คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : You fill the empty space
Chapter five
You fill the empty space.
“ วันนี้เราลองเปลี่ยนมานั่งรถบัสกันบ้างดีมั้ย? ”
ช่วงเช้าวันศุกร์ในฤดูฝนปี 2015 เด็กหนุ่มได้เกริ่นประโยคนี้ออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อี้ฟานยืนสบตากับอาเล่ยผ่านกรอบประตูห้องครัว เขากำลังชักชวนอาเล่ยเปลี่ยนบรรยากาศไปขึ้นรถบัสแทนการขับรถกลับบ้านในเย็นนี้ ซึ่งที่จริงแล้ว...ถ้าหากขึ้นรถบัสกลับนั่นเท่ากับว่าพวกเขาจะต้องอ้อมบ้านตัวเองตั้งหนึ่งรอบก่อนที่รถบัสจะมาจอดป้ายรถใกล้ๆ ร้านดอกไม้ของอาเล่ยอีกที
มันอาจจะเป็นการเดินทางที่แสนยุ่งยากและสิ้นเปลืองไปสักหน่อยแต่เชื่อเถอะว่ามันยิ่งกว่าคุ้ม อี้ฟานแค่อยากจะยืดเวลากลับบ้านดูบ้าง เขาเคยเห็นใครหลายคนเดินจูงมือกันขึ้นรถบัส ก็แค่คิดว่าดูน่ารักดีเลยอยากจะลองทำมันสักครั้ง แน่นอนว่าต้องทำกับอาเล่ยเท่านั้น
แม้อีกคนจะแสดงสีหน้าประหลาดใจแค่ไหนแต่สุดท้ายคำตอบก็คือตกลง การเริ่มต้นเช้าวันใหม่ของอี้ฟานจึงเป็นไปด้วยดี เขาย้ำให้อีกคนมาเจอกันตรงป้ายรสบัสหน้าโรงเรียนแล้วเราก็จะขึ้นรสบัสด้วยกัน เย็นวันนี้มันคงจะเป็นประสบการณ์ที่ดีมากแน่ๆ
“ แปลกจังนะ ทำไมอยู่ๆ ถึงอยากจะขึ้นรสบัสล่ะ ”
“ ไม่รู้สิ ไม่มีเหตุผล แต่อาเล่ยไม่คิดว่ามันสนุกหรอกเหรอ? ”
“ ขึ้นรสบัสมันสนุกตรงไหนกันล่ะเด็กน้อย ”
คล้ายจะบ่นแต่ใบหน้าหวานๆ กลับระบายไปด้วยรอยยิ้มอย่างนั้นแล้วแบบนี้จะทำให้อี้ฟานกลัวได้ยังไงล่ะ และเพราะมัวแต่อมยิ้มตามอีกคนกว่าจะรู้ตัวรสบัสก็มาถึงเสียแล้ว ฝ่ามือนุ่มนุ่มคว้ามืออี้ฟานไปจับก่อนจะดึงให้เดินตามหลังขึ้นไปบนรถบัสโดยที่อี้ฟานยังรู้สึกงงงวย
เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาทันทีที่นึกได้ว่าตัวเองทำพลาด ทั้งที่ตอนแรกกะจะพาอีกคนมานั่งรถเล่นคอยดูแลใกล้ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาต้องให้อาเล่ยมาดูแลแทนซะได้
“ คนไม่เยอะเท่าที่คิดนะเนี่ย ”
“ งั้น...นั่งตรงนั้นกันเถอะอาเล่ย ”
มีที่นั่งว่างเปล่าเหลืออยู่เยอะทีเดียวถ้าเทียบกับวันอื่นๆ อี้ฟานกดไหล่อาเล่ยให้นั่งลงกับเบาะ ช่วยอีกคนปัดหยดน้ำชื้นๆ ออกจากผมและเสื้อคลุมตัวนอกก่อนจะกลับไปยืนจับราวแทนที่จะนั่งลงข้างๆ อีกคน
“ มานั่งตรงนี้สิ ที่นั่งเหลือตั้งเยอะแยะไม่เห็นต้องไปยืนแบบนั้นเลย ”
เพราะเขามีแผนนิดหน่อยน่ะสิ
“ ผมยืนนี่แหละดีแล้ว อาเล่ยต้องนั่งให้สบายๆ สิ ”
“ เอางั้นเหรอ? อือ...งั้นโน้มตัวลงมาหน่อยซิ ”
