คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Stick with you
Chapter four
Stick with you.
คาบว่างอาจจะเป็นช่วงเวลาพักผ่อนของใครหลายคน เพราะฉะนั้นตอนนี้ในห้องเรียนถึงเต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกและเสียงหัวเราะคิกคัก อี้ฟานเลือกที่จะเมินเฉยความวุ่นวายด้วยการเอาสมุดการบ้านขึ้นมาทำฆ่าเวลาไปพลางๆ หรืออีกแง่หนึ่งคือเขาต้องการตัดขาดตัวเองจากทุกคนในตอนนี้ เขาพยายามไม่สนใจเครื่องบินกระดาษที่ร่อนเฉียดไปมารวมไปถึงสายตาของผู้หญิงตรงมุมห้อง
เสียงหัวเราะคิกคักไม่มีทีท่าว่าจะเงียบลงไปได้ง่ายๆ ดูเหมือนว่าโลกส่วนตัวของผู้หญิงจะเป็นอะไรที่อี้ฟานไม่เข้าใจมันเอาซะเลย อย่างเช่นตอนนี้ที่พวกเธอกำลังเกาะกลุ่มกันอ่านหนังสือหนึ่งเล่ม มองจากตรงนี้ยังรู้เลยว่าหนังสือนั่นคงไม่ใช่หนังสือเรียนแน่นอน
มันน่าหงุดหงิดที่พวกเธออ่านมันเสียงดังและหันมามองเขาเป็นระยะ อี้ฟานพยายามจดจ่อกับการทำการบ้านวิชาภาษาอังกฤษ นึกถึงคำศัพท์ที่เคยนั่งท่อง แต่แล้วทุกอย่างในหัวของเขาก็กระจัดกระจายเพราะเสียงพูดคุยที่สื่อถึงเขาโดยตรง
“ หนุ่มวันที่ 6 เป็นคนโลกส่วนตัวสูง เหมือนมีความลับแต่ก็ไม่มีความลับ ท่าทางภายนอกเป็นอีกอย่างภายในก็เป็นอีกอย่าง มีอารมณ์ลึกซึ้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนมีความรัก ”
“ หนุ่มที่เกิดเดือนพฤศจิกามักมีปมในใจเสมอ เป็นคนไม่สนโลกแต่ถ้าได้เจอคนที่ใช่จริงๆ จะกลายเป็นคนอบอุ่นขึ้นมาทันที นิสัยลึกๆ ขี้อ้อนเหมือนแมว... ”
เกิดวันที่ 6 เกิดในเดือนพฤศจิกามีแค่คนเดียวในห้องเรียนเท่านั้น เด็กหนุ่มเคาะดินสอเป็นจังหวะ รวบรวมสมาธิอีกครั้ง แต่ก่อนที่จะทันได้จรดปลายดินสอลงไปคำถามที่จงใจถามเขาตรงๆ ก็ดังขึ้นอีกครั้ง พวกผู้หญิงพากันมองมาทางอี้ฟาน ใบหน้าสะสวยประดับไปด้วยรอยยิ้มเติมแต่ง
“ จริงหรือเปล่าคริส? ”
ไอ้หนังสือทำนายบ้าบอนั่นมันรู้จักตัวตนใครต่อใครได้ดีขนาดนั้นเลยหรือไง? ทำไมพวกเธอถึงทำเหมือนกับมันอ่านเขาได้ทะลุปรุโปร่งได้โดยที่ไม่ต้องทำความรู้จัก
“ ถ้าเธอจะเชื่ออย่างนั้นก็ได้ ”
“ แหมคริส พวกเราน่ะอยากรู้จักนายใจจะขาด แต่นายน่ะสิไม่ยอมรู้จักกับพวกเรา ”
“ เพราะอย่างงั้นหนังสือเล่มนั้นถึงช่วยเธอได้สินะ ”
“ เขาบอกว่าแม่นสุดๆ เลยล่ะ ”
ผู้ชายส่วนมากมักไม่ค่อยสนใจเรื่องแบบนี้นักหรอก ซึ่งอี้ฟานเองก็คงเป็นหนึ่งในนั้น เด็กหนุ่มเพียงแค่ยิ้มให้กับคำตอบของเพื่อนสาวร่วมห้องและละสายตาออกมาก่อนที่เรื่อยงมันจะยาวกว่านี้
“ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ในหนังสือไม่ได้บอกเอาไว้ ”
“ อืม ”
“ หนุ่มที่เกิดวันที่ 6 เดือนพฤศจิกาน่ะตกหลุมรักคนแบบไหนกันเหรอ? ”
“ นายน่าจะตอบได้นะคริส ”
ตกหลุมรักงั้นเหรอ?
