คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Under my umbrella
Chapter three
Under My umbrella.
เปาะแปะ เปาะแปะ เปาะแปะ
ฝนยังคงตกปรอยๆ ล่วงเลยมาจนถึงตอนเช้าของอีกวัน เลย์ผูกผ้ากันเปื้อนด้วยความคล่องแคล่วก่อนจะเริ่มจัดดอกไม้ไว้เป็นกลุ่มๆ เพื่อให้ง่ายต่อการเลือกซื้อ ร้านขายดอกไม้ขนาดเล็กมีงานให้ทำเหนื่อยบ้างนิดหน่อย เลย์คนเดียวสามารถรับออเดอร์จัดช่อดอกไม้ได้เกือบสิบช่อเลยล่ะ ลูกค้าอาจจะไม่เยอะเท่าร้านใหญ่แต่ก็ไม่ได้มีน้อยจนขาดทุน แค่นี้เขาก็พอใจมากแล้ว
ค่าใช้จ่ายภายในบ้านและค่าของใช้ส่วนตัวของเลย์ไม่ได้ใช้เงินมากมายนัก ถึงจะมีเจ้าแมวตัวโตอย่างอี้ฟานเพิ่มมาอีกหนึ่งแต่อี้ฟานก็แทบจะไม่เคยรบเร้าให้เขาซื้ออะไรให้เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป แต่ถ้าเขาซื้ออะไรให้ล่ะก็อี้ฟานจะดูแลอย่างดี
อี้ฟานเป็นเด็กดี
นึกถึงหน้าอ้อนๆ ของเจ้าเด็กนั่นแล้วเขาก็หัวเราะออกมา ป่านนี้อี้ฟานคงจะเข้าเรียนแล้ว เลย์กลับมาสนใจงานตรงหน้าอีกครั้ง เขาเริ่มจัดดอกไม้ตามที่ลูกค้าโทรมาสั่งอย่างประณีตบรรจง เปิดเพลงคลอเบาๆ ภายในร้านและลงมือทำงานโดยไม่รีบร้อน
จังหวะที่เลย์กำลังเงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกประตูร้านเขาก็พบกับเจ้าของเรียวขายาวและร่มสีมิ้นท์กำลังตรงดิ่งมาทางนี้ อาจจะมาซื้อดอกไม้หรืออาจจะแค่มาหลบฝน ซึ่งถ้ามาหลบฝนจริงๆ เลย์ก็ไม่นึกใจร้ายขับไล่ไสส่งอีกคนไปไหนหรอก
บานประตูถูกผลักเข้ามา เจ้าของร่มสีมิ้นท์โดดเด่นเกาท้ายทอยทำสีหน้ากระอักกระอ่วนยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ตรงหน้าประตูร้านเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก
“ มาหลบฝนเหรอครับ? ”
“ เอ่อ...ครับ พอดีรถผมจอดอยู่ไกลน่ะ ”
เจ้าของร่มสีมิ้นท์เบิกตาโตขึ้นนิดหน่อยก่อนจะยิ้มแห้งๆ เลย์เองก็แอบขำเพราะเห็นว่าหูของอีกคนแดงขึ้นเรื่อยๆ เขาละมือออกจากช่อดอกไม้ที่กำลังจัดก่อนจะผายมือเชิญให้อีกฝ่ายนั่งตรงมุมร้านได้ โต๊ะกลมกับเก้าอี้สองตัวยังคงว่างอยู่
“ ผมอาจจะมารบกวน เอ่อ...แต่แค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละครับ ”
“ ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ครับ คุณจะหลบฝนที่นี่นานแค่ไหนก็ได้ ว่าแต่สนใจกาแฟสักแก้วมั้ยครับ? ”
นานๆ ทีจะมีคนหลงมาในร้านในฐานะที่ไม่ได้เป็นลูกค้า อากาศค่อนข้างเย็นเขาเลยอยากจะเสนออะไรอุ่นๆ ให้จิบคลายความหนาวไม่ก็ฆ่าเวลาไปพลางๆ ก็เท่านั้น ดูจากสีหน้าท่าทางแล้วคุณเจ้าของร่มสีมิ้นท์คงจะไม่ปลื้มฤดูฝนสักเท่าไหร่นัก
