คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : You are my heaven.
Chapter ten
You are my heaven.
Rain Season, 2010
เปาะแปะ เปาะเปะ
เข็มยาวชี้เลขสิบสองเข็มสั้นชี้เลขแปด อากาศในเช้าวันหยุดช่างแสนสดชื่นและเย็นสบาย แม้ท้องฟ้าจะมืดครึ้มและมีหยดน้ำตกลงมาไม่เคยหยุดพักแต่นั่นไม่ได้ทำให้รอยยิ้มบางๆ ที่แต้มบนริมฝีปากหายไปไหน ชั้นล่างของบ้านว่างเปล่าเพราะเจ้าของบ้านและเด็กชายหนึ่งคนมานั่งเบียดกันตรงระเบียงในห้องนอน ดวงตาสองคู่จับจ้องไปจุดหมายเดียวกัน
ถ้วยกาแฟและแก้วนมอุ่นในมือนั้นกำลังอุ่นพอดีกับอากาศในวันที่ฝนตกอย่างนี้ ถุงเท้าลายเดียวกันแต่คนละสี ยืดขาเหยียดยาว แผ่นหลังเอนพิงขอบเตียง ปล่อยให้เวลาผ่านไปพร้อมกับเสียงเพลงที่เปิดคลอไปกับเสียงฝนตกเปาะแปะด้านนอก
มันเป็นความสงบเงียบที่ไม่ใช่ความเหงา แตกต่างโดยสิ้นเชิง แต่มันเป็นความสงบที่เกิดจากความสุขใจเล็กๆ ต่างหาก วันธรรมดาจะพิเศษได้เมื่อมีใครอีกคนนั่งอยู่ในกรอบสายตาเช่นวันนี้ นมสดอุ่นๆ ถ้าดื่มเข้าไปแล้วจะได้รสชาติหวานนิดๆ ติดปลายลิ้นชวนให้ลืมไม่ลง
“ รู้มั้ย ฝนตกกับกาแฟเป็นอะไรที่เข้ากันได้ดีมากเลยล่ะ ”
อี้ฟานส่ายหน้าไปมาเพราะเขายังเด็กเกินกว่าที่จะดื่มกาแฟได้
“ นั่นสินะ อี้ฟานไม่เคยดื่มกาแฟเลยนี่นา ”
“ ผมลองดื่มมันได้มั้ย? ”
“ ตอนนี้คงไม่ได้หรอก เป็นเด็กต้องดื่มนมเยอะๆ น่ะถูกแล้ว ”
เขาชอบกลิ่นหอมอบอวลของกาแฟแต่ไม่เคยลิ้มรส อาเล่ยบอกว่ารสชาติของกาแฟนั้นขมแต่กลมกล่อม ในความคิดของเด็กชายวัยประถมมันค่อนข้างจะฟังดูเป็นรสชาติที่ประหลาดไปสักหน่อย อีกอย่างอี้ฟานก็ติดใจรสชาตินมที่อาเล่ยทำให้ดื่มทุกวันเสียแล้ว แต่ถ้าอาเล่ยชมกาแฟให้เขาดื่มเขาก็คงจะชอบมัน
อี้ฟานยังคงคิดถึงแม่แต่เด็กชายไม่ได้แอบนอนร้องไห้ตอนดึกๆ อีกต่อไปแล้ว ขณะเดียวกันเขากลับโหยหาความอบอุ่นของพ่อทูนหัวมากขึ้น จะกระวนกระวายใจหากไม่มีอีกฝ่ายในสายตา จะนอนฝันร้ายหากไม่มีจุมพิตเบาๆ บนหน้าผากและจะพบเจอวันแย่ๆ ถ้าไม่ได้ถูกลูบแก้มเบาๆ พร้อมกับคำอวยพร
คิดถึงเหมือนไม่เคยได้เจอ
โหยหาเหมือนไม่เคยได้สัมผัส
ทั้งที่เราส่งยิ้มให้กันในทุกเช้าและทุกเย็น
“ ทำไมใครต่อใครถึงใช้สายฝนเป็นตัวแทนความเหงากับความเศร้านะ ”
“ …ทั้งที่สายฝนพัดพาความไม่สบายใจออกไปแท้ๆ ”
