ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Oh...My....GOD

    ลำดับตอนที่ #93 : ---เมือง นีนีเวห์ >จากพระธรรมโยนาห์

    • อัปเดตล่าสุด 10 มิ.ย. 57


    เมืองนีนะเวห์(Nineveh)










































     




    พระธรรมโยนาห์


    พระธรรมโยนาห์เป็นพระธรรมที่ท้ายมักเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีกให้ลูกๆฟังก่อนนอน
    มันเป็นเรื่องที่เด็กๆนั่งฟังอย่างมีความสุข เขาพยายามนึกภาพว่า จะเป็นยังไงถ้าได้อยู่ในท้องปลาจริงๆ 


    แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า คริสเตียนเราเกือบทุกๆคน มักจะมีมุมมองจากพระธรรมโยนาห์ในเรื่อง "การหนีการทรงเรียกของพระเจ้า" แต่หนียังไงก็หนีพระเจ้าไม่พ้น ไม่มีใครหนีพระเจ้าพ้นได้

    นั้นคือมุมมองที่เราเรียนรู้กันมาโดยตลอด หลายครั้งที่ท้ายได้ยินคำพูดเหล่านี้ “อย่าหนีการทรงเรียกอย่างโยนาห์”
    “จะให้พระเจ้าตีสอนอย่างโยนาห์ก่อนหรือถึงจะกลับใจ/ถึงจะยอมทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า”

    คำพูดเหล่านั้นทำให้ท้ายคิดอยู่หลายครั้งว่า ถ้าคิดถึงโยนาห์ทำไมมีแต่เรื่องแบบนี้นะ

    โยนาห์ไม่มีดีเลยหรือ?

    ถ้าเขาไม่มีดี ทำไมพระเจ้าถึงบันทึกเรื่องของโยนาห์เอาไว้ในพระคำของพระองค์ล่ะ

    หลายครั้งที่ท้ายแค่คิดแล้วมันก็ผ่านไป
    แต่เมื่อถึงเวลาที่พระเจ้าจะเปิดเผยให้ท้ายได้รู้ 
    พระเจ้าก็เปิดเผยมาซะอย่างงั้นโดยที่ตัวท้ายเองก็ไม่ได้ตั้งตัว

    ตัวอักษรที่ท้ายจะเขียนต่อไปนี้
    เป็นการที่
    ท้ายอยากให้พี่น้องมองในมุมกลับในพระธรรมโยนาห์ ท้ายได้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเหล่านี้

    ในคืนวันหนึ่ง ขณะที่ท้ายนั่งเล่าเรื่องโยนาห์ให้ลูกๆฟังก่อนนอนเหมือนอย่างเคยๆ
    ท้ายไม่รู้ว่า คืนนั้น ท้ายเอาคำพูดเหล่านั้นมาจากไหน? ไม่รู้ว่าพี่น้องเคยเป็นไหม? เวลาเราพูดคุยกับใครคนหนึ่ง อยู่ๆก็มีคำพูดที่เราเองก็ทึ่งเหมือนกัน 

    ท้ายไม่อยากให้ถ้อยคำเหล่านั้นจางหายไป โดยไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรต่อผู้รับใช้พระเจ้าเลย
    ท้ายไม่อยากให้ความรัก ความเมตตาของพระองค์ถูกลืมเลือนไป เพราะเรื่องราวที่น่าทึ่งของการรับใช้ของโยนาห์

     

    ในมุมมองของตัวโยนาห์เองท้ายเข้าใจในความเป็นมนุษย์คนบาปของโยนาห์

    โยนาห์ก็เหมือนๆกับเราหลายๆคนที่อยู่ในโลกใบนี้ มีบางครั้งบางเวลาเราก็เป็นเหมือนโยนาห์ อย่างไม่รู้ตัว

    ในยุคสมัยของโยนาห์นั้น เมืองนีนะเวห์เป็นเมืองที่มีชื่อเสียง รุ่งเรืองในสมัยนั้น

    นีนะเวห์เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรที่เรียกว่า อัสซีเรีย แต่จุดเด่นของทหารอัสซีเรียคือความโหดเหี้ยมของเหล่าทหาร

