ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC KHR 1827] ผมแค่อยากให้คุณหึง

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2

    • อัปเดตล่าสุด 19 ส.ค. 64


    Chapter 2

    การประชุมรายงานความคืบหน้าการวิจัยอาวุธกล่องผ่านไปอย่างราบรื่นด้วยฝีมือการนำเสนอของหมอประจำตัวที่ได้รับการไว้วางใจจากวองโกเล่รุ่นที่สิบและบรรดาผู้บริหาร ทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพอใจ มีประเด็นโต้เถียงเล็กน้อยในที่ประชุม บางข้อซักถามได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจ มีข้อคำถามที่เป็นประเด็นที่น่าสนใจจากผู้ร่วมทุน ทีมวิจัยได้เก็บหัวข้อไปพิจารณาในการทำวิจัยขั้นต่อไป

    นอกจากสึนะที่นั่งในตำแหน่งประธาน ในการประชุมครั้งนี้คนที่ไม่ชอบสุมหัวอย่าง ฮิบาริ เคียวยะ ก็มานั่งฟังรายงานความคืบหน้านี้ด้วยตนเองผิดกับนิสัยที่ไม่ชอบรวมกลุ่มกับใคร แต่เพราะเจ้าตัวเองก็เป็นคนสำคัญคนหนึ่งในการขับเคลื่อนงานวิจัยชิ้นนี้จะให้ไม่มานั่งอยู่ด้วยก็คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก

    ผู้คนทยอยออกจากห้องหลังจากที่สึนะกล่าวจบการประชุม คนจากแก๊งค์พันธมิตรเข้ามาทักทายเขา พูดคุยกันสองสามคำก่อนจะขอปลีกตัวออกไป วองโกเล่รุ่นที่สิบทักทายกับทุกคนอย่างเป็นมิตรจนกระทั่งผู้ร่วมการประชุมออกไปจากห้องเกือบหมดแล้วจึงเดินเข้าไปคุยกับคนที่พรีเซ็นต์และตอบข้อสงสัยหยิบย่อยจากการวิจัยแบบไม่รู้เหนื่อยในวันนี้

    “มิกิจังเหนื่อยหรือเปล?”

    เจ้าของชื่อหันมายิ้มให้ “สบายมาก...ผลแลบไม่ออกรับมือยากกว่านี้เยอะ คุณเถอะหายปวดหัวหรือยังคะ?”

    “หายแล้ว ขอบคุณนะ ไม่ได้ยากับน้ำผึ้งมะนาวของมิกิจังผมแย่แน่” เขาตอบพร้อมกับยิ้มหวานให้อีกฝ่าย

    “เห็นคุณยิ้มได้ฉันก็ดีใจแล้ว...อ้อ...เรื่องการวิจัยวันนี้ ถ้าอยากรู้รายละเอียดอะไรหรือมีประเด็นอะไรเพิ่มเติมคุณสามารถบอกฉันหรือคุณฮิบาริได้ตลอดเลยนะคะ”

    “เข้าใจแล้ว” เขาพยักหน้า

    “นอกเหนือจากเล่มรายงานความคืบหน้า เอกสารและหลักฐานที่ใช้ในการอ้างอิงต่าง ๆ ฉันให้คนหามาให้หมดแล้ว มันถูกเก็บไว้อยู่ที่ห้องสมุดกลาง เผื่อว่าคุณอยากอ่านเพิ่มก็ลองถามบรรณารักษ์ดูได้นะ” พูดจบคุณหมอประจำตัวก็เหลือบมองนาฬิกาดิจิทัลที่ผนังก่อนอุทานออกมาเบา ๆ “ยังมีเรื่องที่ฉันต้องจัดการต่อ แต่เรายังมีนัดตรวจร่างกายของคุณรอบที่สอง เอาไว้ฉันจะไปหาช่วงเย็นนะคะ” ยังไม่ทันที่เขาจะได้บอกเธอว่า ‘ผมไม่ได้ป่วย ไม่ต้องมาก็ได้’ เจ้าตัวก็เก็บของเดินสับส้นสูงออกไปจากห้องประชุมแล้ว