อี้ฟานไม่ได้สนใจเรื่องนี้มานานมากแล้ว เขาไม่ได้คบหากับใครจริงจังหรือเรียกได้ว่าไม่เคยรู้สึกชอบพอใครเลย ทุกคนล้วนผ่านมาแล้วก็ผ่านไป รู้จักผิวเผินเดี๋ยวก็ลืม เวลาแปดสิบเปอร์เซ็นต์ในแต่ละวันอี้ฟานมักจะใช้มันให้หมดไปกับอาเล่ย เขาต้องการที่จะทำทุกอย่างร่วมกับอาเล่ย
กับอาเล่ยนั่นเรียกว่าตกหลุมรักหรือเปล่า?
เขากับอาเล่ยเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นความรู้สึกที่อบอุ่นเวลาได้อยู่ใกล้ และถึงแม้อี้ฟานจะยกให้อีกคนเป็นพ่อทูนหัวแต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมองอีกคนเป็นพ่อจริงๆ สักหน่อย เขามองอาเล่ยว่าเป็นมากกว่านั้น ลึกซึ้งกว่านั้น แต่มันก็ยังเป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์เท่าที่เด็กอายุสิบเจ็ดจะรู้สึกถึงมันได้
ถ้าหากว่านั้นคือการตกหลุมรัก...เขาคงจะตกหลุมรักอาเล่ยตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบและตั้งแต่ตอนที่อาเล่ยกอดเขาเอาไว้ในคืนที่ฝนตกหนัก และคงจะตกหลุมรักเสมอมา
“ ผู้ชายที่เกิดวันที่ 6 เดือนพฤศจิกาตกหลุมรักคนที่เหมือนร่มกับผ้าห่ม ”
เหมือนร่มในวันที่ฝนตกหนัก บดบังไม่ให้เขาเปียกปอน
เหมือนผ้าห่มในวันที่ฝนตกหนัก อุ่นสบายและกล่อมให้หลับฝันดี
“ รู้แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ ”
เสียงโวยวายดังขึ้นทันทีเมื่อเขาพูดจบ พวกผู้หญิงบอกว่าเขาโกหกพวกเธอเพราะไม่มีใครในโลกนี้เหมือนร่มกับผ้าห่มได้หรอก นั่นไม่จริงสักหน่อย...อย่างน้อยก็มีอยู่คนหนึ่ง อี้ฟานเลิกสนใจสิ่งรอบข้างกลับมาอยู่ในโลกส่วนตัว หน้าสมุดยังโล่งเท่าเดิม แทนที่จะขีดเขียนลงไปเด็กหนุ่มกลับเหม่อลอย เขาเมินเสียงวายวายพวกนั้นแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง เม็ดฝนและลมเย็นๆ ทำให้เขาเริ่มนึกถึงอาเล่ยอีกครั้ง
“ เอาล่ะ วันนี้ก็พอแค่นี้ การบ้านที่ให้ไปกรุณาทำมาส่งในวันพรุ่งนี้ด้วย ”
อี้ฟานยืดตัวขึ้นเตรียมเก็บข้าวของใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็วเหมือนทุกครั้ง สมาร์ทโฟนในกระเป๋ากางเกงสั่นครืดคราดเพราะเสียงเรียกเข้า ไม่ต้องก้มดูหน้าจออี้ฟานก็รู้ว่าใครโทรมาหาในเวลานี้เพราะเขาเพิ่งจะเปลี่ยนเบอร์ใหม่โดยมีแค่สองคนที่รู้
“ ครับอาเล่ย ”
เขากวาดสายตามองรอบห้องเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้มีใครแอบฟังก่อนจะยกมือขึ้นเกาแก้มอำพรางรอยยิ้มจางๆ ตรงมุมปาก
[เลิกเรียนแล้วใช่มั้ยอี้ฟาน?]
