คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : the beginning of us
หอสมุดกลางคลาคล่ำไปด้วยนิสิตมากหน้าหลายตาจากหลากหลายคณะ ที่กำลังคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือสอบกลางภาค ในช่วงสอบกลางภาคแบบนี้หอสมุดมีนโยบายเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง จึงเป็นภาพที่คุ้นตาหากrพบว่าหลายๆคนยึดเอาหอสมุดเป็นทั้งห้องอ่านหนังสือ ห้องนอน และห้องน้ำไปในคราวเดียวกัน เสียงดังจ๊อกแจ๊ก ดังอยู่ต่อเนื่อง แม้จะมีข้อบังคับ แต่ด้วยขนาดของหอสมุด บวกกับจำนวนผู้ใช้บริการจึงไม่ใช่เรื่องแปลก และเป็นเรื่องยากที่จะบังคับให้เงียบได้
ฉันเงยหน้าจากหนังสือตรงหน้า หมุนศีรษะเล็กน้อยเพื่อคลายอาการปวดตุ๊บๆตรงท้ายทอย อันเกิดจากการก้มอ่านหนังสือนานเกินไป เสียงดังกร๊อบ แกร๊บ ตรงคอทำให้เผลอทำหน้าเหยเก ความรู้สึกปวดเบ้าตา ทำให้ฉันต้องหยุดอ่านหนังสือ
.....พักสายตาซักหน่อยละกัน.....
ฉันปิดหนังสือ ก่อนจะฉวยโทรศัพท์มือถือพร้อมกับกระเป๋าสตางค์ เหลือบมองนาฬิกาเรือนสวยที่คุณพ่อให้เป็นของขวัญที่สอบติดมหาลัย บนหน้าปัดบอกเวลา 20:45น. กระเพาะที่ว่างมาตั้งแต่ช่วงบ่าย เริ่มส่งเสียงประท้วงเสียงดัง ฉันนิสัยเสียแบบนี้เสมอ ชอบมาโหมอ่านหนังสือช่วงสอบทีเดียว จนลืมกินข้าวกินน้ำ พอนึกถึงความเจ็บปวดของโรคกระเพาะที่เคยประสบมา ทำให้ฉันต้องรีบออกไปหาอะไรมาใส่ท้อง
ทันทีที่เดินผ่านประตูอัตโนมัติของหอสมุดออกมา บรรยากาศของมหาลัยตอนนี้ทำให้ฉันนึกถึงภาพยนตร์สยองขวัญขึ้นมาอย่างงั้น...คนละโลกกะข้างในเลย... เมื่อนึกถึงบรรยากาศภายในหอสมุดที่เพิ่งเดินออกมา
ฉันเดินตรงไปยังร้านค้าใกล้ๆ ที่เปิดตลอดทั้งคืนเช่นเดียวกับหอสมุดในช่วงสอบ นี่เป็นแหล่งเติมพลังงานของนิสิตทุกคนที่ยึดหอสมุดเป็นที่อ่านหนังสือ แม้การเดินไปหน้ามหาลัย จะได้กินอะไรที่หลากหลายกว่าในนี้ แต่ความหิวและความเหนื่อยล้าจากการอ่านหนังสือสอบ ก็ทำให้หลายๆคนเลือกที่นี่ มากกว่าจะเดินออกไป ซึ่งรวมถึงฉันด้วย
...ผัดหมี่ก็น่ากิน ข้าวกระเพราไก่ก็น่าสน หรือจะผัดซีอิ๊วดีนะ ตรงโน้นมีข้าวเหนียวหมูปิ้งด้วย....
ระหว่างที่กำลังตัดสินใจว่าจะเลือกกินอะไร เสียงเรียกที่ดังกว่าปกติทำให้ฉันต้องรีบหันขวับไปทางด้านหลังทันที ฉันจะไม่หันกลับไปแน่ หากชื่อที่ถูกเอ่ยออกมานั้น เป็นชื่อที่มีแค่”เขา”คนเดียวเท่านั้นที่เรียก
“พี่อู๊ด!!!”
ร่างสูงโปร่งของชายตรงหน้า รอยยิ้มตาปิด ที่ฉันชอบล้อ เป็นคนอื่นไปไม่ได้แล้วจริงๆ ฉันเดินเข้าไปหาร่างสูงตรงหน้าทันที ก่อนจะฟาดมือลงบนแขนของคนเขาหนึ่งที ก่อนจะตามมาด้วยครั้งที่สองและสามตามมา จนเขาต้องพยายามหลบหนีพร้อมกับเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก
“เงียบหายไปเลยนะ ตั้งแต่ย้ายไปเรียนที่โน้นน่ะ” ฉันยกมือขึ้นเท้าคาง มองคนตรงหน้า ระหว่างนั่งรออาหารในร้าน หลังจากวิ่งไล่ตีคนตรงหน้าจนหอบทั้งคนไล่และคนตี ฉันจึงตอบรับคำชวนของเขาที่ชวนออกมาหาอะไรกินหน้ามหาลัย และยิ่งทำให้อยากไปมากขึ้น เมื่อเขาบอกว่าจะเป็นเจ้ามือ!!!