โน้มตัวลงตามคำสั่งนุ่มนวลง่ายดาย อาเล่ยเพียงแค่ช่วยปัดละอองน้ำบนหัวเขาออกไปและตบแก้มเขาเบาๆ อี้ฟานยิ้มหวาน อา...เด็กหนุ่มชอบจริงๆ เวลาที่อาเล่ยดูแลเอาใจใส่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับตัวเขาแบบนี้
บรรยากาศในรถบัสเงียบสงบ มีคนนั่งอยู่ไม่ถึงสิบคนและมีแค่เขาคนเดียวที่ยืน อาเล่ยมองออกไปข้างนอกหน้าต่างที่มีแต่หยดน้ำเกาะพราว เส้นทางกลับบ้านวันนี้ดูแปลกตาออกไปนิดหน่อยแต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดี พวกเขาสองคนเงียบไปพักใหญ่ อาเล่ยเอาแต่มองวิวข้างหน้าต่างขณะที่อี้ฟานเอาแต่มองใบหน้าด้านข้างของอีกคนเพลินๆ
“ คุณมาจากที่ไหนเหรอครับ? ”
แผนการเรียกร้องความสนใจได้ผลเมื่ออาเล่ยค่อยๆ หันกลับมามองด้วยรอยยิ้มจางๆ
“ ผมมาจากกวางโจว นั่นมันก็นานแล้วล่ะครับ ผมอยู่เกาหลีมาได้สิบกว่าปีแล้ว ”
คราวนี้อาเล่ยเผลอหัวเราะออกมา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนโค้งปิดเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว สถานการณ์สมมติดำเนินต่อไปอย่างเรียบง่ายด้วยเสียงพูดคุยเบาๆ
“ ผมมาจากฉางซา มาที่นี่เพื่อเรียนต่อน่ะ...ตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบสิบปีแล้วเหมือนกัน ”
“ แล้วคุณกำลังจะไปไหนเหรอครับ? ”
“ กลับบ้านน่ะครับ ”
“ ผมก็กำลังจะกลับบ้านเหมือนกัน ”
ถ้าหากพวกเขาเป็นคนแปลกหน้าต่อกันจริงๆ อี้ฟานคงจะตามอาเล่ยไปจนกว่าจะโดนจับได้ว่าแอบตามมาล่ะมั้ง? ถ้าหากว่าพวกเขาไม่เคยได้รู้จักกันมาก่อนอี้ฟานคงจะตามจนกว่าจะได้รู้จักอาเล่ย แต่มานึกดูอีกทีก็ไม่เอาดีกว่า...
การได้รู้จักอาเล่ยคือเรื่องที่ดีที่สุดของอี้ฟานแล้ว
“ ทำไมคุณถึงมาพูดกับผมล่ะ อยากรู้จักผมเหรอครับ? ”
เจ้าของยิ้มหวานละมุนพูดหยอกๆ ด้วยโทนเสียงน่าฟัง เส้นผมถูกนิ้วเล็กเกี่ยวไปทัดหูเพราะแรงลมจากด้านนอก เด็กหนุ่มยื่นมือเข้าไปช่วยจับผมยุ่งๆ ไปทัดหูอีกแรง คงไม่มีคนแปลกหน้าที่ไหนทำแบบนี้ตอนเจอกันครั้งแรกหรอกนะ
“ คุณจะอนุญาตให้เราได้รู้จักกันหรือเปล่าครับ ”
“ ...เคยปฏิเสธด้วยเหรอ? ”
อี้ฟานหลุดยิ้มออกมาซะกว้าง เขากระแอมเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปสบตากับอีกคนตรงๆ
“ ผมอู๋อี้ฟาน แล้วคุณ...? ”
อาเล่ยจ้องกลับมา ดวงตาเป็นประกายสดใสคล้ายแสงแดดยามเช้าแม้วันนี้ ตอนนี้จะไม่มีแสงแดดเลยก็ตาม อากาศค่อนข้างเย็นแต่เขากลับรู้สึกอบอุ่นไปทั้งตัว
“ จางอี้ชิงครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ”
