ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Oh...My....GOD

    ลำดับตอนที่ #7 : ดวงดาว แห่งเบ็ธเลเฮม... เรื่องจริง ที่เชื่อถือได้

    • อัปเดตล่าสุด 9 มี.ค. 52


    ขอบคุณ..............

    http://www.weareimpact.com/content/%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B9%87%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%AE%E0%B8%A1-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89

    การที่โหราจารย์ (นักโหราศาสตร์) จากทิศตะวันออกได้เห็น ดวงดาวสุกสว่างปรากฏขึ้นบนฟ้า... มีคำถามคล้ายๆจะเยาะเย้ย ของผู้ไม่เชื่อว่า เป็นไปได้หรือที่เมื่อจะมี ผู้มีบุญมาเกิด จะบังเกิดมีดวงดาวขึ้นมาใหม่ดวงหนึ่งบนฟ้าและ ลอยอยู่เหนือสถานที่เกิดพอดี... พระคัมภีร์ไม่โม้ไปหน่อยหรือ แล้วดาวที่ว่า นั้นไปอยู่ที่ไหนเสียเล่าในเวลานี้ ?...

    เรื่องโดย : Chairat Jitkaew

    พระธรรมมัทธิว
    2 : 7 แล้วเฮโรดจึงเชิญพวกโหราจารย์เข้ามาเป็นการลับ ถามเขาได้ความถ้วนถี่ถึงเวลาที่ดาวนั้นได้ปรากฏขึ้น

    2 : 8 แล้วท่านได้ให้พวกโหราจารย์ไปยังบ้านเบธเลเฮมสั่งว่า "จงไปค้นหากุมารนั้นเถิดเมื่อพบแล้วจงกลับมาแจ้งแก่เรา เพื่อเราจะได้ไปนมัสการท่านด้วย"

    2 : 9 โหราจารย์เหล่านั้นจึงไปตามรับสั่ง และดาวซึ่งเขาได้เห็นเมื่อปรากฏขึ้นนั้นก็ได้นำหน้าเขาไปจนมาหยุดอยู่เหนือสถานที่ที่กุมารอยู่นั้น

    2 : 10 เมื่อพวกโหราจารย์ได้เห็นดาวนั้นแล้วก็มีความยินดียิ่งนัก

    2 : 11 ครั้นเข้าไปในเรือน ก็พบกุมารกับนางมารีย์มารดา จึงกราบถวายนมัสการกุมารนั้นแล้วเปิดหีบหยิบทรัพย์ของเขาออกมาถวายแก่กุมาร เป็นเครื่องบรรณาการคือ ทองคำ กำยาน และมดยอบ

    2 : 12 แล้วพวกโหราจารย์ได้ยินคำเตือนในความฝัน มิให้กลับไปเฝ้าเฮโรด เขาจึงกลับไปยังเมืองของตนทางอื่น

    Star_of_Bethlehelm001.jpg

    เข้าสู่เดือนธันวาคมมาได้หลายวันแล้ว ใกล้ถึงวันคริสต์มาสเข้าไปทุกขณะ ทำให้คริสเตียน ระลึกถึงเหตุการณ์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิล เมื่อสองพันปีมาแล้ว คือการที่โหราจารย์ (นักโหราศาสตร์) จากทิศตะวันออกได้เห็น ดวงดาวสุกสว่างปรากฏขึ้นบนฟ้าทำให้รู้ว่าจะมีผู้มีบุญญฤทธิ์มาเกิด ตามพระคัมภีร์ได้กล่าวว่า พวกโหราจารย์เชื่อว่าผู้ที่มาเกิดนั้น จะเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิว พวกเขาจึงได้เดินทางกันไป แสวงหาพระกุมารน้อยนั้นเพื่อจะชื่นชม และนมัสการ... พวกเขาเดินดุ่มไปในเวลากลางคืน ตามทิศของดวงดาวที่ปรากฏให้เห็นนั้น จนมาถึงตำบลหนึ่งชื่อว่าบ้านเบ็ธเลเฮม ที่ที่ดวงดาวนั้นหยุดอยู่ตรงหัวก็ได้พบพระกุมารน้อย ในรางหญ้าของคอกสัตว์...พระกุมารนั้นคือพระกุมารเยซู ผู้ซึ่งจะเติบโตขึ้นมาเป็นพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของมนุษยชาตินั่นเอง...