“ มันอาจจะรบกวนคุณมากเกินไป ”
“ ไม่เลยครับ ”
“ ถ้าอย่างนั้นคงต้องรบกวนกาแฟสักแก้วนะครับ ”
เพราะอย่างนั้นในเวลาไม่นานนักกาแฟหอมๆ อุ่นๆ จึงถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ เลย์ขอโทษอีกคนที่ไม่สามารถนั่งคุยเป็นเพื่อนได้เพราะต้องทำงานต่อให้เสร็จ ภายในร้านกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง มีบางทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมองความเป็นไปของเจ้าของร่มสีมิ้นท์และพบว่าอีกฝ่ายกำลังมองอยู่เหมือนกัน
“ นี่เป็นร้านของคุณเหรอครับ? ”
“ ใช่ครับ ”
“ ทำงานคนเดียวตลอดเลยสินะครับ ”
เลย์ยิ้มน้อยๆ มือบางบรรจงผูกริบบิ้นสีแดงสดรอบก้านดอกไม้
“ พอดีวันปกติผู้ช่วยของผมเขาไปโรงเรียนน่ะครับ ”
“ ลืมไปเลย...ผมเลย์นะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ”
“ นัมจูฮยอกครับ ยินดีที่ได้รู้จักมากๆ ”
ดอกกุหลาบสีเหลืองผูกริบบิ้นสีแดงสวยงามถูกวางลงตรงหน้าจูฮยอกพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจของคนให้ อีกฝ่ายมองเขาอย่างประหลาดใจก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง
“ กุหลาบสีเหลืองเป็นตัวแทนของมิตรภาพ ถือซะว่าเป็นของที่ระลึกจากทางร้านแล้วกันนะครับ ”
ชายหนุ่มหยิบดอกกุหลาบขึ้นมาดม ถึงความหมายของมันจะเป็นแค่มิตรภาพก็เถอะ กลิ่นหอมอ่อนจางคลอเคลียอ้อยอิ่งตรงปลายจมูก จูฮยอกชักจะชอบร้านขายดอกไม้ขึ้นมาเสียแล้ว คงจะดีหากได้มาเยี่ยมเยือนทุกวัน
“ ขอบคุณครับ ไว้ครั้งหน้า...จะแวะมาใหม่นะครับ ”
…หากเจ้าของร้านยิ้มหวานคนนี้ยินดีต้อนรับเขาล่ะก็
“ ได้สิครับ ”
...
เสียงกริ่งดังขึ้นพร้อมกับร่างของอี้ฟานที่พุ่งทะยานออกจากห้องเรียนโดยไม่รอให้ใครรั้งเหมือนทุกครั้ง บอกลาเพื่อนสั้นๆ ปฏิเสธที่จะไปเที่ยวหลังเลิกเรียนโดยให้เหตุผลว่ามีธุระด่วน อี้ฟานไม่ได้สนใจว่ามีใครหลายคนพยายามจะเข้าหา เขาแกล้งเมินเฉยกลุ่มเด็กสาวที่มายืนล้อมหน้าล้อมหลังแต่สุดท้ายพวกเธอก็สามารถบังคับให้เขารับของขวัญมาเสียเต็มไม้เต็มมือ
เขายัดของที่ได้ส่วนหนึ่งลงกระเป๋าเป้ อีกส่วนก็เป็นของกระจุกกระจิกใส่ถุงกระดาษที่ใครสักคนให้มาและจำต้องถือมันเอาไว้ มืออีกข้างก็ต้องถือร่ม กว่าจะเดินออกพ้นเขตโรงเรียนได้อี้ฟานก็ตกเป็นเป้าสายตาและหัวข้อสนทนาจนรู้สึกเหมือนร่างแทบจะพรุน
มันเริ่มเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ครั้งแรกที่เด็กหนุ่มได้เข้าโรงเรียนตอนสิบเอ็ดขวบ อี้ฟานไม่รู้ว่าเพราะอะไรทุกคนถึงมองเขาแบบนั้น ทุกคนพยายามจะเข้าหาจนเขาอึดอัด ทุกคนยกย่องเขา ให้เขาเป็นที่หนึ่งทั้งที่เขาไม่มีอะไรให้น่ายกย่องเลยสักนิด