    การฆ่า ล่า เผา และทำลาย เรียกได้ว่ายกศึกไปตีบ้านเมืองไหน บ่นเมืองนั้นราบเป็นหน้ากอง

    ประชาชนในเมืองในนั้นๆถูกฆ่าอย่างป่าเถื่อนแม้แต่เชลยที่เขานำกลับไปเมืองหลวงก็เป็นที่กล่าวขานถึงความน่ากลัวและสยดสยอง

     ทหารของอัสซีเรียได้ถูกตั้งฉายามากมาย เช่น “นักรบสิงโตผู้เป็นนักล่า” หรือ “ฝูงสิงโตแห่งผู้ล่า” เป็นที่น่าเกรงกลัวของทุกแคว้นทุกชนชาติในขณะนั้น  ชาวยิวหรือชาวอิสราเอลเรียกทหารของอัสซีเรียว่า “นักล่า” และเรียกนครนีนะเวห์ว่า “เมืองแห่งเลือด”

    ทุกแผ่นดินในขณะนั้นไม่มีใครกล้าต่อกรกับทหารอัสซีเรีย อาณาจักรอัสซีเรียจึงเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมากในสมัยนั้น


    มีบันทึกของทหารอัสซีเรียในสมัยนั้นถึงการกระทำของเขาต่อเชลยที่เขาพากลับมาเมืองนีนะเวห์ว่า

    เขาได้ฆ่าเชลยผู้ชายแล้วถลกผิวหนังของเชลยผู้นั้นขึงเอาไว้กับเสาเมือง

    เขาได้เผาเชลยชายหญิงทั้งเป็น ก่อนเผาเขาได้ตัดชิ้นส่วนของ ขา แขน หัว นิ้ว จมูก หู ออกจากร่างกาย

    บางคนก็ตายบางคนก็ไม่ตาย แล้วก็เผา เขาได้สร้างปิรามิดด้วยหัวกะโหลกของเหล่าเชลยที่ถูกเผา

     เขาได้สร้างเสาต้นหนึ่งขึ้น เอาไว้ห้อยศรีษะของเหล่าเชลยที่เขานำกลับมายังนีนะเวห์

    เชลยบางคนก่อนตาย ถูกตะขอเกี่ยว ที่ปาก หู จมูก และถูกคว้กลูกกะตา ถ้าถูก เชือดหรือตัด แขน ขา นิ้ว หู จมูกออกจากกัน บางคนถูกตัดศรีษะ และนำศรีษะไปห้อยเอาไว้


    ตามถนนหนทางของเมืองเต็มไปด้วยซากศพของเหล่าเชลย เรื่องโหดเหี้ยมเป็นเรื่องธรรมดาๆ

    และความเคยชินของชาวเมืองนีนะเวห์

     

    โยนาห์อยู่ในยุคสมัยของอิสราเอลค่อนข้างจะรุ่งโรจน์
    ชาวอิสราเอลจึงอยู่สุขสบายจนเคยชิน
    มีพี่น้องที่รักพระเจ้าห้อมล้อม
    มีสังคมที่น่าอยู่ภายใต้การทรงนำของพระเจ้า
    ชีวิตในชุมชนอิสราเอลช่างสงบสุข
    เป็นชนชาติที่ในช่วงเวลานั้นใครๆก็รู้จักพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ของอิสราเอล

    ไม่แตกต่างอะไรกับอาณาจักรอัสซีเรียซึ่งมีเมืองหลวงคือเมืองนีนะเวห์ ต่างก็รุ่งเรืองไม่แพ้กัน

    เป็นการดีที่ โยนาห์ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าในขณะนั้นได้รับคำพยากรณ์จากพระเจ้าถึงการล่มสลายของอัสซีเรีย

    ผู้ที่คนอิสราเอลในขณะนั้นถือว่าเป็นศัตรูผู้ยิ่งใหญ่

    ถ้าอัสซีเรียล่มจมลง ก็จะเป็นผลดีมากๆของชนชาติอิสราเอล

    ด้วยเหตุนี้ ท้ายจึงพอเข้าใจในความเป็นมนุษย์คนบาปของ โยนาห์คือเขาไม่อยากประกาศให้แก่พวกที่ถือว่าหนามของอิสราเอล

