คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #93 : ---เมือง นีนีเวห์ >จากพระธรรมโยนาห์
พระธรรมโยนาห์
พระธรรมโยนาห์เป็นพระธรรมที่ท้ายมักเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีกให้ลูกๆฟังก่อนนอน มันเป็นเรื่องที่เด็กๆนั่งฟังอย่างมีความสุข เขาพยายามนึกภาพว่า จะเป็นยังไงถ้าได้อยู่ในท้องปลาจริงๆ
แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า คริสเตียนเราเกือบทุกๆคน มักจะมีมุมมองจากพระธรรมโยนาห์ในเรื่อง "การหนีการทรงเรียกของพระเจ้า" แต่หนียังไงก็หนีพระเจ้าไม่พ้น ไม่มีใครหนีพระเจ้าพ้นได้
นั้นคือมุมมองที่เราเรียนรู้กันมาโดยตลอด หลายครั้งที่ท้ายได้ยินคำพูดเหล่านี้ “อย่าหนีการทรงเรียกอย่างโยนาห์”
“จะให้พระเจ้าตีสอนอย่างโยนาห์ก่อนหรือถึงจะกลับใจ/ถึงจะยอมทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า”
คำพูดเหล่านั้นทำให้ท้ายคิดอยู่หลายครั้งว่า ถ้าคิดถึงโยนาห์ทำไมมีแต่เรื่องแบบนี้นะ
โยนาห์ไม่มีดีเลยหรือ?
ถ้าเขาไม่มีดี ทำไมพระเจ้าถึงบันทึกเรื่องของโยนาห์เอาไว้ในพระคำของพระองค์ล่ะ
หลายครั้งที่ท้ายแค่คิดแล้วมันก็ผ่านไป
แต่เมื่อถึงเวลาที่พระเจ้าจะเปิดเผยให้ท้ายได้รู้
พระเจ้าก็เปิดเผยมาซะอย่างงั้นโดยที่ตัวท้ายเองก็ไม่ได้ตั้งตัว
ตัวอักษรที่ท้ายจะเขียนต่อไปนี้
เป็นการที่ท้ายอยากให้พี่น้องมองในมุมกลับในพระธรรมโยนาห์ ท้ายได้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเหล่านี้
ในคืนวันหนึ่ง ขณะที่ท้ายนั่งเล่าเรื่องโยนาห์ให้ลูกๆฟังก่อนนอนเหมือนอย่างเคยๆ ท้ายไม่รู้ว่า คืนนั้น ท้ายเอาคำพูดเหล่านั้นมาจากไหน? ไม่รู้ว่าพี่น้องเคยเป็นไหม? เวลาเราพูดคุยกับใครคนหนึ่ง อยู่ๆก็มีคำพูดที่เราเองก็ทึ่งเหมือนกัน
ท้ายไม่อยากให้ถ้อยคำเหล่านั้นจางหายไป โดยไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรต่อผู้รับใช้พระเจ้าเลย
ท้ายไม่อยากให้ความรัก ความเมตตาของพระองค์ถูกลืมเลือนไป เพราะเรื่องราวที่น่าทึ่งของการรับใช้ของโยนาห์
ในมุมมองของตัวโยนาห์เองท้ายเข้าใจในความเป็นมนุษย์คนบาปของโยนาห์
โยนาห์ก็เหมือนๆกับเราหลายๆคนที่อยู่ในโลกใบนี้ มีบางครั้งบางเวลาเราก็เป็นเหมือนโยนาห์ อย่างไม่รู้ตัว
