คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #81 : บทความน่าอ่าน "พระเยซูทรงทำอะไรบ้างตลอดชีวิตของพระองค์"
มันทำให้เห็นจริงๆว่า พระเยซูทำอะไรบ้างในชีวิตของพระองค์
(ใช้พระคัมภีร์อมตธรรมร่วมสมัย)
ขอบคุณพระเจ้า ตอนนี้เป็นช่วงแห่งการระลึกถึงวันสิ้นพระชนม์ และวันฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ถ้าไม่มีการสิ้นพระชนม์ ก็ไม่มีการฟื้น ถ้าไม่มีการฟื้น ก็ไม่มีฤทธิ์เดช ถ้าไม่มีการไถ่ของพระเยซูคริสต์ พวกเราเองก็ไม่ได้รับความรอด เพราะพระเยซูคริสต์ยอมตายบนไม้กางเขน เพื่อพวกเรา เราจึงได้รับความรอด เราขอบคุณพระเจ้า
ตอนที่พระเยซูคริสต์ได้เสด็จเข้ามาในโลกนี้ ได้รับการเจิม โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และได้รับใช้พระบิดา ที่พระองค์ได้ทรงใช้ให้พระเยซูคริสต์มาบังเกิด บนโลกนี้ เป็นคำสั่งที่เต็มไปด้วยความรัก และความเมตตาที่มีต่อมนุษย์ทุกคน ในระหว่าง 3 ปี พระเยซูคริสต์ได้รับใช้พระเจ้านั้น พระองค์ได้ทรงทำการอัศจรรย์หลายๆ อย่าง คราวนี้อยากจะเชิญพี่น้องมาดูกันว่า พระเยซูคริสต์ได้ทำอะไรให้พวกเราบ้าง
พี่น้องจำได้ไหมว่าพระเยซูคริสต์รักษาโรคให้คน เจ็บ คนป่วย คนใบ้ หูหนวกกี่ครั้ง พระเยซูคริสต์ได้ขับผีออกกี่ครั้ง พระเยซูคริสต์ได้ทำให้คนตายฟื้นขึ้นมากี่ครั้ง และทำการอัศจรรย์อื่นๆ หลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นให้น้ำเป็นเหล้าองุ่น หรือการเลี้ยงคนห้าพันและสี่พันคน นั่นเป็นสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทำ ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน และฟื้นขึ้นมาใหม่ ก่อนที่จะเสด็จขึ้นไปหาพระบิดา และอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดาบนสวรรค์ พระองค์ก็ยังทำการอัศจรรย์อีก นั่นหมายถึงว่าความรักของพระเยซูคริสต์ มีมากมายในชีวิตของเราแต่ละคน เราได้รับการเยียวยา ได้รับการอัศจรรย์จากพระเยซูคริสต์กี่ครั้ง ตั้งแต่เราเชื่อพระเจ้ามา หรือตอนที่ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้าก็ตาม เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่าง มาจากการช่วยเหลือที่มาจากพระองค์เท่านั้น เราจำได้ไหมพระเยซูคริสต์ช่วยเรากี่ครั้ง คงไม่ได้ เพราะว่าแต่ละวันมากมายเหลือเกิน
ผมจะยกเกี่ยวกับเรื่องการรักษาโรคก่อน
การรักษาโรคนั้น มีทั้งหมด 19 ครั้งที่รวบรวมมาได้
การรักษาโรคครั้งแรก พระเยซูทรงรักษาบุตรของข้าราชการ ที่เมืองคาเปอร์นาอูม ในยอห์น 4:46-52 ข้าราชการคนนี้ เป็นคนที่ไปตามพระเยซู และได้บอกว่าให้มารักษาลูกของเขาด้วย แต่พระเยซูบอกว่า “กลับไปเถอะ ลูกของท่านหายแล้ว” เมื่อข้าราชการคนนี้กลับถึงบ้าน บ่าวก็มาต้อนรับ แล้วบอกว่า “ลูกของท่านหายแล้ว” ข้าราชการคนนี้ก็ถามบ่าวว่า “หายเมื่อไร” บ่าวบอกว่า “ตอนบ่ายโมง” ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่พระเยซูคริสต์ ได้ตรัสสั่งกับข้าราชการคนนี้ว่า “กลับไปเถอะ ลูกของท่านหายแล้ว” พระเยซูคริสต์ได้รักษาโดยไม่ต้องไปอยู่ใกล้ๆ เพียงแต่ตรัส ทุกอย่างก็เป็นตามนั้น