ทาวน์เลิกคิ้วเล็กน้อยเชิงประหลาดใจกับคำพูดของฉัน ก่อนจะถามกลับด้วยคำถามแบบที่เขาชอบถาม และก็จะตามด้วยคำด่าแบบที่ฉันใช้กับเขาเป็นประจำ
“ทำไม เป็นห่วงเหรอ”
“ปัญญาอ่อน” ฉันตอกกลับ เขาหัวเราะทำท่างอนเป็นเด็กเล็กๆอย่างที่เขาชอบทำ
“พายุแซนดี้พัดมารีไง ถึงได้โผล่มานี่” ฉันไม่ได้สนใจเสียงหัวเราะและท่าทางของคนฝั่งตรงข้าม และเมื่อถามแล้วยังหัวเราะอยู่แบบเดิม ฉันจึงเตะเข้าที่ขาคนขี้งอนที่อยู่ใต้โต๊ะไปเสียหนึ่งที
ป๊าบ!!!!
“โอ๊ย เจ็บนะพี่อู๊ด” เสียงโอดครวญพร้อมกับท่าทางเจ็บปวดจนโอเว่อร์ของเขา ทำให้ฉันเบะปาก ก่อนจะเตะอีกซักป๊าบ โทษฐานทำให้หมั่นไส้
ป๊าบ!!!!
“เว่อร์มากย่ะ เลิกทำท่าแบบนั้น แล้วตอบคำถามซักทีซิ” ฉันหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างคาดคั้นคำตอบ
....มีปัญหาอะไรแน่ๆ...
“เราซิ่วกลับมาแล้ว” ทาวน์ตอบน้ำเสียงไม่ได้จริงจังมากนัก แต่เป็นฉันเสียอีกที่ทำท่าตกใจกับคำพูดของคนตรงหน้า “กลับมาเรียนวิศวะเหมือนเดิมเลยนะ” นี่เขาไม่อยากเรียนจบพร้อมเพื่อนๆรึยังไงกันนะ ฉันสงสัย เพราะนี่เป็นการซิ่วครั้งที่สองของเขาแล้ว ครั้งแรกเขาเลือกที่จะซิ่วไปเรียนการแสดง จากเดิมที่เรียนวิศวะ และครั้งนี้เขาก็เลือกที่จะซิ่วกลับมาเรียนวิศวะเช่นเดิม
ในขณะที่ฉันกำลังจ้องมองทาวน์ เพื่อรอคำตอบจากเขา ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่กับข้าวถูกยกมาเสิร์ฟ กลิ่นหอมฉุยของต้มแซ่บกระดูกอ่อน ผัดผักรวมหมูกรอบ และไข่เจียวหมูสับของโปรดของฉัน ทำให้ความอยากจะรู้คำตอบลดลงไปเสียครึ่ง และหมดลงทันทีที่ข้าวสวยถูกยกมาวางตรงหน้า จากนั้นฉันเข้าโหมด”ทำลายล้าง”แบบที่เขาชอบล้อฉันบ่อยๆ คงเพราะความหิว ฉันจึงจัดการอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าเพื่อนสนิทของฉันกินน้อยกว่าปกติ
“ไม่ใช่ว่าเราไม่ติดต่อน้ำนะ เราโทรหาน้ำแล้ว แต่ติดต่อไม่ได้เลย” สรรพนามที่ทาวน์เรียกฉันเปลี่ยนไป จากฉายาที่เขาตั้งให้ กลายเป็นชื่อเล่นของฉัน
“ฉันเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ เพราะโทรศัพท์เครื่องเดิมของฉันหล่นลงไปในสระน้ำของมหาลัย” เขาพยักหน้า ในขณะที่ฉันกำลังเริ่มจัดการกับของหวานรวมมิตรถ้วยโตที่เพิ่งถูกยกมา
”ไปหาที่หอเดิม ป้าก็บอกว่าน้ำย้ายไปแล้ว เราเคยเจอฝ้ายครั้งหนึ่งนะในมหาลัยนะ เราก็เลยคิดว่าน้ำน่าจะรู้แล้วว่าเรากลับมาเรียนที่นี่แล้ว” ฉันจำได้ว่าฝ้ายเคยบอกว่าเจอทาวน์ที่หอสมุด แต่ฉันกับฝ้ายก็สรุปกันเอาเองว่าเขาคงมาแวะมาหาเพื่อนๆในภาคของเขา ฉันยังจำความรู้สึกนั้นได้ดีว่าฉันน้อยใจมากแค่ไหน
”แล้วที่สำคัญก็คือ เรามีปัญหานิดหน่อยน่ะ แทบไม่ได้เจอใครด้วยซ้ำ” น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไป
“ไม่มีอะไรหรอก เรื่องเล็กน้อยน่า กินต่อๆ” ทาวน์พูดเจือเสียงหัวเราะ เมื่อเห็นว่าฉันละความสนใจจากถ้วยขนมหวานมาอยู่ที่เขาเสียหมด ฉันแกล้งทำเป็นขบขันกับท่าทีของตัวเอง แต่ภายในใจฉันกำลังคิดเรื่องของเขาอยู่ต่างหาก
ฉันไม่ได้คาดคั้นคำตอบต่อจากนั้น ฉันรู้จักนิสัยของทาวน์ดี พอๆกับที่เขาก็รู้จักฉันดีเช่นกัน หากเขาอยากบอกเขาก็จะบอกเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไร ฉันเชื่อว่าคงจะหนักหนาสำหรับเพื่อนสนิทของฉันอยู่ไม่น้อย ฉันแอบสังเกตขณะที่เราทั้งคู่เดินเคียงข้างกันเข้ามาในมหาลัย ทาวน์ดูซูบลงไปมาก แต่ก็ยังหล่อเหลาเหมือนตอนมัธยมไม่เปลี่ยน อดีตนักร้องนำวงดนตรีประจำโรงเรียน และนักกีฬาฟุตบอลระดับเขต รวมไปถึงรูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาเรียวเล็กที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ทาวน์กลายเป็นหนุ่มมีแฟนคลับทั่วโรงเรียน ทั้งหญิงแท้ หญิงเทียม นี่ยังไม่รวมคารมของเขา ที่จัดว่าคมคายเสียผู้หญิงหลายๆคนต้องอ่อนระทวยกับคำพูดไม่กี่คำของเขา
...เพทบุตร คือคำนิยามที่เขามักใช้นิยามตัวเอง....
ฉันเป็นเด็กใหม่เพียงคนเดียวของห้อง ที่ย้ายเข้ามาเรียนม.ปลายที่โรงเรียนแห่งนี้ เพื่อนๆในห้องแม้จะมาจากคนละห้องตอนม.ต้น แต่ก็คุ้นหน้าคุ้นตากันดี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกคนจะสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว แต่ฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่าโดดเดี่ยวมากนัก เพราะเพื่อนๆส่วนใหญ่ในห้องก็ให้การต้อนรับฉันเป็นอย่างดี ยกเว้นก็แต่ผู้ชายตาตี่ ตัวสูงคนนั้น เขาดูหยิ่งและออกจะดูร้ายในสายตาของฉัน และเป็นคนเดียวที่มักจะพูดจาไม่ดีกับฉันด้วย แม้จะต้องอยู่กลุ่มเดียวกันในหลายๆวิชาเพราะเลขที่ติดกัน และชื่อที่มีตัว ณ เณรขึ้นต้นเหมือนกัน แต่ฉันก็พยายามที่จะไม่พูดคุยกับเขามากนัก แม้จะพยายามไม่คุยด้วย แต่เพราะการมีเลขที่ติดกันเช่นนี้ ทำให้เราทั้งคู่ต้องทำงานคู่ด้วยกันบ่อยๆ การเสนอที่จะทำงานคนเดียวเป็นหนทางที่ฉันเลือก แต่ก็ไม่ได้รับการเห็นชอบจากผู้ร่วมทำงานเลย เขามักจะวนเวียนอยู่รอบตัวเสมอ และคอยอาสาทำทุกอย่างที่ไม่ต้องใช้สมองมากนัก จริงๆนะ เขาทำแต่งานแบบนั้น ฉันไม่ได้ใส่ร้ายด้วย
ใช่แล้ว!เขาคนนั้นคือ ทาวน์
แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันต้องเข้าไปทำตัวสนิทสนมกับเขาอย่างเสียไม่ได้ เมื่อ”ก้อย”เพื่อนสนิทของฉันที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลเกิดตกหลุมรักนายตาตี่คนนี้เข้าอย่างจัง ฉันจำได้ว่าฉันปฏิเสธเสียงแข็ง แต่สุดท้ายก็ต้องใจอ่อน เพราะท่าทาง”รักสุมทรวง”ของเพื่อนสาว