ในยุคสมัยของโยนาห์นั้น เมืองนีนะเวห์เป็นเมืองที่มีชื่อเสียง รุ่งเรืองในสมัยนั้น
นีนะเวห์เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรที่เรียกว่า อัสซีเรีย แต่จุดเด่นของทหารอัสซีเรียคือความโหดเหี้ยมของเหล่าทหาร
การฆ่า ล่า เผา และทำลาย เรียกได้ว่ายกศึกไปตีบ้านเมืองไหน บ่นเมืองนั้นราบเป็นหน้ากอง
ประชาชนในเมืองในนั้นๆถูกฆ่าอย่างป่าเถื่อนแม้แต่เชลยที่เขานำกลับไปเมืองหลวงก็เป็นที่กล่าวขานถึงความน่ากลัวและสยดสยอง
ทหารของอัสซีเรียได้ถูกตั้งฉายามากมาย เช่น “นักรบสิงโตผู้เป็นนักล่า” หรือ “ฝูงสิงโตแห่งผู้ล่า” เป็นที่น่าเกรงกลัวของทุกแคว้นทุกชนชาติในขณะนั้น ชาวยิวหรือชาวอิสราเอลเรียกทหารของอัสซีเรียว่า “นักล่า” และเรียกนครนีนะเวห์ว่า “เมืองแห่งเลือด”
ทุกแผ่นดินในขณะนั้นไม่มีใครกล้าต่อกรกับทหารอัสซีเรีย อาณาจักรอัสซีเรียจึงเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมากในสมัยนั้น
มีบันทึกของทหารอัสซีเรียในสมัยนั้นถึงการกระทำของเขาต่อเชลยที่เขาพากลับมาเมืองนีนะเวห์ว่า
เขาได้ฆ่าเชลยผู้ชายแล้วถลกผิวหนังของเชลยผู้นั้นขึงเอาไว้กับเสาเมือง
เขาได้เผาเชลยชายหญิงทั้งเป็น ก่อนเผาเขาได้ตัดชิ้นส่วนของ ขา แขน หัว นิ้ว จมูก หู ออกจากร่างกาย
บางคนก็ตายบางคนก็ไม่ตาย แล้วก็เผา เขาได้สร้างปิรามิดด้วยหัวกะโหลกของเหล่าเชลยที่ถูกเผา
เขาได้สร้างเสาต้นหนึ่งขึ้น เอาไว้ห้อยศรีษะของเหล่าเชลยที่เขานำกลับมายังนีนะเวห์
เชลยบางคนก่อนตาย ถูกตะขอเกี่ยว ที่ปาก หู จมูก และถูกคว้กลูกกะตา ถ้าถูก เชือดหรือตัด แขน ขา นิ้ว หู จมูกออกจากกัน บางคนถูกตัดศรีษะ และนำศรีษะไปห้อยเอาไว้
ตามถนนหนทางของเมืองเต็มไปด้วยซากศพของเหล่าเชลย เรื่องโหดเหี้ยมเป็นเรื่องธรรมดาๆ
และความเคยชินของชาวเมืองนีนะเวห์
โยนาห์อยู่ในยุคสมัยของอิสราเอลค่อนข้างจะรุ่งโรจน์
ชาวอิสราเอลจึงอยู่สุขสบายจนเคยชิน
มีพี่น้องที่รักพระเจ้าห้อมล้อม
มีสังคมที่น่าอยู่ภายใต้การทรงนำของพระเจ้า
ชีวิตในชุมชนอิสราเอลช่างสงบสุข
เป็นชนชาติที่ในช่วงเวลานั้นใครๆก็รู้จักพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ของอิสราเอล
