ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    exo「 Feel Good 」krislay

    ลำดับตอนที่ #13 : Your love around me.

    • อัปเดตล่าสุด 18 ก.ย. 58










    Chapter twelve

    your love around me.







     

                เคยมั้ยที่เราอยากเข้มแข็งเพื่อปกป้องรอยยิ้มของใครบางคนตลอดไป



                อี้ฟานเคย และนั่นแหละคือแรงผลักดันของเขา


                มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญนะรู้มั้ย ต้องกินเยอะๆ ล่ะ


                อาหารเช้าหอมฉุยถูกเลื่อนมาวางตรงหน้าเขา ถึงแม้ว่าปีนี้เขาจะอายุสิบแปดแล้วแต่อาหารที่อาเล่ยทำให้ก็ยังเป็นรูปตัวการ์ตูนในบางครั้ง อาหารฝีมืออาเล่ยที่ตั้งใจทำให้เขานั้นแสนจะใส่ใจขนาดไหนมีแต่อี้ฟานที่รู้ดี นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงยังคงยิ้มแก้มปริทุกครั้งที่ได้กินอาหารฝีมืออาเล่ย




                เพราะอาเล่ยไม่ได้ใส่แค่เครื่องปรุงลงไปในอาหาร

              แต่ใส่ความรักลงไปด้วย




                อย่าลืมพกร่มไปด้วยล่ะ


                “ เย็นนี้อยากกินอะไรเหรออี้ฟาน เดี๋ยวจะทำไว้ให้


                “ อี้ฟาน?


                “ อี้ฟาน?


                “ ครับ?


                ดูเหมือนว่าจะเผลอนั่งคิดอะไรเพลินๆ ไปหน่อย รู้ตัวอีกทีก็ถูกดวงตาสีน้ำตาลก็มองมาอย่างขบขันอาเล่ยย่นจมูกใส่เขาอีกแล้ว อี้ฟานเองก็หัวเราะเช่นกัน


                ทำอาหารจีนนะ ผมอยากกินอาหารจีน


                “ เอางั้นเหรอ ได้สิ


                เมื่ออาเล่ยหยิบช้อนขึ้นมาอี้ฟานก็หยิบตามบ้าง รสชาติไม่จืดแต่ก็ไม่จัดจ้านแบบที่เขาชอบกับความอุ่นร้อนในโพรงปาก เสียงช้อนกระทบจานเบาๆ น่าฟังยิ่งกว่าเสียงระฆังในโบสถ์เสียอีก ช่างเป็นเช้าที่แสนดีจนแทบไม่อยากจะไปโรงเรียนเลยล่ะ


                “ ยิ้มอะไรหืม?


                กระดาษทิชชู่ถูกยื่นมาให้ตรงหน้า อาเล่ยพยักเพยิดเป็นการบอกว่ามีอะไรสักอย่างติดอยู่ตรงแก้มเขาแต่อี้ฟานก็เลือกที่จะเฉย เด็กหนุ่มอมยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะโดนบิดจมูกไปหนึ่งที สุดท้ายแล้วอาเล่ยก็ต้องเช็ดแก้มให้เขาอย่างช่วยไม่ได้


                “ เปล่าครับ แค่มันดีที่มีอาเล่ยอยู่ด้วย ผมมีความสุขจัง


                “ ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ


                “ แต่อาเล่ยก็ชอบ


                “ หื้ม? บอกตอนไหนล่ะ


                “ แล้วอาเล่ยยิ้มทำไม


                ยิ้มหวานทั้งตาทั้งปากแบบนี้น่ะ ดูยังไงอาเล่ยก็ชอบใจที่เขาพูดจาหวานๆ แบบนี้


                “ อี้ฟานชอบให้อาเล่ยยิ้มไม่ใช่เหรอ?