    มีคำถามคล้ายๆจะเยาะเย้ยของผู้ไม่เชื่อว่า เป็นไปได้หรือที่เมื่อจะมีผู้มีบุญมาเกิด จะบังเกิดมีดวงดาวขึ้นมาใหม่ดวงหนึ่งบนฟ้าและ ลอยอยู่เหนือสถานที่เกิดพอดี...พระคัมภีร์ไม่โม้ไปหน่อยหรือ แล้วดาวที่ว่านั้นไปอยู่ที่ไหนเสียเล่าในเวลานี้ ?...

    ถึงตรงนี้ผู้เขียนขอตอบในฐานะเป็นผู้ที่เคยมีประสบการณ์ค้นคว้า วิชาโหราศาสตร์มาเกือบสามสิบปี ขอเป็นพยานถึงพระสิริของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ในที่นี้ว่า... ดาวดวงสุกสว่างที่พวกโหราจารย์เห็นนั้นไม่ใช่อื่นไกล แต่เป็นดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ที่โคจรอยู่ใกล้กันมากในช่วงเวลานั้น ตามภาษาโหรเขาเรียกว่า "ดาวกุมกัน" ดาวทั้งสองดวงเป็นดาวพระเคราะห์วงนอกคืออยู่ถัดออกไปจากโลกและ ดาวอังคารแต่ก็อยู่ในระบบสุริยะ (Solar System) ของเรา ปรากฏการณ์ที่ดาวพฤหัสบดีและ ดาวเสาร์จะกุมกันสนินอย่างนี้จะเกิดขึ้นทุกประมาณ 25-30 ปี ตาม "ปูมโหร" หรือปฏิทินดาราศาสตร์...

    Star_of_Bethlehelm003.jpg

    (หมายเหตุ - นักโหราศาสตร์ไม่ใช่หมอดู นักโหราศาสตร์ศึกษาธรรมชาติวิทยา ของการโคจรของดวงดาวเทียบกับความเป็นไปของสังคม และชีวิตมนุษย์ โหราศาสตร์ใช้วิชาดาราศาสตร์เป็นเครื่องมือสำคัญ โหราศาสตร์ทำให้เรายืนยันพระสิริของพระเจ้า ในการทรงสร้างฟ้าสวรรค์และ จักรวาล, หมอดูใช้อำนาจลึกลับของตน หรือใช้ปรากฏการณ์บางอย่างที่ควบคุมไม่ได้ มาเป็นตัวทำนายอนาคตของคน หมอดูไม่ใช้วิชาดาราศาสตร์ หมอดูจำนวนมากพึ่งลางสังหรณ์และ อำนาจมืดในการดลใจออกคำพยากรณ์ พระคัมภีร์กล่าวติเตียนหมอดูอย่างมาก ฯลฯ)

    สิ่งที่นักโหราศาสตร์ ทราบกันดีในเชิงสถิติที่จดบันทึก กันไว้ก็คือว่าในเวลาที่ดาวสองดวงนี้โคจรอยู่ร่วมราศีเดียวกันและ กุมกันสนิทอย่างนี้ เป็นสัญญาณของการเกิด สิ่งสำคัญๆขึ้นในโลกทุกครั้ง ทั้งด้านดีและด้านร้าย การสงคราม การปฏิวัติยุคสมัย การค้นคิดทางวิทยาการสำคัญๆ หรือการเกิดขึ้นของผู้นำสำคัญของโลก มักได้เห็นดาวสองดวงนี้กุมกันบนท้องฟ้า ในช่วงขณะนั้นเสมอๆ ดูเหมือนว่าพระเจ้าทรงแสดงหมายสำคัญ ด้วยดาวคู่นี้ทุกครั้ง เมื่อพระองค์ "เหยียดพระหัตถ์" ครั้งสำคัญๆเหนือชีวิตบนโลกนี้ ...และดาวสองดวงนี้มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยเฉพาะในท้องฟ้าของดินแดนตะวันออกกลาง ที่ไม่มีป่าดงดิบหนาแน่นอย่างป่าเขตร้อนแต่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่โล่งกว้างและทะเลทราย แสงสว่างของดาวคู่นี้สามารถเห็นได้แต่ไกล เหมือนเกิดดวงดาวดวงใหม่ขึ้นบนฟ้าได้เลยทีเดียว...

