คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : During rainy day
Chapter seven
During rainy day.
Rain Season, 2009
เปรี้ยงงง!!!
ร่างของเด็กชายกระตุกเฮือกตื่นจากห้วงความฝัน หอบหายใจถี่แรง ฝ่ามือกำแน่นตรงอกซ้ายที่มีก้อนเนื้อเต้นระรัวอยู่ด้านในจนเนื้อผ้ายับย่น อากาศค่อนข้างเย็นและในคืนนี้ฟ้าร้องครืนและผ่าดังเปรี้ยงปร้างเกินกว่าเด็กชายจะข่มใจนอนหลับได้อีกต่อไป อี้ฟานกดเปิดโคมไปตรงข้างเตียงแต่มันกลับไม่ส่องสว่างเหมือนเคย เด็กชายจึงลุกเดินโซเซไปเปิดไฟแต่ทุกอย่างยังคงมืดสนิท
ไม่ชอบเลย ไม่ชอบเลยสักนิด คืนที่พายุเข้าแบบนี้มันทำให้อี้ฟานนึกถึงคืนที่พ่อตีเขาตอนที่แม่ไม่อยู่ พ่อตีลงมาซ้ำๆ ไม่สนใจอะไรแม้เด็กชายจะทั้งร้องไห้ทั้งขดตัวหนี คำด่าทอของพ่อในคืนนั้นพรั่งพรูเข้ามาในหัว อี้ฟานเกลียดตอนที่พายุเข้าเหลือเกิน มันทำให้เขานึกถึงความทรงจำเลวร้ายแม้จะไม่อยากนึก
“ ...ฮึก แม่ครับ ”
ร่างเล็กๆ นั่งขดตัวปิดหูอยู่บนเตียงกว้างเพียงลำพัง ตุ๊กตาหมีตัวใหม่ในชุดนอนลายทางที่เพิ่งจะได้มาไม่นานนี้ถูกกอดแน่น ถึงอย่างนั้นมันกลับไม่ทำให้รู้สึกอุ่นใจมากพอ เสียงฟ้าร้องครืนๆ ดังขึ้นพร้อมกับหยดน้ำตาที่เอ่อล้น อ้อมแขนเล็กกอดตุ๊กตาหมีอย่างต้องการที่พักพิง
แต่ความจริงอี้ฟานแค่อยากได้อ้อมกอดของใครสักคนในคืนที่น่ากลัวแบบนี้
สักอ้อมแขนที่ตระกองกอดเด็กชายไว้ด้วยความรัก
“ แม่ครับ ผมคิดถึงแม่ ”
แกรก
“ อี้ฟาน ”
เสียงเรียกแผ่วเบาตรงหน้าประตูห้องดังขึ้นพร้อมกับแสงสว่างไสวของเชิงเทียนในมือร่างบอบบางในชุดนอนแขนยาวสีเทา ห้องมืดๆ เริ่มสว่างขึ้นอีกนิดจนสามารถมองเห็นคนที่ค่อยๆ เดินเข้ามาหยุดใกล้เตียงของเด็กชายได้ชัดเจน อี้ฟานสะอื้นฮักๆ
“ ตกใจเสียงฟ้าผ่าเหรอ? ”
อาเล่ยกระซิบถามเบาๆ เชิงเทียนถูกวางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างระมัดระวัง อี้ฟานพยักหน้าหงึกหงักทั้งใบหน้าเลอะคราบน้ำตา
“ คะ...คิดถึงแม่ ”
ฟ้องเบาๆ ด้วยเสียงอู้อี้แล้วรีบซุกหน้าลงกับตุ๊กตาหมีเมื่อฟ้าร้องขึ้นมาอีกครั้ง
“ งั้นให้กอดดีมั้ย? ”
“ ที่นี่มีแต่อาเล่ย อี้ฟานกอดอาเล่ยแทนได้มั้ยล่ะ ”
มีคนคนหนึ่งคงไม่รู้ว่า...ตอนที่เดินถือเชิงเทียนสว่างไสวเข้ามาในห้อง
อ้อมแขนที่อ้ากว้างรอ รอยยิ้มอบอุ่น เด็กชายช้อนตาขึ้นมองใบหน้าหวานละมุนละไมอย่างชั่งใจ และกว่าจะรู้ตัวร่างทั้งร่างกลับโผเข้ากอดอีกคนเสียแนบแน่น อี้ฟานซุกใบหน้าลงตรงไหล่ของอีกคนพลางสูดจมูกฟุดฟิด ตอนนั้นเองที่เหมือนความหวาดกลัวได้จางหายไป