                “ โอเค ผมยอมแล้ว


                สิ่งที่พ่อทูนหัวของอี้ฟานพูดมามันถูกต้องจนเขาไม่รู้จะโต้กลับยังไงไหวได้แต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวไปยิ้มไปทั้งอย่างนั้น วันนี้เป็นวันที่ดี...เหมาะกับการเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง และเด็กหนุ่มเชื่อว่าความรักทั้งหมดที่มีอยู่จะทำให้เขาสามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้


                เขาใช้เวลาคิดเรื่องนี้อยู่หลายคืน ดวงตาแสนเย็นชาของพ่อยังติดอยู่ในหัว อี้ฟานเริ่มตระหนักได้ว่าเขากำลังกลัวอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย เขาไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ ที่สู้พ่อไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แต่เพราะความทรงจำแย่ๆ ในวัยเด็กมันทำให้เขากลัวโดยไม่คิดจะเผชิญหน้าเลยสักครั้งเดียว



                แค่เอาชนะความกลัวนี้ให้ได้

              มันก็คุ้มไม่ใช่เหรอที่เขาจะไม่ต้องกลัวมันอีกต่อไป



                อี้ฟานให้อาเล่ยเป็นท้องฟ้าสวยงามยามเช้า เป็นสายลมและก้อนเมฆ ส่วนตัวเขาก็เหมือนผีเสื้อที่ติดอยู่ในกรงขัง เมื่ออยากออกไปบินในท้องฟ้าข้างนอกเขาก็ต้องหนีออกมาจากกรงขัง ความรู้สึกแสนอิสระนั้นช่างเป็นสิ่งเย้ายวนใจเหลือเกิน


                วันนี้ผมจะไปหาแม่


                “ มันถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง


                อาเล่ยไม่ได้มีท่าทีเป็นห่วงเป็นใยหรือกังวลใจอะไรทั้งสิ้น นอกจากยิ้มบางๆ บนใบหน้าหวานละมุนอาเล่ยก็เพียงแค่ยิ้มให้เขาเท่านั้น


                ตัดสินใจแล้วใช่มั้ย


                เด็กหนุ่มพยักหน้าช้าๆ ตามองมืออาเล่ยยื่นเข้ามาหาก่อนจะจับมืออีกคนเอาไว้หลวมๆ


                ไม่ว่าจะตัดสินใจยังไงอี้ฟานก็มีอาเล่ยเสมอนะรู้ใช่มั้ย?


                “ อือ


                “ แค่ทำให้เต็มที่ อย่าให้มันค้างคาในใจอี้ฟานอีกเลยนะ


                ว่าด้วยกฎของแรงดึงดูด...พวกเขาต่างยืดตัวขึ้นจากเก้าอี้ ให้ดวงตาดึงดูดกันและกัน ปล่อยริมฝีปากแนบสนิทอย่างอ่อนโยน อี้ฟานรักอาเล่ยเหลือเกิน ไม่ใช่รักแบบอาหลาน ไม่ใช่รักที่มีแต่ความสเน่หาแต่เป็นความรักเท่าที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งมี เขารักอาเล่ยอย่างลึกซึ้งและปรารถนาดีจากใจ


                เสียงหัวเราะดังขึ้นผะแผ่ว พวกเขาค่อยๆ ผละห่างจากกันอย่างอ้อยอิ่ง อี้ฟานยิ้มกว้างเมื่ออาเล่ยยื่นมือมาลูบแก้มเบาๆ ทุกอย่างกลับไปเป็นปกติ แต่แน่นอนว่ารสหวานบนริมฝีปากยังไม่จางหายไป


                ผมอยากเริ่มต้นใหม่  แบบที่เริ่มต้นใหม่จริงๆ...


                “ ถึงตอนนั้นเมื่อไหร่ผมจะเป็นอี้ฟานที่โตเป็นผู้ใหญ่


                ...แล้วก็จะจับมืออาเล่ยไปนานๆ เลย

     





     

    ...

     






     

                แม่ครับ ผมอยากเจอพ่อ


                “ ...