“ อื้อ เพิ่งจะเลิกเมื่อกี้นี่เอง มีอะไรหรือเปล่า? ”
[…นะ]
“ อะไรนะ? ”
นอกจากเสียงอาเล่ยแล้วยังมีเสียงจอแจดังเล็ดลอดเข้ามาในสายจนทำให้แทบจับใจความประโยคไม่ได้ อี้ฟานขมวดคิ้ว ปกติที่ร้านดอกไม้เสียงไม่ดังขนาดนี้เลยสักครั้ง เขาร้อนรนใจขึ้นมาเสียเฉยๆ เพียงแค่คิดว่าอาเล่ยไม่ได้อยู่รอที่ร้านดอกไม้หรือที่บ้านเหมือนทุกวัน
“ ผมไม่ได้ยิน อาเล่ยอยู่ที่ไหน? ”
[ โรงเรียน...ข้างหน้าโรงเรียน]
และกลับมารู้สึกอุ่นใจตามเดิม
[จะรอนะ]
เพราะอย่างนั้นเด็กหนุ่มถึงได้รีบคว้าประเป๋าขึ้นสะพายบนไหล่แล้วออกตัววิ่งเต็มแรง มันอาจจะแปลกประหลาดไปสักหน่อยสำหรับคนที่อายุสิบเจ็ดปีอย่างเขาที่ตื่นเต้นกับการมีใครสักคนมารับกลับบ้าน ราวกับว่าได้ย้อนไปในวันแรกที่ได้เข้าเรียน การได้เห็นอาเล่ยมายืนรอรับกลับบ้านตอนนั้นทำให้อี้ฟานมีความสุขมากจริงๆ
อีกคนยืนท่ามกลางกลุ่มนักเรียนเดินขวักไขว่ สะดุดสายตาอี้ฟานด้วยเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนทั้งดูสุภาพและสบายตา ช่วงขายาวก้าวไปข้างหน้าด้วยจังหวะสม่ำเสมอ ยื่นแขนออกไปจนสุดหวังจะสามารถคว้าส่วนใดบนตัวของอาเล่ยเอาไว้ได้ และฝ่ามือนุ่มที่บีบกระชับฝ่ามือเขากลับมาก็บอกได้ว่าทำสำเร็จ
อี้ฟานเบียดตัวเข้าไปอยู่ใต้ร่มแคบๆ กับอาเล่ย เส้นผมเปียกลู่ของเขาทำให้อาเล่ยหัวเราะออกมา เขาตื่นเต้นที่อาเล่ยมารับจนเผลอลืมกางร่มวิ่งตากฝนออกมาจากอาคารเรียน
“ ทำไมวันนี้มาที่นี่ได้ล่ะ ”
“ วันนี้มีลูกค้าน้อยกว่าปกติน่ะสิ ว่างมากๆ เลยมารับอี้ฟานไงไม่ดีเหรอ? ”
“ ดีสิ ทำไมจะไม่ดี ”
เพราะเขาไม่ได้เป็นเด็กประถมเหมือนหลายปีก่อนอีกแล้วถึงได้ไม่เรียกร้องให้อีกฝ่ายมารับมาส่ง เขาโตมากพอจะรับผิดชอบตัวเองได้ แต่ขณะเดียวกันเขาก็อยากให้อาเล่ยเข้ามามีส่วนร่วมในการใช้ชีวิตของเขาด้วย
เด็กหนุ่มรอถือร่มให้อาเล่ยเข้าไปประจำฝั่งคนขับก่อนจะพาตัวเองวิ่งอ้อมไปเปิดประตูฝั่งผู้โดยสาร อี้ฟานทิ้งตังพิงเบาะประจำตัวของเขาอย่างสบายใจ นานเอาการที่ไม่ได้นั่งเจ้า Fiat 500 classic คันโปรดของอาเล่ยและแน่นอนว่าเขาก็ชอบมันมากเช่นกัน
พื้นที่เพียงพอสำหรับคนสองคนและสัมภาระอีกนิดหน่อย อี้ฟานชอบสูดกลิ่นหอมภายในตัวรถซึ่งมันไม่ได้หอมเพราะน้ำหอมดับกลิ่นแต่อย่างใด มันเป็นกลิ่นหอมคล้ายกับตัวอาเล่ยบ่งบอกว่าอีกคนใช้เจ้ารถคันนี้บ่อยมากขนาดไหน แถมวันนี้ยังรถติด...นี่แหละความพิเศษของการขับรถตอนหน้าฝนJ
“ ผมเปิดวิทยุนะ ”
“ อื้ม เอาสิ ”
