ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    when i fall in love with my best friend

    ลำดับตอนที่ #2 : our friendship

    • อัปเดตล่าสุด 12 ม.ค. 58


                    ฉันเกลียดที่ตัวเองรู้สึกมีความสุข ในขณะที่เพื่อนของฉันกำลังทุกข์

                    ฉันเกลียดตัวเองที่แอบยิ้ม ในขณะที่เพื่อนของฉันกำลังร้องไห้

                    ฉันเกลียดตัวเองที่แอบหวังไปเอง ในขณะที่ความเป็นจริงมันไม่มีทางจะเป็นไปได้

                    ฉันเกลียดตัวเอง......ที่เริ่มรู้สึกว่าเริ่ม”รัก” “เพื่อนสนิท” ของตัวเอง

     

                    ฉันหยุดเดิน แล้วนั่งลงที่ป้ายรถรางของมหาลัย ทาวน์มองฉันเล็กน้อย ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เราไม่ได้คุยอะไรกัน แค่นั่งเฉยๆ มองรถที่ขับผ่านไปผ่านมา ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้ คนที่นั่งอยู่ข้างๆฉันกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ฉันกำลังคิดอยากให้ทาวน์เริ่มพูดอะไรซักอย่าง เรื่องตลกแป้กๆของเขาก็ได้ เพราะฉันแค่รู้สึกแปลกๆที่นั่งเงียบอยู่แบบนี้

                    “อยากรู้มั๊ย ทำไมเราถึงกลับมา” ฉันหันมองคนข้างๆที่พูดขึ้นมาทำลายความเงียบระหว่างเรา ฉันพยักหน้า

                    “เราคิดถึงเธอ” ทาวน์พูด มองเข้ามาในดวงตาของฉัน ถ้าเป็นครั้งก่อนๆฉันคงจะฟาดที่แขนเขาซักสองที แต่ไม่ใช่สำหรับครั้งนี้ ไม่มีความล้อเล่นเจืออยู่ในน้ำเสียงนั้น แต่มันเป็นน้ำเสียงที่หมายความว่าแบบนั้นจริงๆ

                    ฉันยิ้มให้ทาวน์ เช่นเดียวกับทาวน์ที่ส่งยิ้มมาให้ฉัน

                    เราเงียบกันอีกซักพักใหญ่ๆ ก่อนที่ฉันจะชวนเขากลับไปหอสมุด เพื่ออ่านหนังสือเตรียมสอบต่อ เขาอิดออดเล็กน้อย ฉันจึงใช้มาตรการเด็ดขาด แบบที่ฉันชอบใช้ตอนที่เราทั้งคู่อยู่มัธยม

    ทาวน์ย้ายมานั่งโต๊ะข้างๆฉัน เพื่อให้ฉันติวภาษาอังกฤษที่เขาต้องสอบเป็นตัวแรก แม้ฉันจะเรียนสายวิทย์-คณิตตอนมัธยม แต่ฉันก็เลือกที่จะเรียนทางด้านภาษาในช่วงมหาลัย การเรียนคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี หรือแม้แต่ชีววิทยา มันไม่ใช่ฉันเอาเสียเลย ฉันรู้สึกเป็นทุกข์ทุกครั้งที่ต้องทำโจทย์แคลคูลัส หรือจำสูตรเคมีต่างๆ ฉันมักบอกน้องๆทุกคนว่าให้เลือกเรียนในสิ่งที่ตัวเองอยากจะเรียน แต่เอาจริงๆ ตอนที่ฉันเลือกเรียนสายวิทย์-คณิตนั้น ฉันก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันเองชอบเรียนอะไร ฉันเลือกสายนี้เพราะเห็นว่ามันกว้างกว่าสายศิลป์ภาษา และมันเป็นความต้องการของครอบครัวด้วยต่างหาก

    ฉันติวภาษาอังกฤษให้ทาวน์นานพอสมควร ก่อนทีจะเริ่มอ่านของตัวเองต่อ พอเงยหน้ามาอีกที ก็เห็นว่าเพื่อนสุดหล่อของฉัน ฟุบลงไปกับกองหนังสือตรงหน้าเสียแล้ว ฉันมองหน้าทาวน์ตอนหลับ หัวใจเต้นแรง....