    ตัวเขาเองไม่อยากประกาศแก่ชนชาติที่มีความชั่วร้ายและโหดเหี้ยม พวกที่มีความบาปเยอะๆ อยากให้คนป่าเถื่อนเช่นนั้นตายๆไปซะ

    บางครั้งเราก็เป็นโยนาห์น้อยๆ เมื่อพระเจ้าบอกให้เราประกาศ เรากลับมองคนบาปด้วยหางตาของเรา และลำพึงในจิตใจตนเองว่า “คนชั่วอย่างนี้ให้ตายๆไปซะได้ก็ดี”

     บางครั้งเราเห็นพฤติกรรมชั่วๆของบางคน เรายังแอบคิดว่า
    คนแบบนี้น่าจะตกนรกไปซะก็ดี

    บางครั้งเราเห็นข่าวรายวันที่พาดหัวข่าวที่น่าสะอิดสะเอียนเราก็หลงเปิดปากไปว่า “พระเจ้าขอให้พวกชั่วๆแบบนี้ตายไปซะ หนักแผ่นดิน”หรืออาจจะมีแว๊บหนึ่งของความคิดเข้ามา


    จนเราต้องเพลิดถอนลมหายใจของเรา

    ยกตัวอย่างเช่นบางครั้งเราเห็นคนข้างบ้านเรากินเหล้าเมาตีลูก ตีเมียทุกวัน เราก็ไม่อยากยุ่งด้วย ได้แต่สาปแช่งผู้ชายคนนั้นในจิตใจของตนเอง
     

    แต่ถ้าวันหนึ่งพระเจ้าบอกให้เราเดินไปประกาศคนบาปนั้นล่ะ

    ถ้าพระเจ้าบอกว่าพระเจ้ารักเขาและอยากให้เราเป็นพรพาเขาออกมาจากความชั่วร้ายนั้น ให้เราพาเขามาพบความรอด ให้เราไปเป็นกระบอกเสียงของพระเจ้าเพื่อบอกให้เขากลับใจใหม่

     

     

     

     

    ท่านจะทำไหม?

    ในบางครั้งเราก็ทนกับพฤติกรรมของคนบาปที่เราเห็นอยู่บ่อยๆไม่ได้ และรู้สึกชาชินและคิดไปเองว่า ถึงประกาศไปคนอย่างเขาก็ไม่มีวันกลับใจหรอก"

    และคำตัดสินของเรานั้นมันทำให้เราทำตัวนิ่งเฉยกับคนเหล่านั้น

     

    โยนาห์ไม่ได้เป็นคนที่แตกต่างจากเราเลย
    เขามีเลือดมีเนื้อ  มีอารมณ์ มีความรู้สึกเช่นเดียวกับเราทั้งหลาย  

    ถ้าวันหนึ่งมีคนบอกให้เราไปประกาศเผ่ามนุษย์กินคน  ฆ่า ตัดแขน ตัดขา เอาลูกกะตาของเราไปต้มซุปกิน เราจะไปไหม
    ?  


    นั้นเป็นข้อคิดที่ดี

    ที่พระเจ้าทำให้ท้ายเข้าใจในความเป็นโยนาห์ เขาอาจจะกลัว กลัวความตาย

    กลัวของโหดเหี้ยมของทหารแห่งนครนีนะเวห์
    เขากลัวว่าเขาอาจจะเอาชีวิตไปทิ้งอย่างอนาทในเมืองนั้น
    ตายแบบให้ร่างของตนถูกนกกาจิกเนื้อกิน

    กลัวคนป่าเถื่อนพวกนั้น
    ยิ่งกว่านั้น เขาอาจจะรู้สึกขยะแขยงคนบาปเหล่านั้นไม่อยากยุ่งด้วย