“ ผมคิดถึงแม่ ฮึก ผมกลัว ผมคิดถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว ”
เด็กชายเริ่มพรั่งพรูความในใจ แม้จะจากบ้านหลังนั้นมาได้ปีกว่าแต่ความทรงจำยังคงตอกลึกลงไปในสมอง แค่คิดถึงมันก็แทบกลัวจนตัวสั่น ไม่เคยลืมเลย...ตอนที่พ่อเงื้อมือขึ้นแล้วฟาดลงมา
“ คืนนั้นพายุเข้าแล้วพ่อก็เอาแต่ตีผม อาเล่ย...ตอนนั้นผมเจ็บมากๆ เลย มันเหมือนจะตาย ”
“ ชู่ววว มองอาเล่ยก่อนอี้ฟาน ”
“ ฮึก ”
…กลับเป็นการก้าวเข้ามาทำให้โลกใบเล็กๆ ของเด็กชายสว่างไสวไม่ต่างกัน
“ มองฉัน ”
ฝ่ามืออุ่นประคองใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาให้เงยขึ้นสบตากัน เด็กชายมองลึกเข้าไปในดวงตาที่ต้องแสงเทียนจนเป็นประกายวูบไหว นิ้วโป้งเกลี่ยบนผิวแก้มของเขา อี้ฟานมองเห็นความอบอุ่นในแววตาคู่นั้นยามที่จ้องมองมายังตัวเขา
“ ที่นี่มีแต่เรา ไม่มีคนใจร้าย ไม่มีใครจะมาทำร้ายนายอีกแล้ว ”
ดวงตาที่เพียงแค่จ้องมองมากลับทำให้รู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด
“ ช่วยคิดถึงแต่อาเล่ยได้หรือเปล่า? ”
“ อย่าไปคิดถึงเรื่องแย่ๆ อีกเลยนะ ”
อี้ฟานพยักหน้า เขากอดอาเล่ยเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าอีกคนจะหนีหายไปไหน เขากลัวจริงๆ เพราะอาเล่ยเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเขาไปเสียแล้วเมื่ออี้ฟานต้องห่างไกลจากแม่ หากอีกคนเป็นเพราะอาทิตย์เด็กชายคงไม่ต่างอะไรจากโลกที่เป็นดาวเคราะห์ดวงเล็กกระจ้อยในกาแล็คซี่
“ คืนนี้ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนนายนะ ”
“ ถ้ากลัวให้กอดแน่นๆ...แล้วฉันจะปกป้องนายเอง ”
Rain Season, 2015
มีใครบางคนนอนหลับตาพริ้มอยู่บนโซฟาตัวโปรดของพวกเขา บนหน้าอกมีนวนิยายเรื่อง One Day ของ David Nicholls วางคว่ำอยู่และมันก็ขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ อากาศเย็นๆ ในหน้าฝนชวนให้รู้สึกอยากงีบหลับอาเล่ยถึงได้เผลอหลับไปเลยทั้งที่ยังอ่านหนังสือไปไม่ถึงไหน
อี้ฟานละสายตาออกมาจากหน้าจอทีวี ขยับเปลี่ยนท่าทางเล็กน้อยก่อนจะย้ายตำแหน่งสายตาจากหน้าจอทีวีมาจ้องหน้าของคนหลับแทน เปลือกตาบางปิดสนิท ริมฝีปากเผยอเล็กน้อย ทุกอย่างที่ประกอบเป็นอาเล่ยช่างดูสบายตาไปเสียหมด ซึ่งอี้ฟานเองก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม
เด็กหนุ่มเอนหัวซบลงในตำแหน่งที่จะสามารถนอนมองใบหน้ายามหลับของอาเล่ยได้ใกล้ๆ ปล่อยให้ทีวีดำเนินไปโดยไม่ได้หันไปมอง ปลายนิ้วเรียวแตะลงบนริมฝีปากอิ่มของอีกคนก่อนจะหดนิ้วกลับเหมือนโดนไฟฟ้าช็อต