ไม่มีใครเข้าใจตัวตนของเขา มีแต่คนที่สนใจเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกอยู่เต็มไปหมด บางครั้งอี้ฟานก็เกลียดที่จะมองใบหน้าของตัวเองในกระจก เขาเกลียดหน้าตาแบบนั้นที่ทำให้ใครต่อใครหลงรักจนมองข้ามสิ่งที่เป็นตัวเขา ไม่มีใครสนใจตัวตนจริงๆ ของอู๋อี้ฟานที่ไม่พิเศษ
หน้าตาแบบนี้ทำให้คนอื่นมารักได้ก็แค่ผิวเผิน
ไม่มีใครรักอี้ฟานได้เหมือนที่อาเล่ยรักเลยสักคน
ใช้เวลาเพียงแค่สิบห้านาทีเด็กหนุ่มก็เดินมาถึงหน้าร้านขายดอกไม้ ภายในกระจกบานใสเผยให้เห็นทุกการเคลื่อนไหวภายในร้านเล็กๆ แต่บรรยากาศดูอบอุ่นขัดกับบรรยากาศด้านนอก อาเล่ยกำลังพูดคุยกับลูกค้าชายหญิงคู่หนึ่งด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดูเหมือนว่าการสนทนาจะเป็นไปอย่างสนุกสนาน อี้ฟานเดินเตร่วนไปมาบริเวณหน้าร้าน รอจนกระทั่งลูกค่าคู่นั้นโค้งลาอาเล่ยแล้วเดินออกมาข้างนอก
เด็กหนุ่มผลักบานประตูกระจกแทรกตัวเข้ามาข้างในโดยทิ้งร่มเปียกๆ พิงเอาไว้ข้างนอก กลิ่นหอมของดอกไม้หลากหลายชนิดฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ ร่างบอบบางหลังโต๊ะตัวยาวเงยหน้าขึ้นมองเขาเล็กน้อย
“ เลิกเร็วนะวันนี้ ”
อี้ฟานหอบข้าวของพะรุงพะรังเดินตรงไปยังโต๊ะกลมมุมร้านก่อนที่อาเล่ยจะเข้ามาช่วยอีกแรง มือบางช่วยเอื้อมมาปัดละอองน้ำฝนออกจากไหล่ ตัวอาเล่ยหอมฟุ้ง กลิ่นหอมกว่าดอกไม้ในร้านเสียอีก
“ แล้วไม่ดีเหรอ? อาเล่ยจะได้ไม่ต้องกลับบ้านคนเดียวไง ”
“ เอาเวลากลับบ้านไปอาบน้ำทำการบ้านบ้างก็ได้ ”
“ ผมอยากอยู่กับอาเล่ย ”
ไม่อยากกลับไปบ้านที่ไม่มีอาเล่ยคอยทำอาหารรอ ไม่อยากอยู่คนเดียว อี้ฟานอยากจูงมืออาเล่ยกลับบ้าน อาจจะแวะซูเปอร์มาร์เก็ตซื้อขนมนมเนยหรือพวกของสดไปตุนไว้ที่บ้านแล้วค่อยกลับก็ยังได้ เขาอาจจะติดอาเล่ยมากเกินไป...แต่แบบนี้มันก็ดีอยู่แล้ว
“ ติดผู้ปกครองเหมือนเด็กเลย ”
อีกคนพูดยิ้มๆ พลางยีผมเขาไปด้วย อาเล่ยย่นจมูกใส่เขาทุกครั้งที่รู้สึกหมั่นเขี้ยวเวลาถูกอ้อน
“ แล้วไม่ชอบเหรอ? ”
“ ก็ชอบนะ ”
“ เห็นมั้ยล่ะ ผมติดอาเล่ยน่ะดีจะตายไป ”
“ ก็อี้ฟานสิบเจ็ดปีแล้วนี่นา ”
“ จะกี่ปีผมก็ยังเป็นเด็กน้อยของอาเล่ย ”
คิดตลอดว่าถ้าเป็นเด็กให้อาเล่ยเอ็นดูตลอดไปก็คงจะดี แต่ในอีกแง่เด็กหนุ่มก็อยากจะโตเร็วๆ จะได้ดูแลอาเล่ยได้สักที ความต้องการของคนเรามักจะย้อนแย้งแบบนี้เสมอ เพราะฉะนั้นอี้ฟานเลยเลือกจะปล่อยวางเรื่องที่เป็นไปไม่ได้และปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติ อย่างเช่น...