การรักษาโรคครั้งที่ 2 คือการรักษาแม่ยายของเปโตร ในมัทธิว 8:15, มาระโก 1:31, ลูกา 4:39 พูดเรื่องเดียวกัน คือแม่ยายของเปโตรนอนป่วยอยู่ในบ้าน พระเยซูคริสต์เสด็จขึ้นไปวางมือ ในทันใดนั้น แม่ยายของเปโตรก็ลุกขึ้นมาหุงหาอาหาร จัดเตรียมอาหารให้พระเยซู
การรักษาโรคครั้งที่ 3 ที่ริมทะเลสาบกาลิลี มีผู้คนมาหาพระองค์มากมาย และเป็นโรคมากมาย พระองค์ทรงรักษาเขาให้หาย ในมัทธิว 15:29-31
การรักษาโรคครั้งที่ 4 รักษาคนโรคเรื้อน ในมัทธิว 8:3, มาระโก 1:40-41, ลูกา 5:12-14 ที่ได้ทรงรักษาโรคเรื้อน ปัจจุบันเราไม่มีโรคเรื้อนในโลกนี้แล้ว สมัยก่อนมีคนเป็นโรคเรื้อนมาก และเป็นโรคที่สังคมรังเกียจ คบค้าสมาคมก็ไม่ได้ มาเดินในตลาด ไปที่ชุมชนก็ไม่ได้ แต่พระเยซูก็ทรงรักษาโรคเรื้อนให้หาย
การรักษาโรคครั้งที่ 5 ทรงรักษาคนใช้ของนายร้อยให้หาย ที่เมืองคาเปอร์นาอูม ในมัทธิว 8:13, ลูกา 7:1-10 นายร้อยผู้นี้ตั้งใจมาหาพระเยซูคริสต์ บอกว่าช่วยไปรักษาคนใช้หน่อยเถอะ เขาเป็นง่อย ทุกข์เวทนามาก พระเยซูบอกว่า “เราจะไป” แต่นายร้อยบอกว่า “พระองค์ไม่ต้องเสด็จไปหรอก เพียงแต่พระองค์ทรงตรัสสั่ง เขาก็จะหาย” เพราะว่านายร้อยผู้นี้บอกว่าเขาเป็นนายร้อย จะสั่งอะไรในกองทหาร เขาก็จะทำตาม ดังนั้น เพียงแค่พระองค์ทรงตรัสเท่านั้น บ่าวของเขาก็จะหาย พระเยซูทรงเห็นว่านายร้อยผู้นี้มีความเชื่อมาก จึงตรัสสั่งให้คนรับใช้ของนายร้อยคนนี้ หายเป็นปกติ แล้วคนรับใช้นั้น ก็หาย
การรักษาโรคครั้งที่ 6 รักษาคนเป็นอัมพาต มีคนถามกันว่าคนที่เป็นอัมพาต เป็นอัมพาตเพราะความบาปของพ่อของแม่ หรือกรรมแต่ครั้งใด พระเยซูบอกว่าไม่ใช่เป็นความบาปของพ่อหรือแม่ แต่เป็นเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้า แสดงออกให้กับทุกคนได้เห็น ในมัทธิว 9:6, มาระโก 2:12, ลูกา 5:25
การรักษาโรคครั้งที่ 7 ทรงรักษาคนมือลีบ มัทธิว 12:13, มาระโก 3:5, ลูกา 6:10 คนมือลีบนี้เข้าไปนมัสการพระเจ้าอยู่ในธรรมศาลาของชาวยิว แล้ววันนั้นเป็นวันสะบาโต ซึ่งตามศาสนายิวนั้น ในวันสะบาโตจะไม่มีการทำงาน ไม่มีการทำอะไรทั้งสิ้น ได้แต่นั่งนมัสการพระเจ้าเฉยๆ ก็มีการถกเถียงกัน และมีการต่อว่าพระเยซู พวกฟาริสีก็ต่อว่าพระเยซูว่าหมิ่นประมาทพระเจ้า ทำไมมารักษาคนมือลีบในวันสะบาโต พระเยซูก็บอกว่า “ถ้าสัตว์ของท่านตกไปในบึง ในหนอง ในวันสะบาโต ท่านจะช่วยหรือเปล่า หรือจะปล่อยให้มันตาย”
การรักษาโรคครั้งที่ 8 ทรงรักษาผู้หญิงที่ตกเลือด ในมัทธิว 9:22, มาระโก 5:29, ลูกา 8:47 หญิงผู้นี้ตกเลือดมาเป็นเวลา 12 ปีแล้ว ได้ยินว่าพระเยซูคริสต์ สามารถรักษาให้หายโรคได้ ในระหว่างที่พระเยซู กำลังเดินไปที่บ้านของนายธรรมศาลาอีกคนหนึ่ง ที่จะไปรักษาลูกสาวของนายธรรมศาลา หญิงคนนี้ก็เดินตามเบียดเสียดกับผู้คนไป ผู้คนมาก แต่หญิงผู้นี้มีความเชื่ออย่างเดียวว่า ถ้าเขาได้แตะฉลองพระองค์ของพระเยซู เขาจะหาย เขาพยายามเบียดเสียดเข้าไป ซึ่งการเบียดไปนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีสาวกคอยดูแลป้องกัน แล้วต่างคน ก็ต่างจะเข้าไปหา แต่หญิงผู้นี้ ก็ไม่ได้ละความพยายาม เพราะมีความเชื่ออย่างเดียวว่า ขอให้ได้แตะฉลองพระองค์เท่านั้น เขาก็จะหายจากโรคที่เป็น เพราะเขาทุกข์ทรมานมา 12 ปีแล้ว เธอก็พยายามเข้าไป ระหว่างที่เธอไปแตะชายฉลองพระองค์ ของพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ก็รู้ทันที เพราะฤทธิ์เดชก็ซ่านออกมา พระเยซูคริสต์ถามว่า “ใครแตะต้องเสื้อของเรา”
เราอาจจะคิดว่ามีคนมากมาย พยายามจะแตะต้องพระองค์ทั้งนั้น แต่ทำไมพระองค์ถามว่า “ใครมาแตะต้องเสื้อเรา” เป็นเพราะว่าความเชื่อของหญิงผู้นี้ และโดยฤทธิ์เดชแห่งการรักษาของพระเจ้า ได้ผ่านมาทางพระเยซูคริสต์ หญิงนี้จึงหายจากโรคเลือดตก
การรักษาโรคครั้งที่ 9 พระองค์ทรงรักษาชายตาบอด 2 คน ใน มัทธิว 9:29-30 ชายตาบอด 2 คนทราบว่าพระเยซูมา แล้วก็เข้าไปในบ้านของสมาชิก ชายตาบอด 2 คนนี้ก็เดินเข้าไป แล้วก็ขอให้พระเยซูคริสต์ทรงรักษา พระเยซูคริสต์ก็ทรงรักษาเขาให้หาย
การรักษาโรคครั้งที่ 10 ทรงรักษาชายพิการมาแล้ว 38 ปี ใน ยอห์น 5:9 ชายพิการคนนี้ พิการมาแล้ว 38 ปี แล้วไปนอนรออยู่ที่สระเบธซาธา เพราะชาวยิวมีความเชื่อว่าเมื่อน้ำกระเพื่อม ถ้าเขาได้ลงไปในสระนั้นก่อน เขาจะได้รับการรักษาให้หาย แต่ชายผู้นี้พิการ เขาไม่สามารถจะคลานไป หรือเดินไปในสระ ตอนที่น้ำกระเพื่อม เพราะคนอื่นลงไปก่อนแล้ว แต่พระเยซูคริสต์เห็น ซึ่งที่สระเบธซาธานี้ มีศาลาอยู่ 3 หลัง จะมีคนง่อย คนป่วยเยอะแยะมากมาย แต่พระเยซูคริสต์เสด็จไปที่นั่น ไปรักษาคนนี้คนเดียว คนที่เป็นชายพิการ 38 ปีมาแล้ว แล้ววันนั้นเป็นวันสะบาโต ชายพิการคนนี้ ก็ได้รับการรักษาและยกแคร่ แล้วก็เดิน ทุกคนก็แปลกใจ
การรักษาโรคครั้งที่ 11 พระองค์ทรงรักษาคนโรคเรื้อน ในลูกา 15:22-26 นี่ก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่พระองค์ทรงรักษาโรคเรื้อนเขาให้หาย
การรักษาโรคครั้งที่ 12 ทรงรักษาคนหูหนวก พูดไม่ได้ ใน มาระโก 7:32-35 พระองค์ได้เอานิ้วยอนเข้าไปในหูและบ้วนน้ำลาย แล้วพระองค์ก็แตะน้ำลาย และไปแตะที่ลิ้นของคนๆ นี้ หูเขาก็ได้ยิน แล้วเขาก็พูดได้ แต่การกระทำของพระองค์นั้น เราอาจจะมองว่าทำไมรู้สึกไม่ค่อยน่ารักเลย แต่ในพระคัมภีร์บอกว่า พระองค์ได้นำเขาออกจากฝูงชน และได้ทำการรักษา โดยบ้วนน้ำลาย แล้วเอาไปแตะที่ลิ้น พระองค์ไม่ได้ทำอะไร เป็นสิ่งที่น่าเกลียดต่อชุมชน ออกไปเฉพาะ 2 ต่อ 2 นั่นหมายถึงการจำเพาะเจาะจง ที่พระองค์จะรักษาเขา
การรักษาโรคครั้งที่ 13 รักษาคนตาบอดที่เบธไซดา ในมาระโก 8:22-25 อันนี้ก็เหมือนกัน พาเขามา ออกจากชุมชน แล้วก็บ้วนน้ำลายไปที่ตาของคนนั้น อันนี้บ้วนน้ำลายไปที่ตา แล้วเขาก็หาย
การรักษาโรคครั้งที่ 14 รักษาชายตาบอดแต่กำเนิด ใน ยอห์น 9:1-7 พระองค์ทรงบ้วนน้ำลายลงไปที่ดิน แล้วก็จับเอาดินนั้น เอามาทาที่ตา เขาก็หาย มองเห็น อันนี้ก็เหมือนกัน พาออกไปจากชุมชน
