ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    exo「 Feel Good 」krislay

    ลำดับตอนที่ #5 : Stick with you

    • อัปเดตล่าสุด 23 มิ.ย. 58












    Chapter four

    Stick with you.

                             






                คาบว่างอาจจะเป็นช่วงเวลาพักผ่อนของใครหลายคน เพราะฉะนั้นตอนนี้ในห้องเรียนถึงเต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกและเสียงหัวเราะคิกคัก อี้ฟานเลือกที่จะเมินเฉยความวุ่นวายด้วยการเอาสมุดการบ้านขึ้นมาทำฆ่าเวลาไปพลางๆ หรืออีกแง่หนึ่งคือเขาต้องการตัดขาดตัวเองจากทุกคนในตอนนี้ เขาพยายามไม่สนใจเครื่องบินกระดาษที่ร่อนเฉียดไปมารวมไปถึงสายตาของผู้หญิงตรงมุมห้อง


                เสียงหัวเราะคิกคักไม่มีทีท่าว่าจะเงียบลงไปได้ง่ายๆ ดูเหมือนว่าโลกส่วนตัวของผู้หญิงจะเป็นอะไรที่อี้ฟานไม่เข้าใจมันเอาซะเลย อย่างเช่นตอนนี้ที่พวกเธอกำลังเกาะกลุ่มกันอ่านหนังสือหนึ่งเล่ม มองจากตรงนี้ยังรู้เลยว่าหนังสือนั่นคงไม่ใช่หนังสือเรียนแน่นอน


                มันน่าหงุดหงิดที่พวกเธออ่านมันเสียงดังและหันมามองเขาเป็นระยะ อี้ฟานพยายามจดจ่อกับการทำการบ้านวิชาภาษาอังกฤษ นึกถึงคำศัพท์ที่เคยนั่งท่อง แต่แล้วทุกอย่างในหัวของเขาก็กระจัดกระจายเพราะเสียงพูดคุยที่สื่อถึงเขาโดยตรง


                หนุ่มวันที่ 6 เป็นคนโลกส่วนตัวสูง เหมือนมีความลับแต่ก็ไม่มีความลับ ท่าทางภายนอกเป็นอีกอย่างภายในก็เป็นอีกอย่าง มีอารมณ์ลึกซึ้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนมีความรัก


                “ หนุ่มที่เกิดเดือนพฤศจิกามักมีปมในใจเสมอ เป็นคนไม่สนโลกแต่ถ้าได้เจอคนที่ใช่จริงๆ จะกลายเป็นคนอบอุ่นขึ้นมาทันที นิสัยลึกๆ ขี้อ้อนเหมือนแมว...


                เกิดวันที่ 6 เกิดในเดือนพฤศจิกามีแค่คนเดียวในห้องเรียนเท่านั้น เด็กหนุ่มเคาะดินสอเป็นจังหวะ รวบรวมสมาธิอีกครั้ง แต่ก่อนที่จะทันได้จรดปลายดินสอลงไปคำถามที่จงใจถามเขาตรงๆ ก็ดังขึ้นอีกครั้ง พวกผู้หญิงพากันมองมาทางอี้ฟาน ใบหน้าสะสวยประดับไปด้วยรอยยิ้มเติมแต่ง


                จริงหรือเปล่าคริส?


                ไอ้หนังสือทำนายบ้าบอนั่นมันรู้จักตัวตนใครต่อใครได้ดีขนาดนั้นเลยหรือไง? ทำไมพวกเธอถึงทำเหมือนกับมันอ่านเขาได้ทะลุปรุโปร่งได้โดยที่ไม่ต้องทำความรู้จัก


                ถ้าเธอจะเชื่ออย่างนั้นก็ได้


                “ แหมคริส พวกเราน่ะอยากรู้จักนายใจจะขาด แต่นายน่ะสิไม่ยอมรู้จักกับพวกเรา


                “ เพราะอย่างงั้นหนังสือเล่มนั้นถึงช่วยเธอได้สินะ


                “ เขาบอกว่าแม่นสุดๆ เลยล่ะ


                ผู้ชายส่วนมากมักไม่ค่อยสนใจเรื่องแบบนี้นักหรอก ซึ่งอี้ฟานเองก็คงเป็นหนึ่งในนั้น เด็กหนุ่มเพียงแค่ยิ้มให้กับคำตอบของเพื่อนสาวร่วมห้องและละสายตาออกมาก่อนที่เรื่อยงมันจะยาวกว่านี้


                แต่มีเรื่องหนึ่งที่ในหนังสือไม่ได้บอกเอาไว้


                “ อืม


                “ หนุ่มที่เกิดวันที่ 6 เดือนพฤศจิกาน่ะตกหลุมรักคนแบบไหนกันเหรอ?