     

    ทาวน์ซึมไปหลายวันทีเดียวหลังจากเลิกกับก้อย ฉันก็ไม่ค่อยได้เจอก้อยบ่อยแบบเมื่อก่อน เหมือนก้อยพยายามหลบหน้า ฉันคิดว่าก้อยคงยังไม่พร้อมจะเจอทาวน์ในตอนนี้มากกว่า เพราะฉันกับทาวน์ไปไหนด้วยกันตลอด การเจอฉันก็เหมือนเจอทาวน์ด้วยนั่นเอง

    ช่วงนี้ทาวน์มักจะมาฝากท้องที่บ้านฉันอยู่บ่อยๆ อย่าเข้าใจผิดว่าบ้านฉันเป็นร้านอาหารนะ แม่ฉันเป็นนางพยาบาล แต่ก็ชอบทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ ทาวน์ไม่ค่อยอยากกลับบ้านเท่าไหร่นัก เพราะแม่ของเขาไม่ค่อยจะอยู่บ้าน  เขาจึงชอบขลุกอยู่ที่บ้านฉัน อาจจะเป็นเพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียว เขาจึงชอบคุยกับน้องชายของฉัน หรือบางทีก็นั่งเล่นหมากรุกกับพ่อของฉันบ้าง ยิ่งช่วงนี้เพิ่งอกหัก จึงเป็นเหตุผลที่เขามักเอามาอ้างกับฉัน เพื่อจะได้ตามมากินข้าวที่บ้าน

    แม่มีความสุขมากที่ทาวน์มากินข้าวที่บ้าน เพราะเขามักจะขอเติมข้าวอยู่เสมอๆ ในขณะที่ฉันกับน้องมักขอลดข้าวเสมอๆ ฉันว่าทาวน์กินกับข้าวของแม่เพื่อเอาหน้าเสียมากกว่า!!

               เรากลายเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก มากเสียจนหลายคนสงสัยว่าเราเป็นแฟนกันจริงๆ แม้เราทั้งคู่จะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง และฉันก็เกลียดตัวเองจริงๆที่รู้สึกมีความสุข และอยากให้มันเป็นจริงขึ้นมาซักวัน.....

     

                    “นี่! ตื่นเร็ว กลับกันเถอะ” ฉันเขย่าปลุกคนข้างๆ เข็มสั้นของนาฬิกาเรือนโตของหอสมุดเพิ่งจะเดินผ่านเลขหนึ่งเมื่อซักครู่ที่ผ่านมา ทาวน์สลึมสลือตื่น ก่อนจะรีบเก็บของลงกระเป๋า เมื่อเห็นว่าฉันเก็บของเสร็จแล้ว

                    “จะไปไหนต่อรึเปล่า” เขาถามเสียงงังเงีย ฉันส่ายหน้า

                   

                    ฉันจำได้ว่าฉันกับทาวน์ชอบไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะข้างแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลผ่านจังหวัดของเรา ฉันชอบนั่งชิงช้าสีเขียว ส่วนทาวน์ของนั่งบนกระดานลื่นตัวข้างๆ เราชอบมองน้ำไหล สำหรับฉันมันทำให้ความเครียดลดลง ความเครียดเรื่องฟิสิกส์ เคมี ชีวะน่ะ

                    ครั้งหนึ่งตอนม.5 เพื่อนในกลุ่มของฉันทะเลาะกับเพื่อนในห้องซึ่งมีคนเยอะกว่า ฉันไม่รู้หรอกว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร แต่ผลที่ตามมาคือกลุ่มของฉันโดนเพื่อนๆทั้งห้องแบน ซึ่งรวมถึงฉันด้วย ฉันยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ดี ไม่มีใครยอมคุยกับฉันหรือเพื่อนๆในกลุ่มของฉันเลย ทุกคนจะจับกลุ่มกันคุยเรื่องของพวกเรา หัวเราะเยาะพวกเรา คอยหาเรื่องมาใส่สีตีไข่ให้พวกเราดูเป็นคนไม่ดีต่างๆนานา  

     สุขภาพจิตของฉันแย่มากในช่วงนั้น ซึ่งก็คงไม่ต่างจากเพื่อนในกลุ่มคนอื่นๆ ฉันไม่อยากไปโรงเรียนเลย โรงเรียนเป็นเหมือนนรกสำหรับฉัน

    แต่ทาวน์ยังเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับฉัน ทาวน์ยังคงยืนอยู่เคียงข้างฉัน สุดท้ายเพื่อนในกลุ่มของฉันจึงเดินเข้าไปเคลียร์กับเพื่อนๆทั้งห้อง ฉันจำไม่ได้จริงๆว่าสาเหตุของการแบนทุกคนในกลุ่มของฉันเกิดจากอะไร แต่จำได้แม่นว่าวันนั้นฉันร้องไห้หนักที่สุดตั้งแต่ขึ้นมัธยมมา และหลายๆคนในวันนั้นก็คงจะเช่นกัน ทาวน์ยืนจับมือฉันตอนที่เพื่อนทั้งสองคนเริ่มเคลียร์กัน กอดปลอบฉันตอนที่ป่านเริ่มพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเรา และเช็ดน้ำตาให้ตอนที่เคลียร์หมดทุกเรื่อง และเพื่อนๆทุกคนสัญญากันว่าจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก มันดูเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ถ้าไม่เจอกับตัวก็ไม่มีวันรู้หรอก ฉันมักคิดถึงเรื่องนี้เสมอ และยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับใครเลย ไม่มีใครสมควรโดนแบน ฉันก็พูดอะไรได้ไม่มากหรอกนะ แต่ฉันเข้าใจความรู้สึกของคนโดนแบนแม้ว่าบางทีเราก็ไม่รู้ว่าเราไปทำอะไรไม่ถูกใจเพื่อนๆตอนไหนก็ตาม

