ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ห้ามเข้าเด็ดขาด!!!

    ลำดับตอนที่ #4 : 1.1

    • อัปเดตล่าสุด 29 มี.ค. 54


    หลังจากวันนั้นจนถึงวันนัดหมาย ข้าใช้ชีวิตประจำวันในแบบฉบับของข้าตามปกติหรือจะเรียกให้ถูกคือเกือบที่จะปกติเสียมากกว่า แน่นอนมันไม่เกี่ยวกับการที่ข้าเป็นสมาชิกชมรมคนรักหมวก เพราะข้านอกจากจะไม่เข้าไปที่ห้องชมรมแล้ว ข้ายังไม่ร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้นอีกด้วย แต่ในระยะหลังๆมานี้ ข้าเริ่มคิดว่าการที่ข้าทำตัวแบบนั้นอาจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ชีวิตของข้านั้นแค่เกือบที่จะปกติ

    “ทำหน้าแบบนั้น เจ้ากำลังคิดถึงข้าอยู่ใช่ไหม” เสียงนั่นไม่ทำให้ข้าเบนสายตาจากกองเหรียญทองที่อยู่ตรงหน้าข้าได้และถึงข้าไม่หันไปมองเจ้าของเสียง ข้าก็รู้ได้ในทันทีว่าเจ้าของเสียงกวนประสาทที่ช่วงนี้ตามวนเวียนหลอกหลอนอยู่ข้างหูข้าเป็นใคร

    “ถ้าเจ้าจะสังเกตสักนิดนะ แจ็ค ข้ากำลังยุ่ง” ข้านิ่วหน้าพร้อมจับเหรียญทองมาเรียงตั้งเป็นกองเล็กๆอีกกองบนโต๊ะและดูเหมือนเขานอกจากจะไม่ใส่ใจกับคำพูดของข้าแล้ว เขายังถือวิสาสะปีนขอบหน้าต่างเข้ามาในห้องเก็บของของข้าอย่างไม่ยี่ระ แถมยังเดินมานั่งลงบริเวณที่วางแขนเก้าอี้ของข้าอย่างเคยชินเสียด้วย

    “เจ้าอย่าเพิ่งกวนใจเรเชลดีกว่านะ” เสียงเตือนอย่างหวังดีของเอมิลดังขึ้นเละนั่นก็ไม่ทำให้เขาสะดุ้งสะเทือน แจ็คใช้ท่อนแขนกำยำของเขาโอบไหล่ข้า ซึ่งด้วยความรำคาญสุดจะทนของข้า ข้าจึงใช้ศอกกระแทกที่ท้องเขาอย่างแรงทำให้มือที่จับไหล่ข้าเลื่อนกลับไปอยู่ที่เดิม

    “ข้าเตือนเจ้าแล้ว” เอมิลพูดพร้อมกับอมยิ้มอย่างขบขัน

    “แล้วทำไมวันนี้ที่รักของข้าดุกว่าทุกวัน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงยียวน ซึ่งน้ำเสียงที่กวนประสาทข้าอย่างถึงที่สุด

    “นางกำลังนักเหรียญทองของนางอยู่และถ้าเจ้าฉลาดพอ ข้าแนะนำให้เจ้าอย่าไปกวนใจนาง ขนาดเดฟที่นางเอ็นดูนักหนายังไม่กล้ายุ่งกับนางในช่วงนี้เลย” เมื่อนางพูบจบ ข้าก็ถลึงตาใส่นางเพื่อเตือนให้นางรู้ว่านางพูดมากเกินไป ซึ่งหลังจากเห็นสายตาของข้า นางก็เพียงหยักไหล่น้อยๆเป็นคำตอบ