การสบตากันราวกับรู้จังหวะเหมาะสม
อาเล่ยยิ้ม อี้ฟานก็ยิ้ม
“ ผมจะเป็นทุกอย่างที่อาเล่ยต้องการเลยดีมั้ย? ”
“ โลภจังเลยอี้ฟาน จะเป็นทุกอย่างเลยเหรอเนี่ย ”
“ ผมเป็นได้ทุกอย่างถ้าอาเล่ยขอ ”
เขาเป็นเพียงเด็กอายุสิบเจ็ดที่ยังเรียนไม่จบมัธยมปลายด้วยซ้ำ อี้ฟานไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้อย่างที่ปากพูดมั้ยแต่เขาจะพยายามถ้าหากว่านั่นเป็นสิ่งที่พ่อทูนหัวของเขาต้องการ และถ้าหากว่าเขาโตมากกว่านี้เขาคงจะสามารถทำทุกอย่างให้อาเล่ยได้อย่างแน่นอน
“ เป็นแค่อี้ฟานก็พอแล้ว... ”
“ อาเล่ยของอี้ฟานไม่ใช่คนโลภหรอกนะ ”
ฝ่ามือบางประกบลงมาแผ่วเบาตรงผิวแก้ม สัมผัสนุ่มนวล ดวงตาสีน้ำตาอ่อนจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเขา อี้ฟานหลับตาลงช้าๆ ก่อนจะเลื่อนมือไปโอบรัดช่วงเอวบางเข้ามาใกล้ เขาเกลือกกลิ้งใบหน้ากับเสื้อไหมพรมสีครีมนุ่มนิ่ม สูดกลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มผสมกลิ่นดอกไม้
อี้ฟานพยักหน้ารับปากอีกคนในที่สุด
ล่วงเลยจนมาถึงหกโมงเย็นก็ได้เวลาปิดร้านกลับบ้าน อี้ฟานยืนถือร่มรออาเล่ยล็อกประตูร้านและดึงแขนอีกฝ่ายเข้ามาในร่มคันเดียวกัน ฝนยังคงตกเปาะแปะ ท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยเมฆฝนและมีแต่กลิ่นของไอดิน อากาศข้างนอกนี่เย็นไม่ใช่เล่นๆ แถมยังชื้นแฉะ
“ ทำไมไม่ใช้ร่มใสนะ แบบนี้จะมองเห็นท้องฟ้าได้ยังไง ”
อาเล่ยเองก็มีมุมขี้บ่นเหมือนคนอื่น แต่อาเล่ยน่ะชอบบ่นแต่เรื่องน่ารักๆ
“ อาเล่ยไม่ชอบร่มสีน้ำเงินแบบนี้เหรอ? ”
“ มันมองไม่เห็นท้องฟ้า ”
“ ผมเอาร่มอันนั้นให้คนอื่นไปแล้ว ”
ร่มใสอันนั้นเขาซื้อจากมินิมาร์ทใกล้โรงเรียนเพราะลืมเอาร่มไป อี้ฟานคิดว่าเขาไม่มีความจำเป็นต้องเก็บมันเอาไว้เพราะเขามักจะใช้ร่มสีน้ำเงินที่อาเล่ยเป็นคนเลือกให้อยู่ตลอด เขาชอบร่มคันนี้ที่สุด แต่พอเห็นสีหน้าเหมือนจะเสียดายของอาเล่ยแล้วอี้ฟานก็รู้สึกผิดนิดๆ
“ อ่า...งั้นหรอกเหรอ ”
“ แต่ถ้าผมรู้ว่าอาเล่ยชอบร่มคันนั้นผมจะไม่ยกให้คนอื่นแน่ๆ ”
“ ไม่เป็นอะไรหรอกน่า ก็แค่เสียดายนิดหน่อยเอง ”
ดวงตากลมหยีเป็นเส้นโค้ง ไม่มีร่องรอยความโกรธ อาเล่ยเพียงแค่ลูบหลังเขาคล้ายจะบอกว่าไม่ต้องรู้สึกผิดที่ยกร่มให้คนอื่นหรอก
“ ถึงจะชอบร่มใสยังไง...มันก็คงไม่ดีเท่าที่เราได้อยู่ใต้ร่มเดียวกันใช่มั้ยล่ะ? ”