ตัวเขาเองก็คิดเหมือนอาเล่ย ตอนเด็กเขามีความทรงจำเลวร้ายในวันที่ฝนตกมากมาย...แต่มีความทรงจำแสนดีในวันที่ฝนตกมากยิ่งกว่า สายฝนนำพาใครบางคนเข้ามาในชีวิต นั่นเป็นเหตุผลมากพอหรือเปล่าที่เขาจะคิดว่าสายฝนไม่ใช่สัญลักษณ์ของความเหงาและความเศร้าแม้แต่นิดเดียว
“ ผมไม่รู้ ”
“ แต่อยู่กับอาเล่ยผมสบายใจที่สุด ”
เขาก้มหน้าลงมองนมสีขาวในแก้วพลางอมยิ้มเต็มแก้ม บอกกับตัวเองว่าทำถูกต้องแล้ว เพราะทันทีที่พูดประโยคนั้นออกไปอย่างจริงใจเขาก็ได้รอยยิ้มสว่างไสวของอาเล่ยกลับมา จากที่นั่งห่างกันถึงสิบเซนติเมตรอาเล่ยก็ขยับเข้ามานั่งเบียดใกล้ แขนพวกเขาแตะกัน ต่างคนต่างยกแก้วในมือขึ้นจรดริมฝีปาก
อี้ฟานยิ้มกว้างมองควันสีขาวลอยขึ้นและจางหายไปในอากาศก่อนจะลอบมองใบหน้าด้านข้างของอีกคนด้วยหัวใจที่พองโตคับอก หัวกลมๆ ของเด็กชายเอนซบไหล่คนตัวโตกว่าทั้งใบหน้าเปื้อนยิ้ม
...
เปาะแปะ เปาะแปะ
ฝนด้านนอกตกพรำๆ พัดพาสายลมเย็นฉ่ำและกลิ่นดินเข้ามาในร้านดอกไม้เล็กๆ แสนอบอุ่นเมื่อประตูร้านถูกผลักให้เปิดเข้าไปข้างใน เมื่อประตูปิดลงก็แทนที่ด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้และตัวเจ้าของร้านแทน ใกล้ค่ำแล้วแต่วันนี้ทั้งอี้ฟานและอาเล่ยยังไม่ได้กลับบ้าน เด็กหนุ่มยังคงอยู่ในชุดยูนิฟอร์มโรงเรียนนั่งอ่านหนังสือบ้างเดินไปช่วยอาเล่ยบ้างสลับกันไปมา
ออเดอร์เร่งด่วนจากลูกค้ากระเป๋าหนักที่นานๆ ทีจะมีมาสักคนทำให้อาเล่ยต้องอยู่ร้านจนมืดค่ำ มือบางหยิบจับดอกไม้นั่นนี่ตกแต่งจนกลายเป็นช่อดอกไม้สวยงามกว่าที่อี้ฟานเคยเห็น เด็กหนุ่มทัดดินสอไว้ตรงใบหูเท้าคางมองพ่อทูนหัวอย่างเพลิดเพลิน
“ รอหน่อยนะ เดี๋ยวเสร็จแล้วจะพาไปกินของอร่อย ”
“ อื้อ ”
“ ร้านเดิมของเราดีมั้ย? ”
“ อื้อ ”
เขาขานรับยิ้มๆ แบบนี้ก็ดีไปอีกแบบ เสียงเพลงถูกเปิดคลอไปเบาๆ ก็ช่างเข้ากับบรรยากาศทั้งในร้านนอกร้านตอนนี้เหลือเกิน สองข้างทางนอกบานกระจกเริ่มส่องสว่างเป็นสีนวลตา ท้องฟ้ามืดลงกว่าเดิมตึกอาคารก็ยิ่งสว่างไสวราวกับดวงไฟที่ใช้ประดับต้นคริสต์มาส ยังคงมีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา นี่สินะเขาถึงเรียกว่าเมืองที่ไม่เคยหลับใหล
จากที่นั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ตรงโต๊ะมุมร้านได้สักพักอี้ฟานก็ย้ายทั้งตัวเองและหนังสือมาตรงโต๊ะไม้ตัวยาวกลางร้านแทน เด็กหนุ่มฟุบนอนแขนตัวเองและยังคงจ้องมองทุกการกระทำของอีกคนเงียบเชียบ มองฝ่ามือบางหยิบจับดอกไม้คล่องแคล่วกับสีหน้าจริงจังชวนมองไม่รู้เบื่อ
