คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Can u ? - Ep.11
เสียงประตูนิ่งสนิทลงไปแล้ว แต่ฉไนเสียหัวใจของลู่หานยังคงดังกึกก้องเช่นนี้ ปลายนิ้วเรียวเล็กคเอื้อมขึ้นแตะริมฝีปากขึ้นรูปของตนเองแผ่วเบาราวกับรอยสัมผัสของชายหนุ่มนั้นยังคงไม่ไปไหน
แม้จะรู้สึกไม่ค่อยชอบพอที่ถูกคนตัวโตกว่าริดรอนเอาริมฝีปากไปสองครั้งสองคราโดยไม่ขออนุญาต แต่กวางตัวน้อยเช่นลู่หานจะแสดงฤทธิ์เดชอะไรได้แต่เพราะถูกอีกคนจ้องมองกายทั้งกายก็แทบจะหลอมละลายไปเสียตรงหน้า คงไม่แปลกที่คนตัวเล็กได้แต่ปล่อยให้ชายหนุ่มล่วงเกินโดยไม่กล้าตอบโต้เช่นนี้
...คนเอาแต่ใจ...
เสียงก้นบ่นในอกแอบทำให้ลู่หานรู้สึหแปลกกับตัวเอง ทั้งๆที่เมื่อเค้าอยู่ข้างหน้ากลับไม่กล้าปริปากทักท้วง แต่เมื่อไม่เห็นในใจกลับบ่นออกมาเสียได้ ไม่ชอบให้อีกคนล่วงเกินแต่ก็ไม่กล้าจะว่ากล่าว ลู่หานนายโตแล้วนะปล่อยให้เค้าทำเอาเปรียบแบบนี้ได้อย่างไรกัน...
............................................................
ร่างสูงโปร่งค่อยๆเคลื่อนกายตามระเบียงทางเดินอย่างช้าๆ แววตาสีเทาเข้ม จ้องมองไปตามทางเดินยาวภายในคฤหาสถ์ของตนเอง ด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาด
ภาพดวงตากลมใส กับรอยยิ้มที่แผ่วไปด้วยความหวาดหวั่น กำลังกอบกุมหัวใจของแวมไพร์หนุ่มเอาไว้อย่างยากจะปฏิเสธ ยิ่งใกล้ชิดยิ่งรู้สึกอยากครอบครองคนตรงหน้า แต่เพราะร่างเล็กยังคงมีความเป็นเด็กอยู่ในตัวมากเสียเหลือเกินจะให้ทำอะไรลงไปก็คงกระทำได้ยากลำบาก
อี้ฟานมุ่งตรงกลับไปยังห้องอ่านหนังสือของตนเอง ที่นี่เงียบสงบพอที่จะทำให้ตัวเขาสามารถคิดเรื่องต่างๆของตนเองได้ ยามนี้คงไม่ใช่เวลาที่จะมารู้สึกถึงจิตใจของตนเองที่มีต่อผู้แก้คำสาปแต่มันคือเวลาที่จะทบทวนบันทึกที่ได้ถูกกำหนดไว้เป็นลายลักษณ์อักษรต่างหาก
มือแกร่งเอื้อมหยิบเอาหนังสือเล่มหนาที่เจ้าตัวเปิดอ่านทบทวนทุกวันติดมือมายังเก้าอี้โยกตัวโปรดก่อนจะทิ้งกายลงนั่งอย่างเคยชิน
ปลายนิ้วเรียวยาวค่อยๆกรีดเปิดหน้าที่ถูกคั่นเอาไว้ออกอ่านหลายศตวรรษที่แวมไพร์หนุ่มเฝ้าอ่านข้อความที่ถูกจดบันทึกเอาไว้ด้วยน้ำหมึกสีจาง บันทึกของแม่มดผู้สาปตัวเขาให้ทุกข์ทรมาณอย่างแสนสาหัสที่ถูกบังคับให้ขีดเขียนขึ้นก่อนจะสิ้นลมหายใจ มันคือบันทึกที่เป็นเหมือนกุญแจที่ทำให้อี้ฟานไม่ต้องทุกทรมาณ การแก้ไขคำสาปด้วยผู้ที่ถูกเลือก