เสียงดนตรีแนวอะคูสติกทำนองเย็นๆ เอื่อยๆ คุ้นหูดังขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในรถ ช่างเข้ากับบรรยากาศเย็นสบายตอนฝนตกเหลือเกิน อี้ฟานเอนตัวลงนอนพิงเบาะอีกครั้งและหันตะแคงข้างไปทางคนขับ รถติดยาวเหยียดไม่มีทีท่าว่าจะเขยื้อนแต่สำหรับอี้ฟานเขาว่ามันดีสุดๆ
Call it magic, call it true
I call it magic when I'm with you
And I just got broken, broken into two
Still I call it magic, when I'm next to you
Rain season, 2008
“ ตามมาสิ ”
เด็กชายค่อยๆ ช้อนตามองเจ้าของรอยยิ้มหวาน ขนาดตัวที่เล็กอยู่แล้วยิ่งเล็กลงไปอีกเพราะความรู้สึกกลัว กังวล และไม่สบายใจ สองมือน้อยเกาะขอบประตูบ้านเอาไว้แน่นไม่ยอมขยับตามเสียงเรียกของคนที่ไปยืนรอที่รถแล้วเรียบร้อย สีขาวสะอาดตาของมันไม่ได้ทำให้เด็กชายรู้สึกสบายใจขึ้นเลย
“ เป็นอะไรไปหืม? ”
“ ...ผมกลัว ”
“ กลัวอะไรกันล่ะ ”
“ ผม...ผมจะได้กลับมาที่บ้านหลังนี้อีกมั้ย แล้วพ่อจะตามผมเจอหรือเปล่า? ”
เช้าวันหนึ่งในวันที่ฝนตกปรอยๆ กับลมเย็นชวนคัดจมูก อี้ฟานตื่นขึ้นมาจากเตียงนอนนุ่มสบายพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ รอบตัวและคำบอกเล่าของเจ้าของบ้านว่าจะพาออกไปข้างนอก เขากลัว...ตอนอยู่ที่บ้านเก่าพ่อจะโกรธมากถ้าเขากล้าก้าวขาออกจากบ้านเกินยี่สิบก้าว
จะโดนตีมั้ย?
จะได้กลับมาที่นี่อีกหรือเปล่า?
“ ไม่ต้องกลัวนะอี้ฟาน จะมีแค่เราสองคน ไม่มีใครรู้หรอก ”
“ แล้วที่นี่ก็คือบ้านของนาย ”
ดวงตาสองคู่มองสบกันเงียบๆ คนตัวโตกว่านั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าอี้ฟานและกุมมือเขาเอาไว้อย่างอ่อนโยน รอยยิ้มละมุนละไมนั้นนอกจากแม่อี้ฟานก็ไม่เคยได้รับจากใครอีกเลย มันทำให้เด็กชายรู้สึกอุ่นวาบไปถึงหัวใจ เป็นครั้งแรกที่มีใครสักคนทำราวกับเขามีค่ามากมาย
“ อยู่ด้วยกันที่นี่แหละอี้ฟาน ”
I don't, no, I don't, no, I don't, no, I don't
No I don't, it's true
คล้ายกับความกังวลได้ถูกปัดเป่าออกไปจนหมดสิ้น เด็กชายตื่นตาตื่นใจกับวิวทิวทัศน์ข้างทางจนไม่สามารถเก็บสีหน้าท่าทางเอาไว้ได้ สองฝ่ามือติดกับกระจกราวกับถูกทาด้วยกาว เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่อี้ฟานได้ออกมาข้างนอกบ้าน ได้ขับรถเที่ยวแบบที่เห็นในโทรทัศน์บ่อยๆ แต่ไม่เคยได้สัมผัส
หัวใจของเด็กชายวัยสิบขวบพองฟูคับอก ดวงตาเป็นประกายสดใส แม้วันนี้ฟ้าจะมืดครึ้มและมีฝนตกตลอดทั้งวันแต่ในใจของเขากลับรู้สึกเหมือนถูกแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา อบอุ่นและสว่างไสว นี่คือการเริ่มต้นชีวิตใหม่หรือเปล่า? ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีความสุขได้มากขนาดนี้