    สึนะโยชิถอนหายใจก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมที่ใช้นั่งประชุม หยิบเอกสารการวิจัยที่ได้มาจัดเรียงให้อยู่ในกองเดียวกันพลางคิดถึงคุณหมอประจำตัว หลายปีมานี้มิกินอกจากจะคอยช่วยผลักดันเขาให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งวองโกเล่รุ่นที่สิบอย่างเต็มภาคภูมิแล้ว เรื่องวิชาการนอกจากรีบอร์นที่คอยเคี้ยวเข็นก็มีมิกินี่แหละที่เป็นกำลังสำคัญ เอกสารการวิจัยชุดนี้ หากเป็นตัวเข้าเมื่อก่อนก็คงจะไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ตอนนี้เขาสามารถเข้าใจทฤษฎีต่าง ๆ ได้ไม่ยากเย็นเท่าแต่ก่อนแล้ว

    “ห้องประชุมจะถูกใช้ต่อในอีกไม่นาน...คุณควรจะออกไปได้แล้วนะ” เสียงของผู้พิทักษ์แห่งเมฆาดังขึ้น เขาจำได้ทันทีโดยไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยซ้ำ พอเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตรงหน้า นัยน์ตาคู่นั้นก็ยังคงเย็นชาเหมือนเดิม

    สึนะโยชิรู้สึกได้ถึงจังหวะของหัวใจที่เต้นรัวในอกขณะที่พยายามตีสีหน้าปกติเพื่อคุยกับอีกฝ่าย

    “ขอบคุณที่เตือน...ผมกำลังจะไป” เขาลุกขึ้นยืน หยิบเอกสารของตัวเองขึ้นมาถือพลางเหลือบมองอีกฝ่ายที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นคล้ายกับกำลังรอเขา

    “คุณไม่ควรจะไปอยู่ในที่แบบนั้นบ่อยนัก”

    “...เอ๋?” คำอุทานถูกเอ่ยออกไปโดยอัตโนมัติ มือที่กำลังเอื้อมหยิบของชิ้นสุดท้ายชะงักไปเพราะคำพูดของคนตรงหน้า สึนะเงยหน้ามองผู้พิทักษ์ของตน นึกแปลกใจที่อยู่ ๆ อีกฝ่ายพูดแบบนั้นออกมาพร้อมหลงนึกดีใจว่าเป็นคำพูดที่แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใย

    แต่ก็ดีใจได้ไม่ถึงสิบห้าวิ...

    “ช่วงที่ผมไม่อยู่ผมได้รับรายงานว่าคุณไปที่นั่นแทบทุกสัปดาห์ หากศัตรูรู้ว่าคุณไปแต่ที่แบบนั้นคุณจะตกเป็นเป้าโดยง่าย ปัญหามันจะตามมาให้ยุ่งยากทีหลัง”

    “ผมรู้ตัวเองดี” เขาบอกเสียงเบา

    เป็นฮิบาริ เคียวยะที่หัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น “การที่คุณเมาจนเกือบถูกใครก็ไม่รู้ลากไปนอนด้วยนั่นคือการรู้ตัวเองดีของคุณอย่างงั้นเหรอ”

    คำพูดนั้นตรงและแทงเข้าที่กลางใจของสึนะพอดิบพอดี โดยเฉพาะเมื่อเหตุการณ์เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา ในใจตะโกนถาม เพราะใครกันละ! เพราะใครกัน!!

    ใครกันที่ทำให้เขาต้องทำแบบนี้!

    “ถ้าผมบอกว่า ผมตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้นละ?” คนตัวเล็กกว่ากอดอก เชิดหน้าขึ้นราวกับท้าทาย

    “ถ้าอย่างงั้น...” น้ำเสียงคนพูดคล้ายไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นักเว้นช่วงก่อนจะพูดต่อ “ครั้งต่อไปคุณก็ตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน” และทันทีที่พูดจบผู้พิทักษ์แห่งเมฆาก็เดินออกจากห้องประชุมไป

    เมื่อฮิบาริ เคียวยะเดินออกไปจนลับสายตา สึนะก็ทิ้งตัวลงนั่ง

    การสนทนาส่วนใหญ่ของพวกเขาเป็นเรื่องงาน แทบจะนับครั้งได้ที่เขาและผู้พิทักษ์คนนี้จะคุยกันด้วยเรื่องอื่น และแทบทุกครั้งก็มักจะจบลงไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เขามักจะทำตัวอวดดีและมานั่งรู้สึกผิดที่ทำให้อีกฝ่ายโกรธอยู่ร่ำไป