    “ถ้าเจ้าเสร็จธุระแล้วก็ออกไปได้แล้วเอมิล” ข้าบอกแกมไล่นางไปในตัว ในบางครั้งนางก็เป็นคนที่พูดไม่คิดเสียเท่าไหร่ซึ่งข้าพร่ำบอกนางอยู่หลายหนว่าอย่าพูดอะไรให้มากนักเมื่ออยู่ใกล้พวกแฮตเตอร์และดูเหมือนคำพร่ำสอนของข้ากลายเป็นเพียงสายลมสำหรับนางเสียแล้วกระมัง

    “เจ้าไล่ข้าเพราะอยากอยู่กับแจ็คสินะ” นางลอบอมยิ้มน้อยๆให้ข้าแล้วจากไปพร้อมกับทิ้งระเบิกลูกใหญ่ใส่ข้าและก่อนที่ข้าจะเอ่ยปากเถียง นางก็ปิดประตูห้องเสียงดังเป็นการตอกคำพูดต่อว่าของข้าให้กลับลงคอไป

    “ถ้าเป็นเรื่องจริงข้าจะดีใจมาก” ข้านิ่วหน้าเป็นคำตอบของคำกล่าวลอยๆของเขาและเขาก็คงไม่เข้าใจกับการแสดงอารมณ์บนใบหน้าข้า เพราะรอยยิ้มของเขากระตุกขึ้นที่มุมปากอย่างกลั้นไม่อยู่ นี่ข้าต้องทำอย่างไรถึงจะแสดงให้เขารับรู้ได้ว่าสีหน้าข้ากับสิ่งที่ข้าคิดนั้นตรงกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนใดๆ

    “ข้าต้องทำยังไง ข้าถึงจะไล่เจ้าได้เหมือนที่ข้าไล่นาง”

    “เมื่อข้าอยากไป ข้าก็ไปจากเจ้าเอง” เขายิ้มกว้างออกมาในที่สุด เพื่อแสดงให้ข้าเห็นว่าสิ่งนั้นไม่มีวันเกิดขึ้นซึ่งนั่นทำให้ข้าลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ

    “เจ้าสนุกตรงไหนที่มายุ่งกับข้าได้ทุกวัน”

    “อย่างน้อยท่าสะบัดหน้าแล้วหนีของเจ้าก็ติดตรึงในใจข้า” นั่นไม่ใช่คำตอบที่ข้าพอใจจะฟัง ข้าจึงช้อนสายตาขึ้นสบเขาอย่างไม่สบอารมณ์

    “อย่ามองข้าแบบนั้นที่รัก วันนี้ข้ามารับเจ้านะ” เขายิ้มกวนๆให้ข้า ซึ่งข้าก็ตอบสนองรอยยิ้มนั่นด้วยใบหน้าเรียบเฉยปนอารมณ์ขุ่นมัว

    “พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินดีเลย ยังไม่ถึงเวลาเสียหน่อย เจ้าเลิกหาข้ออ้างไร้สาระเพื่อจะกวนโมโหข้าได้แล้ว” ข้าวางศอกบนโต๊ะแล้วยกมือขึ้นรองแก้มของข้าไว้เพื่อเอียงมองหน้าเขาที่นิ่งไปอย่างครุ่นคิด ซึ่งข้าว่าไอ้ท่าทางครุ่นคิดนั่นของเขามันทำให้ข้ารู้สึกว่าเขากำลังยั่วโมโหข้าอยู่และก็ทำสำเร็จเสียด้วย

    “ไม่ใช่ครั้งนี้ที่รัก ข้ามารับเจ้าจริงๆ” สิ้นเสียงของเขา สิ่งที่ข้าไม่คิดว่าเขาจะทำกับข้าก็เกิดขึ้น เขาปิดจาและปากของข้าพร้อมกับรวบร่างของขึ้นบ่าโดยที่ข้าไม่ทันตั้งตัว ข้าผิดเองที่ประมาทชายที่เป็นถึงเพื่อนสนิทของแฮตเตอร์

     

