คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : I wanna be that person.
Chapter nine
I wanna be that person.
พายุเข้าในเช้าวันนี้และพวกเขานั่งอยู่ในคาเฟ่เล็กๆ ที่มีแต่กลิ่นหอมของกาแฟกับขนมปังอบใหม่ผิดปกติไปจากทุกวัน เวลาฝนตกอาเล่ยกับอี้ฟานมักจะพากันขลุกตัวอยู่ในบ้าน อ่านหนังสือบ้าง ดูหนังบ้าง ร้องเพลงบ้าง แต่อยู่ๆ อาเล่ยก็เกิดอยากออกมาข้างนอกเสียอย่างนั้น
แม้ว่าตอนแรกเด็กหนุ่มจะอิดออดไม่อยากออกมาแต่สุดท้ายรอยยิ้มเดียวบนใบหน้าหวานๆ นั่นก็จบทุกข้อโต้เถียงและมานั่งอยู่ที่นี่...ตอนนี้
เสียงเพลงภายในคาเฟ่ดังคลอเบาๆ ไปกับบรรยากาศช่วงหน้าฝน เสียงก๊องแก๊งจากการชงกาแฟ เสียงพลิกหน้ากระดาษ เสียงช้อนกระทบกับจานเซรามิก ใบหน้าของเขาแนบไปกับโต๊ะไม้เนื้ออ่อนสีบีชสบายตา ดวงตาจดจ้องอยู่ตรงกระจกใสขนาดใหญ่ มองดูผู้คนสัญจรไปมาบนถนนเปียกชื้น
ฝ่ามือบางขยับเกี่ยวผมอี้ฟานเล่นไปมาขณะที่พลิกหน้ากระดาษอย่างไม่รีบร้อน อาเล่ยจดจ่ออยู่กับหน้าหนังสือแต่ไม่ได้ละเลยที่จะเล่นกับเขา ปลายนิ้วเล็กม้วนผมเขาไปมานั้นเป็นสัมผัสชวนให้เคลิบเคลิ้ม อี้ฟานอ้าปากหาว
“ เอาเสื้อไปหนุนนอนสิ โต๊ะไม้คงจะนอนไม่สบายหรอก ”
อี้ฟานมีเสื้อโค้ทของตัวเอง เขาพับมันกองไว้ข้างตัวแต่กลับยอมรับเสื้อโค้ทนุ่มๆ ของอาเล่ยมาโดยไม่คิดจะปฏิเสธ เนื้อผ้านุ่มกับกลิ่นของอาเล่ยทำให้เขาซุกหน้าลงไปทันที ปลายจมูกถูไถบนเนื้อผ้าไปมาก่อนจะคลี่ยิ้มจางๆ
“ อาเล่ยจะอ่านหนังสืออีกนานมั้ย ”
“ ไม่รู้สิ แต่ถ้าอี้ฟานเบื่อเราจะกลับกันเลยก็ได้นะ ”
“ อื้ออ ผมไม่เป็นไรหรอก อาเล่ยอยู่ไหนผมก็อยู่ด้วย ”
เขาหมายความตามนั้นจริงๆ ไม่ใช่แค่จะปากหวานอ้อนอีกคน พูดจบก็โดนอาเล่ยย่นจมูกใส่อย่างหมั่นเขี้ยวในรอบแรกของวัน อี้ฟานหัวเราะชอบใจเมื่อโดนบีบจมูกบีบปาก
“ นอนซะนะเจ้าแมว นี่ไง...จับมือไว้แบบนี้คงไม่ฝันร้ายหรอกใช่มั้ย ”
“ ช่ายยย ”
มันไม่เชิงเรียกว่าเป็นการจับมือแต่ก็พอทดแทนกันได้ ก็แค่พวกเขาใช้ปลายนิ้วเกี่ยวกันเอาไว้หลวมๆ บนโต๊ะไม้เนื้ออ่อนสีบีช อาเล่ยขยับนิ้วเล็กน้อย จงใจหยอกล้อให้อี้ฟานหลุดยิ้มออกมาอีกครั้ง
“ อย่าทิ้งผมไว้ที่นี่นะ ”
“ พูดแบบนี้อีกแล้ว ”