                “ นายน่าจะตอบได้นะคริส



                ตกหลุมรักงั้นเหรอ?




                อี้ฟานไม่ได้สนใจเรื่องนี้มานานมากแล้ว เขาไม่ได้คบหากับใครจริงจังหรือเรียกได้ว่าไม่เคยรู้สึกชอบพอใครเลย ทุกคนล้วนผ่านมาแล้วก็ผ่านไป รู้จักผิวเผินเดี๋ยวก็ลืม เวลาแปดสิบเปอร์เซ็นต์ในแต่ละวันอี้ฟานมักจะใช้มันให้หมดไปกับอาเล่ย เขาต้องการที่จะทำทุกอย่างร่วมกับอาเล่ย




                กับอาเล่ยนั่นเรียกว่าตกหลุมรักหรือเปล่า?



                เขากับอาเล่ยเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นความรู้สึกที่อบอุ่นเวลาได้อยู่ใกล้ และถึงแม้อี้ฟานจะยกให้อีกคนเป็นพ่อทูนหัวแต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมองอีกคนเป็นพ่อจริงๆ สักหน่อย เขามองอาเล่ยว่าเป็นมากกว่านั้น ลึกซึ้งกว่านั้น แต่มันก็ยังเป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์เท่าที่เด็กอายุสิบเจ็ดจะรู้สึกถึงมันได้


                ถ้าหากว่านั้นคือการตกหลุมรัก...เขาคงจะตกหลุมรักอาเล่ยตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบและตั้งแต่ตอนที่อาเล่ยกอดเขาเอาไว้ในคืนที่ฝนตกหนัก และคงจะตกหลุมรักเสมอมา


                ผู้ชายที่เกิดวันที่ 6 เดือนพฤศจิกาตกหลุมรักคนที่เหมือนร่มกับผ้าห่ม



                เหมือนร่มในวันที่ฝนตกหนัก บดบังไม่ให้เขาเปียกปอน

              เหมือนผ้าห่มในวันที่ฝนตกหนัก อุ่นสบายและกล่อมให้หลับฝันดี




                รู้แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ


                เสียงโวยวายดังขึ้นทันทีเมื่อเขาพูดจบ พวกผู้หญิงบอกว่าเขาโกหกพวกเธอเพราะไม่มีใครในโลกนี้เหมือนร่มกับผ้าห่มได้หรอก นั่นไม่จริงสักหน่อย...อย่างน้อยก็มีอยู่คนหนึ่ง อี้ฟานเลิกสนใจสิ่งรอบข้างกลับมาอยู่ในโลกส่วนตัว หน้าสมุดยังโล่งเท่าเดิม แทนที่จะขีดเขียนลงไปเด็กหนุ่มกลับเหม่อลอย เขาเมินเสียงวายวายพวกนั้นแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง เม็ดฝนและลมเย็นๆ ทำให้เขาเริ่มนึกถึงอาเล่ยอีกครั้ง









     

                “ เอาล่ะ วันนี้ก็พอแค่นี้ การบ้านที่ให้ไปกรุณาทำมาส่งในวันพรุ่งนี้ด้วย


                อี้ฟานยืดตัวขึ้นเตรียมเก็บข้าวของใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็วเหมือนทุกครั้ง สมาร์ทโฟนในกระเป๋ากางเกงสั่นครืดคราดเพราะเสียงเรียกเข้า ไม่ต้องก้มดูหน้าจออี้ฟานก็รู้ว่าใครโทรมาหาในเวลานี้เพราะเขาเพิ่งจะเปลี่ยนเบอร์ใหม่โดยมีแค่สองคนที่รู้


                ครับอาเล่ย


                เขากวาดสายตามองรอบห้องเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้มีใครแอบฟังก่อนจะยกมือขึ้นเกาแก้มอำพรางรอยยิ้มจางๆ ตรงมุมปาก


                [เลิกเรียนแล้วใช่มั้ยอี้ฟาน?]