    เป็นการดีเสียอีกที่คนเหล่านั้นจะตายๆไปซะ
    เขาเริ่มมีความเห็นแก่ตัว
    โยนาห์เห็นผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่ชนชาติอิสราเอลจะได้รับ
    ถ้าพระเจ้าทำลายพวกอัสซีเรีย


    โยนาห์เป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า
    ท้ายเข้าใจดีว่าการเป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้านั้นต้องรับผิดชอบในคำพูดมากเพียงใด(ส่วนตัวท้ายมีของประทานเผยพระวจ) 

    เพราะทุกคำพูดของเราหมายถึง จิตวิญญาณของคนที่ได้รับฟัง ถ้าพระเจ้าให้พูดเราต้องพูด

    ไม่อย่างนั้นโลหิตจะตกอยู่ที่เรา
    ผู้เผยพระวจนะอยู่ในสถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
    เราต้องพร้อมที่จะเป็นภาชนะให้พระเจ้าใช้ตลอดเวลา

    แม้ว่าถ้อยคำที่พระเจ้าให้พูดนั้น
    มันจะไม่ตรงกับความคิดของเรา
    แม้ว่าคำพูดเหล่านั้นจะไม่ชอบใจเราเท่าไร
    ไม่ว่าในสถานการณ์ใด
    ถ้าพระเจ้าใช้ เรามีสิ่งเดี๋ยวที่ต้องทำคือการตอบสนองสิ่งนั้น
    เราต้องยอมรับการทรงนำของพระเจ้าในทุกทาง

    เราไม่มีทางเลือก และไม่สามารถหลบหนีได้เลย

    ท้ายรู้ว่า โยนาห์รู้คุณสมบัติข้อนี้ดีในการเป็นผู้เผยพระวจนะพระเจ้า เราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่พระเจ้าบอกกับเรา
    เราต้องสื่อสารสิ่งที่พระเจ้าสื่อสารกับเรา
    ต่อคนที่พระเจ้าอยากสื่อสารด้วย


    บางครั้งแม้เราเองก็รู้ว่า คนคนนั้นที่เราจะไปพูดคุยด้วยนั้นมีนิสัยแบบไหน หวีนและเหวี่ยงแค่นั้น แต่ถ้าพระเจ้าใช้เราก็ต้องก้าวไปข้างหน้า

    มีบางครั้งท้ายรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้จากพระเจ้า มันทำให้ท้ายต้องมานั่ง และขอพระเจ้าให้ท้ายถอยกลับมาตั้งหลักก่อนได้ไหม
    ท้ายจำไม่ได้ว่าท้ายอธิษฐานของความกล้าหาญไม่รู้กี่ครั้ง
    คือมันเยอะมากๆ

    บางครั้งผู้เผยพระวจนะก็เป็นเช่นนี้ อยากหนีจากความจริงบางอย่างที่พระเจ้าให้เราได้ล่วงรู้ 

    เมื่อเราคิดอะไรหนักๆ เราก็อยากหนีไปไกลๆ เช่นกันใช่ไหม
    ?คะ

    เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งที่เราต้องตัดสินใจ เพื่อพระเจ้า หรือเพื่อตนเอง ตามใจพระเจ้า หรือตามใจตนเอง



    ในส่วนตัวท้ายแล้ว  ท้ายยังคิดอยู่ว่า  ถ้าในสถานการณ์นั้นเกิดขึ้นกับท้าย ท้ายอาจจะหนีไปเหมือนโยนาห์ก็ได้ เหอๆ แบบว่าท้ายกล้ว!!!นี่คะ >//< กลัว...เหลือเกิน >//< กลัวพวกทหารนีนะเวห์จะคิดว่า ท้ายเป็นเชลยคนหนึ่ง แล้วจับไปฆ่าเสีย พูดแล้ว บรือ!!! ขนลุก 555  ท้ายคิดยังงั้นจริงๆนะคะ



     โยนาห์ก็แค่อยากเชื่อพระเจ้า และมีชีวิตที่สงบเท่านั้นเขาเป็นเพียงคนธรรมดาๆคนหนึ่ง เหมือนๆกับเรา  