    ข้าหยุดดิ้นเพราะข้าเหนื่อยและเห็นว่าสิ่งที่ข้าทำมันช่างไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง เขาอุ้มข้าเดินไปเรื่อยๆโดยที่ข้าไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขากำลังนำข้าไปไหนในทิศทางใดและต่อให้ข้ารู้จักที่แห่งนี้ดีแค่ไหน ข้าก็ไม่สามารถจดจำมันได้ทั้งที่ถูกปิดตาอยู่เช่นนี้ เมื่อข้าหยุดดิ้นและเลิกส่งเสียงอู้อี้ แจ็คก็ดึงผ้าปิดปากของข้าออกพลางถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของข้า ซึ่งข้าไม่เข้าใจว่าเขานั้นโง่หรือปัญญาอ่อนกันแน่ หากถูกปิดตาปิดปากแล้วพาไปในที่ที่ตัวเองไม่สามารถคาดเดาได้มันคงทำให้ข้าเป็นสุขกระมัง

    ข้าไม่ตอบคำถามเขาทำให้การสนทนาของข้ากับเขาหยุดลงเพียงเท่านั้น

    “ขอต้อนรับสู่ชมรมคนรักหมวก” และผ้าปิดตาของข้าก็ถูกดึงออกพร้อมด้วยเสียงนั่น ดวงตาข้าพร่าเลือนค่อยๆปรับจนข้ามองได้ชัดขึ้น ซึ่งใบหน้าแรกที่ข้าเห็นเมื่อดวงตาของข้ากลับเข้าสู่สมดุลคือ รอยยิ้มที่ฉาบไปด้วยความชั่วร้ายของแฮตเตอร์

    แฮตเตอร์ขยับปีกหมวกน้อยๆ รอบกายข้าก็พลันสว่างขึ้น ข้ามองไปรอบกายอย่างตื่นตะลึง ผนังห้องที่ถูกปิดทึบมีคบเพิลงกระจายตัวเป็นหย่อมๆเพื่อให้แสงสว่างแก่ห้อง ข้ายืนอยู่ในที่ที่โล่งกว้าง มันกว้างเสียยิ่งกว่าห้องไหนๆในโจลตันเฮมจนข้าชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าข้ายังอยู่ในโจมตันเฮมอยู่หรือไม่และสิ่งที่พังความตื่นตะลึงของข้าลงคือผ้าผืนใหญ่ที่แฮตเตอร์โยนมันครอบหัวข้า แต่ก่อนที่ข้าจะสบทด่าผ้าผืนนั้นก็ถูกสะบัดออกอย่างแรงชั่วพริบตา

    “ดูเหมือนเจ้าหญิงของงานจะพร้อมแล้ว” ข้าก้มมองตามสายตาของเขาและพบว่าข้าอยู่ในชุดราตรีรัดเรือนร่างสีแดงสดและเมื่อข้ามองใบหน้าข้าที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของแจ็ค ข้าก้เห็นหน้ากากแฟนซีอยู่บนใบหน้าข้า ข้านิ่วหน้าอย่างหัวเสียและพยายามที่จะจ้องมองตัวข้าผ่านตัวตาของเขาให้มากขึ้น แต่แจ็คกลับหลบสายตาข้าแล้วเบือนหน้าหนีข้าไปด้านอื่น คงเป็นเพราะเราอยู่ในห้องที่ให้แสงสว่างด้วยคบเพลิงสีแดงจัดจ้านทำให้ข้าเห็นว่าใบหน้าของเขาเป็นสีแดงระเรื่อ

    “แฮตเตอร์ เจ้ากำลังเล่นตลกอะไร ที่นี่ที่ไหนและเจ้าให้ข้าสวมชุดอะไรกัน” เขาเพียงอมยิ้มให้เป็นคำตอบสำหรับข้าก่อนที่เขาจะสวมหน้ากากแฟนซีไว้ที่ดวงตาของเขาเช่นกันและข้าก็ลอบเห็นว่าแจ็คก็ทำสิ่งเดียวกันและก่อนที่ข้าจะโวยวายด้วยเสียงที่ดังขึ้น เสียงของฮาร์ฟก็ดังขัดขึ้นจากที่ไหนสักแห่งในห้อง