“ อยากไปที่ไหนเป็นพิเศษมั้ย? ”
การส่ายหน้าคือคำตอบ สายตายังคงจดจ้องอยู่แต่กับภาพวิวด้านนอกกระจกรถ เด็กชายไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวเลยว่าตอนนี้รถกำลังติดยาวเหยียดบนถนนสายตรงเส้นนี้ เสียงเพลงจากวิทยุคลอไปเบาๆ กับเสียงฝนตกกระทบหลังคารถ เขาแนบแก้มลงบนความเย็นของกระจกรถก่อนจะยิ้มออกมา
“ เลย์ เลย์ ”
ฝ่ามือบางเอื้อมมาขยี้หัวเขาก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“ ไม่ใช่แค่เลย์เฉยๆ สิ ต้องมีคำว่าอานำหน้าด้วย ”
“ ... ”
“ อยู่กันสองคนเรียกว่าเล่ยเล่ยก็ได้ แต่ต้องมีอานำหน้านะ ”
“ เล่ยเล่ยเหรอ? ”
“ อาเล่ยสิ คุณอาเล่ยน่ะ ”
“ อื้อ! อาเล่ย ”
บรรยากาศระหว่างคนสองคนดีขึ้นเยอะเลยล่ะ อี้ฟานฉีกยิ้มกว้างเปลี่ยนจากเกาะกระจกมามองคนขับที่กำลังฮัมเพลงเบาๆ คลอไปกับวิทยุโดยมีรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า
I don't, no, I don't, no, I don't, no, I don't
Want anybody else but you
“ ถนนเส้นนี้ยาวแค่ไหนเหรออาเล่ย... ”
“ อยากให้ยาวขนาดไหนล่ะ ”
“ ยาวรอบโลกเลยได้มั้ย? ”
อาเล่ยหัวเราะชอบใจและเอื้อมมือมาลูบหัวเขา สัมผัสชวนเคลิ้มทำให้เด็กชายยอมเอียงหัวเข้าหาอย่างเต็มใจราวกับลูกแมวตัวเล็ก ดวงตากลมช้อนมองกระพริบปริบๆ
“ ได้สิ แต่วันนี้ต้องกลับไปทำอาหารเย็นล่ะคงจะขับรถไปรอบโลกไม่ได้แน่ๆ ”
“ ชอบกินอะไรบ้างอี้ฟาน ”
“ เลือกได้ด้วยเหรอ ผมกินได้ทุกอย่างเลยขอแค่อิ่มก็พอ ”
“ เลือกที่ชอบมาสักอย่างซิ ”
เด็กชายกลอกตาไปมาสักพักก่อนจะตอบเสียงอ้อมแอ้มคล้ายกลัวจะโดนดุ
“ ข้าวราดหน้าแกงกะหรี่ครับ ”
รถเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้งหลังจอดนิ่งมาหลายสิบนาที ฝนข้างนอกยังคงไม่หยุดตก แต่ฝนในใจอี้ฟานหยุดตกแล้ว และเขาคิดว่าตัวเองเห็นสายรุ้งแสนสวยพาดผ่านผืนฟ้าที่เคยมืดมนของตัวเอง
“ ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้...จะทำข้าวราดหน้าแกงกะหรี่ให้กินแล้วกัน ”
หลายครั้งที่คำร้องขอของเด็กชายวัยสิบขวบมักถูกมองข้าม
“ จริงเหรอ!? ”
“ จริงสิ จะทำให้อร่อยเลยล่ะ ”
แต่วันนี้มีคนรับฟังแล้วแม้ว่ามันจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่น่าสนใจเลยก็ตาม
And if you were to ask me
After all that we've been through
"Still believe in magic?"