“ อาเล่ย ”
ส่งเสียงร้องเรียกอยู่ใกล้ๆ แต่อาเล่ยก็ยังนอนนิ่งพร้อมกับผ่อนลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ เขาค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาทีละน้อย อี้ฟานกุมมืออาเล่ยเอาไว้ในอุ้งมือตัวเอง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มือของเขาใหญ่จนสามารถกุมมืออีกคนไว้จนมิดแบบนี้ แต่นั่นก็ดีแล้ว...เขาจะได้ปกป้องอาเล่ยได้
ปล่อยเวลาผ่านไปสักพักและไม่ยอมละสายตาออกจากใบหน้าของพ่อทูนหัว อี้ฟานหลับตาลงช้าๆ เขานึกถึงเนื้อเพลงบนกระดาษยับๆ ที่อาเล่ยแต่ง นึกถึงทำนองที่เคยได้ยินอาเล่ยฮัมเพลงบ่อยๆ
무심코 땅을 봐 Like
ผมเผลอมองลงบนพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
너의 이름 세글자 너무나 설레는걸 Baby
ว้าวุ่นใจกับชื่อสามพยางค์ของเธอ ที่รัก
ริมฝีปากจรดลงบนปลายนิ้วเล็กแผ่วเบาตั้งแต่นิ้วโป้งไปจนถึงนิ้วก้อย...ทีละนิ้ว...ทีละนิ้วจนครบ มือคู่นี้นี่เองที่คอยกอดปลอบประโลมและทำทุกอย่างให้อี้ฟานมาตลอดหลายปี และให้ตายเถอะ อี้ฟานเสพติดไออุ่นจากมันเสียแล้วล่ะ เขาฮัมเพลงคลอไปเบาๆ กับสิ่งที่กำลังทำ
“ อือ จั๊กจี้ ”
เสียงพูดงึมงำทำให้เขาหลุดหัวเราะออกมาในทันที เด็กหนุ่มยอมปล่อยมือเล็กให้เป็นอิสระก่อนที่จะถูกบิดจมูกไปหนึ่งครั้ง อี้ฟานหัวเราะคิกคัก พยายามเอาหัวซุกกับหน้าท้องนุ่มๆ ของอาเล่ย
จนได้เกยคางไว้บนโซฟา ใบหน้าใกล้กับอาเล่ยจนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ปลายจมูกของพวกเขาห่างกันเพียงแค่หน่วยมิลลิเมตร...และอี้ฟานก็หยุดแค่นั้น
“ ร้องต่อสิ... ”
“ ที่แท้ก็แอบฟังอยู่นี่เอง ”
ไม่ได้หลับแต่แกล้งหลับงั้นเหรอ อาเล่ยคลี่ยิ้มยอมรับแต่โดยดี นิ้วเรียวยื่นมาแตะเบาๆ ตรงริมฝีปากของเขาคล้ายจะบอกเป็นนัยว่าให้ร้องเพลงต่อ
“ เสียงเพราะจังเลยเจ้าแมว เพราะงั้นต้องร้องต่อนะ ”
“ ผมก็ร้องเพลงที่อาเล่ยแต่งได้ทุกเพลงนั่นแหละ ”
แล้วก็เป็นคนแรกที่ได้ร้องมันด้วยถ้าไม่นับคนแต่งเพลงน่ะ มันเป็นยิ่งกว่าความภูมิใจเสียอีก อี้ฟานชอบทุกเพลงที่อาเล่ยแต่งแม้กระทั่งเพลงนี้ที่ยังไม่เสร็จดี เพลงที่มีแต่กลิ่นอายของเรา
네 작은 상처 하나 내가 아물게 해줄게
ผมจะช่วยสมานรอยแผลเล็กๆ ของเธอเองนะ
나의 사랑 그대
ความรักของผมคือเธอ
“ ถ้าร้องไม่ได้สิแปลก ”
“ ทำไมล่ะ? ”
“ ก็เพลงนี้เป็นเพลงของอี้ฟานนี่นา ”
