คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #62 : ว่าด้วยเรื่อง ยุค สุดท้าย (ยังไม่เสร็จบริบูรณ์นะคะ)
30:26 ยิ่งกว่านั้นอีก แสงสว่างของดวงจันทร์จะเหมือนแสงสว่างของดวงอาทิตย์ และแสงสว่างของดวงอาทิตย์จะเป็นเจ็ดเท่า และเป็นอย่างแสงสว่างของเจ็ดวัน ในวันที่พระเยโฮวาห์ทรงพันรอยบาดเจ็บแห่งชนชาติของพระองค์ และรักษาบาดแผลซึ่งเขาถูกพระองค์ทรงตีนั้น
วว 6:12 เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่หกนั้นแล้ว ดูเถิด ข้าพเจ้าก็ได้เห็นแผ่นดินไหวใหญ่โต ดวงอาทิตย์ก็กลายเป็นมืดดำดุจผ้ากระสอบขนสัตว์ และดวงจันทร์ก็กลายเป็นสีเลือด
"แสงสว่างของดวงจันทร์จะเหมือนแสงสว่างของดวงอาทิตย์" ข้อพระคำตอนนี้ อาจจะหมายถึงดวงจันทร์โตขึ้นเทียบเท่าดวงอาทิตย์หรือที่เราเรียกว่า ......
“lunar perigee” ดวงจันทร์จะโตขึ้นกว่าปรรกตินั้นเอง
หรือบางคนก็เรียกว่า ซุปเปอร์มูน(super moon)
มีคนทำนายว่า 19 มี.ค.ดวงจันทร์ใกล้โลกมากที่สุด ชี้ อาจเกิดผลกระทบต่อโลก
19 มี.ค.ดวงจันทร์ใกล้โลกมากที่สุด ชี้ อาจเกิดผลกระทบต่อโลก
นัก วิทยาศาสตร์ที่ศึกษาในเรื่องการโคจรของดวงจันทร์ ระบุว่าในวันที่ 19 มีนาคมนี้(2555) ดวงจันทร์จะโคจรเข้าใกล้โลก หรือที่เรียกว่า “lunar perigee” เพียง 221,567 ไมล์ นับเป็นการโคจรที่ใกล้โลกมากที่สุดในรอบ 19 ปี
ทั้ง นี้ เชื่อว่าจะเกิดผลกระทบกับโลกเช่น แผ่นดินไหว การปะทุของภูเขาไฟ และระดับน้ำทะเลที่อาจก่อให้เกิดคลื่นสึนามิได้ บรรยากาศโลกจะเปลี่ยน โดยพวกเขาเรียกมันว่า ซุปเปอร์มูน (super moon)
ก่อนหน้านี้ ปรากฏการณ์ ซุปเปอร์มูน (super moon) เคยเกิดขึ้นในปี 1955, 1974, 1992, และ 2005 และทุกครั้งที่มันเกิด จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศบนโลก เช่น การเกิดสึนามิ ที่คร่าชีวิตถึงไปหลายแสนคนในประเทศอินโดนีเซีย รวมทั้งประเทศไทย เพียงสองสัปดาห์ก่อนเกิดซุปเปอร์มูนในเดือน มกราคมปี 2005
สองสัปดาห์ก่อนเกิดซุปเปอร์มูนในเดือน มกราคมปี 2005 เกิดสึนามิในเมืองอาเจะ ประเทศอินโดนีเซีย
อย่าง ไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์บางส่วนกล่าวว่า ซุปเปอร์มูน (super moon) มันไม่ได้มีความเกี่ยวโยงกัน แต่อาจจะเกิดเพียงแค่น้ำทะเลขึ้นสูงสุดเท่านั้น
"แสงสว่างของดวงอาทิตย์จะเป็นเจ็ดเท่า และเป็นอย่างแสงสว่างของเจ็ดวัน"
นี่เป็นจุดเริ่มต้นของดวงอาทิตย์ที่ร้อนขึ้น
ภาพการปะทุของดวงอาทิตย์ เมื่อเดือนกันยายน
ภาพการปะทุของดวงอาทิตย์ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน
ภาพการปะทุของดวงอาทิตย์ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Space Weather.com, techpinger.com
เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ยาน สังเกตการณ์สุริยพลวัต (Solar Dynamics Observatory) ของนาซ่า ได้เปิดเผยภาพการปะทุของดวงอาทิตย์ภาพล่าสุด ที่เกิดขึ้นในช่วงค่ำของวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมาตามเวลาในประเทศไทย
โดย การปะทุของดวงอาทิตย์ในครั้งนี้ เกิดขึ้นบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของดวงอาทิตย์ แต่ไม่ได้สร้างผลกระทบต่อระบบสนามแม่เหล็กของโลกแต่อย่างใด เพราะโลกไม่ได้อยู่ในแนวการปะทุของดวงอาทิตย์ และการปะทุดังกล่าวก็ไม่ได้เป็นการปะทุครั้งใหญ่ เหมือนกับการปะทุที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งการปะทุในครั้งนั้นได้ถูกระบุว่าเป็นการปะทุครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 15 ปีเลยทีเดียว
ทั้งนี้ การปะทุของดวงอาทิตย์ หรือปรากฏการณ์พายุสุริยะนี้ เกิดจากการสะสมพลังงานแม่เหล็กในดวงอาทิตย์ไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อมีการต่อใหม่ของสนามเหล็ก จะเกิดการปะทุออกมาเป็นพลังงานความร้อน และปล่อยก้อนมวลขนาดใหญ่จากโคโรนา หรือเส้นรัศมีรอบวงกลมสีดำที่อยู่ชั้นนอกสุดของดวงอาทิตย์ ออกมาเป็นพายุสุริยะ ซึ่งการปะทุนี้จะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เป็นครั้งเป็นคราว และไม่สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้ แต่สามารถคาดการณ์ได้ว่าพายุสุริยะจะเกิดขึ้นได้ โดยสังเกตว่าเริ่มมีจุดมืดจำนวนมากบนดวงอาทิตย์
อย่างไรก็ดี การ ปะทุของดวงอาทิตย์ ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทุกวัน วันละหลายครั้งก็เป็นได้ แต่หากเป็นการปะทุที่มีความรุนแรงมาก ก็อาจจะส่งผลต่อระบบสนามแม่เหล็กโลก ทำให้ระบบสื่อสารคมนาคมทางวิทยุ ระบบการบิน ดาวเทียม ระบบไฟฟ้า ใช้การไม่ได้ และทำให้เกิดแสงเหนือแสงใต้ที่เรียกว่า "ออโรรา" แต่แสงดังกล่าวไม่ได้มีผลกระทบกับมนุษย์โดยตรง
ขณะ ที่วงการวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังไม่สามารถคำนวณระดับความรุนแรงของพายุ สุริยะได้ ทำได้เพียงแค่พยากรณ์ และคาดการณ์ถึงระดับความรุนแรง ด้วยการดูสัญญาณเรดาร์ และความเร็วของลมเท่านั้น
แต่อาจจะไม่ใช่พระดวงอาทิตย์เพียงอย่างเดียวที่ทำให้ร้อนขึ้น อาจจะเป็นผลของโลกที่เปลี่ยนไปด้วยก็ได้ที่ทำให้โลกเราร้อนขึ้น