ไม่แตกต่างอะไรกับอาณาจักรอัสซีเรียซึ่งมีเมืองหลวงคือเมืองนีนะเวห์ ต่างก็รุ่งเรืองไม่แพ้กัน
เป็นการดีที่ โยนาห์ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าในขณะนั้นได้รับคำพยากรณ์จากพระเจ้าถึงการล่มสลายของอัสซีเรีย
ผู้ที่คนอิสราเอลในขณะนั้นถือว่าเป็นศัตรูผู้ยิ่งใหญ่
ถ้าอัสซีเรียล่มจมลง ก็จะเป็นผลดีมากๆของชนชาติอิสราเอล
ด้วยเหตุนี้ ท้ายจึงพอเข้าใจในความเป็นมนุษย์คนบาปของ โยนาห์คือเขาไม่อยากประกาศให้แก่พวกที่ถือว่าหนามของอิสราเอล
ตัวเขาเองไม่อยากประกาศแก่ชนชาติที่มีความชั่วร้ายและโหดเหี้ยม พวกที่มีความบาปเยอะๆ อยากให้คนป่าเถื่อนเช่นนั้นตายๆไปซะ
บางครั้งเราก็เป็นโยนาห์น้อยๆ เมื่อพระเจ้าบอกให้เราประกาศ เรากลับมองคนบาปด้วยหางตาของเรา และลำพึงในจิตใจตนเองว่า “คนชั่วอย่างนี้ให้ตายๆไปซะได้ก็ดี”
บางครั้งเราเห็นพฤติกรรมชั่วๆของบางคน เรายังแอบคิดว่า “คนแบบนี้น่าจะตกนรกไปซะก็ดี”
บางครั้งเราเห็นข่าวรายวันที่พาดหัวข่าวที่น่าสะอิดสะเอียนเราก็หลงเปิดปากไปว่า “พระเจ้าขอให้พวกชั่วๆแบบนี้ตายไปซะ หนักแผ่นดิน”หรืออาจจะมีแว๊บหนึ่งของความคิดเข้ามา
จนเราต้องเพลิดถอนลมหายใจของเรา
ยกตัวอย่างเช่นบางครั้งเราเห็นคนข้างบ้านเรากินเหล้าเมาตีลูก ตีเมียทุกวัน เราก็ไม่อยากยุ่งด้วย ได้แต่สาปแช่งผู้ชายคนนั้นในจิตใจของตนเอง
แต่ถ้าวันหนึ่งพระเจ้าบอกให้เราเดินไปประกาศคนบาปนั้นล่ะ
ถ้าพระเจ้าบอกว่าพระเจ้ารักเขาและอยากให้เราเป็นพรพาเขาออกมาจากความชั่วร้ายนั้น ให้เราพาเขามาพบความรอด ให้เราไปเป็นกระบอกเสียงของพระเจ้าเพื่อบอกให้เขากลับใจใหม่
ท่านจะทำไหม?
ในบางครั้งเราก็ทนกับพฤติกรรมของคนบาปที่เราเห็นอยู่บ่อยๆไม่ได้ และรู้สึกชาชินและคิดไปเองว่า “ถึงประกาศไปคนอย่างเขาก็ไม่มีวันกลับใจหรอก"
และคำตัดสินของเรานั้นมันทำให้เราทำตัวนิ่งเฉยกับคนเหล่านั้น
โยนาห์ไม่ได้เป็นคนที่แตกต่างจากเราเลย
เขามีเลือดมีเนื้อ มีอารมณ์ มีความรู้สึกเช่นเดียวกับเราทั้งหลาย
ถ้าวันหนึ่งมีคนบอกให้เราไปประกาศเผ่ามนุษย์กินคน ฆ่า ตัดแขน ตัดขา เอาลูกกะตาของเราไปต้มซุปกิน เราจะไปไหม?