ดวงตาพร่าเบลอ
หัวใจเต้นแรง
อาการเดิมกลับเข้ามาจู่โจมอีกครั้งจนเด็กหนุ่มแทบทรุด
สุดท้ายแล้วเขาจึงทิ้งตัวนั่งลงข้างอีกคนแต่โดยดี อี้ฟานเอนหัวพิงข้างขมับคนตัวเล็กกว่า วางมือทับลงบนหลังมือของอาเล่ยและยิ้ม
“ ผมแค่อยากจะลองดูว่าถ้าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนมันจะเป็นยังไงตอนเรามาเจอกันโดยบังเอิญ มันก็ไม่เลวนะ ผมชอบมากเลยล่ะ ”
ปลายนิ้วเริ่มแตะโต้ตอบกันไปมา หยอกล้อ และให้ความรู้สึกจั๊กจี้ไปถึงหัวใจ
“ แต่มานึกๆ ดูแล้วผมไม่อยากจะย้อนเวลาหรอก ถ้าเกิด...อาเล่ยไปเป็นของคนอื่นผมจะทำยังไง ”
“ ผมไม่ยอมหรอกนะ ”
ตัวอาเล่ยหอมไปหมดไปว่าปลายจมูกจะเฉียดผ่านไปตรงไหน อี้ฟานปล่อยให้อีกคนเกาคางตัวเองเหมือนแมว ส่วนแขนก็คว้ากอดเอวเล็กเอาไว้อย่างออดอ้อน ซุกซบเหมือนเด็กน้อยที่ต้องการความอบอุ่นในวันที่อากาศเย็นชื้นและมีฝนตกแบบนี้
“ นี่คุณครับ ”
น้ำเสียงนุ่มนวลกระซิบอยู่ใกล้ใบหู อี้ฟานยังคงหลับตาพริ้ม
“ ไหนๆ เราก็จะกลับบ้านเหมือนกันอยู่แล้ว... ”
“ ทำไมเราถึงไม่กลับบ้านด้วยกันซะเลยล่ะ? ”
…
เช้าวันอาทิตย์รายการทีวีช่องโปรดสะกดให้อี้ฟานละสายตาไปจากจอภาพไม่ได้ นอนเหยียดขายาวบนโซฟาพร้อมกับหมอนหนึ่งใบ ชาร้อนๆ ที่ถูกนำมาวางบนโต๊ะหน้าโซฟาเมื่อยี่สิบนาทีก่อนส่งกลิ่นหอมชวนผ่อนคลาย มือข้างหนึ่งม้วนผมของคนที่นั่งแต่งเพลงบนพื้นพรมเล่นเพลินๆ ส่วนมืออีกข้างก็หยิบคุกกี้บนจานที่วางอยู่บนหน้าท้องตัวเองเข้าปากเคี้ยวช้าๆ
สายตาเขามองหน้าจอทีวี นานๆ ทีจึงค่อยเหลือบมองลงด้านล่างดูอาเล่ยเขียนตัวหนังสือยุกยิกลงบนแผ่นกระดาษ เขาได้ยินเสียงอีกคนฮัมเพลงในลำคอและอดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงตามด้วย ดูเหมือนว่าเนื้อเพลงเมื่อคราวก่อนอาเล่ยจะยังแต่งไม่เสร็จดีเพราะอีกฝ่ายเอาแต่ฮัมเพลงแล้วก็หยุดคิด ฮัมเพลงแล้วก็หยุดคิดไปอีกที
“ อ้ามม ”
จ่อคุกกี้ถึงปากพร้อมกับส่งเสียงเร่งเร้าเหมือนเวลาหลอกล่อเด็กน้อยให้อ้าปากรับอาหาร อี้ฟานกลับไปนอนยิ้มดูทีวีตามเดิมเมื่ออาเล่ยงับคุกกี้ไปเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างไม่อิดออด
บางทีวันธรรมดาก็ไม่ธรรมดาเพราะได้ใช้เวลากับคนพิเศษ
คุกกี้ชิ้นเดียวถูกอี้ฟานกัดไปครึ่งหนึ่งอาเล่ยกัดไปครึ่งหนึ่ง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกว่าจะรู้ตัวคุกกี้ก็หมดจานเสียแล้ว รายการทีวีจบลงเด็กหนุ่มจึงค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นเอาหน้าไปเกลือกกลิ้งกับไหล่แคบ สูดกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มจากเสื้อสีอ่อน