...ผู้ที่ถูกเลือกคือผู้ที่เกิดในค่ำคืนที่ 2 ของเดือน 4 ที่พระจันทร์สาดแสงสว่างดั่งดวงอาทิตย์ บุคคลผู้สืบเชื่อสายจากชาติตระกูลที่สายเลือดบริสุทธิ์แห่งนักบวชจะสามารถแก้ไขคำสาปที่ถูกสร้างเอาไว้ช้านาน เมื่อใดที่ผู้ที่ถูกเลือกอายุครบ 20 ปี เขาจะสามารถเป็นผู้เยียวยาความเป็นนิรันดร์ของผีดูดเลือดได้ ไม่ช้านานเจ้าจะรู้ทางออก และวันเวลาจะพาให้เจ้าพ้นความทุกข์ จงเข้าในความต้องการของผู้ที่ถูกเลือกเพียงหลังการนับ 1 2 และ 3 เจ้าไม่สามารถอ่านใจผู้ที่ถูกเลือกได้ แต่สามารถรู้ได้ว่าผู้ที่ถูกเลือกต้องการเจ้าหรือไม่เมื่อผู้ที่ถูกเลือกต้องการให้เจ้ารู้...
นั่นคือประโยคสุดท้ายก่อนที่ปลายน้ำหมึกจะสิ้นสุดลงหน้าเนื้อความที่ถูกฉีกทิ้งยังคงเป็นปริศนาสำหรับอี้ฟาน เขาต้องการรู้ว่าสิ่งที่หายไปบนหน้ากระดาษอีกแผ่นคือสิ่งใด แต่จนแล้วจนรอดแวมไพร์หนุ่มก็ไม่อาจจะรับรู้มันได้
...ในเมื่อวันนี้มีผู้ที่ถูกเลือกอยู่ที่นี่เขาคงไม่ต้องหาคำตอบเรื่อยๆไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด...
..............................................................................................
“จงอิน...” เสียงแหบร่าของร่างบางเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา เมื่อรับรู้ได้ถึงแสงแดดที่สาดผ่านม่านหน้าต่างของห้องนอนเล็กๆที่เจ้าตัวพักอยู่ ดวงตาเรียวรีหรี่ขึ้นสำรวจรอบกายอย่างอ่อนล้า ก่อนจะค่อยๆหยัดตัวขึ้นนั่งบนเตียงน้อยเพื่อให้ตนเองตื่นอย่างเต็มตา
“บ...บ้าจริง...ปวดหัวชะมัดเลย” ร่างเล็กบ่นออกมาเมื่อรับรู้ได้ถึงจังหวะปวดตุบๆที่ศีรษะของตนเอง ฟันขาวขบกัดริมฝีปากล่างเล็กน้อยก่อนที่จะนั่งอย่างเต็มตัว
“โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย...ทำไมถึงปวดได้ขนาดนี้กันนะ” ร่างเล็กสบทออกมาเมื่อรับรู้ถึงความรู้สึกหลังตื่นของตนเองที่ประทุเข้ามาเสียจนแทบพยุงร่างเอาไว้ไม่ไหว ทั้งๆที่รู้สึกไม่ดีเช่นนี้แต่ทำไมใบหัวกับก้องไปด้วยเสียงคุ้ยเคยของชายหนุ่มเมื่อคืนและชื่อของเขากันนะ