    “เชิญเหล่าสมาชิกทั้งหลายที่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ได้ยลโฉม เจ้าหญิงของพวกเรา” ข้าหันเพื่อมองหาต้นเสียงและข้าก็เจอฮาร์ฟกำลังเปิดประตูบานหนึ่งออกให้เหล่าชายสวมหน้ากากเดินเข้ามาภายในห้อง ข้าตัวแข็งทื่อ พวกนั้นสวมหน้ากากและแต่งกายเหมือนแจ็คและแฮตเตอร์ ที่สำคัญที่สุดพวกนั้นกำลังจ้องมองข้าอย่างประเมินการณ์ พวกเขาทยอยเข้ามาเรื่อยๆจนข้าเกียจคร้านที่จะนับจำนวนและเมื่อข้ารู้สึกตัวอีกที ข้าก้ถูกพวกนั้นรอบเป็นวงกลม

    “หากท่านคิดว่ามันไม่คุ้มกับเหรียญทองที่พวกท่านเสียไป โปรดก้าวออกมา ข้าจะให้ท่านออกจากการแข่งขันและยินดีจะนำทุกเหรียญทองของท่านคืนให้” เมื่อไม่มีใครก้าวออกมา ฮาร์ฟจึงปิดประตูและลงกลอน ซึ่งเสียงลั่นกลอนล็อคประตูนั่นทำให้ข้าสะดุ้ง

    “พะ..” ข้ายังไม่ทันเปล่งเสียงได้เต็มคำ นิ้วเรียวยาวของแฮตเตอร์ก็สัมผัสที่ริมฝีปากข้าอย่างแผ่วเบา

    “เจ้าหญิงน้อยที่รักของข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยใดๆ”  เขาฉีกยิ้มกว้างก่อนจะโน่มตัวลงมาเพื่อนกระซิบที่ข้างหูข้า

    “เจ้าเป็นสมาชิกชมรมของข้า เพราะอย่างนั้นเจ้าถึงต้องทำตามที่ข้าบอกและเรเชล ถ้าเจ้าดื้อดึงกับข้า ข้าจะให้พวกนั้นรุมทำร้ายเจ้า เจ้าไม่มีทางหนีรอดในที่ที่เจ้าเองยังไม่รู้ว่าเป้นที่ไหนและที่สำคัญแรงของผู้ชายหลายสิบคนนั้นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรจะเล่นด้วย”  เขาใช้หลังมือลูบแก้มข้าเบาๆ ข้านิ่งด้วยหัวที่หมุนคว้าง เหมือนภาพที่อยุ่ตรงหน้าข้าบิดเบี้ยวด้วยความกลัวของข้าเอง เสียงของฮาร์ฟดังขึ้นอีกซึ่งข้าจับประเด็นไม่ได้ว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไร ในหัวข้าเพียงเสียงกรีดร้องของตัวข้าเองที่ไม่สามารถระบายมันออกไปได้กับความคิดที่จะหาทางออก ซึ่งนั่นก็เป้นการตอกย้ำถึงความโง่ของข้า เพราะประตูทางออกมีเพียงทางเดียวและคนที่กำกุญแจปลดล็อคประตูบานนั้นคือแฮตเตอร์

    “ข้าขอย้ำอีกครั้ง พวกท่านต้องพลัดกันเต้นรำกับนางจนกระทั่งนาฬิกาที่ข้าเตรียมไว้จะตีบอกเวลาเที่ยงคืน และเมื่อถึงตอนนั้นผู้ใดที่เต้นรำกับเจ้าหญิงในช่วงที่ระฆังดังจะได้ครอบครองนาง”  นั่นคือประโยคที่ข้าจับประเด็นได้ก่อนที่เสียงดนตรีจะดังขึ้น