“ ไม่รู้ล่ะ อาเล่ยต้องปลุกผมด้วยนะโอเคมั้ย ”
“ อืม ”
อีกคนลูบหัวเขาเบาๆ เหมือนเป็นเชิงบอกว่าให้เลิกงอแงและนอนหลับต่อได้แล้ว อาเล่ยก็เป็นแบบนี้...เหมือนต้องการอยู่คนเดียวแต่ก็ไม่เคยปล่อยให้อี้ฟานรู้สึกโดดเดี่ยว แม้อาเล่ยมักจะทำเหมือนไม่มีตัวตนแต่ก็แสดงออกให้รู้เสมอว่าอี้ฟานไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
เด็กชายผล็อยหลับไปเพราะอากาศเป็นใจและเสียงเพลงขับกล่อม สัมผัสอบอุ่นตรงปลายนิ้วทำให้เขาวางใจและรู้สึกปลอดภัยเหมือนอยู่ที่บ้าน
เจ้าแมวตัวโตของอาเล่ยซุกหน้าลงบนเสื้อโค้ทนุ่มนิ่มก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างง่ายดาย ตัดขาดจากโลกภายนอกแต่กลับรู้สึกถึงตัวตนของอาเล่ยได้ชัดเจน
ปล่อยให้เวลาดำเนินไป
พร้อมกับถ่ายทอดความอบอุ่นให้แก่กัน
อี้ฟานจะไม่ให้อภัยคนที่มารบกวนเวลาแสนสงบสุขของเขาเลยล่ะ
…
บอกแล้วว่าให้นอนสบายๆ อยู่ที่บ้านก็ไม่เชื่อ...ถึงได้มาผล็อยหลับในคาเฟ่เป็นแมวขี้เซาแบบนี้ยังไงล่ะ เจ้าเด็กติดบ้านซุกหน้าหลับตาพริ้มอยู่กับเสื้อโค้ทของเขาราวกับมันช่างแสนสบายเสียเต็มประดา พอลูบหัวแบบนี้ก็หลับลึกไปเรียบร้อย เลย์พลิกหน้าหนังสือไปทีละหน้า กวาดตามองตัวอักษรบนแผ่นกระดาษสลับกับใบหน้านิ่งสงบของอีกคนเป็นระยะ
ตอนเด็กว่าขี้อ้อนแล้วตอนโตยิ่งขี้อ้อนกว่า พวกเขาเป็นยิ่งกว่าพ่อลูก พี่น้อง เพื่อนสนิทหรือฝาแฝด เสพติดที่จะใช้เวลาแต่ละวันให้หมดไปด้วยกัน สำหรับคนโลกส่วนตัวสูงอย่างเลย์...มันก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่ อี้ฟานไม่ได้เป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกว่ากำลังถูกคุกคามพื้นที่ส่วนตัว แต่เป็นอะไรบางอย่างที่ค่อยๆ ซึมซับเข้ามาในโลกของเลย์ทีละนิดทีละหน่อย รู้ตัวอีกทีเราก็เหมือนคนคนเดียวกันเสียแล้ว
เลย์ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือบนโต๊ะไม้สีบีชตัดกับท้องฟ้ามืดครึ้มด้านนอก ดอกไม้ในแจกันแก้วยังบานสะพรั่งและส่งกลิ่นหอม ไล้นิ้วโป้งบนหลังมือของอี้ฟานที่หลับสนิทอย่างเคยชิน โดยไม่ทันรู้ตัวว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมอง
เงามืดที่พาดผ่านทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตากลมฉายแววแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มกว้างและโบกไม้โบกมือให้คนที่ยืนอยู่นอกกระจกร้าน คุณนัมจูฮยอกกับร่มสีมิ้นท์นั่นเอง อีกฝ่ายจ้องเลย์และขยับปากพูดช้าๆ เนื่องจากกระจกของคาเฟ่นั้นไม่สามารถได้ยินเสียงจากด้านนอกได้
‘ ขอ ผม นั่ง ด้วย ได้ มั้ย ครับ ’
เลย์ปิดปากหัวเราะก่อนจะพยักหน้า คุณนัมจูฮยอกยิ้มก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางและปรากฏตัวขึ้นในเวลาไม่นานนัก ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตดูสุภาพแต่สีสันสบายตายืนเกาหัวเก้อๆ
“ อ่า...ขอโทษด้วยนะครับ ผมอาจจะมารบกวนคุณเลย์ ”
“ ฮะๆ ไม่หรอกครับ ”
เพราะโต๊ะที่พวกเขานั่งมันนั่งได้แค่สองคนเท่านั้น อีกฝั่งของเลย์ก็มีเจ้าเด็กขี้เซาครองไปแล้วเรียบร้อย คุณนัมจูฮยอกเลือกนั่งลงที่โต๊ะใกล้ๆ กันขนาดที่ว่าคุยกันได้สบาย เลย์ตัดสินใจปลุกอี้ฟานแม้จะไม่อยากรบกวนเวลานอนอันแสนมีค่าของอีกคนก็เถอะ เขาไม่อยากให้คุณนัมจูฮยอกมองอี้ฟานว่าเป็นเด็กไม่มีมารยาทเพราะอี้ฟานของเขาน่ะเป็นเด็กดีมากๆ คนหนึ่ง
“ อ่า...ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องปลุกเขาก็ได้ รบกวนเปล่าๆ ”
“ ไม่ได้หรอกครับ อี้ฟานยังเด็กต้องทำความเคารพคนอายุมากกว่าสิครับ ”
ปลุกเด็กขี้เซาด้วยการขยี้หัวและกระซิบเรียกเสียงนุ่ม เด็กน้อยทำท่าอิดออดไม่ยอมลืมตาในคราแรกแต่พอเบี่ยงหน้าหนีไปทางคุณนัมจูฮยอกก็ค่อยๆ ผงกหัวขึ้นมอง อี้ฟานยังคงสะลึมสะลือแต่ไม่ลืมดึงที่กุมกันอยู่ของพวกเขาไปถูไถกับแก้มที่เป็นรอยเสื้อ
“ ตื่นก่อนอี้ฟาน มีคนจะแนะนำให้รู้จัก ”
“ อือ ”
“ ทักทายคุณนัมจูฮยอกก่อนเร็วเข้า ”
อี้ฟานก้มหัวลงทักทายเล็กน้อย พึมพำในลำคอเสียงอู้อี้ คุณนัมจูฮยอกทักทายกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ เอาเถอะ อย่างน้อยเลย์ก็หวังว่าอี้ฟานจะมีคนเอ็นดูเพิ่มขึ้นมาอีกสักคนก็ยังดี
“ สวัสดีครับ นัมจูฮยอกครับ ”
“ คริส ”
ดวงตากลมหันไปมองเด็กที่กำหน้าง่วง ดีดหน้าผากเบาๆ ก่อนจะดุแบบไม่จริงจังมากนัก
“ หางเสียงหายไปไหนหืม? ”