    มีนักดาราศาสตร์คริสเตียนที่สนในเรื่องนี้ได้คำนวณย้อนหลังไปพบว่าดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ได้กุมกันในช่วงประมาณ 3-6 ปีก่อนคริสต์ศักราชจริง... ผู้ที่สนใจสามารถค้นคว้าเพิ่มเติมได้จากเวปไซต์ต่างๆในหัวข้อ "Star of Bethlehelm"

    การโคจรของดวงดาวในระบบสุริยะ นั้นมนุษย์ได้รู้ทิศทางและ วงรอบการโคจรมานับเป็นพันปีแล้ว ดังนั้นโหราจารย์ในพระคัมภีร์เหล่านั้น ซึ่งคงเป็นหนึ่งในชนชาติตะวันออกกลาง (คนแถบตะวันออกกลางเก่งเรื่องดาราศาสตร์มาก ถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังเก่งโดยเฉพาะพวกอาหรับ) คงสามารถรู้ล่วงหน้านับเป็นหลายๆเดือน หรือเป็นปีแล้วว่าดาวสองดวงนี้จะกุมกันสนิท พวกเขาจึงได้เตรียมการเดินทางและ เตรียมเครื่องบรรณาการมาถวาย "ผู้มีบุญ" เมื่อเวลาของดวงดาวนั้นมาถึง...

    หลังจากเข้าเฝ้ากษัตริย์เฮโรดแล้ว พวกโหราจารย์คงได้เดินทางมาเรื่อยๆ จนถึงคืนของเหตุการณ์ พวกเขาคงพักอยู่กับที่ในเวลากลางวันและ เมื่อถึงเวลาพลบค่ำก็คงได้เห็นดาวทั้งสองโผล่ขึ้นที่ขอบฟ้า พวกเขาจึงได้ออกเดินทางต่อ โดยมุ่งหน้าเข้าหาดาวดวงนั้นเสมือนดาวนั้นนำทางพวกเขาอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าคงต้องเดินข้ามทะเลทรายกันไปในเวลากลางคืน...

    การหมุนรอบตัวเองของโลกนั่นเอง ที่ทำให้เห็นว่าดวงดาวนั้นโคจรสูงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับว่ามันได้เคลื่อนที่นำหน้าไปและ พวกเขาเดินเข้าใกล้จุดหมายไปเรื่อยๆ... จากตำแหน่งมองเห็นที่ระดับเหนือสายตาเล็กน้อย แล้วจึงค่อยๆสูงขึ้นๆ..ๆ จนต้องเงยหน้ามอง...และในที่สุดก็ต้องแหงนคอตั้งบ่าขึ้นมองเพราะดาวขึ้นสูงอยู่เหนือศีรษะพอดี นี่แหละที่ภาษาพระคัมภีร์กล่าวว่าดวงดาวนั้นหยุดกับที่ ความจริงพวกโหราจารย์นั่นแหละ ที่ต้องหยุดเดินไม่ใช่ดาวหยุด เพราะเขาได้พบว่า สถานที่ที่เขาหยุดยืนอยู่นั้นดวงดาวอยู่เหนือศีรษะพอดีและคงสุกสว่างมากด้วย เขาได้พบพระกุมารน้อยในรางหญ้า ปรากฏลักษณะมีบุญอย่างที่พวกเขาเชื่อและศรัทธา...เขาจึงได้นำเอาเครื่องบรรณาการออกมาถวาย คือทองคำ กำยาน และมดยอบ...