อาเล่ยยันตัวลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิบนโซฟา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกายและหยีเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว เด็กหนุ่มใจกระตุกไปตั้งหลายทีกว่าจะหลบสายตามองไปที่รอยยิ้มของอีกฝ่ายได้
“ ถ้าเจ้าของเพลงร้องเพลงของตัวเองไม่ได้คงจะตลกน่าดูเลยว่ามั้ย? ”
…
เจ้ารถ Fiat 500 Classic เพื่อนยากของเลย์จอดสนิทตรงข้างฟุตบาทในระยะทางไม่ห่างจากร้านสักเท่าไหร่นัก ฝนตกเปาะแปะ เขาหยิบร่มออกมาจากรถก่อนจะกางมันออก มืออีกข้างหอบกระเป๋าโน้ตบุ๊คกับแฟ้มเอกสารนิดหน่อยเดินทุลักทุเลไปหยุดตรงหน้าร้าน เลย์ไม่สามารถเปิดประตูร้านได้ตราบใดที่มือของเขายังต้องถือทั้งร่มและกระเป๋าโน้ตบุ๊ค
“ ทิ้งร่มเลยดีมั้ยเนี่ย... ”
ปกติถ้าไม่ได้เอากระเป๋าโน้ตบุ๊คมาด้วยเขาก็คงจะวิ่งฝ่าฝนไปแล้ว เลย์ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าร้านตั้งนานก่อนจะมีมือปริศนาฉวยร่มในมือไป กลิ่นน้ำหอมไม่คุ้นจมูกกับแผ่นอกแข็งแรงของใครสักคนซ้อนอยู่ด้านหลังของเขา เลย์ส่งเสียงเล็กน้อยเพราะตกใจ
“ อ๊ะ ”
“ อรุณสวัสดิ์ครับ ผมเห็นคุณเจ้าของร้านยืนอยู่ตั้งนานแล้วเลยคิดว่าคุณอาจต้องการความช่วยเหลือ เดี๋ยวผมช่วยนะครับ ”
“ สวัสดีครับคุณนัมจูฮยอก อ่า...ดีจังเลย ”
คุณลูกค้า ไม่สิ...คนที่ขอมาหลบฝนในร้านของเลย์เมื่อตอนนั้นนี่เอง คุณนัมจูฮยอกเกาจมูกเล็กน้อยอีกทั้งยังช่วยถือร่มกันฝนให้เลย์อีก เขารีบโค้งตัวขอบคุณทันที
“ ขอบคุณครับ ถ้าไม่ได้คุณผมคงลำบากแย่ ”
เลย์หันไปสนใจที่จะเปิดประตูร้านได้สักพักก็หันกลับมายิ้มหวานเชื้อเชิญอีกคนให้เข้าไปด้านใน
“ คุณรีบมั้ยครับ? ถ้าไม่รีบก็หลบฝนที่นี่ก่อนก็ได้ ”
“ ถ้าอย่างนั้นคงต้องรบกวนแล้วล่ะครับ ”
ร้านดอกไม้ที่ขนาดไม่ใหญ่มากทำให้เลย์สามารถจัดการทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว ไม่ก็มีบางครั้งที่อี้ฟานอาสาช่วยทำบางส่วน เอาเป็นว่าเขามีความสุขกับงานที่ทำดีแต่เพราะต้องทำงานคนเดียวก็มีบ้างที่เหงาๆ ถ้าไม่นับลูกค้าประจำคุณนัมจูฮยอกคนนี้ก็ถือว่าได้คุยกันเยอะพอสมควร
ท่าทางสุขุมกับใบหน้าแต้มยิ้มตลอดเวลาแบบนั้นเดาไม่ยากเลยว่าอีกฝ่ายคงทำงานตำแหน่งใหญ่โตในบริษัทแถวๆ นี้ก็เป็นได้ การแต่งตัวก็ดูพิถีพิถันเป็นพิเศษ เลย์เดินจัดของทั่วร้านขณะปล่อยให้แขกคนพิเศษนั่งจิบกาแฟไปพลางๆ มีบางครั้งที่แอบมองคุณนัมจูฮยอกแล้วก็เผลอคิดไปว่าถ้าเจ้าเด็กอี้ฟานโตขึ้นจะเป็นผู้ใหญ่ท่าทางสุภาพอ่อนโยนแบบนี้หรือเปล่านะ?