    สิ่งหนึ่งที่ท้ายเห็นคือ ....
    "พระเจ้าใช้คนขี้ขลาด อย่างโยนาห์" "
    พระเจ้าใช้คนเห็นแก่ตัว อย่างโยนาห์"
    พระเจ้าเลือกใช้คนธรรมดาๆ เหมือนอย่างเราๆ

    พระองค์ไม่ได้เลือกคนที่คิดว่าตนกล้าหาญแล้ว
    พระเจ้าไม่ได้ใช้คนที่พร้อมทั้งกาย ทั้งจิตใจ

    แต่พระเจ้าเลือกใช้คนแบบเราๆ
    เลือกใช้คนที่ขี้ขลาด คนขี้กลัว
    พระองค์ทรงรักคนบาปอย่างเรา
    พระองค์รู้และเข้าใจในความอ่อนแอของเราทุกคน

    พระองค์ทรงเข้าใจในความเป็นโยนาห์
     พระองค์จึงทรงใช้เขา แม้เขาหนีไป  
    พระองค์ทรงเข้าใจในความหวาดกลัวและความอ่อนแอของโยนาห์

    พระองค์จึงไม่ทรงเปลี่ยนพระทัยในการเรียกใช้โยนาห์

    โยนาห์มีส่วนดีที่พระเจ้าทรงใช้เขาได้
    ดูจากพระธรรมโยนาห์
    1:9-12 โยนาห์มีจิตสำนึกชอบ การขลาดกลัวของเขาทำให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะเขาเอง นับว่าโยนาห์เป็นคนที่มีจิตใจดีไม่น้อย ลึกๆแล้ว โยนาห์เองมีส่วนดีที่พระเจ้าทรงใช้เขาได้ 


    เราทุกคนในพระคริสต์มีส่วนดีที่พระเจ้าทรงใช้เราได้
    พระเจ้าได้เปรียบเทียบเราทั้งหลายที่อยู่คริสตจักรเป็นเหมือน อวัยวะของพระเจ้า

    คนหนึ่งเป็น แขน คนหนึ่งเป็นขา คนหนึ่งเป็นหู เป็นตา แต่เรามีพระคริสต์เป็นศรีษะของเรา

    นั้นหมายความว่า เราแต่ละคนแตกต่างกัน พระเจ้าใช้เราได้แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดนั้นก็เพื่อเสริมสร้างซึ่งกันและกัน 


    ท้ายได้เรียนรู้ว่า พระเจ้าไม่ได้โหดร้ายกับโยนาห์
    ที่โยนโยนาห์ลงทะเล และให้อยู่ในท้องปลา
    แต่ทั้งหมดนั้นเพราะพระองค์ทรงรักโยนาห์ต่างหาก
    พระองค์ทรงกระทำภารกิจของพระองค์ไปพร้อมๆ
    กับสั่งสอนคนของพระองค์ให้ดีในทางธรรมมากขึ้น

    พระองค์ทรงพระเมตตาสอนโยนาห์ทั้งๆที่พระองค์จะตัดโยนาห์ออกจากการเป็นผู้รับใช้
    หรือในความเป็นพระองค์ที่ทรงยิ่งใหญ่ พระองค์จะทรงใช้ใครคนใหม่ไปแทนโยนาห์ก็ได้

    และท้ายรู้ว่าโยนาห์รู้จักข้อนนี้ดีว่า ถ้าเราคนใดคนหนึ่งที่เป็นผู้เผยพระวจนะถ้าพระเจ้าใช้แล้วไม่ทำ พระเจ้าจะเปลี่ยนไปใช้อีกคนแทน

    แต่พระเจ้าไม่ได้กลับพระทัยที่จะใช้โยนาห์ พระองค์ทรงมีพระเมตตาคุณ ทรงตั้งโยนาห์ให้เป็นผู้ประกาศแก่นีนะเวห์ฉันใด พระองค์ก็ทรงตั้งพระทัยมั่นคงอย่างนั้น พระองค์ทรงรู้และเข้าใจในความบาปของผู้รับใช้ของพระองค์