    Star_of_Bethlehelm002.jpg

    เครื่องบรรณาการที่พระกุมาร ได้รับมีความหมายโดยนัยแห่งการเผยพระวจนะ ซ่อนอยู่ด้วย กล่าวคือ ทองคำอันมีค่าหมายถึงเกียรติยศอันพระกุมารจะได้รับในฐานะกษัตริย์ สวนกำยานนั้นคือผงเครื่องหอมสำหรับเผาไฟที่ในภายหลังก็กลายสภาพ มาเป็นกำยานแท่งที่เรารู้จักกันในนามของ "ธูปหอม" นั่นเอง กำยานนี้ก็พยากรณ์ถึงการได้รับการนมัสการบูชา ที่จะมีมาในชีวิตของพระกุมาร... ส่วนมดยอบนั้นเป็นเครื่องยาสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ปัจจุบันก็ยังใช้กันอยู่ในตำรับยาแผนโบราณ มดยอบนี้พยากรณ์ถึงการรักษาโรค การบาดเจ็บและการหลั่งเลือดในชีวิตของพระกุมารในการบำบัดรักษาและการไถ่คนทั้งหลายจากบาปเวรในชีวิต...

    การค้นคว้าความจริงเรื่องดวงดาวแห่งเบ็ธเลเฮมนี้ ทำให้เรารู้ได้ว่าเรื่องราวที่เขียนไว้นั้นเกิดขึ้นจริง เราสามารถมีความมั่นใจได้ว่าสิ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลมีเหตุผล มีความจริงทั้งโดยนัยยะทางฟิสิกส์กายภาพ ทั้งนัยยะทางดาราศาสตร์-โหราศาสตร์อันเป็นศาสตร์เก่าแก่ที่บันทึกเหตุการณ์ของมนุษยชาติไว้มากมาย ทั้งนัยยะทางประวัติศาสตร์ มีรายละเอียดเรื่องตัวบุคคล และสถานที่ชัดเจนมากและการสืบค้นทางประวัติศาสตร์และ โบราณคดีกลับไปก็พบว่ามีจริงทุกแห่ง...รวมแล้วทำให้เห็นว่าพระคัมภีร์ไบเบิลเชื่อถือได้....

    ความมั่นใจเช่นนี้ทำให้เราสามารถวางใจได้ ในส่วนอื่นๆของพระคัมภีร์ได้ด้วย เช่นการอัศจรรย์ทั้งหลายของพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่การรักษาโรคให้แก่ประชาชน การเดินบนน้ำ การเลี้ยงอาหารคนห้าพันคนด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว และการฟื้นขึ้นจากความตาย ฯลฯ ที่สำคัญคือการที่พระเยซูคริสต์ทรงยืนยันว่าพระองค์คือ พระเจ้าผู้รับสภาพมนุษย์ ซึ่งเป็นครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่พระเจ้าผู้ทรงไม่มีความจำกัด ได้ทรงยอมรับความจำกัดด้วยการสวมสภาพมนุษย์จนกระทั่งถึงความมรณาที่ไม้กางเขน... เพื่อเปิดประตูความรอดบานเดียวให้แก่มนุษย์ผู้เชื่อ และวางใจในพระองค์...ไม่มีทางอื่น...ไม่มีนามอื่น การบำเพ็ญเพียรทางศาสนาใดๆที่มนุษย์ก่อตั้งเป็นการระงับทุกข์ที่เกิดจากกายสัมผัส และจิตสัมผัสในการดำเนินชีวิตในโลกนี้เท่านั้น ถึงจะเป็นประโยชน์มากสำหรับการดำรงชีวิตบนโลกนี้ให้มีทุกข์น้อยกว่าสุข แต่ก็ไม่สามารถนำไปถึง "ความรอด" ได้... พระเยซูคริสต์เป็นทางเดียวที่เป็นไปได้สำหรับมนุษย์ทุกชาติ ทุกภาษา และทุกศาสนาที่จะบ่ายหน้ามาหาและไว้วางใจในพระองค์... ทั้งหมดนี้เนื่องจากน้ำพระทัยของพระเจ้าที่พระองค์ทรงรักเราทุกคน... เราทุกคนที่พระองค์ทรงรวมเรียกว่าโลก ... พระเจ้าทรงรักโลกอย่างถึงที่สุด...และพระองค์ไม่ต้องการเห็นความพินาศของโลก...