“ มันแปลว่า ยินดีที่ได้รู้จักและยินดีที่ได้อยู่ใกล้คุณ ”
ดอกลิลลี่สีขาวถูกยื่นไปให้ด้วยรอยยิ้มกว้าง ดอกไม้ที่สื่อถึงความรักอันอ่อนหวานบริสุทธิ์ การเทิดทูนใครสักคน อาเล่ยรับดอกลิลลี่ไปถือไว้เองพลางหัวเราะเบาๆ
“ ขอบใจนะ ”
เมื่อถึงหนึ่งทุ่มครึ่งช่อดอกไม้สวยงามจึงเสร็จสมบูรณ์ หน้าหนังสือเรียนเต็มไปด้วยรอยขีดเขียนและตัวเลขมากมายจนเลอะเทอะ อาเล่ยลูบผมอี้ฟานอย่างนิ่มนวล เขาฉวยมือที่หอมกลิ่นดอกไม้มาจูบเบาๆ ก่อนจะวาดแขนกอดเอวบางเอาไว้ซุกซบใบหน้าลงตรงช่วงหน้าท้อง
อาเล่ยดูเป็นห่วงเป็นใยนิดหน่อยที่ต้องปล่อยให้อี้ฟานรอนานขนาดนี้ แต่อี้ฟานอยากจะบอกอาเล่ยเหลือเกินว่าไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไรตราบใดที่เขาได้อยู่ใกล้ๆ อาเล่ยจะนานแค่ไหนก็ย่อมได้
“ ฝนตกหนักกว่าเดิมแล้วคงไปนั่งกินตามข้างทางไม่ได้แล้วล่ะ ”
นานครั้งจะได้เปลี่ยนบรรยากาศมากินข้างนอกบ้านบ้าง เด็กหนุ่มรู้สึกเสียดายนิดหน่อย ไม่ใช่ว่าตั้งหน้าตั้งตารอจะได้ออกมากินข้าวนอกบ้านแต่เป็นเพราะพวกเขามีร้านประจำอยู่แถมยังมีความเป็นส่วนตัวอีกด้วย ถ้าได้นั่งกินข้าวกับอาเล่ยนอกบ้านบ้างก็น่าจะเป็นความคิดที่ดี
“ เสียดายเหรอ? ”
“ นิดหน่อย ”
“ ไม่ทำหน้างอแงแบบนั้นสิเจ้าแมว ”
อีกคนกอดเขาแล้วโยกตัวไปมา อี้ฟานเพียงแค่พยักหน้าหงึกหงัก
“ งั้นสั่งมื้อเย็นมากินที่นี่เลยดีมั้ย แล้วค่อยกลับบ้านไปอาบน้ำนอนกัน ”
“ ถ้าอาเล่ยกินข้าวกับผมจะที่ไหนก็ได้ ”
อาเล่ยย่นจมูกอีกแล้ว เขาจงใจพูดให้ดูน่าหมั่นเขี้ยวเพราะอาเล่ยจะได้แสดงสีหน้าเอ็นดูเบาแบบนี้ยังไงล่ะ พวกเราตัดสินใจว่าจะโทรสั่งอาหารมากินที่ร้าน เมนูคิมบับ ต็อกบกกี กับจาจังมยอนสำหรับมื้อค่ำวันนี้ อี้ฟานฟุบหน้าลงกับโต๊ะเพื่อพักสายตาโดยมีมือนุ่มรองแก้มเอาไว้
“ เรียนเหนื่อยมากเลยใช่มั้ย ”
“ คงไม่เท่ากับที่อาเล่ยต้องเหนื่อยทำงานเลี้ยงผมหรอก ”
“ ฉันไม่ได้เหนื่อยเพราะแบบนั้นหรอกนะ ฉันเต็มใจทำไม่ใช่เพราะหน้าที่แต่เพราะตรงนี้... ”
เผลอหลุดยิ้มออกมาอย่างพอใจเมื่อรู้สึกได้ว่ามีปลายนิ้ววาดรูปหัวใจอยู่บนแก้ม เด็กหนุ่มผงกหัวขึ้นและพบว่าถูกมองอยู่ก่อนแล้ว อาเล่ยคลี่ยิ้มหวานจับใจ