นั้นเป็นข้อคิดที่ดี
ที่พระเจ้าทำให้ท้ายเข้าใจในความเป็นโยนาห์ เขาอาจจะกลัว กลัวความตาย
กลัวของโหดเหี้ยมของทหารแห่งนครนีนะเวห์
เขากลัวว่าเขาอาจจะเอาชีวิตไปทิ้งอย่างอนาทในเมืองนั้น
ตายแบบให้ร่างของตนถูกนกกาจิกเนื้อกิน
กลัวคนป่าเถื่อนพวกนั้น
ยิ่งกว่านั้น เขาอาจจะรู้สึกขยะแขยงคนบาปเหล่านั้นไม่อยากยุ่งด้วย
เป็นการดีเสียอีกที่คนเหล่านั้นจะตายๆไปซะ
เขาเริ่มมีความเห็นแก่ตัว
โยนาห์เห็นผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่ชนชาติอิสราเอลจะได้รับ
ถ้าพระเจ้าทำลายพวกอัสซีเรีย
โยนาห์เป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า
ท้ายเข้าใจดีว่าการเป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้านั้นต้องรับผิดชอบในคำพูดมากเพียงใด(ส่วนตัวท้ายมีของประทานเผยพระวจ)
เพราะทุกคำพูดของเราหมายถึง จิตวิญญาณของคนที่ได้รับฟัง ถ้าพระเจ้าให้พูดเราต้องพูด
ไม่อย่างนั้นโลหิตจะตกอยู่ที่เรา
ผู้เผยพระวจนะอยู่ในสถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เราต้องพร้อมที่จะเป็นภาชนะให้พระเจ้าใช้ตลอดเวลา
แม้ว่าถ้อยคำที่พระเจ้าให้พูดนั้น
มันจะไม่ตรงกับความคิดของเรา
แม้ว่าคำพูดเหล่านั้นจะไม่ชอบใจเราเท่าไร
ไม่ว่าในสถานการณ์ใด
ถ้าพระเจ้าใช้ เรามีสิ่งเดี๋ยวที่ต้องทำคือการตอบสนองสิ่งนั้น
เราต้องยอมรับการทรงนำของพระเจ้าในทุกทาง
เราไม่มีทางเลือก และไม่สามารถหลบหนีได้เลย
ท้ายรู้ว่า โยนาห์รู้คุณสมบัติข้อนี้ดีในการเป็นผู้เผยพระวจนะพระเจ้า เราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่พระเจ้าบอกกับเรา
เราต้องสื่อสารสิ่งที่พระเจ้าสื่อสารกับเรา
ต่อคนที่พระเจ้าอยากสื่อสารด้วย
บางครั้งแม้เราเองก็รู้ว่า คนคนนั้นที่เราจะไปพูดคุยด้วยนั้นมีนิสัยแบบไหน หวีนและเหวี่ยงแค่นั้น แต่ถ้าพระเจ้าใช้เราก็ต้องก้าวไปข้างหน้า
มีบางครั้งท้ายรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้จากพระเจ้า มันทำให้ท้ายต้องมานั่ง และขอพระเจ้าให้ท้ายถอยกลับมาตั้งหลักก่อนได้ไหม
ท้ายจำไม่ได้ว่าท้ายอธิษฐานของความกล้าหาญไม่รู้กี่ครั้ง
คือมันเยอะมากๆ
บางครั้งผู้เผยพระวจนะก็เป็นเช่นนี้ อยากหนีจากความจริงบางอย่างที่พระเจ้าให้เราได้ล่วงรู้
เมื่อเราคิดอะไรหนักๆ เราก็อยากหนีไปไกลๆ เช่นกันใช่ไหม?คะ
เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งที่เราต้องตัดสินใจ เพื่อพระเจ้า หรือเพื่อตนเอง ตามใจพระเจ้า หรือตามใจตนเอง
ในส่วนตัวท้ายแล้ว ท้ายยังคิดอยู่ว่า ถ้าในสถานการณ์นั้นเกิดขึ้นกับท้าย ท้ายอาจจะหนีไปเหมือนโยนาห์ก็ได้ เหอๆ แบบว่าท้ายกล้ว!!!นี่คะ >//< กลัว...เหลือเกิน >//< กลัวพวกทหารนีนะเวห์จะคิดว่า ท้ายเป็นเชลยคนหนึ่ง แล้วจับไปฆ่าเสีย พูดแล้ว บรือ!!! ขนลุก 555 ท้ายคิดยังงั้นจริงๆนะคะ
โยนาห์ก็แค่อยากเชื่อพระเจ้า และมีชีวิตที่สงบเท่านั้นเขาเป็นเพียงคนธรรมดาๆคนหนึ่ง เหมือนๆกับเรา
สิ่งหนึ่งที่ท้ายเห็นคือ ....