    คนที่เข้ามาเต้นรำกับข้าคนแรกคือฮาร์ฟ เขาต้องทำหน้าที่เป็นพิธีกรดำเนินรายการที่ดีในการเริ่มการแข่งขัน มือของเขาโอบเอวข้าและพาข้าเข้าสู่จังหวะท่วงทำนอง เขาเป็นคนเดียวที่ไม่ใส่หน้ากากอาจเป็นเพราะเขาต้องใส่แว่นตากระมัง ข้าจึงใช้โอกาสนี้เพื่อมองตัวข้าเองผ่านกรอบแว่น ซึ่งเจ้าแว่นของเขาก็ไม่สะท้อนภาพข้าเสียอย่างนั้น ข้าจึงจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาสีเทาหม่นของเขาแทน

    ผมสีดำที่ปรกหน้านิดๆกับดวงตาสีเทาหม่นภายใต้กรอบแว่นสีเงินทำให้ใจข้าสั่นไหวเล็กๆ ข้าจึงหลบตาเขาและเอาใจใส่กับการเต้นรำมากยิ่งขึ้น เวลาผ่านไปเพียงห้านาทีแต่สำหรับข้าเหมือนเนิ่นนานเป็นชั่วโมง เขาก็หมุนตัวข้าและชายแปลกหน้าสวมหน้ากากก็มารับร่างของข้าไปแล้วเต้นรำกับข้าต่อ แสงคบเพลิงภายในห้องถูกดับไปบางส่วนทำให้ภายในห้องเริ่มสลัว ข้าเริ่มมองไม่เห็นชายคนอื่นนอกจากคู่เต้นของข้าและเมื่อผ่านไประยะหนึ่งข้าก็ถูกหมุนแล้วถูกเปลี่ยนมืออีกครั้ง

    ในขณะที่เต้นรำ ข้าพยายามมองและจับสังเกตุเผื่อข้าจะจำเจ้าพวกนี้ได้บ้างแต่ข้าก็จำอะไรไม่ได้เลย ทั้งที่ข้ามั่นใจในความจำของข้าแต่ด้วยการที่ข้าต้องผลัดเปลี่ยนคู่เต้นไปเรื่อยๆทำให้ข้าไม่มีเวลาพอที่จะนั่งนึกทวนว่าข้าเคยเจอคนเหล่านี้ที่ไหนบ้าง แต่สิ่งที่ข้ามั่นใจอย่างหนึ่งคือพวกนี้เป็นนักเรียนชายของโจลตันเฮม

    แสงไฟที่สลัวลงทำให้ข้ามองไม่เห็นนาฬิกาว่าข้าเต้นรำไปนานแค่ไหนแล้ว ข้ารู้แต่เพียงว่าเท้าของข้าเจ็บระบมและในที่สุดเหมือนสวรรคืจะไม่ทอดทิ้งข้า คู่เต้นคนต่อไปของข้า ข้าสามารถจำเขาได้ในทันทีที่เขาสัมผัสร่างกายข้า

    “เดฟ ข้าไม่อยากเชื่อว่าข้าจะดีใจที่เห็นเจ้า” ข้ากระซิบเบาๆด้วยกลัวว่าใครจะได้ยินซึ่งเขาก็ตอบข้าด้วยเสียงที่กระซิบเช่นกัน

    “หมายความว่าไงว่าท่านไม่อยากเชื่อ” เขานิ่วหน้าและใบหน้าของเขาทำให้ข้ายิ้มออกในสถานการณ์แบบนี้

    “ข้าหมายถึงข้าดีใจที่ได้เจอเจ้า”