การรักษาโรคครั้งที่ 15 ทรงรักษาผู้หญิงที่พิการมาแล้ว 18 ปี ใน ลูกา 13:11-13 ผู้หญิงคนนี้หลังโก่ง ยืดไม่ได้มา 18 ปี พระองค์ทรงรักษาเขา แล้วก็เป็นวันสะบาโต แน่นอนวันสะบาโตก็ต้องมีฟารีสี คอยต่อว่า แล้วก็ดูถูก หาว่าไม่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ แต่พระเยซูทรงทำ เพื่อผู้หญิงคนนี้
การรักษาโรคครั้งที่ 16 รักษาชายโรคท้องมาน ที่เป็นโรคท้องโต ในลูกา 14:2 รักษาในวันสะบาโตเหมือนกัน
การรักษาโรคครั้งที่ 17 รักษาคนเป็นโรคเรื้อน 10 คนให้หาย ใน ลูกา 17:12 แต่ทั้งหมด 10 คนถูกรักษาให้หายแล้ว มีคนเดียวเท่านั้น ที่เดินกลับมาสรรเสริญพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า ว่าเขาได้รับการรักษาแล้ว แต่อีก 9 คนหายแล้ว แต่ไม่ได้มาสรรเสริญ
การรักษาโรคครั้งที่ 18 รักษาชายตาบอด 2 คนนั่งอยู่ริมถนน ใน มัทธิว 20:30-34 นั่งอยู่ที่ริมถนน พอพระเยซูเดินผ่านมา ก็ตะโกนเรียก “โปรดรักษาข้าพระองค์ด้วย” ซึ่งแน่นอนพระเยซูไปที่ไหน คนก็จะล้อมรอบ และยืนรออยู่ข้างถนน พระองค์ก็ทรงรักษาชายตาบอดสองคนนี้ให้หาย
การรักษาโรคครั้งที่ 19 ในสวนเกทเสมนี ลูกา 22:51, ยอห์น 8:10-11 ตอนที่พระเยซูอธิษฐานอยู่ในสวนเกทเสมนี ยูดาส อิสคาริโอท ก็ได้นำพวกทหาร มาจับพระเยซูคริสต์ไปตรึงบนไม้กางเขน ในระหว่างที่จะเข้าไปจับพระองค์นั้น เปโตรซึ่งมีดาบ ก็ชักดาบออกมา แล้วก็ฟันไปที่หูข้างขวาของมาคัส ซึ่งเป็นทาสของปุโรหิตประจำการ พระเยซูคริสต์ก็บอกว่า “หยุดเถิด อย่าทำอะไรต่อไป” แล้วพระองค์ก็หยิบหูที่ขาดออก แล้วมาต่อให้กับมาคัส หูก็ต่อสนิท
นี่เป็นการอัศจรรย์ของพระเยซูคริสต์ ในการรักษาโรค ทั้งหมด 19 ชนิด
คราวนี้มาดูการอัศจรรย์ในการขับผีออก ของพระเยซูคริสต์
การขับผีออก ครั้งที่ 1 ชายที่ถูกผีเข้า ที่เมืองคาเปอร์นาอูม คนนี้ก็เข้ามานมัสการพระเจ้า อยู่ในธรรมศาลาเหมือนกัน อยู่ในลูกา 4:34-35 พี่น้องสังเกตเห็นไหมว่าผีมันก็เข้าคน แล้วก็เข้ามาในธรรมศาลาด้วย พระเยซูก็ขับผีออก ทั้งๆ ที่เป็นวันสะบาโต ในธรรมศาลา ก็ถูกต่อว่าอีก
การขับผีออก ครั้งที่ 2 พระองค์ทรงไล่ผีออกจากชาย 2 คนที่อยู่ในแดนกาดารา หรือ ว่าเกราซา ในมัทธิว 8:28-32, มาระโก 5:2-13, ลูกา 8:26-33 ในแดนกาดารานั้น มีชาย 2 คนที่ถูกผีเข้าอยู่ จนไม่มีใครกล้าเดินผ่านแถวนั้นเลย เวลาที่พระเยซูเดินผ่านไป ผีที่สิงอยู่ในชาย 2 คนนี้ก็บอกว่า “จะมาทำไม ท่านที่เป็นบุตรของพระเจ้า จะมาขับไล่เราก่อนถึงกำหนดหรือ!” แล้วก็บอกว่า “ที่ใกล้ๆ นั้นมีฝูงสุกรอยู่ ไหนๆ จะขับ ขอขับเข้าฝูงสุกรก็แล้วกัน” แล้วฝูงสุกรนั้น ก็กระโดดตกน้ำ แล้วชาย 2 คนนั้น ก็ได้ถูกปลดปล่อยจากการทรมานของผีตรงนี้ ในพระคัมภีร์เราเรียกผีนายกอง คือมีเป็นกองเลย พระองค์ทรงขับเขาออก
หลังจากที่พระองค์ทรงขับเขาแล้ว 2 คนนี้ก็เข้าไปในเมือง ประชาชนหลายคนก็ออกมา บอกว่า “จงไปที่อื่นเถิด” ก็หมายถึงว่าที่หมู่บ้านนี้ ผีทั้งนั้นเลย อย่าเข้ามาเลย ใช่ไหมครับ แต่ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอก ถ้าเป็นคนอย่างเราๆ เราอยากต้อนรับพระเยซู อยากเห็นพระเยซูทำการอัศจรรย์ขับผีออกได้ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครกล้าเดินผ่านแถวนั้น เราก็ต้องเชื้อเชิญใช่ไหม “ขอเชิญเข้ามาเถิด” แต่ในนี้บอกว่า “อย่าเข้ามาเลย ไปเถิด” เข้าใจใช่ไหมครับ