“ อี้ฟาน...อี้ฟาน... ”
“ ตื่นเถอะเจ้าแมวขี้เซา ”
“ ถึงบ้านเราแล้วนะ ”
บ้านเราอย่างนั้นเหรอ? ฟังแล้วดูอบอุ่นจังเลยนะยิ่งมันออกมาจากปากของอาเล่ยด้วยแล้วล่ะก็ เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าเผลอหลับไปจนกระทั่งถูกปลุกตอนถึงบ้าน เจ้ารถ Fiat 500 classic ของอาเล่ยยังคงจอดอยู่หน้าประตูรั้ว ฝ่ามือบางแตะลงบนแก้มของเขาเบาๆ
“ ผมเพิ่งจะตื่นจากฝันล่ะ... ”
“ หื้ม? ฝันร้ายหรือฝันดีกันล่ะ? ”
“ ต้องฝันดีสิ ”
อี้ฟานวางมือทาบลงไปบนหลังมือของอีกคนแล้วถูไถผิวแก้มกับฝ่ามือนิ่มนั้นไปมาอย่างออดอ้อน
“ อาเล่ยรำคาญผมมั้ย? อยากไล่ให้ผมไปไกลๆ หรือเปล่า? ”
เขาผูกติดตัวเองกับอาเล่ยไว้ตั้งมากขนาดนี้บางทีเขาก็กลัวว่าจะทำให้อาเล่ยรู้สึกอึดอัด...แต่ก็ไม่อยากจะปล่อยเลย อี้ฟานไม่ได้อยากจะทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจ เขาอยากจะให้อะไรดีๆ ตอบแทนพ่อทูนหัวคนดีของเขาบ้าง อยากเป็นเด็กดีให้อาเล่ยภูมิใจ
“ ถ้าผมทำอะไรไม่ดีอาเล่ยต้องดุผมนะ ทำให้ผมรู้ตัวผมจะได้ไม่ทำอีก ”
“ เชื่อใจฉันมั้ยอี้ฟาน? ”
เสียงนุ่มๆ พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบพร้อมกับรอยยิ้มบางเบา เด็กหนุ่มมองรอยยิ้มกับดวงตาคู่นั้นราวกับถูกดูดไปในอีกห้วงมิติหนึ่ง ราวกับโทนเสียงนุ่มนวลนั้นมีอำนาจสะกดจิตใจให้คล้อยตามได้ อี้ฟานพยักหน้า เขาเชื่อใจอาเล่ยมากกว่าใครในโลกเสียอีก
“ อื้อ ”
“ เราสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันไปนานๆ ไม่ใช่เหรอทำไมถึงลืมล่ะ ”
“ ผมแค่กลัวอาเล่ยจะเบื่อ... ”
“ คิดแทนคนอื่นไม่ได้หรอกนะอี้ฟาน ”
อาเล่ยไม่ได้ตำหนิเขาแต่กลับขยุ้มผมเขาเล่นเหมือนทุกครั้ง ท่าทางใจเย็นและมีความเป็นผู้ใหญ่แบบนี้ที่อี้ฟานรู้สึกประทับใจทุกครั้ง เขาชื่นชมอาเล่ยในทุกๆ ด้าน
“ งั้นอาเล่ยก็ต้องบอก...ว่าคิดยังไงกับผม ”
“ ไม่เคยรำคาญ ”
“ อ่าฮะ ”
“ ไม่เคยอยากไล่ให้ไปไกลๆ ”
“ อ่าฮะ ”
“ ฉันเอ็นดูอี้ฟานมากนะ ”
“ ช่วยอยู่อ้อนฉันไปนานๆ ได้หรือเปล่าล่ะ ”
Well yes, I do
Oh yes, I do
Of course I do
ช่วงนี้ฝนไม่ตกเลยจริงๆ นั่งบิ้วท์อารมณ์ตัวเองนานมากกว่าจะแต่งได้
ใครอยู่มอหก(เหมือนเรา)ขอให้โชคดีและตั้งใจอ่านหนังสือนะคะ
ใครได้ไปคอนก็ขอให้มีความสุขมากๆ กลับบ้านแบบปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนค่ะ
ฝากส่องอี้ชิงให้เราด้วยนะคะ ; _ ;
ความคิดเห็น