    สภาพของฉันตอนเย็นวันนั้นคือตาบวมเป่ง ทาวน์หัวเราะเสียงดังตอนยืนรอซื้อไอศกรีมให้ฉัน แม้แต่ตอนที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปถึงสวนสาธารณะแล้วก็ยังไม่ยอมหยุดหัวเราะ เรานั่งมองสายน้ำแบบที่เราชอบทำเมื่อมาที่นี่ บนชิงช้าสีเขียว และกระดานลื่นตัวเดิม

     

    การสอบกลางภาคผ่านพ้นไปแล้ว ฉันกับทาวน์เจอกันตลอดนับตั้งแต่วันนั้น แม้จะไม่ได้ตัวติดกันแบบตอนมัธยมแล้ว แต่เราก็พยายามเจอกันให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะหาเวลาได้ สำหรับฉันแล้วมันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่ได้อยู่กับเพื่อนที่เรา “รัก”  ได้พูดคุยถึงชีวิตที่ผ่านมาโดยที่ไม่มีฉันและไม่มีเขา

    ทาวน์ยังป๊อปปูล่าเช่นเดิม  เขามีสาวๆแวะเวียนเข้ามาคุยอยู่เสมอ และดูท่าทางจะมีความสุขมากซะด้วย ฉันไม่ชอบตัวเองเท่าไหร่เวลาที่เห็นสาวๆมาเจ๊าะแจ๊ะเขา แต่ฉันก็ไม่มีสิทธิ์ใดๆมากกว่าความเป็นเพื่อน แต่ทาวน์ก็ไม่ได้คุยกับใครจริงจัง เขาบอกฉันแบบนั้น ไม่ค่อยอยากจะเชื่อหรอกเวลาที่เขาบอกน่ะ แต่ก็แอบยิ้มไม่ได้จริงๆ ...

     

    “น้ำ ถามอะไรหน่อยซิ” ทาวน์ถาม  ขณะที่ฉันกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาในคอนโดของฉันในวันหยุดวันหนึ่ง

    “ว่า?” ฉันตอบโดยไม่ได้ละสายตาไปจากหนังสือตรงหน้า

    “น้ำมีแฟนมั๊ย ตอนที่เราไม่อยู่” ฉันละสายตาจากหนังสือทันที มองเขาที่กำลังนั่งเกากีต้าร์อยู่บนพื้น ทาวน์ไม่ได้หันมามองฉันหรอก เขาแค่เงียบเหมือนรอคำตอบ ในขณะที่มือก็ยังเกากีต้าร์ต่อไป

    “......”

    ทาวน์หันมามอง เมื่อฉันเงียบไป

    “ทำไมอ่ะ”

    “ก็แค่...อยากรู้”

    ฉันจะมีใครได้ล่ะ ในเมื่อฉันยังรอแค่เขา แค่ติดต่อมาซักครั้งก็ยังดี ก่อนจะย้ายไป ทาวน์ไม่บอกฉันซักคำ เงียบหายไปเหมือนไม่มีตัวตนอยู่บนโลก ติดต่อไม่ได้ ฉันจำได้ว่าตัวเองโกรธเขามากแค่ไหนเมื่อเพื่อนของเขาบอกกับฉันในวันเปิดเทอมว่า เขาย้ายไปเรียนที่อื่นแล้ว ข้อความซักข้อความเขายังไม่ส่งมาบอกฉัน ความน้อยใจ ความโกรธมันผสมปนเปกันไปหมด ฉันสัญญากับตัวเองด้วยซ้ำว่าจะไม่คุยกับเขาอีก แต่วันที่เจอกับเขาที่หอสมุด  สิ่งที่เคยสัญญากับตัวเองกลับมลายหายไปเสียหมดนี่ซิ

    “ไม่มีหรอก เรายังไม่อยากมีแฟน” ฉันตอบก่อนยกหนังสือขึ้นอ่านอีกครั้ง เขาหัวเราะ

    “ปาล์มโทรหาบ้างรึเปล่า” ทาวน์เสียงเบาลงเมื่อพูดถึงปาล์ม ฉันผุดลุกจากโซฟาแล้วลงไปนั่งข้างๆเขาตรงพื้น มองหน้าทาวน์อย่างไม่เข้าใจ เขาก็รู้ว่าฉันกับปาล์มไม่ได้คุยกันตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×