                เด็กหนุ่มมองใบหน้าซีดเผือดของแม่ก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสผิวแก้มนุ่มแผ่วเบา เขากุมมือแม่เอาไว้แล้วกดจูบลงไปเพื่อปลอบประโลมไม่ให้แม่รู้สึกตกใจ เขาอยากให้แม่วางไว้วางใจในตัวเขา และเขาโตพอที่จะตัดสินใจอะไรบางอย่างเองได้แล้ว


                อี้ฟานรู้สึกซาบซึ้งใจ แค่เขาโทรหาแม่บอกว่าคิดถึงแม่อยากจะเจอแม่เขาก็ได้รับคำตกลงในทันที อี้ฟานไม่ได้นัดเจอแม่ที่บ้านแต่เลือกที่จะนัดเจอแม่ข้างนอก ส่วนหนึ่งเขาก็แค่อยากจะลองทำอะไรด้วยตัวเองโดยไม่มีอาเล่ยคอยอยู่ใกล้ๆ เหมือนทุกครั้ง


                ใบหน้างดงามซีดเผือด ดวงตาแสนสวยของแม่สั่นระริกและเต็มไปด้วยความกังวล มือบางบีบกระชับฝ่ามือของเขาแน่นและอี้ฟานทำได้แค่ยิ้มกว้างๆ


                แม่ไม่คิดว่ามันจะ...


                แม่ลูบแก้มเขาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก


                คิดดีแล้วเหรอจ้ะอี้ฟาน? ลูกไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนี้หรอกนะ เราแค่ปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้...แม่ไม่รู้เลยว่าเขาจะทำอะไรถ้าเขาเจอลูก


                “ อย่าห่วงไปเลยครับ


                “ … ”


                “ ผมโตพอจะปกป้องตัวเองปกป้องแม่ได้แล้วล่ะครับ


                แม้ว่าคราวแรกที่ตัดสินใจทำแบบนี้เขาจะกลัวแทบตาย มันยาก...กับการที่เราต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตัวเองกลัว แต่พอนึกถึงคำพูดของอาเล่ยความกล้าของอี้ฟานก็กลับมาอีกครั้ง เขาตระหนักได้ว่าไม่นานเขาต้องโตขึ้นและไม่สามารถวิ่งหนีปัญหาไปได้ตลอด


                แม่พาเขาหนีจากพ่อได้แต่หนีจากความจริงไม่ได้ ไม่มีทางที่อี้ฟานจะหนีไปได้ตลอดเพราะไม่มีใครหนีจากความจริงได้ และเขาไม่อยากหนีอีกต่อไปแล้ว เขาอยากจะยิ้มและมีความสุขได้จริงๆ สักที


                ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้แม่ลำบากใจ ผมแค่อยากทำอะไรให้มันดีขึ้น แม่เข้าใจใช่มั้ยครับ?


                “ แม่เข้าใจจ้ะ แต่แม่...อี้ฟาน แม่เป็นห่วงลูกนะ


                “ ผมเจอพ่อเมื่อหลายวันก่อน


                ดวงตาสีเข้มเหมือนเขาเบิกกว้าง แม่ดูตกใจมากที่ได้ยินแบบนั้น ใบหน้าสะสวยบิดเบี้ยวจะร้องไห้ออกมารอมร่อก่อนที่อี้ฟานจะดึงแม่เข้ามากอดให้แน่นๆ แม่เป็นห่วงเขาเสมอถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเท่าแม่ลูกคู่อื่นๆ


                ผมตัวโตเท่าพ่อแล้วนะครับแม่


                “ เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงว่าเขาจะทำร้ายผมได้เหมือนเมื่อก่อนนะครับ


                เด็กหนุ่มอยากให้แม่เชื่อใจเขาเหมือนกับที่อาเล่ยเชื่อใจเขา อี้ฟานยิ้มให้แม่อีกครั้ง กดจูบลงบนหน้าผากของแม่ แค่แม่กระชับอ้อมแขนกอดตอบกลับมาเขาก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว


                “ แต่เป็นกำลังใจให้ผมแล้วมันจะผ่านไปได้ด้วยดี


                “ แม่เชื่อใจผมมั้ย?


