวกันตอบอย่างเย็นชาปนรำคาญ

    เหรอ เชอะ ใช่สิมันเรื่องของนาย

    ........เด็กชายไม่ตอบอะไร แต่เพียงเหล่มองเด็กสาวอย่างรู้ว่าเธอประชด

    มันเกี่ยวกับฉันสิเนอะ คนเค้าอุตส่าห์เป็นห่วง

     

    ประโยคเพียงไม่กี่ประโยค ทำให้ผู้ชายผู้ที่ไม่เคยสนใจอะไร กลับนึกถึงภาพและเรื่องราวเก่าๆ ในอดีตได้

    ฉันเดินออกจากห้องไปพร้อมกับแนน นายนั่นแย่ที่สุดเลย ฉันอุตส่าห์เป็นห่วงยัง.......เอ่อ แล้วทำไมฉันต้องไปเป็นห่วงนายชาเย็นนั่นด้วยล่ะ ฉันนี่บ้าจริงๆ

    ฉันกับแนนเดินไปถึงที่ห้องอาหารก็พบกับผู้คนที่อยู่กันอย่างหนาแน่นตามปกติทุกวัน

    จองตรงนี้แหละ ฉันพูดพลางเอาหนังสือเรียนที่พกมาวางบนโต๊ะอาหารตัวขนาดกลางแบบนั่งคู่

    โอเค งั้นฉันก็ไปซื้ออาหารเลยแล้วกัน

    เชิญ

    ฉันกับแนนแยกกันไปซื้ออาหารมารับประทานเมื่อสามารถหาที่นั่งกินได้แล้ว

     

    เอ้ เอ้ เด็กสาววัยมัธยมปลายคนหนึ่งเรียกชื่อเพื่อนของเธอในขณะที่ถือจานเลอะๆ สกปรกอยู่บนมือ

    อะไร เพื่อนของเธอหันมาถาม

    นั่นคนที่นั่งข้างๆ กับ นายนั่น หรือเปล่า เด็กใช่นิ้วชี้ชี้ไปที่เด็กสาวคนหนึ่งในกลุ่มฝูงชน

    ไหนๆ

    นั่นน่ะ

    อ๋อ.....ใช่

    งั้นก็โชคดีแล้วดิ

    อือ

    งั้นก็เริ่มกันแล้วได้ใช่ปะ

    ใช่จ๊ะ ^O^”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×