    การไปที่บาร์นั้นเป็นแผน เขารู้ว่ามีคนของผู้พิทักษ์แห่งเมฆาคอยเฝ้าระวังอยู่ที่ไหนสักแห่งรอบตัวและคอยรายงานการเคลื่อนไหวของเขาไปที่ฮิบาริ เคียวยะอยู่ตลอดเวลา การไปที่บาร์นั่นบ่อย ๆ ก็เพื่อให้อีกฝ่ายทนไม่ไหวกับกิจวัตรที่เสี่ยงต่อการถูกทำร้ายจากศัตรูจนต้องไปรับเขาด้วยตัวเอง...แต่ดูเหมือนว่าคำพูดอวดดีของเขาจะทำให้แผนการที่เพิ่งเริ่มเห็นผลเพียงแค่ครั้งเดียวของเขาไม่สามารถใช้ได้อีกแล้ว

    แล้วเขาควรจะทำยังไงดีนะ...

     

    “เรื่องมันก็เป็นแบบนี้” สุดท้ายเรื่องราวการโต้เถียงของเขาและผู้พิทักษ์คนนั้นก็ถูกนำมาเล่าให้คุณหมอประจำตัวฟังขณะที่กำลังถูกตรวจร่างกายเป็นรอบที่สองของวัน กว่ามิกิจะจัดการงานที่ว่าไว้เสร็จก็เลยเวลาพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว และเขาเองก็นั่งจมอยู่กับเอกสารจนลืมดูเวลา

    พอว่างเว้นจากการทำงาน เรื่องที่กวนอยู่ในใจก็ย้อนกลับเข้ามา คุณหมอประจำตัวเห็นเขาเหม่อและถอนหายใจเป็นระยะถึงกับอดไม่ได้และเอ่ยถามออกมาแค่คำเดียว เพียงแค่นั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็พรั่งพรูออกจากปากเขา

    “คนอย่างคุณฮิบาริ...พูดยากนะ เราเดาอะไรเขาไม่ได้เลย” มิกิให้ความเห็นหลังจากฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่เธอรีบร้อนจากไป คนอย่างฮิบาริ เคียวยะ หากเป็นเรื่องงานก็สามารถรับมือได้ไม่ยากนัก ขอเพียงแค่ข้อเสนอที่ลงตัว ข้อแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อ หรืออาจจะต้องเฉือนเนื้อออกมาด้วย แต่เรื่องความสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนตรงหน้า เธอที่มองอยู่ที่มุมของเธอ และเป็นผู้รับฟังมาโดยตลอด เธอไม่สามารถเดาความรู้สึกของผู้พิทักษ์ผู้รักอิสระคนนั้นได้เลย

    “เขาไม่ไยดีผมแล้ว” เพราะเป็นคนสนิท วองโกเล่รุ่นที่สิบจึงกล้าปล่อยนิสัยเด็ก ๆ ของตัวเองออกมา แม้กระทั่งมือขวาอย่างโกคุเทระ ฮายาโตะก็ยังยากที่จะได้เห็นเขาทำนิสัยเช่นนี้

    “ก็ไม่แปลกใจนัก” จากที่ฟังอีกฝ่ายเล่า คนตรงหน้าเองก็อวดดีกับอีกฝ่ายไปไม่น้อย

    เรียกร้องความสนใจจากเขา แต่พอเขาสนใจก็ไล่เขาไปเสียอย่างงั้น...