“ คริสครับ เป็นหลานของอาเลย์ ”
“ อ่า...หลานของคุณเลย์ ”
“ แล้วก็คนพิเศษ ”
เลย์ปิดปากหัวเราะ จมูกโด่งของอี้ฟานถูกบิดอย่างนึกหมั่นเขี้ยว พูดจาแบบนี้อีกแล้วเจ้าเด็กดื้อนี่นะ เลย์หันกลับไปยิ้มหวานให้คุณนัมจูฮยอก ชวนอีกฝ่ายพูดคุยเพื่อไม่ให้รู้สึกว่ามารบกวนหรือเป็นส่วนเกินระหว่างเขากับอี้ฟานมากเกินไป
“ ว่าแต่คุณนัมจูฮยอกมาทำอะไรแถวนี้ครับ? ”
“ ผมเข้าบริษัทมาตรวจงานนิดหน่อยครับ กำลังจะกลับแต่เจอคุณเลย์พอดี ”
พยักหน้ารับรู้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและเหลือบไปเห็นอี้ฟานกำลังขมวดคิ้วนั่งกอดอกเลย์จึงลดรอยยิ้มลงเล็กน้อย อ่า...อี้ฟานน่ะเกลียดการออกมาพบปะผู้คน ยิ่งเป็นคนแปลกหน้าเจ้าเด็กตัวโตก็แทบจะไม่มองสักหางตา ดูเหมือนว่าจะมีบรรยากาศน่าอึดอัดใจนิดหน่อยระหว่างคุณนัมจูฮยอกกับอี้ฟานเข้าแล้วล่ะ
อีกคนยิ้มแย้มปกติแต่รอยยิ้มกลับดูประหลาดออกไปจากเดิม ส่วนอีกคนสีหน้าไม่ยินดียินร้ายและคิ้วขมวดแน่น อี้ฟานดึงภาพลักษณ์ตอนอยู่นอกบ้านออกมาใช้ทันทีที่คุณนัมจูฮยอกปรากฏตัว
“ คุณคงทำงานหนักมากสินะครับ ”
“ ฮ่าๆ ไม่เท่าไหร่หรอกครับ ถือว่าค่อนข้างสบายกว่าตำแหน่งอื่นเสียด้วยซ้ำ ”
“ ผู้บริหารเหรอครับ? ”
“ ฮ่าๆ เซ้นส์ดีนะครับ ”
เลย์เผลอทำตาโต นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่มีคนระดับนั้นมานั่งคุยสัพเพเหระด้วย เขาแปลกใจนิดหน่อยเพราะคุณนัมจูฮยอกยังดูเด็กอยู่มาก ดูสุภาพเรียบร้อยแต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกอึดอัดใจแถมยังไม่ถือตัวเสียขนาดนี้
“ ว่าแต่ช่วงเย็นคุณเลย์พอจะมีเวลาว่างมั้ยครับ? ”
“ อืม ผมมีนัดกินข้าวเย็นกับคริสน่ะครับ ”
“ อ่า... ”
เห็นสีหน้าเจื่อนๆ ของคุณนัมจูอยอกเลย์ก็รีบขอโทษขอโพย...แต่ไม่ได้สัญญาว่าครั้งหน้าจะไปกินข้าวที่ไหนด้วย เขาไม่กินข้าวนอกบ้านอยู่แล้ว อี้ฟานเองก็ไม่ชอบที่มีคนเยอะๆ พวกเขาจึงเลือกจะทานข้าวที่บ้านด้วยกันสองคนเสียมากกว่า
“ วันนี้กินไก่ทอดกันเถอะ ไม่ต้องมีเบียร์ก็ได้ ”
คนที่นั่งเงียบอยู่นานพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ร่าเริงขึ้น ดวงตาสีดำกลับมาเป็นประกายวิบวับอีกครั้ง เจ้าเด็กตัวโตนั่งยิ้มกริ่มอย่างน่าหมั่นเขี้ยว เลย์ส่ายหน้าเบาๆ กับท่าทางผู้ชนะแบบนั้น