ใช่...แบบนี้ล่ะถูกต้องที่สุดแล้ว
“ วันนี้ต้มรามยอนใส่ชีสกันดีมั้ย ”
“ ถ้าอาเล่ยทำผมก็กิน ”
อี้ฟานออดอ้อนพ่อทูนหัวคนดีของเขาด้วยการเอนหัวไปพิงกับอีกคน ส่วนสูงที่มากกว่าทำให้เขาสามารถแนบแก้มบนหัวอาเล่ยได้พอดิบพอดี เส้นผมนุ่มนิ่มหอมกลิ่นแชมพูแบบเดียวกับที่อี้ฟานใช้แต่ไม่เคยจะหอมเท่านี้ เด็กหนุ่มคลอเคลียแก้มกับเส้นผมนุ่มๆ สูดลมหายใจลึก
ลดร่มในมือให้ต่ำลงอีกจนติดหัวตัวเอง หนึ่งเพื่อป้องกันจากสายตาสอดรู้สอดเห็นจากคนรอบข้าง สองเพื่อจะได้ก้มลงจูบหัวอาเล่ยเร็วๆ แล้วรีบผละออกมายิ้มกริ่มอย่างเช่นตอนนี้ คนนอกร่มคันสีน้ำเงินเข้มไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
“ ขี้อ้อนจริงๆ เลยเจ้าแมว ”
เจ้าแมวตัวโตของอาเล่ยยิ้มจนตาปิดก่อนจะวาดแขนโอบไหล่คนอายุมากกว่า ร่มสีน้ำเงินเข้มถูกยกขึ้นในระดับปกติอีกครั้ง อี้ฟานแอบเหลือบมองอาเล่ยเป็นครั้งคราว มองอีกคนกลั้นยิ้มจนเห็นลักยิ้มที่แก้มขวาแล้วหันกลับมามองถนนตามเดิม
…
สมาร์ทโฟนบนโต๊ะข้างเตียงสั่นครืดคราดไม่ยอมหยุดพร้อมกับเสียงแจ้งเตือนโปรแกรมแชทดังติดกันถี่ๆ คนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จหมาดๆ หยิบมันขึ้นมาดูด้วยสีหน้าไม่บอกอารมณ์ก่อนสมาร์ทโฟนในมือจะถูกปิดลงเพื่อตัดความรำคาญตามด้วยไมโครซิมที่เขาใช้มันมาเกือบปีแต่เห็นทีคงจะได้เปลี่ยนใหม่อีกแล้ว
เสียงฝีเท้าคนเดินผ่านหน้าห้องของเขาไปทำให้อี้ฟานรู้ว่าอาเล่ยคงจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จและเตรียมตัวลงไปนั่งแต่งเพลงในห้องนั่งเล่นตามปกติ เมื่อเสียงฝีเท้านั้นค่อยๆ เบาลงไปอี้ฟานจึงได้ลุกออกไปข้างนอกห้องบ้าง ปกติเด็กหนุ่มจะเข้านอนพร้อมพ่อทูนหัวเสมอ เขาชอบมองอาเล่ยเวลากำลังหมกมุ่นกับการแต่งเพลง บางทีก็นอนหนุนตักอีกคนรอไปพลางๆ ด้วย
เขาได้กลิ่นหอมของโกโก้ยี่ห้อโปรด ในคืนที่ฝนตกโกโก้ร้อนฝีมืออาเล่ยน่ะดีที่สุดสำหรับอี้ฟาน อีกคนมองเขาเล็กน้อยก่อนจะตบลงบนเบาะปุๆ เป็นเชิงให้เขารีบพาตัวเองไปนั่ง
“ อื้อ...อาเล่ย ”
เด็กหนุ่มซบหน้าลงบนไหล่แคบ กลายเป็นแมวตัวโตจอมขี้อ้อนของอาเล่ยอีกครั้ง ฝ่ามือบางสอดเข้ามาขยุ้มผมสลับลูบเบาๆ เหมือนเล่นกับแมว อาเล่ยน่ะชอบแมวมากๆ แต่ไม่เคยเอามาเลี้ยงแม้อี้ฟานจะยินยอม รายนั้นบอกแค่ว่ามีเวลาไม่มากพอเพราะเอาเวลามาดูแลอี้ฟานหมดแล้ว เป็นคำพูดธรรมดาๆ แต่ก็ทำให้เขาแอบยิ้มอย่างพอใจได้