"พระเจ้าใช้คนขี้ขลาด อย่างโยนาห์" "
พระเจ้าใช้คนเห็นแก่ตัว อย่างโยนาห์"
พระเจ้าเลือกใช้คนธรรมดาๆ เหมือนอย่างเราๆ
พระองค์ไม่ได้เลือกคนที่คิดว่าตนกล้าหาญแล้ว
พระเจ้าไม่ได้ใช้คนที่พร้อมทั้งกาย ทั้งจิตใจ
แต่พระเจ้าเลือกใช้คนแบบเราๆ
เลือกใช้คนที่ขี้ขลาด คนขี้กลัว
พระองค์ทรงรักคนบาปอย่างเรา
พระองค์รู้และเข้าใจในความอ่อนแอของเราทุกคน
พระองค์ทรงเข้าใจในความเป็นโยนาห์
พระองค์จึงทรงใช้เขา แม้เขาหนีไป
พระองค์ทรงเข้าใจในความหวาดกลัวและความอ่อนแอของโยนาห์
พระองค์จึงไม่ทรงเปลี่ยนพระทัยในการเรียกใช้โยนาห์
โยนาห์มีส่วนดีที่พระเจ้าทรงใช้เขาได้
ดูจากพระธรรมโยนาห์ 1:9-12 โยนาห์มีจิตสำนึกชอบ การขลาดกลัวของเขาทำให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะเขาเอง นับว่าโยนาห์เป็นคนที่มีจิตใจดีไม่น้อย ลึกๆแล้ว โยนาห์เองมีส่วนดีที่พระเจ้าทรงใช้เขาได้
เราทุกคนในพระคริสต์มีส่วนดีที่พระเจ้าทรงใช้เราได้
พระเจ้าได้เปรียบเทียบเราทั้งหลายที่อยู่คริสตจักรเป็นเหมือน อวัยวะของพระเจ้า
คนหนึ่งเป็น แขน คนหนึ่งเป็นขา คนหนึ่งเป็นหู เป็นตา แต่เรามีพระคริสต์เป็นศรีษะของเรา
นั้นหมายความว่า เราแต่ละคนแตกต่างกัน พระเจ้าใช้เราได้แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดนั้นก็เพื่อเสริมสร้างซึ่งกันและกัน
ท้ายได้เรียนรู้ว่า พระเจ้าไม่ได้โหดร้ายกับโยนาห์
ที่โยนโยนาห์ลงทะเล และให้อยู่ในท้องปลา
แต่ทั้งหมดนั้นเพราะพระองค์ทรงรักโยนาห์ต่างหาก
พระองค์ทรงกระทำภารกิจของพระองค์ไปพร้อมๆ
กับสั่งสอนคนของพระองค์ให้ดีในทางธรรมมากขึ้น
พระองค์ทรงพระเมตตาสอนโยนาห์ทั้งๆที่พระองค์จะตัดโยนาห์ออกจากการเป็นผู้รับใช้ หรือในความเป็นพระองค์ที่ทรงยิ่งใหญ่ พระองค์จะทรงใช้ใครคนใหม่ไปแทนโยนาห์ก็ได้
และท้ายรู้ว่าโยนาห์รู้จักข้อนนี้ดีว่า ถ้าเราคนใดคนหนึ่งที่เป็นผู้เผยพระวจนะถ้าพระเจ้าใช้แล้วไม่ทำ พระเจ้าจะเปลี่ยนไปใช้อีกคนแทน
แต่พระเจ้าไม่ได้กลับพระทัยที่จะใช้โยนาห์ พระองค์ทรงมีพระเมตตาคุณ ทรงตั้งโยนาห์ให้เป็นผู้ประกาศแก่นีนะเวห์ฉันใด พระองค์ก็ทรงตั้งพระทัยมั่นคงอย่างนั้น พระองค์ทรงรู้และเข้าใจในความบาปของผู้รับใช้ของพระองค์
พระองค์จึงติดตามเขาไปทุกทที่ทุกแห่ง ท้ายเชื่อแน่ว่าพระองค์มีแผนการอันดีต่อโยนาห์ และพระองค์ทรงตั้งโยนาห์ให้นำความรอดไปสู่คนเมืองนีนะเวห์และพระองค์ทรงกริ้วช้า และทรงพระเมตตา สอนโยนาห์ให้เขาไปด้วยความเต็มใจของเขาเอง