การทำหน้าที่แม่สื่อเริ่มขึ้นทันทีในวันต่อมา ฉันคิดว่ามันออกจะดูแปลกที่ผู้หญิงจะเริ่มจีบผู้ชายก่อน แต่ยัยก้อยก็สวนกลับมาทันควันว่าตอนนี้โลกมันไปไกลกว่านั้นแล้ว ฉันไม่ค่อยเห็นด้วยนัก แต่ก็ไม่อยากเถียง และการเป็นแม่สื่อครั้งนี้ก็ทำให้ฉันกับทาวน์เริ่มพูดคุยกันมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้ทำให้ความคิดของฉันที่มีต่อเขาเปลี่ยนไปมากนัก เมื่อเวลาผ่านไปได้ระยะหนึ่ง ทาวน์กับก้อยก็ใช้วิธีคุยกันทางโทรศัพท์แทนการคุยกันผ่านทางแม่สื่ออย่างฉัน ถ้าไม่เป็นเพราะยัยก้อยรุกหนัก ก็คงเป็นเพราะตาทาวน์ใจง่ายมากๆเลยล่ะ เพราะดูเหมือนอะไรๆมันจะรวดเร็วไปเสียหมดในความคิดของฉัน
ฉันไม่ค่อยเห็นด้วยกับการมีความรักในวัยเรียนเท่าไหร่หรอกนะ และคงเป็นสาเหตุที่เพื่อนๆมักเรียกฉันว่า คุณยาย นั่นแหละ ฉันไม่ได้ใส่ใจกับฉายาที่เพื่อนๆตั้งให้นักหรอก ออกจะชอบเสียด้วยซ้ำ!!
แต่แล้วคุณยายอย่างฉันก็มีคนเข้ามาขายขนมจีบจนได้ซิน่า....
ปาล์มเรียนอยู่คนละห้องกับฉัน เพราะรูปร่างแบบนักกีฬา บวกกับใบหน้าหล่อคมของปาล์มทำให้สาวๆชื่นชอบอยู่ไม่น้อย ฉันรู้จักกับปาล์มเพราะการแนะนำของทาวน์ ตอนแรกปาล์มบอกว่าอยากให้ติวภาษาอังกฤษให้ ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรไปกว่านั้นเลย จนเมื่อผ่านไปได้ซักระยะ และปาล์มก็แสดงออกมากขึ้นนั่นแหละ ฉันจึงรู้ ความรู้สึกเหมือนตัวเองลอยได้ มักจะเกิดขึ้นเสมอเมื่อคิดถึงปาล์มและรอยยิ้มของเขา
ปาล์มก็ใช้วิธีเดียวกับก้อย ในขณะที่ก้อยให้ฉันเป็นแม่สื่อให้ ปาล์มก็ให้ทาวน์เป็นพ่อสื่อให้เช่นกัน
ฉันกับทาวน์เริ่มคุยกันมากขึ้นเพราะหน้าที่ และฉันก็ได้รู้ว่า ความจริงแล้วเขาไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ฉันคิด เป็นคนนิสัยดีมากคนหนึ่งเลยล่ะ เราทั้งคู่สนิทกันมากขึ้น เวลาทำงานก็เข้ากันได้ดีมากขึ้น จนกลายเป็นเพื่อนสนิทกันในที่สุด เรากลายเป็นคู่ปาท่องโก๋ที่มักจะทำอะไรด้วยกันเสมอ ช่วยกันทำการบ้าน ทำรายงาน และเป็นที่ปรึกษาของกันและกัน ปาล์มเริ่มหายไปจากฉัน คงเพราะข่าวลือเรื่องฉันกับทาวน์ซินะ แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจมากนัก....
โอเค!! ฉันยอมรับก็ได้ ว่าฉันรู้สึกเสียใจนิดนึง แค่นิดเดียวจริงๆนะ
แต่ทาวน์กับก้อยยังคุยกันอยู่ และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ฉันก็รับรู้มาโดยตลอดด้วย
จนกระทั่งวันหนึ่ง ก้อยมาหาฉันที่บ้านด้วยใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา บอกเพียงแค่ว่าเลิกกับทาวน์แล้ว ฉันแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ถามสาเหตุ เพราะไม่เห็นประโยชน์ที่จะให้ก้อยรื้อฟื้น ก้อยกอดฉันหนึ่งทีก่อนจะกลับบ้านไป คืนนั้นทาวน์โทรมาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย แม้จะรู้สึกว่าเขาไม่ได้เล่าทั้งหมด แต่ฉันก็เคารพในเรื่องส่วนตัวของเขา เช่นเดียวกับก้อย
ถึงตอนนี้ ฉันเริ่มรู้สึกเกลียดตัวเอง ที่มีความสุข !!!!
ความคิดเห็น