                “ อื้อ เพิ่งจะเลิกเมื่อกี้นี่เอง มีอะไรหรือเปล่า?


                […นะ]


                “ อะไรนะ?


                นอกจากเสียงอาเล่ยแล้วยังมีเสียงจอแจดังเล็ดลอดเข้ามาในสายจนทำให้แทบจับใจความประโยคไม่ได้ อี้ฟานขมวดคิ้ว ปกติที่ร้านดอกไม้เสียงไม่ดังขนาดนี้เลยสักครั้ง เขาร้อนรนใจขึ้นมาเสียเฉยๆ เพียงแค่คิดว่าอาเล่ยไม่ได้อยู่รอที่ร้านดอกไม้หรือที่บ้านเหมือนทุกวัน


                ผมไม่ได้ยิน อาเล่ยอยู่ที่ไหน?


                [ โรงเรียน...ข้างหน้าโรงเรียน]


                และกลับมารู้สึกอุ่นใจตามเดิม


                [จะรอนะ]


                เพราะอย่างนั้นเด็กหนุ่มถึงได้รีบคว้าประเป๋าขึ้นสะพายบนไหล่แล้วออกตัววิ่งเต็มแรง มันอาจจะแปลกประหลาดไปสักหน่อยสำหรับคนที่อายุสิบเจ็ดปีอย่างเขาที่ตื่นเต้นกับการมีใครสักคนมารับกลับบ้าน ราวกับว่าได้ย้อนไปในวันแรกที่ได้เข้าเรียน การได้เห็นอาเล่ยมายืนรอรับกลับบ้านตอนนั้นทำให้อี้ฟานมีความสุขมากจริงๆ


                อีกคนยืนท่ามกลางกลุ่มนักเรียนเดินขวักไขว่ สะดุดสายตาอี้ฟานด้วยเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนทั้งดูสุภาพและสบายตา ช่วงขายาวก้าวไปข้างหน้าด้วยจังหวะสม่ำเสมอ ยื่นแขนออกไปจนสุดหวังจะสามารถคว้าส่วนใดบนตัวของอาเล่ยเอาไว้ได้ และฝ่ามือนุ่มที่บีบกระชับฝ่ามือเขากลับมาก็บอกได้ว่าทำสำเร็จ


                อี้ฟานเบียดตัวเข้าไปอยู่ใต้ร่มแคบๆ กับอาเล่ย เส้นผมเปียกลู่ของเขาทำให้อาเล่ยหัวเราะออกมา เขาตื่นเต้นที่อาเล่ยมารับจนเผลอลืมกางร่มวิ่งตากฝนออกมาจากอาคารเรียน


                ทำไมวันนี้มาที่นี่ได้ล่ะ


                “ วันนี้มีลูกค้าน้อยกว่าปกติน่ะสิ ว่างมากๆ เลยมารับอี้ฟานไงไม่ดีเหรอ?


                “ ดีสิ ทำไมจะไม่ดี


                เพราะเขาไม่ได้เป็นเด็กประถมเหมือนหลายปีก่อนอีกแล้วถึงได้ไม่เรียกร้องให้อีกฝ่ายมารับมาส่ง เขาโตมากพอจะรับผิดชอบตัวเองได้ แต่ขณะเดียวกันเขาก็อยากให้อาเล่ยเข้ามามีส่วนร่วมในการใช้ชีวิตของเขาด้วย


                เด็กหนุ่มรอถือร่มให้อาเล่ยเข้าไปประจำฝั่งคนขับก่อนจะพาตัวเองวิ่งอ้อมไปเปิดประตูฝั่งผู้โดยสาร อี้ฟานทิ้งตังพิงเบาะประจำตัวของเขาอย่างสบายใจ นานเอาการที่ไม่ได้นั่งเจ้า Fiat 500 classic คันโปรดของอาเล่ยและแน่นอนว่าเขาก็ชอบมันมากเช่นกัน