    “ตอนแรกข้าก็ไม่คิดว่าเขาจะเชิญข้ามา หลังจากที่ข้ายื่นใบสมัครเข้าชมรมคนรักหมวกตามที่ท่านสั่งอย่างฉิ่วเฉียด” คำพูดเขาทำให้ข้านึกปลื้มกับความอัจฉริยะของตัวข้าเอง โชคดีที่ข้าเป็นคนรอบคอบทำให้ข้าสั่งให้เดฟสมัครเข้าชมรมคนรักหมวกตามข้าเพื่อให้เขาช่วยข้าสืบเพราะข้าไม่อยากจะย่างกรายเข้าไปที่ห้องชมรมนั่นหรือร่วมกิจกรรมใดๆก็ตามที่เกี่ยวข้องกับชมรมนั่น ข้าจึงให้เดฟไปทำสิ่งเหล่านั้นแทนข้า

    “เดฟ เจ้ารุ้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน”

    “ข้าไม่รู้” เขาหยักไหล่ก่อนจะพูดต่อ

    “ก่อนที่พวกเราทั้งหมดมาที่นี่ พวกเราถูกปิดตาแล้วเดินวนไปมาหลายชั่วโมงอยู่ ซึ่งข้าไม่รู้จริงๆว่าที่นี่เป็นที่ไหน และข้าแปลกใจจริงๆที่เจ้าหญิงของงานเป็นพี่”

    “เจ้าหมายความว่าไง” ข้ารี่ตามองเขาอย่างงงงวย

    “ก็ทุกคนที่นี่คิดว่าท่านพี่คือควีนของครีซอลเรด”

    “แพททริเซีย” ข้าพ่นลมหายใจ ข้ารู้สาเหตุที่แฮตเตอร์ให้ข้าเงียบเสียงเพราะหากข้าพูดเจ้าพวกนั้นคงจะรู้ว่าข้าไม่ใช่นาง ข้าสลัดความคิดนั่นทิ้งไปก่อนแล้วพูดต่อ

    “ข้าหวังว่าเจ้าจะหาทางออกไว้” เขาหน้าซีดลงเล็กน้อยเมื่อข้าเอ่ยขึ้นทำให้ข้านิ่วหน้าอย่างหัวเสีย

    “ข้าข้าขอโทษ ข้ามัวแต่ตื่นเต้นเลยไม่ได้สังเหตุอะไรมาก”

    “เจ้าเด็กบื้อ” ข้าบีบแขนเขาแรงๆและเมื่อเขาจะส่งเสียงร้อง ข้าจึงถลึงตาใส่เขาอย่างดุดันเป็นที่รู้กันว่าหากมีเสียงใดๆเล็ดลอดจากปากเขาแล้วล่ะก็ สิ่งที่ข้าจะทำมันเจ็บยิ่งกว่าแรงบีบมือที่ข้ากำลังทำอยู่แน่นอน

    “ตอนนี้ทุกคนไม่รู้เวลาที่แน่นอนและข้าเป็นคนสุดท้ายของกลุ่มที่ได้เต้นกับท่าน เพราะงั้นหลังจากนี้จะมีคนเข้ามาแย่งเต้นรำกับท่าน”

    “เจ้าจะสื่ออะไรกับข้าเดฟ”

    “ข้ากำลังจะบอกว่า ข้ารู้ตัวว่าจะต้องเต้นรำกับพี่ในช่วงที่ระฆังดัง ไม่อย่างนั้นพี่จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้หากไม่ใช่ข้า แต่ข้ามีโอกาสน้อยมากที่จะได้เต้นรำกับพี่เพราะข้าคงแย่งกับใครเขาไม่ทัน อย่างน้อยพี่ต้องช่วยมองหาข้าด้วยเช่นกัน ข้าจะพยายามยื่นมือไปหาพี่ให้จำนวนครั้งมากที่สุดเท่าที่ข้าทำได้” เดฟดูมั่นใจในแผนการของตัวเองมาก ซึ่งข้าก็ไม่มีทางที่จะปัดความเป็นไปได้ของแผนนี่ออกไป

    “ตกลง ข้าจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะได้เต้นรำกับเจ้าในช่วงที่ระฆังดัง” และเมื่อข้าพูดจบ ข้าก้ต้องหมุนตัวออกจากเขาเพื่อเปลี่ยนคู่เต้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×