รากฏการณ์เรือนกระจก (Green House Effect) หรือสภาวะโลกร้อน (Global warming) อธิบายได้ดีในกรณีนี้ เมื่อ
ภูมิอากาศของโลก จะถูกขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากดวงอาทิตย์ เมื่อแสงอาทิตย์ตกกระทบผิวโลก พลังงานบางส่วนจะสูญเสียไปในการทำให้พื้นผิวของโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น โดยโลกจะสะท้อนและแผ่กระจายพลังงานบางส่วนที่เหลือกลับคืนสู่บรรยากาศในรูปความร้อน แต่แก๊สเรือนกระจก (Green House Gas, GHGs) ที่อยู่ในชั้นบรรยากาศของโลก จะช่วยกันกักเก็บพลังงานความร้อนเหล่านี้เอาไว้ด้วยการดูดซับ การสะท้อน หรือแผ่กระจายพลังงานความร้อนกลับสู่พื้นโลกอีกครั้ง (ภาพที่ 5- 1) ดังนั้นบรรยากาศในชั้นนี้จึงกระทำตัวเสมือนเป็นเรือนกระจก กล่าวคือยอมให้พลังงานในช่วงคลื่นสั้นเช่นรังสียูวีจากดวงอาทิตย์ ผ่านเข้ามาได้ แต่ไม่ยอมให้พลังงานในช่วงคลื่นยาว (รังสีอินฟราเรดหรือคลื่นความร้อน) ผ่านออกไป ปรากฏการณ์เรือนกระจกจึงทำให้เกิดการเก็บสะสมความร้อนอยู่ภายในชั้นบรรยากาศ ทำให้โลกร้อนมากขึ้น โดยยิ่งมีแก๊สเรือนกระจกมากขึ้นเท่าไร ความร้อนก็จะถูกกักไว้ในชั้นบรรยากาศมากขึ้น อันทำให้โลกยิ่งร้อนมากขึ้นเท่านั้น
หรือเมื่อชั้นบรรยายกาศของโลกถูกทำลายด้วยฝีมือมนุษย์เรา การทำบาปนำมาซึ่ง ความร้อนที่มากกว่าปรกติหลายเท่า เมื่อโลกร้อนขึ้น จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศลักษณะและปริมาณฝนจะเปลี่ยนไป อุณหภูมิที่สูงขึ้นจะทำให้ภูเขาน้ำแข็งละลาย ส่งผลให้พื้นที่ชายฝั่งถูกน้ำท่วมหรือถูกกัดเซาะพังทลายอย่างรุนแรง ภัยธรรมชาติอาจเกิดขึ้น(รวมถึงคลื่นยักษ์)บ่อยครั้งในความถี่และความรุนแรง มากขึ้น เหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบและสร้างความเสี่ยงต่อระบบนิเวศ ชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ในโลกนี้รวมถึงระบบชีวิตของมนุษย์
อิสยาห์ 30:27 ดูเถิด พระนามของพระเยโฮวาห์มาจากที่ไกล ร้อนด้วยความกริ้วของพระองค์ ภาระนั้นก็หนักหนา ริมพระโอษฐ์ของพระองค์เต็มด้วยความกริ้ว และพระชิวหาของพระองค์เหมือนไฟเผาผลาญ
ข่าวของวันที่วันพุธที่ 6 กรกฎาคม 2554
สำนักข่าวต่าง ประเทศรายงานว่า คลิปลูกไฟปริศนาดิ่งจากท้องฟ้าประเทศเม็กซิโกสู่พื้นโลก ถูกโพสลงเว็บไซต์ยูทูป สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์บนอินเตอร์เนต