“ อ้อนอะไรอีกเจ้าแมวตัวโต ”
“ ...เปล่า ”
“ งั้นก็นอนดูทีวีไปสิ ”
“ ไม่อยากดูแล้ว ”
แขนยาววาดกอดรอบคออาเล่ยก่อนจะโน้มตัวไปข้างหน้าเอาคางเกยไว้บนกลุ่มผมนุ่มโยกไปมาเบาๆ รายการทีวีช่องโปรดจบเขาก็ไม่รู้ว่าจะดูอะไรต่ออีก อี้ฟานหายใจเข้าออกแผ่วเบาคอยแต่จะหลุบตามองบนกระดาษจดเนื้อเพลงที่เริ่มเลอะเทอะ
“ เปิดดีวีดีดูสิอี้ฟาน มีตั้งหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดูนี่ ”
“ แล้วอาเล่ยอยากดูเรื่องอะไรล่ะ ”
“ ตามใจนายสิ ”
“ ถ้าอาเล่ยแต่งเพลงเสร็จแล้วเราค่อยมาดูดีวีดีด้วยกันนะ ”
ท่าทางออดอ้อนของเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีทำให้คนแก่กว่าอดเอ็นดูไม่ได้ อี้ฟานยิ้มตาหยีเมื่อฝ่ามือบางเอื้อมมาบิดจมูกเขาราวกับหมั่นเขี้ยว เด็กหนุ่มหัวเราะคิกคักก่อนจะเบี่ยงหน้าไปถูไถกับหัวอีกคนแทน
“ อื้ออ ไปเลือกมาสิว่าจะดูเรื่องอะไร ”
“ ไม่แต่งเพลงต่อแล้วเหรอ? ”
“ แต่งเสร็จแล้วแค่แก้คำเฉยๆ คนแถวนี้ก็อ้อนจนไม่มีสมาธิแต่งเพลง ”
“ ฮะๆ งั้นอาเล่ยรอผมแป๊บนึงนะ ”
เขาผละออกจากเนื้อตัวอุ่นๆ นุ่มนิ่มของอาเล่ยไปวุ่นวายกับกล่องเก็บแผ่นดีวีดีแทน เช้าที่ฝนตกและมีแค่พวกเขาสองคนอย่างนี้คงจะหนีไม่พ้นหนังรักดีๆ สักเรื่องไม่ก็การ์ตูนอนิเมชั่นสดใสๆ ซะแล้วล่ะ อี้ฟานจัดการเปิดดีวีดีเสร็จสรรพก่อนจะหันไปส่งยิ้มหวานให้คนที่เริ่มเอนตัวนอนเหยียดบนโซฟาแทนที่เขา
“ มานี่เร็วๆ ”
ราวกับเป็นลูกหมาที่ถูกเจ้าของเรียก อี้ฟานรีบย้ายตัวเองจากหน้าทีวีไปตรงโซฟาพร้อมกับกระโดดทับบนตัวอีกคน ใบหน้าของเด็กหนุ่มซบลงบนอกบาง อาเล่ยนอนเหยียดพิงหมอนใบโตโดยมีอี้ฟานนอนซบอกอีกที เขายิ้มกริ่มขณะที่เบียดตัวเองเข้าซบเบาะส่วนตัวมากขึ้น
จอทีวีเริ่มฉายภาพเข้าสู่เนื้อเรื่อง เขารู้สึกได้ถึงสัมผัสอ่อนโยนลูบไปมาบนแผ่นหลังสลับกับการตบเบาๆ เหมือนกล่อมเด็กนอน แก้มอี้ฟานแนบลงกับอกอาเล่ยจนได้ยินเสียงจังหวะหัวใจสม่ำเสมอ ฟังไปฟังมาก็เพลินดี แทนที่จะสนใจจอทีวีกลับมัวแต่เงี่ยหูฟังเสียงหัวใจอีกคนเหมือนคนบ้า
“ The you you are now is the same you
I was in love with yesterday. ”
เขาเคยบอกหรือยังนะว่าเขาหลงรักช่วงเวลาที่ได้ใช้มันไปกับอาเล่ยมากแค่ไหน? อย่างเช่นตอนนี้ กิจกรรมที่ไม่พิเศษเหมือนการดูหนังสักเรื่องในวันที่ฝนตกเพราะไม่รู้จะทำอะไร แต่กลับสร้างความรู้สึกดีๆ ได้มากมายเหลือเกิน เนื้อตัวอุ่นๆ และกลิ่นหอมจากเสื้อผ้าของอาเล่ยเหมือนทำให้เขาฝันไป