พระองค์ทรงให้โยนาห์ถูกโยนลงในทะเลที่เกรี้ยวกราด
คนหนึ่งคนจะต้านทานคลื่นทะเลได้นานแค่ไหน
ถ้าเขาไม่จมลงในที่สุด พระองค์ทรงสอนโยนาห์ให้ “กลัว” ในสื่งที่ควรกลัว ในพระธรรมมัทธิว 10:28 กล่าวว่า “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กายแต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวองค์ผู้ทรงฤทธิ์ ที่จะให้ทั้งจิตวิญญาณทั้งกายพินาศในนรกได้”
พระองค์ไม่ได้ขู่บังคับ โยนาห์ให้ทำพระราชกิจของพระองค์ แต่พระองค์ทรงสอนโยนาห์ ถึงความตายน่าสพรึกกลัวแค่ไหน
ในพระธรรมโยนาห์บทที่ 2 กล่าวถึงคำอธิษฐานของโยนาห์ โยนาห์เกือบจะตายเพราะคลื่นทะเล เขากำลังจมลง และจมลง และพระหัตของพระเจ้าก็มาช่วยกู้เขาด้วยการให้ปลามหึมากลืนเขาลงไป
มันทำให้เขาขอบพระคุณพระเจ้าได้ในขณะนั้น
และท้ายเชื่อว่าเหตุการณ์นั้นมันสอนอะไรบางอย่างกับโยนาห์ ในบางครั้งบางเวลาพระเจ้าก็ทรงกระทำให้เรายอมจำนนจนถึงที่สุด
โยนาห์ 2:9 ตอนท้ายๆกล่าวเอาไว้ว่า “ข้าพระองค์บนไว้อย่างไร ข้าพระองค์จะแก้บนอย่างนั้น การที่ช่วยกู้นั้นเป็นของพระเจ้า” จากประโยคนี้ มันทำให้รู้ว่า
โยนาห์ตัดสินใจทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า คือไปกล่าวตักเตือนถึงโทษแห่งการกระทำชั่วของเขาชาวเมืองนีนะเวห์แม้ว่าเขาจะไม่ชอบใจตนเองมากนักก็ตาม
ส่วนของโยนาห์เขาจะกระทำที่พระเจ้าทรงให้ทำแม้เขาจะไม่เต็มใจก็ตามที
ส่วนของพระเจ้า ขอพระองค์ทรงกระทำเอง ขอให้การช่วยกู้นั้นเป็นของพระองค์
ท่าทีภายในใจในตอนแรกที่โยนาห์ตัดสินใจหนี กับตอนที่ถูกปลาคายออกมานั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พระเจ้าไม่ได้ใช้คนที่ไม่เต็มใจที่จะกระทำ
พระองค์ทรงสอนและอธิบายให้เราทั้งหลายรู้และเข้าใจก่อนที่จะกระทำสิ่งใดเพื่อพระองค์เสมอ
มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่โยนาห์เรือของโยนาห์ถูกคลื่นทะเลพัดใส่อย่างหนัก
จนต้องจับตัวเขาโยนลงทะเล และมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ปลามหึมาจะว่ายอยู่แถวๆที่โยนาห์จะจมน้ำ
และที่สำคัญมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ปลายมาคายโยนาห์ออกที่เมืองนีนะเวห์
ทุกอย่างชัดเจนว่านั้นคือฝีพระหัตร์พระเจ้า
เพราะพระองค์ทรงรู้ว่าการที่เราทำอะไรเพื่อพระเจ้าโดยไม่เต็มใจนั้น จะไม่เกิดผลดีอันใดต่อเราเลย
พระองค์จึงทรงสอนด้วยวิธีการของพระองค์ก่อนที่จะใช้เราไป