“ เด็กชายอู๋อี้ฟาน ไหนเล่ามาซิว่าที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง ”
“ ดี...แต่มันออกจะวุ่นวายนิดหน่อย แบบนั้นผมไม่ค่อยชอบเลย ”
“ วุ่นวายเรื่องอะไรล่ะหืม? ”
“ ผมดีใจที่ได้เรียน แต่ผมก็แค่อยากเรียนแล้วก็กลับบ้านไม่ใช่ถูกบังคับให้ไปนั่นนี่หรือแม้แต่รับของมาจากคนอื่น ผมไม่ชอบสายตาที่คนอื่นมองมา ไม่ชอบเวลาที่มีคนพูดถึงตัวเอง ”
จะด้วยความชื่นชมหรือความเกลียดชังอะไรก็ตามแต่ เขาเกลียดที่ต้องตกเป็นเป้าสายตาใครต่อใคร เกลียดที่ต้องเป็นหัวข้อสนทนาไร้สาระ อี้ฟานก็แค่อยากเรียนให้ได้เกรดดีๆ และรีบกลับบ้านมาหาอาเล่ย ชีวิตเขาไม่ได้ต้องการอะไรมากมายขนาดนั้น
อี้ฟานแค่อยากอยู่ในบ้านที่มีแต่เขากับอาเล่ย มีแค่พวกเราสองคน
“ ไปเที่ยวกับเพื่อนบ้างก็ได้นี่ บ้านกับฉันไม่หนีไปไหนหรอก อี้ฟานยังเด็กหาความสนุกได้อีกเยอะเลย บางทีโลกข้างนอกอาจจะเหมาะกับอี้ฟานก็ได้นะ ”
“ อาเล่ยไม่เข้าใจ ”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน เมื่อก่อนเขาก็เป็นแค่เด็กที่ไม่มีอะไร นอกจากแม่ก็ไม่มีใครรัก เขาไม่เคยลืมคืนนั้นที่ได้มายืนหน้าบ้านหลังนี้ครั้งแรก ตอนนี้เขามีทุกอย่างที่เด็กอายุสิบเจ็ดควรจะมีแม้จะไม่มากมายแต่อี้ฟานก็รู้สึกได้ว่าความว่างเปล่าของเขาถูกเติมเต็มด้วยความรัก อาเล่ยเป็นพระเจ้า เป็นเทวดา เป็นความรักกับโลกทั้งใบที่เด็กอายุสิบเจ็ดคนหนึ่งมี
“ ผมแค่อยากอยู่กับอาเล่ย ไม่เอา...ไม่ไล่ผมไปไหนนะ ”
“ งอแงจังวันนี้ ยังไม่ได้ไล่ไปไหนสักหน่อย ”
อาเล่ยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะดึงเด็กหนุ่มไปกอด โยกไปมาเหมือนปลอบเด็กน้อยที่ร้องไห้โยเย อี้ฟานกอดตอบและค่อยๆ กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นไม่ให้อีกคนรู้ตัว
“ เราอยู่ด้วยกันมาตั้งนาน ไม่มีอี้ฟานอยู่ด้วยคงจะเหงามากๆ เลย ”
“ งั้นก็อย่าให้ผมไปไหนสิ ”
“ ชีวิตของอี้ฟานจะให้คนอื่นมาบังคับได้ยังไง ”
“ ชีวิตผมเป็นของอาเล่ย ”
อี้ฟานรักแม่ แม่ทำทุกอย่างเพื่อให้เขาหลุดพ้นจากเรื่องแย่ๆ พยายามผลักดันให้เขาได้มีชีวิตที่ดีกว่าที่เคยเป็นถึงแม้ท้ายสุดแล้วแม่จะยังเลือกอยู่กับพ่อ แต่ขณะเดียวกันอาเล่ยสร้างชีวิตใหม่ให้เขา สร้างความทรงจำดีๆ พวกเราไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่มีสายใยบางเบาค่อยๆ เชื่อมเราเข้าหากันทีละนิด...ทีละนิด และตอนนี้อี้ฟานกับอาเล่ยก็เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันไปแล้ว