“ อี้ฟานไม่ใช่ภาระหรือหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ...อี้ฟานเป็นคนในครอบครัวของฉัน ”
“ อือ ผมจะอยู่กับอาเล่ยไปจนตายเลย ”
เขาจะทำมันจริงๆ แน่หากว่าวันนั้นมาถึง ปล่อยไปไม่ได้หรอกเจ้าของความอบอุ่นนี้ แม้อี้ฟานจะรู้ตัวว่าในอนาคตเขายังต้องได้พบเจอผู้คนอีกมากมายแต่เขาแน่ใจว่าคงไม่มีใครดีเท่าอาเล่ย ไม่มีใครหวานเท่า ไม่มีใครจะมอบความรักได้มากเท่า
เพราะคนคนนี้มีเพียงคนเดียวในโลก
และคงหาจากที่ไหนไม่ได้อีก
“ มานี่สิ ”
ฝ่ามือบางยื่นมาตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม ราวกับต้องมนต์อี้ฟานก็ไม่ลังเลใจที่จะกระชับฝ่ามืออีกฝ่ายตอบอย่างแนบแน่น เสียงเพลงคลอไปกับบรรยากาศในร้านเอื่อยเฉื่อย คนพลุกพล่านด้านนอกช่างแตกต่างกับด้านในร้านตอนนี้ราวกับคนละโลก ทุกครั้งที่ได้มองสบตาอาเล่ยก็เหมือนถูกดึงไปอยู่ในโลกที่มีแค่เราสองคน
내 하루속 너랑만 로맨틱 한 drama
เสี้ยววินาทีหนึ่งอี้ฟานหวนนึกไปถึงเนื้อเพลงที่อาเล่ยกำลังแต่ง ในท่อนประโยคที่ว่า ‘ในวันๆ หนึ่งของผมถูกเติมเต็มด้วยละครรักของเรา’ และตอนนี้อี้ฟานรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังอยู่ในละครรักโรแมนติกที่มีเขาและอาเล่ยเป็นตัวเอก พวกเขากอดกันหลวมๆ ไม่แน่นและไม่คลายเกินไป อ้อมแขนโอบกอดกันด้วยความอบอุ่นที่พอดีและปล่อยร่างกายไปตามเสียงเพลง
ต่อให้คนทั้งถนนจะมองมาเขาก็จะไม่สนใจอะไรนอกจากคนที่อยู่ตรงหน้า ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนระยิบระยับคู่นั้นดึงดูดจนยากจะละสายตาออก หัวใจพองฟูจนจนแทบจะพาตัวเขาลอยขึ้นไปบนก้อนเมฆ ช่วงเวลาที่ได้มองตากันแบบนี้มันช่างแสนวิเศษ
“ จบเพลงนี้อาหารที่สั่งก็คงมาถึงพอดี ”
เสียงนุ่มกระซิบบอกด้วยรอยยิ้ม อาเล่ยลูบหลังเขาเบาๆ และมันทำให้อี้ฟานผ่อนคลาย
“ งั้นผมก็อยากให้อาหารที่เราสั่งมาช้าๆ ”
อาเล่ยย่นจมูก พวกเขาหัวเราะให้กันและกันในร้านที่หอมไปด้วยกลิ่นดอกไม้ ฝ่ามือสอดประสานกัน ฝ่าเท้าขยับตามจังหวะเพลงไปในทิศทางเดียวกัน อาเล่ยหมุนตัวก่อนจะมาหยุดในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง เราปล่อยให้เสียงเพลงและเวลาเดินผ่านไปทั้งรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
คุณคือสวรรค์ตอนที่ผมยังมีชีวิตอยู่
...