                พื้นที่เพียงพอสำหรับคนสองคนและสัมภาระอีกนิดหน่อย อี้ฟานชอบสูดกลิ่นหอมภายในตัวรถซึ่งมันไม่ได้หอมเพราะน้ำหอมดับกลิ่นแต่อย่างใด มันเป็นกลิ่นหอมคล้ายกับตัวอาเล่ยบ่งบอกว่าอีกคนใช้เจ้ารถคันนี้บ่อยมากขนาดไหน แถมวันนี้ยังรถติด...นี่แหละความพิเศษของการขับรถตอนหน้าฝนJ


                “ ผมเปิดวิทยุนะ


                “ อื้ม เอาสิ


                เสียงดนตรีแนวอะคูสติกทำนองเย็นๆ เอื่อยๆ คุ้นหูดังขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในรถ ช่างเข้ากับบรรยากาศเย็นสบายตอนฝนตกเหลือเกิน อี้ฟานเอนตัวลงนอนพิงเบาะอีกครั้งและหันตะแคงข้างไปทางคนขับ  รถติดยาวเหยียดไม่มีทีท่าว่าจะเขยื้อนแต่สำหรับอี้ฟานเขาว่ามันดีสุดๆ


    Call it magic, call it true

    I call it magic when I'm with you

    And I just got broken, broken into two

    Still I call it magic, when I'm next to you



                Rain season, 2008


                “ ตามมาสิ


                เด็กชายค่อยๆ ช้อนตามองเจ้าของรอยยิ้มหวาน ขนาดตัวที่เล็กอยู่แล้วยิ่งเล็กลงไปอีกเพราะความรู้สึกกลัว กังวล และไม่สบายใจ สองมือน้อยเกาะขอบประตูบ้านเอาไว้แน่นไม่ยอมขยับตามเสียงเรียกของคนที่ไปยืนรอที่รถแล้วเรียบร้อย สีขาวสะอาดตาของมันไม่ได้ทำให้เด็กชายรู้สึกสบายใจขึ้นเลย


                เป็นอะไรไปหืม?


                “ ...ผมกลัว


                “ กลัวอะไรกันล่ะ


                “ ผม...ผมจะได้กลับมาที่บ้านหลังนี้อีกมั้ย แล้วพ่อจะตามผมเจอหรือเปล่า?


                เช้าวันหนึ่งในวันที่ฝนตกปรอยๆ กับลมเย็นชวนคัดจมูก อี้ฟานตื่นขึ้นมาจากเตียงนอนนุ่มสบายพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ รอบตัวและคำบอกเล่าของเจ้าของบ้านว่าจะพาออกไปข้างนอก เขากลัว...ตอนอยู่ที่บ้านเก่าพ่อจะโกรธมากถ้าเขากล้าก้าวขาออกจากบ้านเกินยี่สิบก้าว



                จะโดนตีมั้ย?

              จะได้กลับมาที่นี่อีกหรือเปล่า?



                ไม่ต้องกลัวนะอี้ฟาน จะมีแค่เราสองคน ไม่มีใครรู้หรอก


                แล้วที่นี่ก็คือบ้านของนาย


                ดวงตาสองคู่มองสบกันเงียบๆ คนตัวโตกว่านั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าอี้ฟานและกุมมือเขาเอาไว้อย่างอ่อนโยน รอยยิ้มละมุนละไมนั้นนอกจากแม่อี้ฟานก็ไม่เคยได้รับจากใครอีกเลย มันทำให้เด็กชายรู้สึกอุ่นวาบไปถึงหัวใจ เป็นครั้งแรกที่มีใครสักคนทำราวกับเขามีค่ามากมาย


                อยู่ด้วยกันที่นี่แหละอี้ฟาน ” 

      

    I don't, no, I don't, no, I don't, no, I don't

    No I don't, it's true


                คล้ายกับความกังวลได้ถูกปัดเป่าออกไปจนหมดสิ้น เด็กชายตื่นตาตื่นใจกับวิวทิวทัศน์ข้างทางจนไม่สามารถเก็บสีหน้าท่าทางเอาไว้ได้ สองฝ่ามือติดกับกระจกราวกับถูกทาด้วยกาว เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่อี้ฟานได้ออกมาข้างนอกบ้าน ได้ขับรถเที่ยวแบบที่เห็นในโทรทัศน์บ่อยๆ แต่ไม่เคยได้สัมผัส


                หัวใจของเด็กชายวัยสิบขวบพองฟูคับอก ดวงตาเป็นประกายสดใส แม้วันนี้ฟ้าจะมืดครึ้มและมีฝนตกตลอดทั้งวันแต่ในใจของเขากลับรู้สึกเหมือนถูกแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา อบอุ่นและสว่างไสว นี่คือการเริ่มต้นชีวิตใหม่หรือเปล่า? ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีความสุขได้มากขนาดนี้


                อยากไปที่ไหนเป็นพิเศษมั้ย?