ภาพจินตนาการตอนโตเป็นผู้ใหญ่ของอี้ฟานลอยอยู่ในหัว และเลย์ก็แค่ขำกับความคิดบ้าๆ บอๆ ของตัวเอง ยังไงก็ตามเด็กนั่นน่ะคงจะโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้แน่ๆ
“ คุณเปิดร้านเวลานี้ประจำเลยเหรอครับ? ”
เลย์ยิ้มน้อยๆ ตอบกลับประโยคคำถามเสียงนุ่ม
“ เช้ากว่านี้นิดนึงน่ะครับ ”
ถ้าเด็กที่บ้านไม่งอแงมัวแต่อ้อนเขาก็คงจะได้ออกมาเปิดร้านเร็วกว่านี้ คิดแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม
“ ว่าแต่คุณนัมจูฮยอกทำงานแถวนี้หรือเปล่าครับ ”
“ อ่า ใช่ครับ ห่างจากที่นี่ไปแค่สองกิโลเอง ”
“ อย่างนี้นี่เอง ”
“ คุณเลย์เปิดร้านนี้มานานหรือยังครับ ”
“ ก็สามสี่ปีเห็นจะได้ครับ ”
“ เสียดายจังที่มาเจอที่นี่ช้าไปหน่อย คงต้องขอบคุณที่ฝนตกวันนั้นซะแล้วล่ะครับ ”
บทสนทนาระหว่างเพื่อนใหม่ดำเนินไปเรื่อยๆ เลย์รู้สึกเพลิดเพลินไม่น้อย คุณนัมจูฮยอกมองเผินๆ ดูเหมือนไม่ใช่คนช่างพูดสักเท่าไหร่แต่ความจริงก็คุยสนุกใช่ย่อย นานมากแล้วที่เลย์ไม่ได้มีเวลามานั่งคุยสัพเพเหระกับเพื่อนใหม่แบบนี้ เวลาส่วนมากเขาก็ทุ่มเทให้เจ้าแมวที่บ้านหมดนั่นล่ะ
ว่าแต่อี้ฟานจะเริ่มเรียนแล้วหรือยังเนี่ย...