                จ้ะ แม่เชื่อใจอี้ฟาน


                ความรักที่โอบล้อมรอบตัวนั้นจะเป็นแรงผลักดันให้อี้ฟานกล้าเผชิญหน้ากับอุปสรรคและความกลัว มันไม่เคยง่าย แต่ก็ไม่ยากหากว่าเขามีแม่และอาเล่ยอยู่เคียงข้าง



                แบบนี้ดีที่สุดเลย



              การที่อี้ฟานได้เจอพ่อในครั้งนี้เด็กหนุ่มเชื่อว่าหนามแหลมคมที่ทิ่มแทงใจมาตลอดหลายปีกำลังจะถูกดึงออก เขาจะไม่เจ็บปวดกับเรื่องราวในอดีตอีกต่อไปแล้ว


                งั้นวันนี้แม่ต้องกินเยอะๆ นะครับ ผมรู้ว่าแม่ชอบผัก


                “ ผมจะตักเนื้อให้แม่ด้วย แม่จะได้แข็งแรงและสวยแบบนี้ไปนานๆ


                มันยากมากที่เขากับแม่จะหาโอกาสมาทานข้าวด้วยกันสักมื้อ ถ้าหากว่าอะไรๆ ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนอี้ฟานหวังว่าเขากับแม่จะได้ออกมาเจอกันบ่อยกว่าเดิม บนจานของแม่มีแต่อาหารอยู่พูนจาน แม่หัวเราะทั้งน้ำตาก่อนจะตักอาหารเข้าปากคำโต


                แม่จะแข็งแรงเพื่ออี้ฟานนะ ขอบใจนะจ๊ะ


                อี้ฟานมองแม่ซับน้ำตาด้วยรอยยิ้มบางเบา ยิ่งกระซิบปลอบแม่ก็ยิ่งน้ำตาไหล อี้ฟานสูดจมูกเล็กน้อยขณะที่มือไม้วุ่นวายกับการดูแลอาหารการกินให้แม่ เขาแสบจมูกแถมยังแสบตาแต่ไม่อยากร้องไห้...เชื่อเถอะว่าแม้อาหารมื้อนี้พวกเขาจะกินข้าวพร้อมน้ำตาแต่มันก็เป็นมื้ออาหารที่อร่อยที่สุดในโลกเลยล่ะ


                ร้องไห้ทำไมอี้ฟาน...


                “ ถ้าแม่ไม่หยุดร้องไห้ผมก็ไม่หยุดร้องเหมือนกัน


                “ ฮะๆ เจ้าเด็กโง่



                อี้ฟานจะเป็นเด็กโง่ของแม่

              เขาเป็นเด็กโง่ที่รักแม่ที่สุดเลย



              แม่รักอี้ฟานนะ


                “ ผมก็รักแม่ รักแม่มากๆ เลยครับ

     





     

     





     

                Rain season, 2011


                “ อี้ฟาน...ตื่นเร็วเข้า


                แรงบิดเบาๆ ตรงปลายจมูกทำให้คนที่จมอยู่ในความฝันจำต้องลืมตาตื่นในเช้าวันใหม่ สิ่งแรกที่ปรากฏในกรอบสายตาคือใบหน้าสดใสและรอยยิ้มหวานๆ จับใจคนมอง อี้ฟานถูแก้มกับหมอนสองสามครั้งและค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นขยี้ตาแบบง่วงๆ


                มีอะไรจะถาม


                “ อื้อ


                เด็กชายเห็นหน้าปัดนาฬิกาปลุกบนโต๊ะหัวเตียงบอกเวลาว่าเป็นตอนตีสี่ ทุกอย่างยังคงเงียบสงบจนได้ยินเสียงฝนตกกระทบหลังคาชัดเจน ข้งนอกหน้าต่างมืดสนิท จะมีก็แต่แสงสลัวจากโคมไฟสองข้างถนนสายเล็กหน้าบ้านเท่านั้น อาเล่ยนั่งอยู่ตรงปลายเตียงและไม่ได้ใส่ชุดนอนด้วย


                อาเล่ยจะไปไหน?


                “ ชู่วว ต้องตอบคำถามก่อนนะ


                “ … ”


                “ เคยเห็นทะเลตอนเช้ามั้ย?