การขับผีออก ครั้งที่ 3 พระเยซูทรงขับผีออกจากคนที่เป็นใบ้ ใน มัทธิว 9:32-33 ซึ่งการขับผีออกจากคนใบ้นี้ พวกฟาริสีก็ต่อว่าพระเยซู หาว่าพระเยซูเป็นนายผี นายผีจึงขับลูกผีออก แล้วพระเยซูก็บอกว่าถ้าอาณาจักรใดทะเลาะกัน อาณาจักรนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน ก็ต้องพังพินาศ หมายความว่าพระเยซูไม่ได้เป็นนายผี ถ้าเป็นนายผี จะไปขับลูกผีออกทำไม นั่นคือสิ่งที่พระเยซูคริสต์กำลังจะบอกพวกฟาริสี
การขับผีออก ครั้งที่ 4 ขับผีออกจากลูกของหญิงคนหนึ่ง เป็นชาวคานาอัน ใน มัทธิว 15:22-28, มาระโก 7:25-30 หญิงผู้นี้มาขอร้องพระเยซูบอกว่า “ลูกของดิฉันมีผีเข้า ช่วยไปขับผีให้ด้วย” พระเยซูก็พูดกับนางว่า “ซึ่งจะเอาอาหารของลูกโยนให้สุนัขก็ไม่ควร” นั่นหมายถึงว่าหญิงผู้นี้เป็นชาวคานาอัน ไม่ใช่ยิว แต่ความเชื่อของหญิงผู้นี้ หรือความรักที่แม่มีต่อลูก จึงรีบตอบทันทีเลยว่า “จริงเจ้าค่ะ แต่สุนัขนั้นย่อมกินเดนที่ตกจากโต๊ะนายของมัน” หมายความว่ากินเดนที่นายไม่กินแล้ว พระเยซูก็ทรงเห็นว่าความเชื่อของหญิงผู้นี้มีมากมาย พระเยซูก็ทรงบอกว่า “ไปเถอะ ลูกของเจ้า ผีได้ออกไปแล้ว” ทั้งๆ ที่ลูกไม่ได้อยู่ตรงที่พระเยซูอยู่ แล้วลูกของหญิงผู้นี้ก็ได้รับการขับผีออกไป
การขับผีออก ครั้งที่ 5 พระเยซูคริสต์ได้ขับผีออกจากเด็กที่เป็นลมบ้าหมู ใน มัทธิว 17:14-18, มาระโก 9:17-27, ลูกา 9:38-42 ผีที่เข้าอยู่ในเด็กที่เป็นลมบ้าหมูนี้ สาวกได้ไปขับแล้ว ไม่ออก เด็กคนนี้เคยตกน้ำ ถูกไฟเผาบ่อยๆ เพราะว่าเวลาเป็นลมบ้าหมู ก็ไม่รู้ตัว ดิ้นไป ก็ตกน้ำด้วย ถูกไฟครอกด้วย สาวกขับไม่ออก ซึ่งพระเยซูบอกว่า “ผีอย่างนี้จะขับให้ออกไม่ได้เลย เว้นแต่โดยการอธิษฐานเท่านั้น”
การขับผีออก ครั้งที่ 6 ทรงขับผีออกจากคนที่ตาบอดและหูหนวก เป็นใบ้ ในมัทธิว 12:22, ลูกา 11:14 ตรงนี้พวกฟาริสีบอกว่าพระเยซูขับผีออก เพราะฤทธิ์อำนาจของนายผี
นั่นคือ 6 อัศจรรย์ในการขับผีออกของพระเยซูคริสต์ ที่ทรงทำเพื่อมนุษย์
มาดูว่าพระองค์ทรงทำให้คนตายฟื้น มีทั้งหมดกี่ครั้ง
ทำให้คนตายฟื้น ครั้งที่ 1 ทรงเรียกบุตรของแม่ม่าย ที่นาอินให้ฟื้น ในลูกา 7:11-15 ตอนที่พระเยซูเสด็จมาที่ประตูเมือง เขาหามศพมา พระเยซูเห็นแม่ม่ายนี้ ก็สงสาร พระเยซูก็เอามือไปวางที่โลงศพ แล้วก็เรียกให้ลูกของหญิงม่ายคนนี้ฟื้นขึ้นมา ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่า หญิงม่ายคนนี้มาขอร้องหรืออะไร แต่พระเยซูได้วางมือบนโลงศพ แล้วลูกของเขาก็ฟื้นขึ้นมา นั่นเราจะสังเกตเห็นว่าน้ำพระทัยของพระเจ้านั้น ทรงมีต่อผู้ใด พระองค์ก็จะทำกับผู้นั้น
ทำให้คนตายฟื้น ครั้งที่ 2 ทรงเรียกบุตรสาวของนายธรรมศาลา ชื่อไยรัส ในมัทธิว 9:23-25 เรียกว่าเป็นบุตรสาวของกรรมการ ในศาสนายิวก็แล้วกัน นายธรรมศาลาคนนี้ ก็เชื่อในฤทธิ์เดชของพระเยซูคริสต์ ตอนที่พระเยซูคริสต์ไปธรรมศาลานั้น ก็ขอให้ช่วยวางมือ เพราะว่าลูกสาวได้ตายไปแล้ว ขอให้ช่วยให้ฟื้นขึ้นมาด้วย พระเยซูก็ทรงทำ