“ ต้องขอโทษด้วยนะครับคุณนัมจูฮยอก ”
“ ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ผม...ก็แค่ลองชวนดูเผื่อคุณเลย์จะว่าง ”
“ ขอโทษจริงๆ ครับ ”
เลย์ขอโทษอีกคนเสียงนุ่ม เขารู้สึกผิดแต่ก็ไม่คิดจะออกไปทานข้าวกับใครมาตั้งนานแล้วยกเว้นเจ้าแมวขี้อ้อนแถมตัวยังโตที่กำลังนั่งดูดช็อกโกแลตปั่นละลายเต็มแก้วทรงสูงอย่างสบายอกสบายใจ
“ เอาไก่แบบสไปซี่ดีกว่าจะได้เข้ากับหน้าฝน ”
“ เนอะอาเลย์J ”
เผลอแค่แป๊บเดียวรอยยิ้มที่มีให้แต่เขาก็ถูกปันไปให้คนอื่น
อี้ฟานไม่ได้อยากจะเป็นเด็กขี้หวง
แต่เขาต้องเป็น
“ เจอกันโดยบังเอิญน่ะ คุณนัมจูฮยอกก็แค่เข้ามาหลบฝนในร้านเลยได้คุยกับนิดหน่อย ”
นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เขาไม่เคยห่างอาเล่ยไปไหนไกลๆ เลยสักครั้ง นี่ขนาดแค่พักสายตาแค่แป๊บเดียวกลับมีคนเข้าหาพยายามทำตัวสนิทสนมเสียขนาดนี้ แล้วจะให้อี้ฟานที่มีแต่อาเล่ยมาค่อนชีวิตปล่อยผ่านไปง่ายๆ ได้ยังไงกัน
เขารู้มาตั้งนานแล้วว่าอาเล่ยมักจะดึงดูดคนหลายประเภทเข้าหา ส่วนมากก็ไม่แตกต่างสักเท่าไหร่...พากันหลงชอบยิ้มหวานๆ ตาหยีๆ ของอาเล่ยกันทั้งนั้น ท่าทางอ่อนโยนใครก็อยากเข้าใกล้ อี้ฟานไม่ชอบเลยแต่จะให้เขาไปอาละวาดใส่คนพวกนั้นเขาก็ไม่อยากทำเหมือนกัน
“ ...เขาดูสนิทกับอาเล่ย ”
เด็กหนุ่มเขี่ยไก่ทอดสไปซี่ในจานไปมา ไม่ยอมเอาเข้าปากสักชิ้น
“ คุณเลย์ คุณเลย์ ผมไม่ชอบแบบนั้นเลย ”
“ หื้ม น้อยใจอะไรกันเนี่ยอี้ฟาน ฉันไม่ได้สนิทกับเขาขนาดนั้นสักหน่อย ”
“ แต่เขาชวนอาเล่ยไปกินข้าว ”
“ ไม่ไปอยู่แล้ว กินกับคนแถวนี้ทุกวันอร่อยกว่ากันเยอะ ”
ถึงจะได้คำตอบที่น่าพอใจแต่อี้ฟานก็ยังทำหน้ามุ่นให้อีกคนรู้ว่าเขาไม่ชอบใจนะ ไม่ชอบใจมากๆ เลย พองอแงแล้วก็ต้องรีบซุกเข้าหาให้อาเล่ยกอดปลอบ
ความรู้สึกเหมือนมีคนจะมาแย่งอาเล่ยน่ะ...ไม่ชอบเอาเสียเลย
“ อย่าไปกับเขานะถึงเขาจะพาอาเล่ยไปกินของแพงๆ ก็เถอะ ”
“ ของแพงๆ สู้ข้าวไหม้ๆ ของอี้ฟานไม่ได้หรอก ”
“ อาเล่ยยย ”
“ งอแงเก่งจริงๆ เลยเจ้าแมว ”