อี้ฟานไม่เคยใฝ่ฝันถึงการได้ใช้ชีวิตหนึ่งวันร่วมกับใครอย่างนี้มาก่อน ชีวิตเขามีแค่แม่ ความรักของแม่ในตอนที่เขายังเด็กเขาคิดว่ามันมากเกินพอด้วยซ้ำสำหรับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่มีค่า ไม่มีใครรัก ตั้งแต่อายุหกขวบจนถึงสิบขวบอี้ฟานแค่ฝันเอาไว้เล็กๆ ว่าเขาอยากจะมีบ้านแสนอบอุ่นสักหลัง มีสวนให้วิ่งเล่น มีเขากับแม่แค่สองคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป
และแม้ทุกวันนี้จะผิดแผนที่เคยวาดฝันเอาไว้นิดหน่อย แต่การผิดพลาดนี้ทำให้เขาต้องขอบคุณพระเจ้าเป็นพันๆ ครั้งทุกเช้าที่ตื่นนอนและทุกคืนก่อนจะหลับ...เพราะเขาได้รับสิ่งที่มีค่ากว่านั้น
“ The same you
I’ll be in love with tomorrow. ”
-If I stay-
หนังที่เขาเลือกกำลังดำเนินไปเรื่อยๆ ขณะที่พวกเขานอนกอดก่ายกันบนโซฟานุ่ม อากาศเย็นฉ่ำของฤดูฝนถูกกลบด้วยไออุ่นของผิวเนื้อ อี้ฟานหลับตา เขาไม่ได้สนใจจะดูหนังอีกต่อไปนอกจากการสอดแขนกอดรอบเอวอาเล่ยและกอดกระชับเบาๆ
และเขาปรารถนา...
“ อาเล่ย ”
“ อือ ”
“ ดีจังเลยนะแบบนี้น่ะ... ”
ปรารถนาให้พวกเราได้ใช้เวลาร่วมกันตลอดไป
“ อยู่ด้วยกันไปนานๆ นะครับ ”
…
เลย์คิดว่าตัวเองกำลังเลี้ยงคนให้โตมาเป็นแมว...นับวันอี้ฟานยิ่งจะทำตัวเหมือนแมวมากขึ้นไปทุกที ห้องครัวขนาดเล็กแต่ก็กว้างพอจะให้คนสองคนวิ่งเล่นได้สบายแต่เจ้าแมวตัวโตของเลย์กลับเอาแต่มายืนเบียดยืนซบราวกับไม่มีกระดูกในร่างกายเสียอย่างนั้น
มื้อเที่ยงเป็นรามยอนใส่ชีส แฮม และพวกของทะเลนิดหน่อยหลังจากเมนูนี้ถูกโหวตถึงสองคะแนน เส้นรามยอนถูกต้มในน้ำเดือดปุดๆ โดยมีแขนยาวกอดรัดเอวเอาไว้ตลอดเวลา จะขยับไปทางไหนจะหยิบอะไรก็มีเด็กโข่งคอยกอดอยู่ข้างหลังไม่ห่าง น่าแปลกที่เลย์ไม่คิดว่ามันน่ารำคาญ
“ อื้ออ หิวแล้วอาเล่ย ”
“ รู้แล้วล่ะน่า กำลังจะใส่แฮมอยู่นะ ”
พอใส่แฮมชิ้นบางพอดีคำลงไปเสร็จก็ตามด้วยของทะเล กุ้งกับปลาหมึก กลิ่นชีสผสมไปกับกลิ่นเครื่องปรุงนั้นหอมฉุยจนเลย์กับอี้ฟานต้องสูดจมูกฟุดฟิด กว่าจะต้มเสร็จ กว่าอี้ฟานจะยกหม้อรามยอนไปตั้งไว้บนโต๊ะกินข้าวท้องพวกเขาก็บิดไปมาจนแทบจะเป็นเกลียวอยู่แล้วเชียว
“ กินเยอะๆ นะ ”
“ อาเล่ยสิต้องกินเยอะๆ เมื่อก่อนอาเล่ยตัวโตกว่าผมไม่ใช่เหรอ ”
“ นายน่ะสิโตเร็วเกินไป ”
มือบางคีบเส้นรามยอนใส่ถ้วยใบเล็กให้เจ้าแมวตัวโตขี้อ้อนอย่างใจดี เลย์อมยิ้มเล็กน้อยเมื่อพบว่าอี้ฟานกำลังฉีกยิ้มหวาน ก็น่าเอ็นดูดีน่ะนะ เรื่องอ้อนนี่ของถนัดอี้ฟานเลยเถอะ อ้อนทุกวันจนเลย์เผลอนึกว่าตัวเองเลี้ยงแมวอยู่เสียอีก