คนตัวเล็กพยายามทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ เขาจำได้ว่าถูกชายหนุ่มยักเยียดให้ดื่มไวน์แก้วสุดท้าย ก่อนที่โลกทั้งโลกจะมืดดับลง แล้วทำไมเขาจึงมาอยู่ที่นี่ได้? เซฮุนพยายามถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่ยิ่งถามเท่าไหร่ดูเหมือนอาการปวดหัวก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
“โอเค!!!ไม่คิดแล้วก็ได้...” ตะโกนออกมาอย่างหัวเสีย ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนอนอีกครั้ง อย่างไม่ใส่ใจ ใครจะไปคิดออกทั้งๆที่ปวดหัวจนแทบระเบิด เจ้าตัวกลับจำเรื่องราวอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดให้เวียนหัวนอนซะ โอ เซฮุน คืนนี้จะได้ไปทำงาน
“ฮยอง!!!!” เสียงตะโกนเรียกจากด้านนอกของตัวห้องดังเข้ามาภายใน ทำเอาเซฮุนต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง น้องชายตัวแสบของเขาแน่นอนเขาจำเสียงของแบคฮยอนได้
“เข้ามาสิ ฮยองไม่ได้ล็อคประตู” ร่างบางที่นอนอยู่บนเตียงเล็กเอ่ยตอบกลับ ก่อนจะปิดเปลือกตาลงตามเดิม เสียงฝีเท้าของร่างเล็กดังขึ้นตามจังหวะของการก้าวเดินก่อนจะมาหยุดลงข้างเตียงของเซฮุน
“ฮยองเมาค้างแน่เลย...ตัวมีแต่กลิ่นอะไรก็ไม่รู้” บ่นออกมาทันทีที่เข้าใกล้พี่ชาย จมูกโด่งรั้นทำท่าฟุดฟิดอย่างน่ารักราวกับน้องหมาตัวน้อยกำลังสำรวจกลิ่นของอาหาร
“คงงั้นแหละ...ว่าแต่เราเถอะยังไม่ไปเรียนอีกสายขนาดนี้แล้ว” ตอบพร้อมถามกลับอย่างสงสัย เวลานี้ปาเข้าไปเกือบ 11 โมงแล้วทำไมร่างเล็กตรงหน้ายังคงอยู่ที่นี่ทั้งๆที่วันนี้มีเรียนไม่ใช่หรืออย่างไร
“ก็ฮยองไม่สบายแบคฮยอนเลยซื้อมื้อเช้าแล้วเครื่องดื่มแก้แฮงค์มาให้” ยู่หน้าบอกอย่างรู้ตัวว่าจะต้องถูกพี่ชายว่าให้เป็นแน่ เพราะเซฮุนมันจะบอกแบคฮยอนเสมอว่าการเรียนเป็นเรื่องสำคัญและแบคฮยอนจะต้องตั้งใจเรียน
“อา...ทำไมต้องลำบากซื้อมาฮยองนอนแป๊บเดียวก็หาย เราน่ะควรไปเรียนรู้มั้ย” คนเป็นพี่บ่นออกมาทันทีที่ได้ยินคำบอกจากน้องชาย ทุกวันนี้ที่ร่างบางกัดฟันทำงานก็เป็นเพราะน้องชายคนเดียวของเขานั่นแหละ ไม่อยากให้น้องต้องลำบากในอนาคตและการที่ได้เรียนมหาวิทยาลัยดีๆแพงๆ ก็ถือเป็นใบเบิกทางอย่างหนึ่งให้เด็กน้อยได้มีอาชีพที่ดีในอนาคต