กว่าจะรู้ตัวก็ใกล้แปดโมงแล้ว คุณนัมจูฮยอกยกนาฬิกาขึ้นมาดูในจังหวะเดียวกับที่มีลูกค้าคนแรกของวันเดินเข้าร้าน เลย์ส่งเสียงทักทายอย่างสดใสและไม่ลืมหันไปยิ้มให้คุณนัมจูฮยอก ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็ถึงเวลาต้องเข้างานแล้วเช่นกัน
“ ต้องไปแล้วสินะครับ ”
“ อ่า...ครับ ใช่ครับ ”
“ ขอบคุณที่ช่วยอยู่เป็นเพื่อนคุยนะครับ เดินทางปลอดภัยล่ะ ”
เลย์เอ่ยปากบอกให้ลูกค้าเดินดูดอกไม้ได้ตามใจชอบและแสดงน้ำใจเดินมาส่งคุณนัมจูฮยอกถึงหน้าประตูร้าน อวยพรสักเล็กน้อยก่อนเตรียมจะหันหลังเดินกลับไปแต่กลับถูกคว้าตัวเอาไว้เสียก่อน คุณนัมจูฮยอกยังคงยิ้มกว้าง อีกฝ่ายปล่อยแขนเลย์ช้าๆ แล้วยกมือขึ้นเกาหัว
“ คุณเลย์... ”
“ ครับ? ”
“ ถ้าไม่รังเกียจอะไรล่ะก็...พรุ่งนี้ผมจะมาอีกได้มั้ยครับ? ”
เลย์ยิ้มหวาน...เคยรู้อะไรที่ไหนกัน
“ ได้สิครับ ร้านของผมต้อนรับคุณนัมจูฮยอกเสมอ ”
...
สัมผัสหนักๆ ตรงบ่าพร้อมกับเสียงโหวกเหวกดังขึ้น รอบตัวถูกล้อมไปด้วยกลุ่มเพื่อนในห้องและแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง อี้ฟานถอนหายใจหนักๆ เขาแอบเหลือบมองออกไปข้างนอกหน้าต่างและมองนาฬิกาบนผนังห้องเรียนด้วยความลังเลใจ
กำลังจะสี่โมงและถึงเวลาต้องกลับบ้านแล้ว เพียงแต่เขาไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้หากยังถูกห้อมล้อมด้วยคนเป็นสิบแบบนี้ ถึงอี้ฟานจะจัดว่าตัวโตกว่าเกณฑ์แต่ลำพังเขาคนเดียวกับเพื่อนทั้งห้องก็คงจะฝ่าออกไปไม่ไหวแน่
“ เหอะน่า งานเลี้ยงใหญ่ของห้องเราเชียวนะ! ถ้านายไม่ไปพวกเราคงเสียใจแย่ ”
เขาถูกรบเร้ามาตั้งแต่ก้าวขาเข้าห้องเรียนแล้ว เพราะเป็นวันเกิดของอาจารย์ที่ปรึกษาจึงได้พากันไปกินเลี้ยงยกห้อง อาจจะฟังดูแย่หน่อยแต่เขาไม่อยากไปไหนนอกจากกลับบ้านไปหาอาเล่ย นับสามสิบกว่าชีวิตต่างก็พุ่งความสนใจมาที่เขา อี้ฟานยิ้มออกมาจางๆ แม้ในใจจะเริ่มขุ่นมัว
“ ฉันรีบกลับบ้านน่ะ ”
“ อะไรของนายวะ เห็นรีบกลับบ้านทั้งปีนั่นแหละ ”
“ ช่ายย นายควรจะไปงานนี้นะรู้มั้ย ถ้าไปกันไม่ครบล่ะก็อาจารย์คงน้อยใจ ”
“ คือฉัน... ”
“ ไปเถอะน่า! ไปแค่ชั่วโมงเดียวก็ยังดีนะ! ”
“ แค่แป๊บเดียวเอง...นะ ”
สุดท้ายแล้วเสียงเล็กๆ ของเขาจะไปสู้เสียงข้างมากของคนเกือบทั้งห้องได้ยังไงกันล่ะ เด็กหนุ่มตกปากรับคำเพื่อนๆ ด้วยความจำใจ เขารู้สึกห่อเหี่ยวเมื่อนึกได้ว่าต้องเลื่อนเวลาการเจอหน้าอาเล่ยในรอบหลายชั่วโมงให้ยืดยาวไปอีก จำต้องยกสมาร์ทโฟนขึ้นมากดโทรออก อี้ฟานรู้ว่ายังไงอาเล่ยก็คงยอมให้ไปอยู่แล้วล่ะ แต่ติดตรงที่ว่าอี้ฟานไม่ได้อยากจะไปไหนสักหน่อย