“ เป็นของอาเล่ยมาตั้งนานแล้ว ”
ตั้งแต่วันที่อาเล่ยกอดเขาเอาไว้ท่ามกลางสายฝนในคืนนั้น
เลย์ตัดสินใจว่าจะไม่แต่งเพลงแล้วในคืนนี้ อาจจะเพราะมีเจ้าแมวตัวโตคอยคลอเคลียไม่ห่าง หรืออาจจะเพราะตัวเขาเองก็อยากจะโอ๋อีกคนเหมือนกัน เขาปล่อยให้อี้ฟานยึดหน้าตักของตัวเองไปจนหมด เส้นผมสีน้ำตาลลื่นถูกเลย์ม้วนเล่นจนเป็นลอน เด็กน้อยหลับตาพริ้มแต่คงไม่ได้นอนหลับหรอก
ช่วงเวลาส่วนตัวกำลังดำเนินไปอย่างผ่อนคลาย สายตาเลย์จับจ้องอยู่กับหน้าจอโทรทัศน์ขณะที่มือยังเล่นสนุกกับเส้นผมของคนที่นอนตักเขาอยู่ กลิ่นโกโก้หอมกรุ่นผสมปนเปไปกับกลิ่นฝนและไอดินด้านนอกหน้าต่าง
“ อาเล่ยเบื่อมั้ย? ”
เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบา อี้ฟานยังคงนอนหลับตาอยู่ตามเดิม
“ ไม่เบื่อ ”
“ เหรอ... ”
เขาเห็นริมฝีปากอิ่มคลี่เป็นรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า แต่เขาก็แกล้งทำเป็นไม่เห็น
“ ผมก็ไม่เบื่อเหมือนกัน ”
“ ไม่เบื่อเลยสักนิด ”
I've been wishing on a star but I never could have imagined
I would land just where you are after all this lonesome travelling
เสียงโทรทัศน์ค่อยๆ เบาลงไปจนแทบไม่ได้ยินบทสนทนาที่กำลังดำเนินไปเรื่อยๆ ในนั้น เลย์เงี่ยหูฟังเสียงฮัมเพลงของเจ้าแมวตัวโตอย่างตั้งใจ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาละเลยภาพบนจอโทรทัศน์แล้วเอนตัวพิงโซฟาในท่าที่สบายตัว ปลายนิ้วเกี่ยวเส้นผมสีน้ำตาลไปมา
Took one look in your eye, reached out to hold your hand
This is when I realized what I could never understand
ดวงตาที่ปิดสนิทค่อยๆ เปิดขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง มองอยู่นานหลายนาทีเหมือนไม่ได้เจาะจงที่สิ่งไหนเป็นพิเศษ เลย์ยังคงเล่นผมอีกคนไปพลางๆ รู้ตัวอีกทีฝ่ามืออุ่นก็แตะลงบนผิวแก้ม แตะนิดแตะหน่อยแบบนั้นสลับกันไปมา เพลงท่อนสุดท้ายจบลงอย่างสวยงาม...
Do you want to be my one and only love?
เราจะทำให้รู้ค่ะว่าการมีใครสักคนเข้ามาในวันแย่ๆ มันดีแค่ไหน
ไม่ถนัดดราม่าจริงจริ๊งงง
ปล.มีเนื้อเพลงแทรกเยอะทั้งเรื่องเลยแหละ อย่ารำคาญนะ หามาฟังด้วยก็ได้ เย้
ความคิดเห็น