“ เป็นเด็กดีนะ ”
ก่อนจะออกจากบ้านอาเล่ยบอกอี้ฟานมาแบบนี้ ในเช้าวันที่ฝนตกอาเล่ยกำชับเขาว่าอย่าเผลอลืมร่มเชียว เพราะฉะนั้นตอนนี้ร่มสีน้ำเงินเข้มคันโปรดจึงถูกกางออก เขากอดอาเล่ยอีกครั้งและจำใจต้องละสายตาออกจากรอยยิ้มหวานเมื่อใกล้จะถึงเวลาไปโรงเรียนมากขึ้นทุกที
บนถนนมีผู้คนเดินขวักไขว่ มีร่มกับเสื้อกันฝันหลากสีสันเดินสวนไปมา เด็กหนุ่มตระหนักได้ว่ายังมีเวลาอีกสามสิบนาทีก่อนจะถึงเวลาเข้าเรียนจึงได้แวะเข้าคอฟฟี่ช็อปเล็กๆ ตรงหัวมุมถนน จอดจักรยานพิงเอาไว้ข้างนอก หุบร่ม สะบัดน้ำฝนออกและผลักประตูเข้าไปด้านใน
กลิ่นหอมของกาแฟลอยอบอวลช่างเข้ากับบรรยากาศได้เป็นอย่างดี อี้ฟานคลี่ยิ้มเมื่อกลิ่นหอมๆ ของกาแฟทำให้เขานึกถึงอีกคนที่ชื่นชอบกาแฟเช่นกัน
“ รับอะไรดีคะ? ”
“ ลาเต้หนึ่งแก้วครับ ”
“ รอสักครู่นะคะ ”
เขาชอบกาแฟแต่ขณะเดียวกันก็ชอบนม เมื่อปีก่อนอาเล่ยเพิ่งจะแนะนำให้อี้ฟานได้ลองชิมกาแฟแบบที่อาเล่ยชอบดู กลิ่นมันหอมแต่รสชาติขมเกินไปถึงแม้มันจะไม่ใช่เอสเพรสโซก็เถอะ เพราะอย่างนั้นลาเต้จึงกลายมาเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเขา ทั้งรสชาติของอาเล่ยกับรสชาติของอี้ฟาน
ระหว่างรอเด็กหนุ่มก็ถือโอกาสกวาดตามองสังเกตภายในร้าน แม้คนจะไม่เยอะแต่ก็มีลูกค้าเข้าและออกไปอยู่ตลอดเวลาทำให้คอฟฟี่ช็อปเล็กๆ แห่งนี้ดูไม่เหงา อี้ฟานเท้าคางนั่งรออยู่ตรงบาร์หน้าเคาน์เตอร์ มองดอกไม้ในแจกัน มองรูปภาพบนผนัง มองโคมไฟสีนวลตา และก้มมองมือตัวเอง
อี้ฟานเหลือบตาไปมองตรงนอกกระจกใส บังเอิญว่ามีชายหญิงสองคนกำลังเดินมาทางนี้ อี้ฟานชะงักนิ่ง ความคุ้นตาทำให้เขาต้องเพ่งมากอยู่นานก่อนจะลุกพรวดจนลูกค้าอีกสามสี่คนในร้านหันมามอง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่แก้วลาเต้อุ่นๆ ของเขาทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ คุณลูกค้าคะ ลาเต้หนึ่งแก้วที่สั่งได้แล้วค่ะ ทั้งหมดห้าพันวอนค่ะ ”
เงินจำนวนไม่ขาดไม่เกินถูกวางลงบนเคาน์เตอร์ อี้ฟานรีบรับแก้วลาเต้มาถือ และพบว่ามือตัวเองทั้งสั่นเทาทั้งเย็นเฉียบแม้จะสัมผัสไอร้อนจากข้างแก้วลาเต้อยู่ หัวใจเต้นหนักหน่วงจนจับคัดไปทั้งอก คอฟฟี่ช็อปเล็กๆ ไม่มีทางให้เขาหลบหนีนอกจากประตูบานเดิมที่เคยเข้ามา
แต่ละก้าวเหมือนกำลังเดินไปตรงปากเหว
พร้อมจะตกลงไปตาย และต้องหนีแล้ว
แม้เวลาจะล่วงเลยมานานหลายปีแต่บาดแผลก็ยังทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ เขาเห็นแม่ในชุดกระโปรงแสนสวยเดินเคียงคู่มากับพ่อ อี้ฟานไม่เคยคิดฝันว่าจะต้องได้เจอผู้ชายคนนั้นอีก เขาได้สบตากับพ่อ ดวงตาคู่นั้นยังเย็นชาเหมือนเมื่อก่อนและมันทำให้รู้สึกหายใจไม่ออก พ่อจำเขาไม่ได้...แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตาเขามาบ้างแล้วเพราะคิ้วที่เริ่มขมวดเข้าหากัน อี้ฟานเบือนหน้าหนี ฝ่ามือผลักประตูกระจกอย่างแรงก่อนจะรีบคว้าจักรยานออกวิ่งโดยไม่คิดชีวิต
แก้วลาเต้ในมือหล่นกระแทกพื้นจนเจิ่งนอง ภาพความทรงจำเลวร้ายในวัยเด็กหลั่งไหลเข้ามาเป็นฉากๆ อี้ฟานรู้สึกเหมือนตัวเองย้อนกลับไปเป็นเด็กอายุเจ็ดขวบที่หวาดกลัวอีกครั้ง
“ แฮ่ก...แฮ่ก... ”
ในซอยเล็กๆ ที่ไม่เคยมามาก่อน เด็กหนุ่มหลับตาหอบหายใจ สองมือจับแฮนด์จกรยานแน่นจนเส้นเลือดปูด หัวใจสูบฉีดรุนแรง แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าไม่ต้องกลัว ในตอนนี้อี้ฟานไม่ใช่เด็กที่ใครจะมารังแกได้อีกแต่ร่างกายก็ยังสั่นเทิ้มเพราะความกลัว
ภาพของพ่อยังคงติดตา นึกเย้ยหยันตัวเองในใจที่เอาแต่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน นึกมาตลอดว่าตัวเองโตพอแล้วแต่วันนี้ก็ได้รู้ความจริงว่าเขายังเป็นแค่เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ต้องการใครสักคน ใครสักคนในตอนนี้ สายฝนตกลงมาอย่างไม่ปราณี
เขาต้องการอาเล่ยเดี๋ยวนี้
สมาร์ทโฟนถูกมือสั่นเทาหยิบขึ้นมาใช้ เบอร์เดียวเพียงในเครื่องของเขา
“ ฮะ...ฮัลโหลอาเล่ย ”
[ยังไม่เข้าเรียนอีกเหรอเจ้าแมว?]