    พระองค์จึงติดตามเขาไปทุกทที่ทุกแห่ง ท้ายเชื่อแน่ว่าพระองค์มีแผนการอันดีต่อโยนาห์ และพระองค์ทรงตั้งโยนาห์ให้นำความรอดไปสู่คนเมืองนีนะเวห์และพระองค์ทรงกริ้วช้า และทรงพระเมตตา สอนโยนาห์ให้เขาไปด้วยความเต็มใจของเขาเอง

    พระองค์ทรงให้โยนาห์ถูกโยนลงในทะเลที่เกรี้ยวกราด
    คนหนึ่งคนจะต้านทานคลื่นทะเลได้นานแค่ไหน
    ถ้าเขาไม่จมลงในที่สุด พระองค์ทรงสอนโยนาห์ให้ “กลัว”  ในสื่งที่ควรกลัว ในพระธรรมมัทธิว
    10:28 กล่าวว่า “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กายแต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวองค์ผู้ทรงฤทธิ์ ที่จะให้ทั้งจิตวิญญาณทั้งกายพินาศในนรกได้”

    พระองค์ไม่ได้ขู่บังคับ โยนาห์ให้ทำพระราชกิจของพระองค์ แต่พระองค์ทรงสอนโยนาห์ ถึงความตายน่าสพรึกกลัวแค่ไหน 

    ในพระธรรมโยนาห์บทที่
    2 กล่าวถึงคำอธิษฐานของโยนาห์ โยนาห์เกือบจะตายเพราะคลื่นทะเล เขากำลังจมลง และจมลง และพระหัตของพระเจ้าก็มาช่วยกู้เขาด้วยการให้ปลามหึมากลืนเขาลงไป

    มันทำให้เขาขอบพระคุณพระเจ้าได้ในขณะนั้น


    และท้ายเชื่อว่าเหตุการณ์นั้นมันสอนอะไรบางอย่างกับโยนาห์ ในบางครั้งบางเวลาพระเจ้าก็ทรงกระทำให้เรายอมจำนนจนถึงที่สุด 

     โยนาห์
    2:9 ตอนท้ายๆกล่าวเอาไว้ว่า “ข้าพระองค์บนไว้อย่างไร ข้าพระองค์จะแก้บนอย่างนั้น การที่ช่วยกู้นั้นเป็นของพระเจ้า” จากประโยคนี้ มันทำให้รู้ว่า

    โยนาห์ตัดสินใจทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า คือไปกล่าวตักเตือนถึงโทษแห่งการกระทำชั่วของเขาชาวเมืองนีนะเวห์แม้ว่าเขาจะไม่ชอบใจตนเองมากนักก็ตาม


     ส่วนของโยนาห์เขาจะกระทำที่พระเจ้าทรงให้ทำแม้เขาจะไม่เต็มใจก็ตามที

    ส่วนของพระเจ้า ขอพระองค์ทรงกระทำเอง ขอให้การช่วยกู้นั้นเป็นของพระองค์


    ท่าทีภายในใจในตอนแรกที่โยนาห์ตัดสินใจหนี กับตอนที่ถูกปลาคายออกมานั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พระเจ้าไม่ได้ใช้คนที่ไม่เต็มใจที่จะกระทำ

    พระองค์ทรงสอนและอธิบายให้เราทั้งหลายรู้และเข้าใจก่อนที่จะกระทำสิ่งใดเพื่อพระองค์เสมอ

    มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่โยนาห์เรือของโยนาห์ถูกคลื่นทะเลพัดใส่อย่างหนัก

    จนต้องจับตัวเขาโยนลงทะเล และมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ปลามหึมาจะว่ายอยู่แถวๆที่โยนาห์จะจมน้ำ

    และที่สำคัญมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ปลายมาคายโยนาห์ออกที่เมืองนีนะเวห์

    ทุกอย่างชัดเจนว่านั้นคือฝีพระหัตร์พระเจ้า
    เพราะพระองค์ทรงรู้ว่าการที่เราทำอะไรเพื่อพระเจ้าโดยไม่เต็มใจนั้น จะไม่เกิดผลดีอันใดต่อเราเลย