“ โตเร็วแล้วไม่ดีเหรอ? ”
“ ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ”
“ ผมปกป้องอาเล่ยได้แล้วไม่ดีเหรอ? ”
หน้าตาซื่อๆ ของเจ้าเด็กตรงหน้าทำให้เลย์ต้องหลุดหัวเราะออกมา เขาเอื้อมมือไปขยี้ผมอี้ฟานอย่างหมั่นเขี้ยว คำพูดคำจานี่นะ...ใจคอกะจะยึดเลย์ไปเป็นของตัวเองคนเดียวหรือไงก็ไม่รู้
“ ดีสิ เพราะแบบนี้ไงถึงบอกให้กินเยอะๆ ”
“ งั้นเดี๋ยวผมจะกินเยอะๆ เลย ”
มื้อเที่ยงดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ใช้เวลาไม่นานรามยอนชีสก็พร่องไปเกือบหมดจนแม้แต่น้ำซุปก็ยังแทบไม่เหลือ เลย์หันไปมองนาฬิกาตั้งโต๊ะก่อนจะหันกลับมาตามเสียงเรียก
“ ปากผมมันเลอะ ”
เลอะจริงๆ ด้วย เขายิ้มนิดหน่อยเมื่ออี้ฟานไม่มีทีท่าว่าจะหยิบทิชชู่ไปเช็ดเอง
“ เป็นเด็กสิบขวบหรือไงหื้ม? ”
“ ครับ อู๋อี้ฟานอายุสิบขวบ ”
น่ารักซะไม่มีแหละคนนี้น่ะ
“ ...บวกไปอีกเจ็ดกำลังดีเลย ”
“ แล้วอี้ฟานเป็นเด็กดีมั้ยเนี่ย ”
“ ถ้าอาเล่ยอยากให้เป็นผมก็จะเป็น ”
เลย์เพิ่งรู้ว่าคำพูดของเด็กอายุสิบเจ็ดมันชวนให้อยากยิ้มขนาดนี้เลยเหรอ? เขาเช็ดมุมปากเลอะๆ ของอีกคนอย่างอ่อนโยนและอดไม่ได้เลยที่จะบิดจมูกโด่งๆ นั่นให้หายหมั่นเขี้ยวสักที
พวกเขานั่งพูดคุยกันต่ออีกนิดหน่อยก่อนจะค่อยลุกเก็บจานไปล้าง เลย์อาสาจะทำหน้าที่นี้ ในตอนแรกเจ้าเด็กอี้ฟานทำท่าจะช่วยเขาล้างท่าเดียวแต่เสียงกริ่งหน้าบ้านก็จำทำให้อี้ฟานต้องผละออกไปดู เที่ยงสี่สิบห้านาที เลย์มองนาฬิกาบนโต๊ะอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
เป็นรางวัลสำหรับเด็กดีของเขา
“ ...แม่ ”
จานใบสุดท้ายถูกเก็บเข้าตู้พร้อมกับเสียงสั่นเครือของอี้ฟาน เลย์เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นอย่างเงียบเชียบมองดูแขกคนพิเศษยืนอยู่หน้าประตูและกำลังจ้องมองอี้ฟานด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม น้ำตานองหน้า เสื้อโค้ทสีเทาของเธอมีรอยชื้นจากเม็ดฝนด้านนอกบางจุด
“ อี้ฟาน ”
เธอประคองใบหน้าอี้ฟานที่ร้องไห้ตัวสั่นด้วยสองมือก่อนจะหันมาสบตากับเขา
“ ...สบายดีมั้ยจ้ะเลย์ ”
มุกบนรถบัสได้แรงบันดาลใจมาจาก WGM ของจงฮยอนกับซึงยอนนะ มันน่ารักมาก
วันนี้ฝนตกนิดหน่อยค่ะเลยเอามาลง ขี้เกียจมากด้วย
จะอ่านหนังสือจะอ่านหนังสือก็มีแต่สอบย่อยอยู่นั่น หัวถึงหมอนปุ๊บหลับเป็นตายทันที
ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ คริสเลย์ชิปเปอร์อยู่ตรงนี้เสมอ เลิ้บ
ความคิดเห็น