“แบคฮยอนรู้ฮะฮยอง...แต่จะปล่อยให้ฮยองนอนแบบนี้เกิดเป็นอะไรหนักขึ้นมาใครจะช่วยเล่าฮะ มีกันแค่ 2 คนนะฮยอง” น้องชายเอ่ยออกมาน้ำเสียงจริงจัง เพราะครอบครัวที่จากไปตั้งแต่ยังเยาว์วัยทำให้เซฮุนเป็นผู้นำของครอบครัวที่มีเพียงเขาและน้องชายมาตลอด ร่างบางเริ่มทำงานเสียตั้งแต่ยังไม่จบไฮสคูลด้วยซ้ำ และเมื่อจบไฮสคูลเขาก็เลือกที่จะหยุดเรียนและส่งน้องชายคนเดียวศึกษาแทน
“ใช่...เพราะเรามีกันแค่ 2 คนไงแบคฮยอน ฮยองถึงได้อยากให้แบคฮยอนไปเรียน” รอยยิ้มบางๆ เผยออกมาที่ริมฝีปากสวยของผู้เป็นพี่ แววตาคู่หวานจ้องมองไปที่น้องชายจอมดื้อของตนเอง ราวกับต้องการยืนยันว่าสิ่งที่เขาหวังไว้เป็นสิ่งดีๆที่อยากให้น้องได้รับ
“เดี๋ยวแบคฮยอนก็จะไปเรียน แต่ฮยองน่ะต้องทานข้าวแล้วก็ทานเครื่องดื่มนี่ด้วย นอนพักแล้วถ้าไม่ไหวไม่ต้องไปทำงานรู้ไหมฮะ” น้องชายตัวเล็กสั่งอย่างห่วงใย เขาไม่อยากให้เซฮุนทำเพื่อเขามาจนร่างกายไม่ไห และนี่ถือเป็นอีกเหตุผลที่แบคฮยอนรับงานจากอาจารย์มาทำบ่อยครั้ง เพียงเพื่อจะได้แบ่งเบาภาระของพี่ชายให้ลดน้อยลง
“รู้แล้วๆเจ้าตัวแสบ...ไปเรียนเถอะไปเดี๋ยวฮยองจัดการเอง” ร่างเล็กบอกปัดน้องรักพร้อมไล่เจ้าตัวดีไปมหาวิทยาลัย แต่แบคฮยอนยังคงไม่ขยับตัว ก่อนจะหันมาสั่งต่อ
“จะโทรไปหาพี่จื่อเทาคนหล่อด้วยว่าพี่ขอลางาน ไม่ต้องไปทำงานดีกว่าเนอะ เพราะถ้าแบคฮยอนไม่บอกดักไว้พี่ก็จะฝืนไปทำงานอีก” คนเป็นน้องบ่นออกมาเพราะรู้ดีว่าพี่ชายของตนเองดื้อดึงมากเพียงใด ใบหน้าหวานพยักหน้ารับคำอย่างว่างายก่อนจะยกมือขึ้นโบกไล่ให้น้องชายตัวแสบไปเรียน
“ไปเรียนเถอะ...อ่อ..แบคฮยอนบนโต๊ะน่ะมีเงินเงินหรือเปล่า” ถามขึ้นเมื่อนึกออกมาว่าตนเองยังไม่เห็นเงินสำหรับค่าจ้างเมื่อคืนเลย
“มีฮะ...ซองสีขาวๆหนาๆ” แบคฮยอนตอบหลับหลังจากทำการสำรวจหาสิ่งของที่พี่ชายว่า
“อืม...ฮยองให้เก็บไว้นะแล้วจะหามาให้อีก” ร่างสวยบอกพร้อมจะพลิกตัวไปอีกฝั่งเพื่อพักผ่อน เพราะชีวิตของร่างเล็กมีเพียงน้องชายเท่านั้น และทุกๆหยาดเหงือของเจ้าตัวเพียงเพื่อให้แบคฮยอนได้สุขสบาย แม้ตัวเขาจะลำบากแต่แบคฮยอนต้องไม่ลำบาก สายเลือดเดียวที่หลงเหลืออยู่เขาไม่อาจจะละเลยได้ เพราะมันคือหน้าที่ของหัวหน้าครอบครัว...
....................................
กว่าจะอัพ ;____; พึ่งเสร็จงานครับบบบ
มาอัพให้แล้วขอคอมเม้นหน่อยน๊าาาาาาา
><
ความคิดเห็น