    พระองค์จึงทรงสอนด้วยวิธีการของพระองค์ก่อนที่จะใช้เราไป

    พระองค์ทรงรู้ว่าถ้าทำด้วยความฝืนใจ ทุกอย่างจะนับไม่ได้ในสายพระเนตรพระเจ้า

    และเรื่องแบบนั้นโยนาห์ย่อมรู้ดี 

    โยนาห์เป็นคนที่รู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง เขาเรียนรู้จักพระเจ้าพระเยโฮวาของเขา
    ในพระธรรมโยนาห์ บทที่
    4:2 กล่าวว่า “ท่านจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า ข้าแต่พระเจ้า เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่ในประเทศของข้าพระองค์ข้าพระองค์พูดแล้วว่าจะเป็นไปเช่นนี้มิใช่หรือ นี่แหละเป็นเหตุให้ข้าพระองค์ได้รีบหนีไปยังเมืองทารชิช เพราะข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงกรอปด้วยพระคุณ และทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้า และบริบูนณ์ด้วยความรักมั่นคงและทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษ”

    นั้นหมายถึง โยนาห์เป็นคนที่พูดอะไรตรงๆกับพระเจ้าของเขาเสมอเขาเป็นคนที่บอกกล่าวถึงความรู้สึกของตนเองแด่พระเจ้า เมื่อเขาเปิดเผยทุกสิ่งในตัวเขา

    พระเจ้าก็ทรงเปิดเผยน้ำพระทัยของพระองค์ให้กับเขาเช่นกัน

    โยนาห์เป็นคนที่ค่อนข้างได้ยินเสียงของพระเจ้าชัดเจนนะท้ายว่า  

    เพราะในพระธรรมโยนาห์ตอนท้ายๆ จะเห็นได้ว่าเขาเปิดเผยความรู้สึกของเขาต่อพระเจ้าของเขา ไม่ว่าเขาคิดอะไรเขาก็จะแสดงออกอย่างนั้น

    เขาบอกพระเจ้าไปตรงๆว่าตนเองไม่ชอบเลยนะที่พระเจ้ากลับพระทัยอย่างนั้น

    นั้นคือส่วนดีของโยนาห์

      แสดงว่าพระเจ้ากับโยนาห์สนิทกันมาถึงขนาดพูดกันได้แบบกันเอง

    ในพระธรรมโยนาห์บทที่
    4 จะเห็นว่า โยนาห์ตัดท้อต่อว่าพระเจ้าของเขาแบบตรงไปตรงมา

    และพระเจ้าก็ทรงพระเมตตาในลูกแกะขี้งอน ลูกแกะขี้งอแง งี่เง่าอย่างโยนาห์ด้วยการอธิบาย

    พระองค์ทรงพระทัยเย็นและทรงเมตตาอธิบายน้ำพระทัยของพระองค์ผ่านต้นละหุ่ง

    ในเมื่อโยนาห์ยังรู้สึกเสียดายร่มเงาของต้นละหุ่งที่เขาไม่ได้ปลูกขึ้น แล้วพระเจ้าผู้ทรงสร้างมวลมนุษย์มา พระองค์ที่ทรงสร้างชาวนีนะเวห์ด้วยพระหัตร์ของพระองค์

    พระองค์ทรงรักสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง
    และพระองค์ทรงเห็นแก่คนจำนวนมากที่ต้องมาตายทั้งๆเขายังไม่รู้จักพระองค์เลย

    มันน่าเสียดายที่ใครๆหลายๆคนในโลกนี้ต้องมาตายไปโดยที่ไม่รู้จักความรักของพระเจ้าจริงไหมคะ
    ^^

    ไม่เพียงเท่านั้นคววามรักของพระองค์ยังรวมไปถึงสัตว์เลี้ยงทั้งหมดในเมืองนีนะเวห์ด้วย

    ทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมาตั้งแต่เริ่มต้นของโลกนี้ พระองค์ทรงนั่งลงใจเย็นๆและพยายามสื่อสารความในใจของพระองค์กับคนของพระองค์เสมอ