    ผลก็เป็นอย่างที่เห็น คนถูกเรียกร้องความสนใจประกาศว่าจะไม่สนใจอีก

    เพราะแบบนั้นคนที่ตอนนี้ยังทำตัวเป็นเด็กน้อยก็ได้แต่โอดครวญ

    “ก็ผมแค่อยากให้เขาหึงนี่...” ความต้องการเพียงหนึ่งเดียวถูกระบุ “นึกว่าพูดแบบนั้นเขาจะมีปฏิกิริยาอะไรขึ้นมาบ้าง”

    “เขาก็โกรธไม่ใช่เหรอคะ”

    “ใจร้าย” เอ่ยต่อว่าคำพูดแทงใจทำจากเพื่อนสนิท “ผมไม่ต้องการแบบนั้นน่ะสิ”

    “แล้วคุณต้องการแบบไหนกันเล่า” คนรู้เรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมาทั้งเอ็นดูระคนเหนื่อยใจ

    “อย่างน้อย...” คำพูดหยุดไปพร้อมกับวองโกเล่รุ่นที่สิบที่ดูเหมือนกำลังใช้ความคิด “ก็อยากรู้ว่าที่ความรู้สึกจริง ๆ ที่เขามีต่อผมยังมีเหลืออยู่ไหม” คำพูดถูกเว้นช่วงไปพร้อมกับลมหายใจที่พรั่งพรูออกมา “หรือถ้าความเย็นชาที่เขามีให้ผมเป็นของจริง...ผมจะได้เลิกทำตัวเรียกร้องความสนใจเขาจริง ๆ สักที”

    ที่เขาตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งวองโกเล่รุ่นที่สิบ นั่นคือการพยายามพาให้ตัวเองสามารถทัดเทียมกับผู้พิทักษ์แห่งเมฆาคนนั้นได้ หลังจากที่ตัดสินใจแบบนั้น ช่วงเวลาที่ฮิบาริ เคียวยะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เขาพยายามอย่างรากเลือดที่จะเป็นคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น พอคิดว่าอีกฝ่ายกลับมาเราจะสามารถยืนข้างกันได้อย่างทัดเทียม อีกฝ่ายดันเย็นชาใส่เขาเสียนี่ ความรู้สึกที่ว่าอีกฝ่ายยังคงมีเยื่อใยความรู้สึกบาง ๆ ให้เขาอยู่บ้าง จากเดิมที่เคยมั่นใจว่าเป็นแบบนั้น ตอนนี้เริ่มจะไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้ว

    “ถ้าคุณว่าอย่างงั้นละก็...” แว่วเสียงถอนหายใจ กับคนตรงหน้าเธอก็ไม่ได้ต่างจากมือขวาของเขาหรือผู้พิทักษ์คนอื่น ๆ เลย แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ร้องขอ แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรถ้าเธอทำได้ เธอก็อยากทำให้นายเหนือหัวที่เธอรักและเทิดทูนคนนี้ไม่ต่างจากคนอื่นในแฟมิลี่หรอก

    “มิกิจังมีแผนดี ๆ เหรอ” แววตาที่ฉายแววเจ็บปวดก่อนหน้าดูมีประกายความหวังขึ้นมาเล็กน้อย เสียงใสพูดแทรกคำที่คุณหมอสาวลากเสียง

    “ไม่มีค่ะ” ถ้อยคำตรงไปตรงมา คนที่ดูเหมือนจะมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อยกลับไปนั่งหดหู่เช่นเดิม ภาพที่เห็นชวนให้รู้สึกเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก “เขาบอกว่าจะไม่มาตามคุณกลับอีกแล้วจริง ๆ เหรอคะ”

    “ถ้าตีความตามที่รู้สึกมันก็ใช่”

    “แต่คำนั้นยังไม่ออกจากปากเขานี่” คุณหมอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กรายชื่อผู้ติดต่อที่ต้องการดูว่ายังคงบันทึกไว้อยู่หรือไม่ก่อนจะหันไปเอ่ยกับวองโกเล่รุ่นที่สิบ “ฉันไม่แน่ใจว่ามันจะสำเร็จ เราอาจจะพาคุณฮิบาริออกมารับคุณได้ แต่นี่เป็นโอกาสเดียวของคุณนะ”

    “แล้วผมต้องทำยังไงบ้าง?” น้ำเสียงของอีกฝ่ายจริงจัง และชัดถ้อยชัดคำเหมือนตอนที่ตอบคำถามของเหล่าผู้บริหารในการประชุมจนผู้ฟังรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมา

    “มันไม่ยาก อันที่จริงไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ เอาเป็นว่าฉันจะบอกคุณหลังจากที่คุณพาฉันไปที่บาร์ประจำของคุณก็แล้วกัน”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×