โดย วิดิโอดังกล่าว ถูกถ่ายไว้เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน และถูกโพสลงบนยูทูปโดยผู้ใช้ ที่ใช้ชื่อว่า Kimdragon1 ซึ่งคลิปดังกล่าว เป็นภาพของวัตถุประหลาดติดไฟพุ่งลงสู่พื้นโลก ซึ่งมีหลายๆ คนเชื่อว่าเป็นยูเอฟโอ แต่อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่คิดว่า มันเป็นแค่ อุกกาบาตที่ตกจากท้องฟ้านั่นเอง
http://news.mthai.com/world-news/121513.html
ลิ้งนี้จะมีวีดีโอให้ดูด้วยนะคะ
ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีฝนลูกไฟ เหมือนอย่างใน BB เดิมในหลายๆตอน
เหมือนในครั้ง ปฐก 19:24
"องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้กำมะถันและไฟตกจากฟ้าเผาเมืองโสโดม
และโกโมราห์" Sodom & Gomorrah
ในตอนนี้เมืองโสโดมทำบาปมากในเรื่องเพศไม่มีผัวเดียวเมียยเดียว แต่พวกเขาร่วมประเวณีแบบไม่เกรงกลัวฟ้าดิน ชายรักชาย ชายและหญิงหมุนเปลี่ยนเวียงคู่กันไป ถ้ามีคนมาพูดกับคุณว่า เมืองนี้มันเหมือนเมืองโสโดมและโกโมราห์ นั้นเขาหมายถึงว่า มันเป็นเมืองคนบาปโดยแท้เต็มไปด้วยอบายมุข และการผิดเพศเต็มเมืองไปหมด
ซึ่งสำนวนนี้จะพบในหนังฝรั่งบางเรื่อง ซึ่งท้ายก็จำบ่ได๋คะขออภัยด้วย
ถ้าเปรียบเทียบโลกใบนี้ เหมือนเมือง โซดอม และ กอมเมอร์ราห์ (Sodom and Gommorah) แล้วมันก็ไกล้เข้าไปทุกที ชายรักชายมีมากขึ้นในโลกใบนี้ การรักร่วมเพศกลายเป็นเรื่องที่มีทั่วไปบนโลกใบนี้ ร่วมไปถึงการเล่นชู้ ไม่มีผัวเดียวเมียเดียวในคราวเดียวกันในตอนนี้ ก็มีมากบนโลกใบนี้ โลกของเราความรักเริ่มเสื่อมโทรมมากขึ้นๆ
การร่วมประเวณีมีมากขขึ้น การทำบาปเรื่องเพศมีมากขึ้น ขายตัวทางเวปไซร์เป้นเรื่องที่เห็นกันได้บ่อยๆ เรื่องทางเพศของเราเริ่มเสื่อมโทรมลงมากจริงๆ ยังไงก็พระเจ้าทรงสงวนการนี้ แด่พี่น้องทุกท่านดั่งที่พระองค์ทรงกรรุณาคนของพระองค์อย่างโลท ด้วยนะคะ ^___^
ขอเพิ่มความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเมืองนี้นะคะ
ความ พยายามนำมาซึ่ง ความสำเร็จ และเป็นความสำเร็จที่ยืนยันความถูกต้องบางประการของพระคัมภีร์ไบเบิ้ลในฐานะ ตำราประวัติศาสตร์ได้ด้วย นั่นคือ ถ้าจะไปค้นหาซากเมืองโซดอมและกอมเมอร์ราห์บนพื้นดินก็หาไม่พบ เพราะจมลงไปอยู่ใต้ผิวทะเลเด้ดซี โซดอมและกอมเมอร์ราห์จมลงไปใต้น้ำด้วยแรงระเบิดจริง แต่ไม่ใช่ระเบิดของทูตสวรรค์ตามข้อความในพระคัมภีร์ ทว่า เป็นแรงระเบิดของธรรมชาตินี่เอง นั่นคือโซดอมและกอมเมอร์ราห์จมน้ำเพราะแผ่นดินไหว
การค้นพบร่องรอยของเมืองโดยนักธรณีวิทยาและนัก โบราณคดี