    ถ้ามองในมุมกลับกับพระคำตอนนี้

    จะเห็นว่า พระเจ้าน่ารัก พระองค์ทรง ง้อคนของพระองค์ได้อย่างน่ารัก และท้ายเชื่อเหลือเกินว่า โยนาห์จะต้องเข้าใจในน้ำพระทัยพระเจ้าในที่สุด

    ในมุมของโยนาห์ ท้ายเข้าใจโยนาห์มากขึ้น ไม่แปลกใจที่โยนาห์ยังอุส่าต์มาหาที่นั่งเสียใจนอกเมือง มานั่งบ่นท้อต่อว่าพระเจ้า

    เพราะเป็นไปได้สูงว่า ขณะที่เขาเดินประกาศไปทั่วเมืองนั้น เขาคงจะเห็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวไม่น้อย

    ในเมืองนีนะเวห์เป็นเมืองใหญ่ต้องใช้เวลาเดินถึงสามวันถึงจะทั่วถึง ดังพระธรรมโยนาห์ที่บันทึกเอาไว้ใน บทที่
    3:3  แต่ในข้อ 4 บอกว่า โยนาห์ตั้งต้นเดินแค่วันเดียว ^^ ฮ่าๆ

    คงเป็นวันเดียวที่ทัวร์นรกคนเป็นของโยนาห์ดีๆนี้เอง

    ท้ายให้พี่น้องนึกภาพตามนะคะ

    เดินไปตามถนนของเมืองกำแพงเมืองมีผิวหนังมนุษย์ผู้ชายที่ถูกถลกออกมาเปะ ปะ ประดับกำแพงเมืองไปทั่ว ต้นไม้ทุกต้นในตัวเมือง ออกลูก เป็นนิ้วมือคน บ้างก็เป็นแขน ขา ลูกกระตา หรือศรีษะของคน มันคงเป็นถนนที่น่ามองน่าดู เหอๆ  คิดแล้ว บรือ
    !!!! >//<

    และท้ายรู้ว่า พระเจ้าทรงรู้จักโยนาห์ ผู้ชอบชีวิตที่สงบสุขและสุขสบายอย่างโยนาห์แน่นอน ^^

    แม้โยนาห์จะไม่เต็มใจร้องประกาศไปทั่วเมืองนีนะเวห์เพราะสัญญากับพระเจ้าเอาไว้ แม้เขาจะทำลวกๆก็เถอะ แต่เขาก็ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

    แม้เขาจะไม่ชอบใจนักที่ต้องทำภารกิจนี้แต่เขาก็ทำ
    แม้ผลออกมาของการกระทำของเขาช่วยให้ชาวเมืองนีนะเวห์ได้รอด แต่นั้นก็ไม่ใช่ผลลัพที่โยนาห์ต้องการ

    โยนาห์เป็นผู้รับใช้ที่ท้ายทึ่งในการตัดสินใจของเข
    า เขาทำเพราะรักพระเจ้า
    เขาทำเพราะเขารู้จักพระเจ้าของงเขาที่เขาเชื่อ
    เขาทำเพราะพระเจ้าสั่ง
    เขาไม่ได้ตัดสินใจที่จะทำเพราะรักที่จะทำหรือเพราะชอบที่จะทำ เขาตอบสนองพระคำของพระเจ้าทั้งๆที่เขาไม่ชอบ เขาตอบสนองพระเจ้าทั้งๆที่เขารู้ว่าเขาต้องไปในดินแดนที่น่าสะพรึงกลัว

    ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด
    สุดท้าย
    โยนาห์ก็ตอบสนองพระเจ้า

    ท้ายรู้ว่าพระเจ้าก็รักโยนาห์
    และโยนาห์เป็นคนหนึ่งที่พระเจ้าชอบพอพระทัยเขามาก

    พระองค์จึงให้พระธรรมโยนาห์เป็นพระธรรมที่บันทึกเอาไว้ในพระคัมภีร์ของพระองค์

    หวังว่า มุมมองของท้ายในการมองพระธรรมโยนาห์ในมุมกลับนี้จะช่วยเป็นประโยชน์กับพี่น้องบ้าง

    ขอพระเจ้าอวยพระพรพี่น้องทุกท่านคะ
    ^___^  






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×