                การส่ายหน้าคือคำตอบ สายตายังคงจดจ้องอยู่แต่กับภาพวิวด้านนอกกระจกรถ เด็กชายไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวเลยว่าตอนนี้รถกำลังติดยาวเหยียดบนถนนสายตรงเส้นนี้ เสียงเพลงจากวิทยุคลอไปเบาๆ กับเสียงฝนตกกระทบหลังคารถ เขาแนบแก้มลงบนความเย็นของกระจกรถก่อนจะยิ้มออกมา


                เลย์ เลย์


                ฝ่ามือบางเอื้อมมาขยี้หัวเขาก่อนจะส่ายหน้าไปมา


                ไม่ใช่แค่เลย์เฉยๆ สิ ต้องมีคำว่าอานำหน้าด้วย


                “ ...


                “ อยู่กันสองคนเรียกว่าเล่ยเล่ยก็ได้ แต่ต้องมีอานำหน้านะ


                “ เล่ยเล่ยเหรอ?


                “ อาเล่ยสิ คุณอาเล่ยน่ะ


                “ อื้อ! อาเล่ย


                บรรยากาศระหว่างคนสองคนดีขึ้นเยอะเลยล่ะ อี้ฟานฉีกยิ้มกว้างเปลี่ยนจากเกาะกระจกมามองคนขับที่กำลังฮัมเพลงเบาๆ คลอไปกับวิทยุโดยมีรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า


    I don't, no, I don't, no, I don't, no, I don't

    Want anybody else but you


                ถนนเส้นนี้ยาวแค่ไหนเหรออาเล่ย...


                “ อยากให้ยาวขนาดไหนล่ะ


                “ ยาวรอบโลกเลยได้มั้ย?


                อาเล่ยหัวเราะชอบใจและเอื้อมมือมาลูบหัวเขา สัมผัสชวนเคลิ้มทำให้เด็กชายยอมเอียงหัวเข้าหาอย่างเต็มใจราวกับลูกแมวตัวเล็ก ดวงตากลมช้อนมองกระพริบปริบๆ


                ได้สิ แต่วันนี้ต้องกลับไปทำอาหารเย็นล่ะคงจะขับรถไปรอบโลกไม่ได้แน่ๆ


                “ ชอบกินอะไรบ้างอี้ฟาน


                “ เลือกได้ด้วยเหรอ ผมกินได้ทุกอย่างเลยขอแค่อิ่มก็พอ


                “ เลือกที่ชอบมาสักอย่างซิ


                เด็กชายกลอกตาไปมาสักพักก่อนจะตอบเสียงอ้อมแอ้มคล้ายกลัวจะโดนดุ


                ข้าวราดหน้าแกงกะหรี่ครับ


                รถเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้งหลังจอดนิ่งมาหลายสิบนาที ฝนข้างนอกยังคงไม่หยุดตก แต่ฝนในใจอี้ฟานหยุดตกแล้ว และเขาคิดว่าตัวเองเห็นสายรุ้งแสนสวยพาดผ่านผืนฟ้าที่เคยมืดมนของตัวเอง


                ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้...จะทำข้าวราดหน้าแกงกะหรี่ให้กินแล้วกัน


                หลายครั้งที่คำร้องขอของเด็กชายวัยสิบขวบมักถูกมองข้าม


                จริงเหรอ!? ”


                “ จริงสิ จะทำให้อร่อยเลยล่ะ


                แต่วันนี้มีคนรับฟังแล้วแม้ว่ามันจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่น่าสนใจเลยก็ตาม


    And if you were to ask me

    After all that we've been through

    "Still believe in magic?"


                “ อี้ฟาน...อี้ฟาน...