ทำให้คนตายฟื้น ครั้งที่ 3 สิ่งที่เรารู้จักมากๆ และรู้จักอยู่ตลอด ก็คือทรงเรียกให้ลาซารัส ซึ่งเป็นน้องชายของมารีย์และมาธา ให้ฟื้นขึ้นจากตาย มารีย์คนที่นำน้ำหอมนารดา ไปชโลมพระบาทของพระเยซูคริสต์ แล้วก็ใช้ผมของเธอเช็ดเท้าของพระเยซูคริสต์ ลาซารัสคนนี้ตายไปแล้ว 4 วัน ก่อนที่จะตาย นางมารีย์ มาธาก็ให้คนไปบอกพระเยซูคริสต์ว่า “น้องจะตายแล้ว ช่วยมาเถิด” อยู่ในยอห์น 11:1-44 แต่พระเยซูคริสต์บอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก เขายังไม่ตาย” แล้วพระเยซูคริสต์ก็ทำการสอนคนอื่น ทำหน้าที่ในการรับใช้พระเจ้าไป จนกระทั่ง 4 วันล่วงไปแล้ว หลังจากที่ลาซารัสตาย ซึ่งลาซารัสก็ถูกมัด และก็ไปอยู่ในอุโมงค์ของคนตายแล้ว แล้วพระเยซูคริสต์ก็มา ซึ่งสาวกก็บอกว่า “เขาตายแล้วตั้ง 4 วัน จะไปรักษาอย่างไร” พระเยซูคริสต์บอกว่า “ไม่ได้ตายหรอก เขานอนอยู่” พระเยซูคริสต์ก็ไปที่หน้าอุโมงค์ แล้วก็เรียก “ลาซารัสออกมาเถิด” ลาซารัสก็เดินออกมา พร้อมกับผ้าที่พันเป็นแบบมัมมี่ทั้งตัว แล้วลาซารัสก็ฟื้นขึ้น
นั่น 3 ครั้งในการทำให้คนตายฟื้น
ส่วนการอัศจรรย์อย่างอื่น
ในยอห์น 2:1-11 นั่นเป็น การทำอัศจรรย์ครั้งแรก คือไปที่งานสมรสที่บ้านคานา แคว้นกาลิลี ไวน์หมด พระเยซูก็บอกว่าให้เอาน้ำใส่ให้เต็มตุ่ม แล้วพระองค์ก็ทรงทำให้น้ำนั้นเป็นเหล้าองุ่น แล้วก็นำไปให้แขกรับประทาน ซึ่งเป็นน้ำองุ่นที่ดีกว่าแรกๆ ที่เจ้าภาพได้เตรียมไว้ นั่นเป็นครั้งแรกของการทำอัศจรรย์
การอัศจรรย์ ครั้งที่ 2 ทรงให้คลื่นลมสงบ ในมัทธิว 8:26, มาระโก 4:39, ลูกา 8:24 พระเยซูคริสต์ได้ลงไปในเรือกับเหล่าสาวก แล้วพระองค์ก็ทรงนอนหลับในเรือ ในทันใดนั้น ก็มีคลื่นลมแรง พวกสาวกก็กลัวมาก จนมาปลุกพระเยซู พระเยซูบอกว่า “ไม่มีความเชื่อเอาซะเลย” แล้วพระเยซูก็ทรงสั่งให้คลื่นลมสงบ
การอัศจรรย์ ครั้งที่ 3 พระองค์ทรงเลี้ยงคน (ผู้ชาย) 5,000 คน และครอบครัวของเขา ด้วยขนมปัง 5 ก้อน ปลา 2 ตัว ในมัทธิว 14:13, มาระโก 6:30, ลูกา 9:10 หลังจากเลี้ยงด้วยขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัวแล้ว ยังเหลืออีก 12 กระบุง หลังจากที่ทุกคนได้ทานอิ่มแล้ว
การอัศจรรย์ ครั้งที่ 4 ทรงดำเนินบนน้ำ ในมัทธิว 14:29 พระเยซูทรงให้สาวกลงไปในเรือก่อน เรือก็ออกไปกลางทะเล จนกระทั่งตี 3 ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า 3 ยาม พระองค์ก็เดินลงไปบนทะเล แล้วก็ไปหาสาวก พวกเราคงจำได้กัน เปโตรที่เดินบนทะเลนั้น สาวกก็นึกว่าผี แต่เปโตรคนเดียวที่เชื่อว่านั่นคือพระเยซูคริสต์ แล้วพระองค์ก็ขึ้นไปบนเรือ อยู่กับเหล่าสาวก
การอัศจรรย์ ครั้งที่ 5 พระองค์ทรงเลี้ยงชาย 4,000 คนและครอบครัว ด้วยขนมปัง 7 ก้อน ปลา 2-3 ตัว แต่บางข้อบอกว่า 5 ตัว ในมัทธิว 15:32-38 และยังเหลืออีก 7 ตะกร้า
การอัศจรรย์ ครั้งที่ 6 พระองค์ได้บอกให้เปโตรไปตกปลา แล้วเปิดปากปลาออก แล้วเอาเงินในปากปลานั้น มาชำระค่าบำรุงพระวิหาร ในมัทธิว 17:27 ซึ่งตรงนี้ที่พระเยซูถามเปโตรว่า “บุตรของพระเจ้า ต้องเสียค่าบำรุงพระวิหารหรือ!” “แต่เพื่อไม่ให้เขาสะดุด จงไปตกปลา แล้วเอาเหรียญในปากปลานั้น เอามาเสียค่าบำรุงพระวิหารซะ”