พระองค์ทรงรู้ว่าถ้าทำด้วยความฝืนใจ ทุกอย่างจะนับไม่ได้ในสายพระเนตรพระเจ้า
และเรื่องแบบนั้นโยนาห์ย่อมรู้ดี
โยนาห์เป็นคนที่รู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง เขาเรียนรู้จักพระเจ้าพระเยโฮวาของเขา
ในพระธรรมโยนาห์ บทที่ 4:2 กล่าวว่า “ท่านจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า ข้าแต่พระเจ้า เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่ในประเทศของข้าพระองค์ข้าพระองค์พูดแล้วว่าจะเป็นไปเช่นนี้มิใช่หรือ นี่แหละเป็นเหตุให้ข้าพระองค์ได้รีบหนีไปยังเมืองทารชิช เพราะข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงกรอปด้วยพระคุณ และทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้า และบริบูนณ์ด้วยความรักมั่นคงและทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษ”
นั้นหมายถึง โยนาห์เป็นคนที่พูดอะไรตรงๆกับพระเจ้าของเขาเสมอเขาเป็นคนที่บอกกล่าวถึงความรู้สึกของตนเองแด่พระเจ้า เมื่อเขาเปิดเผยทุกสิ่งในตัวเขา
พระเจ้าก็ทรงเปิดเผยน้ำพระทัยของพระองค์ให้กับเขาเช่นกัน
โยนาห์เป็นคนที่ค่อนข้างได้ยินเสียงของพระเจ้าชัดเจนนะท้ายว่า
เพราะในพระธรรมโยนาห์ตอนท้ายๆ จะเห็นได้ว่าเขาเปิดเผยความรู้สึกของเขาต่อพระเจ้าของเขา ไม่ว่าเขาคิดอะไรเขาก็จะแสดงออกอย่างนั้น
เขาบอกพระเจ้าไปตรงๆว่าตนเองไม่ชอบเลยนะที่พระเจ้ากลับพระทัยอย่างนั้น
นั้นคือส่วนดีของโยนาห์
แสดงว่าพระเจ้ากับโยนาห์สนิทกันมาถึงขนาดพูดกันได้แบบกันเอง
ในพระธรรมโยนาห์บทที่ 4 จะเห็นว่า โยนาห์ตัดท้อต่อว่าพระเจ้าของเขาแบบตรงไปตรงมา
และพระเจ้าก็ทรงพระเมตตาในลูกแกะขี้งอน ลูกแกะขี้งอแง งี่เง่าอย่างโยนาห์ด้วยการอธิบาย
พระองค์ทรงพระทัยเย็นและทรงเมตตาอธิบายน้ำพระทัยของพระองค์ผ่านต้นละหุ่ง
ในเมื่อโยนาห์ยังรู้สึกเสียดายร่มเงาของต้นละหุ่งที่เขาไม่ได้ปลูกขึ้น แล้วพระเจ้าผู้ทรงสร้างมวลมนุษย์มา พระองค์ที่ทรงสร้างชาวนีนะเวห์ด้วยพระหัตร์ของพระองค์
พระองค์ทรงรักสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง
และพระองค์ทรงเห็นแก่คนจำนวนมากที่ต้องมาตายทั้งๆเขายังไม่รู้จักพระองค์เลย
มันน่าเสียดายที่ใครๆหลายๆคนในโลกนี้ต้องมาตายไปโดยที่ไม่รู้จักความรักของพระเจ้าจริงไหมคะ ^^
ไม่เพียงเท่านั้นคววามรักของพระองค์ยังรวมไปถึงสัตว์เลี้ยงทั้งหมดในเมืองนีนะเวห์ด้วย
ทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมาตั้งแต่เริ่มต้นของโลกนี้ พระองค์ทรงนั่งลงใจเย็นๆและพยายามสื่อสารความในใจของพระองค์กับคนของพระองค์เสมอ