                “ ตื่นเถอะเจ้าแมวขี้เซา


                “ ถึงบ้านเราแล้วนะ


                บ้านเราอย่างนั้นเหรอ? ฟังแล้วดูอบอุ่นจังเลยนะยิ่งมันออกมาจากปากของอาเล่ยด้วยแล้วล่ะก็ เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าเผลอหลับไปจนกระทั่งถูกปลุกตอนถึงบ้าน เจ้ารถ Fiat 500 classic ของอาเล่ยยังคงจอดอยู่หน้าประตูรั้ว ฝ่ามือบางแตะลงบนแก้มของเขาเบาๆ


                ผมเพิ่งจะตื่นจากฝันล่ะ...


                “ หื้ม? ฝันร้ายหรือฝันดีกันล่ะ?


                “ ต้องฝันดีสิ


                อี้ฟานวางมือทาบลงไปบนหลังมือของอีกคนแล้วถูไถผิวแก้มกับฝ่ามือนิ่มนั้นไปมาอย่างออดอ้อน


                อาเล่ยรำคาญผมมั้ย? อยากไล่ให้ผมไปไกลๆ หรือเปล่า?


                เขาผูกติดตัวเองกับอาเล่ยไว้ตั้งมากขนาดนี้บางทีเขาก็กลัวว่าจะทำให้อาเล่ยรู้สึกอึดอัด...แต่ก็ไม่อยากจะปล่อยเลย อี้ฟานไม่ได้อยากจะทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจ เขาอยากจะให้อะไรดีๆ ตอบแทนพ่อทูนหัวคนดีของเขาบ้าง อยากเป็นเด็กดีให้อาเล่ยภูมิใจ


                ถ้าผมทำอะไรไม่ดีอาเล่ยต้องดุผมนะ ทำให้ผมรู้ตัวผมจะได้ไม่ทำอีก


                “ เชื่อใจฉันมั้ยอี้ฟาน?


                เสียงนุ่มๆ พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบพร้อมกับรอยยิ้มบางเบา เด็กหนุ่มมองรอยยิ้มกับดวงตาคู่นั้นราวกับถูกดูดไปในอีกห้วงมิติหนึ่ง ราวกับโทนเสียงนุ่มนวลนั้นมีอำนาจสะกดจิตใจให้คล้อยตามได้ อี้ฟานพยักหน้า เขาเชื่อใจอาเล่ยมากกว่าใครในโลกเสียอีก


                อื้อ


                “ เราสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันไปนานๆ ไม่ใช่เหรอทำไมถึงลืมล่ะ


                “ ผมแค่กลัวอาเล่ยจะเบื่อ...


                “ คิดแทนคนอื่นไม่ได้หรอกนะอี้ฟาน


                อาเล่ยไม่ได้ตำหนิเขาแต่กลับขยุ้มผมเขาเล่นเหมือนทุกครั้ง ท่าทางใจเย็นและมีความเป็นผู้ใหญ่แบบนี้ที่อี้ฟานรู้สึกประทับใจทุกครั้ง เขาชื่นชมอาเล่ยในทุกๆ ด้าน


                งั้นอาเล่ยก็ต้องบอก...ว่าคิดยังไงกับผม


                “ ไม่เคยรำคาญ


                “ อ่าฮะ


                “ ไม่เคยอยากไล่ให้ไปไกลๆ


                “ อ่าฮะ


                “ ฉันเอ็นดูอี้ฟานมากนะ


                ช่วยอยู่อ้อนฉันไปนานๆ ได้หรือเปล่าล่ะ


    Well yes, I do

    Oh yes, I do

    Of course I do














     
    เน้นความเฉื่อยนะคะ ฟฟฟฟ นี่คือสเน่ห์อย่างหนึ่งของฟิคเราค่ะ *ทึ้งหัว*
    ช่วงนี้ฝนไม่ตกเลยจริงๆ นั่งบิ้วท์อารมณ์ตัวเองนานมากกว่าจะแต่งได้
    ใครอยู่มอหก(เหมือนเรา)ขอให้โชคดีและตั้งใจอ่านหนังสือนะคะ
    ใครได้ไปคอนก็ขอให้มีความสุขมากๆ กลับบ้านแบบปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนค่ะ

    ฝากส่องอี้ชิงให้เราด้วยนะคะ ; _ ;





    Ⓒ QRD
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×