                “ …ไม่


                เขาจะไปเคยเห็นอะไรแบบนั้นได้ยังไงในเมื่อใช้ชีวิตวนเวียนอยู่แต่บ้าน โรงเรียน ซูเปอร์มาร์เก็ตกับร้านดอกไม้ของอาเล่ย นานๆ ครั้งก็ได้ไปนั่งคาเฟ่บ้าง อี้ฟานไม่เคยไปไหนไกลเลยสักครั้ง


                เราไปเที่ยวทะเลกันเถอะ


                ดวงตาหรี่ปรือเบิกกว้างแทบจะทันที อี้ฟานหูผึ่ง แทบไม่รู้ตัวเลยว่าจ้องอีกคนด้วยดวงตาเป็นประกายขนาดไหน


                จริงเหรออาเล่ย?


                “ จริงสิ รีบลุกไปอาบน้ำแปรงฟันเร็วเข้า


                “ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย! ”






               

                เขากำลังตื่นเต้นและอารมณ์ดีจนอดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงตามวิทยุ อี้ฟานยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อนึกว่าตัวเองกำลังจะได้ไปเห็นทะเลตอนเช้าอย่างที่อาเล่ยบอก มันจะสวยขนาดไหนนะ? เด็กชายมองออกไปนอกหน้าต่างบ้างมองคนขับรถบ้าง หัวใจเขารู้สึกอิ่มเอมไปหมด


                ก่อนจะออกจากบ้านมาอาเล่ยบอกกับอี้ฟานว่าทะเลตอนไหนก็ไม่สวยเท่าทะเลตอนเช้าในวันที่ฝนตกพรำๆ เสียงคลื่นเพราะพอๆ กับเสียงฝน แม้จะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้เท่าหน้าร้อนแต่มันก็ดีไปอีกแบบ อี้ฟานจินตนาการตามแล้วอดยิ้มไม่ได้เลย ตื่นเต้นจะแย่



                เพราะอาเล่ยชอบทะเลตอนเช้าในวันที่ฝนตก

              อี้ฟานเลยคิดว่ามันต้องดีมากแน่ๆ



                เด็กชายเคยไปเที่ยวไกลบ้านก็นานมาแล้วจนมันเลือนรางไปหมด ตั้งแต่ตอนที่แม่ยังไม่แต่งงานใหม่ ตอนที่พ่อแท้ๆ ของเขายังอยู่ ตอนที่ครอบครัวยังเป็นครอบครัวจริงๆ แต่วันนี้อี้ฟานไม่คาดฝันมาก่อนจริงๆ ว่าอาเล่ยจะใจดีพาไปเที่ยวทะเล ถึงจะเช้าเกินไปและอยู่ได้ไม่นานมากนัก แต่เพราะมีอาเล่ยอี้ฟานก็คิดว่ามันโอเค


                กว่าจะไปถึงที่หมายต้องขับรถถึงสองชั่วโมง ถนนว่างเปล่า มีรถสวนไปแทบนับคันได้ อี้ฟานได้รับอนุญาตให้เปิดกระจกและยื่นมือออกไปนอกหน้าต่างรถได้ สูดกลิ่นไอดินและกลิ่นฝนเข้าจนชุ่มปอด...และกลิ่นหอมๆ จากตัวคนนั่งข้างๆ อีกด้วย


                น้ำฝนเย็นเจี๊ยบเลย


                เด็กชายหัวเราะชอบใจและได้รอยยิ้มกลับมา


                อากาศดีจัง


                “ อื้อ! ”


                ดวงตาเป็นประกายคอยจับจ้องอาเล่ยอยู่ไม่ห่าง อี้ฟานเอียงคอมองอาเล่ยฮัมเพลงเบาๆ และฉีกยิ้มกว้าง เด็กชายปีนป่ายจากเบาะตัวเองไปใกล้อาเล่ย แตะริมฝีปากลงบนลักยิ้มของอาเล่ยเบาๆ


                ขอบคุณครับ


                ผมรักอาเล่ย


                “ หื้มม รักแค่ไหนเหรอ?