การอัศจรรย์ ครั้งที่ 7 ทรงสาปต้นมะเดื่อ ในมัทธิว 21:19, มาระโก 11:20-21 เพราะต้นมะเดื่อนั้น ไม่มีผล มีแต่ใบ ก็เลยสาปเสีย เพราะเอาไว้ก็เปล่าประโยชน์
การอัศจรรย์ ครั้งที่ 8 ในลูกา 5:1-11 พระเยซูเสด็จไป และเห็นเปโตรและเพื่อนๆ อีกหลายคนจับปลา แต่ก็จับไม่ได้ แล้วพระเยซูก็สั่งให้ลงเรืออีกครั้งหนึ่ง แล้วขึ้นมา ก็ได้ปลามากมาย แล้วพระเยซูก็สั่งเปโตรว่า “จงจับคน แทนจับปลา”
นี่เป็นการอัศจรรย์ของพระเยซูคริสต์ทรงทำ ผมแยกมาทั้งหมด ก็คือว่าการอัศจรรย์ที่รักษาโรค ด้วยฤทธิ์เดช มีทั้งหมด 19 ครั้ง การอัศจรรย์ที่ขับผีออก ด้วยฤทธิ์เดช มี 6 ครั้ง การอัศจรรย์ที่ทำให้คนตายฟื้น มี 3 ครั้ง และการอัศจรรย์อื่นๆ มี 8 ครั้ง รวมแล้วพระเยซูคริสต์ได้ทำการอัศจรรย์ 36 ครั้ง ตอนที่พระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่ หมายความว่ายังไม่ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน และหลังจากที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาใหม่ ที่เราจะฉลองวันอีสเตอร์ในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ หลังจากที่พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาแล้ว
พระองค์ยังทรงทำการอัศจรรย์อีก 6 ครั้ง
การอัศจรรย์หลังจากฟื้นจากความตายของพระเยซู ครั้งที่ 1 ในยอห์น 20:13-18 พระองค์ได้ทรงปรากฏแก่นางมารีย์ ตอน ที่นางมารีย์ ไปในรุ่งเช้า หลังจากที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน 3 วัน และรุ่งเช้าวันอาทิตย์ นางมารีย์ก็ไปที่อุโมงค์ ได้เจอพระเยซู
การอัศจรรย์หลังจากฟื้นจากความตายของพระเยซู ครั้งที่ 2 พระองค์ได้ทรงปรากฏแก่เหล่าสาวกของพระองค์ ในคืนวันอาทิตย์ สาวกมารวมตัวกัน ในยอห์น 20:19-23 แล้วพระองค์ก็เสด็จผ่านประตูเข้าไป แต่วันนั้น ไม่มีโธมัสอยู่ด้วย
การอัศจรรย์ หลังจากฟื้นจากความตายของพระเยซู ครั้งที่ 3 วันนั้นพระองค์ไปปรากฏแก่เหล่าสาวก โธมัสอยู่ด้วย แต่โธมัสเป็นคนที่ไม่เชื่อ ว่าพระเยซูคริสต์จะฟื้นขึ้นมาจริงๆ ในยอห์น 20:24-29 โธมัสบอกว่า “ถ้าเราไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไป ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว จะไม่เชื่อ” พระองค์ก็ปรากฏให้สาวก รวมทั้งโธมัสเห็น และให้โธมัสเอามือแยงเข้าไปที่ฝ่ามือ โธมัสถึงเชื่อ
การอัศจรรย์หลังจากฟื้นจากความตายของพระเยซู ครั้งที่ 4 พระองค์ได้ปรากฏแก่เหล่าสาวก 7 คน ที่ทะเลทิเบเรียส และให้สาวกจับปลาได้ 153 ตัว ในยอห์น 21:1-13 พี่น้องสงสัยไหมว่าทำไมพระคัมภีร์ถึงได้เขียน 153 ตัว ชัดเจนเหลือเกิน ครั้งแรกที่พระเยซูไปเรียกเปโตรให้มาเป็นสาวกนั้น บอกว่าได้จับปลามากมาย แต่ไม่ได้นับจำนวน จำนวนเยอะ นับไม่ได้ แต่ครั้งนี้บอกว่าจับปลาได้ 153 ตัว ได้ค้นคว้ากันดูแล้ว ณ วันที่พระเยซูคริสต์ทำการอัศจรรย์นั้น ประชากรในโลกนี้ มีทั้งหมด แบ่งเป็นประเทศออกได้ 153 ประเทศ นั่นหมายถึงว่าที่พระเยซูคริสต์บอกว่า “จงออกไปประกาศข่าวประเสริฐของเรา จนถึงสิ้นสุดแผ่นดินโลก” คือทั้งหมดมี 153 ประเทศ เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว
ประเทศไทยเราเป็นประเทศมากี่ปีแล้ว พ่อขุนศรีอินทราทิพย์ พ่อขุนรามคำแหง พระยาเม็งราย จนถึงปัจจุบันก็ประมาณ 750 ปี ที่เชียงราย พ่อขุนรามคำแหงจะฉลองครบ 750 ปี เมืองเชียงรายในปีหน้า ก็หมายความว่าเมื่อ 2,000 ปีที่แล้วนั้น ประเทศไทยยังไม่มี ณ ปัจจุบันประเทศทั้งหมดในโลกนี้ มี 192 ประเทศ ที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ เรามาเอาความรู้รอบตัวกันหน่อย แต่ที่เรียกเป็นทางการมี 193 ประเทศ เพราะว่าประเทศไต้หวัน เขาไม่ถือเป็นประเทศ เขารวมอยู่ในประเทศจีน ณ วันนี้ก็ยังมีชนกลุ่มน้อยอีกมากมาย ที่ยังไม่ได้เป็นประเทศ ซึ่งตรงนี้ ถ้าเรามาดูตัวเลข 153 ตัว มันก็น่าอัศจรรย์ ณ วันนั้น แต่เราไม่รู้ ผมเองก็ไม่รู้ เพิ่งจะมารู้ทีหลัง นั่นเป็นการอัศจรรย์
การอัศจรรย์ หลังจากฟื้นจากความตายของพระเยซู ครั้งที่ 5 ในลูกา 24:13-31 ที่พระองค์ทรงเดินไปกับสาวก 2 คน ไปเมืองเอมมาอูส คนหนึ่งชื่อเคลโอปัส สาวก 2 คนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าได้พูดคุยกับใคร เดินไปตั้งเป็นวัน ก็ไม่รู้ จนกระทั่งมืดลง ถึงได้รู้
การอัศจรรย์ หลังจากฟื้นจากความตายของพระเยซู ครั้งที่ 6 ในกิจการ 1:9 ตอนที่พระเยซูคริสต์ถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ ต่อหน้าฝูงชนมากมาย
ซึ่งรวมแล้วการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงทำ เพื่อมนุษย์ก่อนพระองค์ถูกตรึงที่ไม้กางเขนนั้น 36 ครั้ง รวมกับหลังจากพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์แล้ว อีก 6 ครั้ง ทั้งหมด 42 ครั้ง แล้วชีวิตของเราแต่ละคน เราได้รับการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงช่วยเหลือกี่ครั้ง ท่านนับได้ไหม ตั้งแต่ท่านเกิดมา ลืมตาบนโลกนี้ ถึงแม้ท่านจะไม่รู้จักพระเจ้า แต่พระองค์ทรงรู้จักท่าน ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกนี้ เพราะฉะนั้น ชีวิตของท่านแต่ละคน รวมทั้งชีวิตของผมด้วย พระองค์ทรงรู้ตั้งแต่แรก แล้วพระองค์ทรงเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเรา ไม่ว่าท่านจะไปไหน ไม่ว่าท่านจะทำอะไร ไม่ว่าท่านจะเลือกอาชีพอะไร ไม่ว่าท่านจะเจ็บไข้เมื่อไร ไม่ว่าท่านจะได้รับการโปรโมทเข้าทำงานเมื่อไร ได้รับตำแหน่งใหม่เมื่อไร ทุกอย่างนี้ พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้หมดแล้ว ในชีวิตของแต่ละคน พระองค์ได้ทรงทำการอัศจรรย์ให้เป็นตัวอย่าง ตามที่ผมได้ยกมาทั้งหมด 42 ตัวอย่าง
วันนี้ที่ผมได้นำสิ่งเหล่านี้มา เพราะว่าอยากให้พวกเราทุกคนที่เชื่อในพระเจ้า ได้ระลึกถึงพระคุณ และทุกสิ่งที่พระเยซูได้ทำเพื่อเรา
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
http://www.holyofholies.net/sermons10/2011_04_apr_17.htm
ความคิดเห็น