ถ้ามองในมุมกลับกับพระคำตอนนี้
จะเห็นว่า พระเจ้าน่ารัก พระองค์ทรง ง้อคนของพระองค์ได้อย่างน่ารัก และท้ายเชื่อเหลือเกินว่า โยนาห์จะต้องเข้าใจในน้ำพระทัยพระเจ้าในที่สุด
ในมุมของโยนาห์ ท้ายเข้าใจโยนาห์มากขึ้น ไม่แปลกใจที่โยนาห์ยังอุส่าต์มาหาที่นั่งเสียใจนอกเมือง มานั่งบ่นท้อต่อว่าพระเจ้า
เพราะเป็นไปได้สูงว่า ขณะที่เขาเดินประกาศไปทั่วเมืองนั้น เขาคงจะเห็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวไม่น้อย
ในเมืองนีนะเวห์เป็นเมืองใหญ่ต้องใช้เวลาเดินถึงสามวันถึงจะทั่วถึง ดังพระธรรมโยนาห์ที่บันทึกเอาไว้ใน บทที่ 3:3 แต่ในข้อ 4 บอกว่า โยนาห์ตั้งต้นเดินแค่วันเดียว ^^ ฮ่าๆ
คงเป็นวันเดียวที่ทัวร์นรกคนเป็นของโยนาห์ดีๆนี้เอง
ท้ายให้พี่น้องนึกภาพตามนะคะ
เดินไปตามถนนของเมืองกำแพงเมืองมีผิวหนังมนุษย์ผู้ชายที่ถูกถลกออกมาเปะ ปะ ประดับกำแพงเมืองไปทั่ว ต้นไม้ทุกต้นในตัวเมือง ออกลูก เป็นนิ้วมือคน บ้างก็เป็นแขน ขา ลูกกระตา หรือศรีษะของคน มันคงเป็นถนนที่น่ามองน่าดู เหอๆ คิดแล้ว บรือ!!!! >//<
และท้ายรู้ว่า พระเจ้าทรงรู้จักโยนาห์ ผู้ชอบชีวิตที่สงบสุขและสุขสบายอย่างโยนาห์แน่นอน ^^
แม้โยนาห์จะไม่เต็มใจร้องประกาศไปทั่วเมืองนีนะเวห์เพราะสัญญากับพระเจ้าเอาไว้ แม้เขาจะทำลวกๆก็เถอะ แต่เขาก็ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
แม้เขาจะไม่ชอบใจนักที่ต้องทำภารกิจนี้แต่เขาก็ทำ
แม้ผลออกมาของการกระทำของเขาช่วยให้ชาวเมืองนีนะเวห์ได้รอด แต่นั้นก็ไม่ใช่ผลลัพที่โยนาห์ต้องการ
โยนาห์เป็นผู้รับใช้ที่ท้ายทึ่งในการตัดสินใจของเข
า เขาทำเพราะรักพระเจ้า
เขาทำเพราะเขารู้จักพระเจ้าของงเขาที่เขาเชื่อ
เขาทำเพราะพระเจ้าสั่ง
เขาไม่ได้ตัดสินใจที่จะทำเพราะรักที่จะทำหรือเพราะชอบที่จะทำ เขาตอบสนองพระคำของพระเจ้าทั้งๆที่เขาไม่ชอบ เขาตอบสนองพระเจ้าทั้งๆที่เขารู้ว่าเขาต้องไปในดินแดนที่น่าสะพรึงกลัว
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด
สุดท้าย
โยนาห์ก็ตอบสนองพระเจ้า
ท้ายรู้ว่าพระเจ้าก็รักโยนาห์
และโยนาห์เป็นคนหนึ่งที่พระเจ้าชอบพอพระทัยเขามาก
พระองค์จึงให้พระธรรมโยนาห์เป็นพระธรรมที่บันทึกเอาไว้ในพระคัมภีร์ของพระองค์
หวังว่า มุมมองของท้ายในการมองพระธรรมโยนาห์ในมุมกลับนี้จะช่วยเป็นประโยชน์กับพี่น้องบ้าง
ขอพระเจ้าอวยพระพรพี่น้องทุกท่านคะ ^___^
ความคิดเห็น