[ไงเจ้าแมว]
และเขาทำผิดมหันต์ที่โทรหาอาเล่ย...เสียงนุ่มๆ ดังลอดมาตามสายหัวใจเขามันก็วิ่งกลับบ้านไปโน่นแล้ว อยากกลับไปกินอาหารฝีมืออาเล่ย อยากนอนอ่านหนังสืออยู่บนโซฟานุ่มๆ และฟังอาเล่ยฮัมเพลงเบาๆ คลอไปด้วย แย่ชะมัดเลย
“ อาเล่ย เย็นนี้ผมไปกินเลี้ยงกับเพื่อนในห้องได้มั้ย? ”
[อ่า...เอาสิ นานๆ ทีอี้ฟานจะยอมออกไปไหนนี่นา]
เสียงหัวเราะสดใสดังตามมาอีกครั้ง เขาหวังอยากให้อีกฝ่ายตอบว่าไม่อนุญาตแต่ก็ต้องผิดหวัง
“ แล้วผมจะรีบกลับนะ ”
[ให้ไปรับมั้ย? กลับมืดค่ำอันตรายนะ]
“ ไม่เอา เดี๋ยวผมจะกลับบ้านเอง ”
[ไม่ให้ไปรับจริงๆ เหรอ? ไปรับได้นะ]
“ อาเล่ยแค่รอรับผมอยู่บ้านก็พอ อย่าหนีไปไหนล่ะ ”
อาเล่ยแค่หัวเราะเบาๆ พนันได้เลยว่าตอนนี้อีกฝ่ายคนต้องย่นจมูกเพราะหมั่นเขี้ยวเขาแน่ๆ ก็เพราะเวลาอี้ฟานพูดแบบนี้ทีไรน่ะอาเล่ยก็มักจะทำมันทุกทีเลยน่ะสิ สายตาของคนทั้งห้องจ้องมาอย่างกดดันทำให้อี้ฟานไม่สามารถแสดงอาการกระเง้ากระงอดเหมือนตอนอยู่กับอาเล่ยสองคนออกมาได้
หัวใจของเด็กหนุ่มลิงโลดเมื่อได้พูดคุยกับพ่อทูนหัวคนดี ใครจะรู้ว่าภายใต้สีหน้านิ่งๆ รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าอี้ฟานกำลังรู้สึกแบบไหน
[จะหนีไปไหนได้ล่ะเจ้าแมว]
กับเสียงกระซิบที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจ
[จะรออยู่ที่บ้านนะ]
อี้ฟานเก็บสมาร์ทโฟนใส่กระเป๋าท่ามกลางเสียงเฮลั่นห้องเมื่อเขาพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าผู้ปกครองอนุญาตแล้ว เด็กหนุ่มถูกลากออกจากโรงเรียนไปกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ ท่ามกลางเสียงพูดคุยก็คงจะมีเพียงแค่เขาคนเดียวล่ะมั้งที่เฉยชากว่าใคร สิ่งที่เขาไม่เคยบอกใครเลยว่าเขาน่ะเกลียดเสียงดังโหวกเหวกที่สุด แต่นอกจากยิ้มอี้ฟานก็ไม่ได้แสดงอะไรออกไปมากนัก ทำเหมือนคนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
แน่ล่ะ หัวใจของเขาตอนนี้อยู่กับอาเล่ยที่บ้านต่างหาก
และถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะหายตัวกลับบ้านได้สักที
ไม่ต้องกลัวดราม่าน้ำตาไหลนองนะคะทุกคน เราไม่แต่งดราม่าจริงๆ ค่ะ ไม่ต้องกลั๊ว
อย่างมากก็แค่หน่วงๆ บ้างให้มีอรรถรสในการอ่านเนอะ เรื่องนี้เน้นละมุนค่ะ
ไม่มีปมอะไรมาก มีใครคิดถึงเราบ้างมั้ยคะ? 555555555
ความคิดเห็น