อีกคนพูดกลั้วเสียงหัวเราะก่อนจะฉีกเนื้อไก่ป้อนถึงปาก เขาอ้าปากงับไปเคี้ยวโดยไม่อิดออดก่อนจะกลับไปกอดไปซุกตัวหอมๆ เหมือนเดิม คืนนี้ฝนก็ตกอีกแล้ว อากาศค่อนข้างเย็นและสดชื่น โต๊ะหน้าทีวีถูกจับจองด้วยคนสองคนและจานไก่ทอดจานใหญ่
จิตใจของอี้ฟานสงบนิ่งแต่ในหัวของเขาเอาแต่คิดเรื่องของผู้ชายคนนั้น ผู้ชายที่ดูโตเป็นผู้ใหญ่กว่าเขา มีหน้าที่การงานที่ดีกว่าเด็กมัธยมปลายอย่างเขา อี้ฟานพบว่าตัวเองกลายเป็นแค่คนที่ไม่มีอะไรเลย...ไม่มีอะไรจะไปสู้กับผู้ชายคนนั้น
ต้องทำให้ดีกว่า
“ ตัวโตขึ้นอีกแล้วเหรอ? ”
เสียงกระซิบแผ่วเบาดังเหนือกลุ่มผม ฝ่ามือบางสางผมเขาเพลิดเพลินแบบที่ชอบทำ อี้ฟานพยักหน้ารับ ปีที่ผ่านมาเขาโตเร็วกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันมาก รู้ตัวอีกทีส่วนสูงก็แตะหนึ่งร้อยแปดสิบแล้ว
“ เวลาผ่านไปเร็วจังน้า ตอนนั้นตัวยังเท่าเอวแท้ๆ ”
“ แต่ผมก็ชอบแบบนี้นะ ”
“ หืม? ”
“ ผมกอดอาเล่ยได้ทั้งตัวแล้ว กอดได้เหมือนตุ๊กตาเลย ”
ยิ้มออดอ้อนและสาธิตวิธีกอดแบบที่ตัวเองชอบ แขนยาวตวัดกอดรัดรอบตัวอาเล่ยที่นับวันยิ่งหดลงไปทุกที จากตัวสูงกว่าเหลือตัวเท่ากันกลายมาเป็นตัวเล็กกว่าเขาไปเสียแล้ว แบบนี้อี้ฟานชอบที่สุดเลย เขาสามารถโอบอาเล่ยได้ทั้งตัว กอดให้อีกคนอุ่นสบาย
“ ก็ยังขี้อ้อนเหมือนเดิมนั่นแหละ ”
“ อื้อออ ”
เขาโดนบีบจมูกส่ายไปมา เด็กหนุ่มกลั้นยิ้มก่อนจะเบี่ยงหน้าหนีมาซุกตรงคออาเล่ย ใช้ริมฝีปากเปื้อนซอสสไปซี่เลอะๆ จุ๊บลงไปเบาๆ บนผิวเนื้อที่โผล่พ้นเสื้อแขนยาวคอกลม
“ อาเล่ยชอบคุณนัมจูฮยอกมั้ย ”
“ อืม...ก็ชอบนะ เขาดูเป็นคนดี ”
“ ชอบมากกว่าผมมั้ย? ”
“ ขี้หวง ”
จะไม่ให้หวงได้ยังไงล่ะ แต่อี้ฟานไม่ได้พูดอะไรออกไปนอกจากกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เขาปล่อยอีกคนใช้ทิชชู่เช็ดปากให้ ปล่อยให้อีกคนป้อนน้ำถึงปากและตามด้วยขยี้หัวอีกสักที อาเล่ยยิ้มหวาน ยิ้มที่อี้ฟานยังรู้สึกหวงแหนไม่เคยเปลี่ยน
“ ใครก็แทนที่อี้ฟานไม่ได้หรอก ”
“ คุณนัมจูฮยอกคุยสนุกดีก็แค่นั้น ”
“ ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้ ”