                รักเท่าเม็ดฝนที่ตกลงมาบนโลกเลย


                รถแล่นมาจอดเลียบตรงชายหาดที่แทบจะไร้ผู้คน เมื่อรถจอดสนิทอี้ฟานก็กระโจนลงจากรถเพื่อจะมองทะเลตอนเช้าได้เต็มตา เด็กชายกรีดร้องเสียงดังด้วยความตื่นเต้นผสมปนเปไปกับความดีใจ อี้ฟานวิ่งบนชายหาดด้วยเท้าเปล่า ดวงตาสีเข้มจ้องมองทะเลที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาแทบจะละออกไปไหนไม่ได้


                อาเล่ย! อาเล่ย! มาดูนี่สิ! ทะเลตอนเช้าสวยอย่างที่อาเล่ยบอกจริงๆ ด้วย! ”


                “ ชอบล่ะสิ


                “ ชอบครับ! ชอบมากเลย! ”


                มันสวยมากเสียจนอยากจะจ้องมองมันไปนานๆ เอาให้ไม่ลืม เด็กชายนึกอย่างให้แม่มาอยู่ที่นี่ด้วยกันจะได้มาเห็นอะไรสวยๆ แบบนี้เหมือนที่อี้ฟานเห็น เด็กชายยิ้มกว้างปล่อยให้คลื่นสัมผัสเท้าของตัวเอง เขาก้มมองเปลือกหอยหลายรูปทรงหลายสีสันด้วยความประหลาดใจ น้ำเย็นๆ ชวนให้สดชื่นและผ่อนคลาย อี้ฟานได้ยินเสียงคลื่นซึ่งมันเพราะเหมือนกับเพลงที่อาเล่ยแต่งเลยล่ะ


                ไปด้วยกันมั้ย?


                ฝ่ามือบางยื่นมาตรงหน้า อาเล่ยจัดผมทัดหูเล็กน้อยดูงดงามจนดวงตาเขาพร่าไปชั่วขณะ อี้ฟานยิ้มกว้าง พยักหน้าแรงๆ หลายทีก่อนที่มือของพวกเขาจะกระชับกันเอาไว้แน่น


                “ ผมเปลี่ยนใจแล้วนะอาเล่ย


                “ หืม


                “ ผมไม่รักอาเล่ยเท่าเม็ดฝนที่ตกลงมาบนโลกแล้ว


                “ ทำไมล่ะ


                แต่ผมรักอาเล่ยเท่าเม็ดฝนที่ตกลงมาบนโลกรวมกับทะเลเลย


                อาเล่ยพอได้ยินอย่างนั้นก็ย่นจมูกและหัวเราะออกมา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหยีเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว อี้ฟานเห็นรอยยิ้มอาเล่ยแล้วก็รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองเหลือเกิน ดีจัง วันนี้เขาทำให้อาเล่ยยิ้มออกมาได้ตั้งหลายครั้งแน่ะ!


                “ เจ้าแมวเอ๊ย


                “ รัก รัก รัก รักอาเล่ย


                “ รู้แล้วล่ะน่า



              และนั่นเป็นทะเลตอนเช้าในวันที่ฝนพรำที่อี้ฟานจะไม่มีวันลืมเลย

                .


    .


    .


                “ แม่ครับ


                “ มีอย่างหนึ่งที่ผมอยากจะบอก...


                ผมรักอาเล่ยครับแม่ ผมรักอาเล่ยเหลือเกิน













    หลังจากนี้จนกว่าจะสอบแกทแพทเสร็จเราคงไม่อัพอีกนานมากมาก ; _ ;
    ช่วยอวยพรให้คนขี้เกียจคนนี้ด้วยนะ ละที่ไม่มาอัพไม่ใช่ไรหรอกพอดีคอมพ์มันรวน แย่ๆ
    ใครที่อยู่มอหกก็ตั้งใจอ่านหนังสือนะ เราจะซู่ไปด้วยกัน 

    ใครเคยเห็นทะเลตอนเช้าวันที่ฝนตกบ้าง ยกมือขึ้นหน่อย
    เราเคยเห็นหนึ่งครั้งในชีวิตและเป็นครั้งแรกด้วยนะ มันดีมากจนเราอยากหยุดเวลาเลย
    ภาพทะเลตอนนั้นยังติดตาอยู่เลย ลองไปทะเลตอนหน้าฝนสักครั้งนะ 555555
    ขอบคุณที่สนับสนุนฟิคเราน้าาา







     
     
    Ⓒ QRD
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×