    ปัจจุบันนี้เราเฉลิมฉลองเหตุการณ์ "ดวงดาวแห่งเบธเลเฮ็ม" ในครั้งกระนั้นในชื่อของ "วันคริสต์มาส" โดยตกลงกันว่าให้เป็นวันที่ 25 ธันวาคม ของทุกปี... ซึ่งต่อมาภายหลังจากที่ได้มีการคำนวณย้อนหลังทางดาราศาสตร์กลับไปจึงพบว่าเหตุการณ์จริงของ "ดวงดาวแห่งเบธเลเฮ็ม" น่าจะตกอยู่ในช่วงเดือนมีนาคมไม่ใช่ธันวาคม... เป็นฤดูร้อน ไม่ใช่ฤดูหนาว (จักรพรรดิ์ออกัสตัสซีซ่าร์ในฐานะผู้ปกครองที่ชาญฉลาดคงไม่สั่งให้ประชาชนทิ้งบ้านเรือนออกเดินทางไปลงชื่อทำสำมะโนครัวประชากรในฤดูที่หนาวเหน็บเป็นแน่ เพราะประชาชนอาจล้มตายกลางทางเพราะอากาศหนาวเย็นได้!) ... อย่างไรก็ตามการกำหนดวันวันหนึ่งขึ้นมา เพื่อการรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตกาลก็อาจไม่ตรงกับวันจริงก็ได้ สาระสำคัญคือการที่เราจะได้มีวันสำหรับรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญนั้นร่วมกันต่างหาก ...

    อย่างไรก็ตาม เดือนธันวาคมเป็นเวลาที่เราจะได้ ระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญนี้ด้วยความชื่นชมยินดีร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง... ถ้าไม่มีวันสำคัญคือวันที่ดวงดาวแห่งเบธเลเฮ็ม ได้ปรากฏขึ้นนี้ ไม่ทราบว่าประวัติศาสตร์ของโลกในช่วงสองพันปีที่ผ่านมา จะเป็นไปในรูปใด อาจเป็นได้ว่าทุกสิ่งคงหักพังและแตกสลายไปหมดแล้วก็ได้ เพราะผลจากความบาปที่หยุดไม่อยู่ในจิตวิญญาณ ของมนุษยชาติมันเร่งเร็วขึ้น แรงขึ้น และขยายตัวเหตุการณ์กว้างขวางออกไปอย่างน่ากลัวเหลือเกิน... ขอบคุณพระเจ้า ที่เรายังอยู่มาได้ถึงวันนี้... พระสิริพึงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด และสันติสุขพึงมีแก่มนุษย์ทั้งหลายในโลกที่พระองค์ทรงรักนั้น...อาเมน และ อาเมน.

    ข่าวประชาสัมพันธ์ - ปีนี้คริสตจักรร่มเย็น ถนนพัฒนาการซอย 17 จัดงานวันคริสต์มาสช่วงค่ำวันที่ 24 ธันวาคม เวลาประมาณ 17:00 น.เป็นต้นไป ในงานมีการออกร้านอาหาร(ฟรี)และร้านรื่นเริงหาทุนสำหรับงานพันธกิจต่างๆ... ขอเชิญทุกท่านที่สนใจไปร่วมงานได้ ไม่ว่าท่านจะเป็นคริสเตียนหรือไม่ก็ตาม... ยินดีต้อนรับทุกท่าน

    เรื่องโดย : Chairat Jitkaew


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×