ทำเสียงกระเง้ากระงอดอย่างแง่งอนแต่กลับกอดรัดร่างพ่อทูนหัวไม่ห่างตัว จอทีวีไม่มีใครสนใจจะดูเพราะเอาแต่กอดกันกลมอยู่อย่างนี้ ข้างนอกฝนตกอากาศเย็นฉ่ำแต่ข้างในบ้านกลับอุ่นไปถึงหัวใจ
“ ต้องรู้ ต้องรู้ ต้องรู้ มันไม่มีอะไรสักหน่อย ”
“ ไม่... ”
“ ห้ามงอแง ”
“ ไม่เอา ”
“ หยุดงอแง ”
จูบตรงหน้าผากหนึ่งครั้ง จูบตรงแก้มสองครั้ง จูบบนปลายจมูกอีกหนึ่งครั้ง ช่างเป็นวิธีทำให้หยุดงอแงน่ารักที่สุดในโลก อี้ฟานหยุดงอแงเพราะเห็นแก่สัมผัสอุ่นๆ หวานๆ ของอาเล่ยหรอกนะ เนื้อไก่ที่ถูกฉีกเป็นชิ้นพอดีคำเรียบร้อยแล้วถูกยื่นมาจ่อปากเขา ดวงตาเป็นประกายวิบวับคล้ายดวงดาวคู่ตรงหน้าเขา อี้ฟานพบว่าสวรรค์อยู่ใกล้ตัวเราแค่นี้เอง
“ รอผมนะ ”
ปากเคี้ยวตุ้ยๆ ขณะนั่งเท้าคางมองอาเล่ยตั้งอกตั้งใจฉีกเนื้อไก่ไปยิ้มหวานไป ช่วยจับผมบางส่วนทัดใบหูให้และละปลายนิ้วออกจากเส้นผมนุ่มลื่นอย่างอ้อยอิ่ง
“ ต่อให้เจอใครที่ดีกว่าผมสักพันเท่า...ช่วยรอผมได้มั้ย? ”
เด็กหนุ่มอ้าปากรับเนื้อไก่มาจากมืออาเล่ยอีกหน ถึงอีกคนจะดูเหมือนไม่ได้ฟังที่เขาพูดสักเท่าไหร่แต่อี้ฟานเชื่อว่าอาเล่ยคงจะได้ยินทุกคำพูดของเขา
สักวันหนึ่งเขาจะโตพอที่จะบอกอาเล่ยว่าเขามีพร้อมทุกอย่าง
และอยากดูแลอาเล่ยไปตลอดชีวิต
“ ผมสัญญาว่าจะเป็นคนที่ดีกว่าทุกคนบนโลกเท่าที่อาเล่ยเคยรู้จัก ”
มันไม่ใช่คำพูดปากเปล่าที่เหมือนลมพัดมาและผ่านไป แต่มัน...สลักลงในหัวใจของพวกเขาทั้งคู่ มื้อเย็นในวันที่ฝนตกดำเนินผ่านไปอย่างราบเรียบเช่นทุกวัน แต่ระหว่างเจ้าของบ้านหลังนี้กับเด็กหนุ่มอายุสิบแปดกำลังเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่ดีกว่าเดิม
“ ฉันรอเก่งนะ ”
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เขาหลงรักมันตั้งแต่แรกสบตากำลังจ้องมองมาอย่างอบอุ่น
“ รีบหน่อยล่ะJ ”
เขาจะเป็นคนคนนั้นให้เอง
เราอ่ะเป็นแค่เด็กคนนึงนะ ไม่มีหรอกของดีๆ ของแพงๆ ให้เขาอ่ะ
ให้ได้อย่างเดียวคือหัวใจเนี่ย หัวใจกับความรักล้วนๆ เลยด้วย
เฉื่อยไปนิดนึงนะคะ ; _ ; เพราะมันไม่ได้มีปมอะไรมาก ไม่ซับซ้อนเหมือนเรานี่แหละ
เราจะค่อยๆ ทำให้เห็นว่าการที่เราได้ก้าวข้ามความกลัวไปกับใครสักคนเนี่ยมันดีแค่ไหน
ปล.บ้านเราฝนตกทุกวันเลย อากาศดีมากกกกก
ความคิดเห็น