“ ...อาเล่ย ”
“ ผมกลับบ้านได้มั้ย ”
[หืม? เป็นอะไร? ไม่สบายตรงไหน?]
“ ผม...ผมขอโทษอาเล่ย แต่วันนี้ผมไม่ไปโรงเรียนได้มั้ย ”
[อี้ฟานใจเย็นๆ ก่อน...ตอนนี้อยู่ที่ไหน?]
อีกฝ่ายถามไถ่ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น อาเล่ยคงสังเกตสิ่งผิดปกติได้เพราะเสียงหอบหายใจถี่ เขาอยากให้อ้อมกอดของอาเล่ยช่วยปลอบประโลมเหมือนทุกที เวลานี้ที่ไม่มีอาเล่ยช่างหนาวเหน็บ ดวงตาแดงก่ำเงยมองป้ายที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
“ ผมอยู่ที่… ”
[…]
“ ผมขอโทษ ”
[โอเค โอเค ไม่ต้องไปเรียนก็ได้แต่มาหาฉันที่ร้านหน่อยได้มั้ย ไหวหรือเปล่า?]
“ วะ...ไหว ”
[มาถึงเมื่อไหร่อาเล่ยจะปลอบนะ]
“ คะ...ครับ ”
เขารบกวนอาเล่ยอีกแล้ว ทำให้อาเล่ยลำบากอีกแล้ว อ่า...อี้ฟานอยากเจออาเล่ยเร็วๆ จัง เขาคิดถึงไหล่แคบที่รองรับทุกความกังวลใจได้จนหมด คิดถึงคำปลอบที่อ่อนหวานที่สุดในโลกของอาเล่ย คิดึงรอยยิ้มที่ทำให้อบอุ่นใจ คิดถึงอ้อมแขนที่เป็นเหมือนที่หลบภัย
ตัวเขาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน หลังมือรู้สึกแสบนิดๆ และขึ้นรอยแดงเจือจางคงโดนลาเต้ลวกมือเข้าเสียแล้ว อี้ฟานพยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติแม้ภาพดวงตาเย็นชาของพ่อจะยังชัดเจน ฝ่ามือใหญ่ลืมใบหน้าตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครึ้ม
“ ทำไมถึงยังเป็นแบบนี้ ”
อี้ฟานยังคงเป็นแค่เจ้าคนขี้ขลาด ไม่เคยเอาชนะความกลัวของตัวเองได้เลย
เพิ่งฟื้นจากไข้มาค่ะ กิกิ ช่วงนี้อะไรไม่รู้ยิบย่อยนะ
อาทิตย์ก่อนบ้านเราฝนตกทุกวันเลย ทั้งวันเลยเหอะ ชีวิตดี๊ดี
นี่ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะมีกี่ตอนแต่คงไม่มาก(?) คือเราไม่เคยวางพล็อตเรื่องไว้เลย
ที่ฟิคเรามันเฉื่อยๆ เพราะเราแต่งตามอารมณ์นี่แหละค่ะ ฟฟฟฟ หวังว่าทกคนจะประทับใจนะคะ
ความคิดเห็น