นัก ธรณีวิทยาที่ ทำการสำรวจดินแดนนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนพบว่า ระหว่างที่นั่งเรือสำรวจทะเลเด้ดซีนั่นเอง ในวันที่อากาศดี น้ำใสเป็นพิเศษก็สามารถมองเห็นซากปรักหักพังใต้น้ำได้รำไร.... ซากของโซดอมและกอมเมอร์ราห์นั่นเอง ที่ยังปรากฏให้เห็นอยู่ได้ก็เพราะเกลือในทะเลช่วยรักษาไว้ให้คงรูปเดิม จากการคำนวณอายุของซากเมืองใต้ทะเลพบว่ามันมีอายุย้อนหลังไปสมัยปี 1900 ก่อนคริสตกาล....ก็สมัยเดียวกับลูฏและอับราฮัมนั่นเอง....โซดอมและกอม เมอร์ราห์จึงมีอยู่จริงๆ ในยุคสามัยเดียวกับบุคคลในพระคัมภีร์
หลักฐานทางธรณีวิทยา
การ ที่แผ่น ดินซึ่งเดิมเคยอยู่เหนือน้ำแล้วอย่ๆเลื่อนต่ำลงจนจมลงไปใต้น้ำนั้นไม่ใช่ เรื่องแปลกประหลาดอะไร เกิดขึ้นทุกหนทุกแห่งในโลก ส่วนหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน (หรืออาระเด็นตามฉบับคำแปลภาษาไทย) ก็ค่อยๆ เลื่อนลดลงไปอยู่ใต้ทะเลเด้ดซีเหมือนกัน แต่ในกรณีของโซดอมและกอมเมอร์ราห์ไม่ได้เกิดจากการค่อยๆ เลื่อนลงไปใต้น้ำ แต่นักธรณีวิทยาได้คำนวณว่าเกิดจากแผ่นดินไหวในบริเวณนี้อย่างรุนแรงจน กระทั่ง "กำมะถันและไฟจากพระยะโฮวาลงมาจากฟ้าตกที่เมืองซะโดมและเมืองกะโมรา พระองค์ได้ทรงทำลายเมืองเหล่านี้ คือแถบที่ราบนั้นทั้งหมดและพลเมืองทั้งสิ้นและบรรดาพืชพันธุ์ที่งอกขึ้นจาก แผ่นดินให้พินาศไปสิ้น" ดังที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีแล้ว
หลักฐานทางธรณีวิทยา
แจ๊ค ฟินนิแกน นักธรณีวิทยาคนสำคัญชาวอเมริกันกล่าวไว้ในปี ค.ศ. 1951 ว่า ความพินาศของ "เมืองบนที่ราบ" อันหมายถึงโซดอมและกอมเมอร์ราห์นี้เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ซึ่งตามติดมา ด้วยการระเบิดของแร่ธาตุใต้ดิน และอสุนีบาตอันน่าสะพรึงกลัว ทำให้แก๊สธรรมชาติพวยพุ่งขึ้นกระทบสายอสุนีบาตเกิดเป็นเพลิงลุกโพลงขึ้น ทำลายเมืองทั้งสองราบคาบลง แล้วทรุดลงไปใต้ทะเลเด้ดซี(นึกภาพแล้วขนพองสยองเกล้ามากยิ่งกว่ารถแก๊ส 1000คันระเบิดอีก)
นัก ธรณี วิทยาคนอื่นได้สำรวจเพิ่มเติมแล้วพบว่าใต้ทะเลแถวๆ นั้นมีภูเขาไฟด้วย จึงไม่น่าแปลกอะไรที่ภูเขาไฟอาจระเบิดซ้ำเติม ทำให้มองเห็นภาพ "กำมะถันและไฟ" ซึ่งพวยพุ่งจากใต้ดินสูงขึ้นไปในอากาศแล้วหวนตกลงมาทำลายชาวเมืองอีก ครั้งออกจะเป็นภาพที่น่าสยดสยองในสายตาของผู้พบเห็นในยุคนั้นยิ่งนัก จนไม่รูจะเปรียบเทียบกับอะไรดี นอกจากการลงโทษของพระผู้เป็นเจ้า
หาก ไม่ได้นักธรณีวิทยาและนักโบราณคดีค้นคว้ากันอย่างใกล้ชิด เมืองในพระคัมภีร์ทั้งสองก็คงเป็นเมืองที่จมอยู่ในเงามืดตลอดกาล ไม่มีใครเชื่อว่ามีอยู่จริง เพราะไม่มีซากเหลือให้เห็นอีกเลย การค้นคว้าหาหลักฐานข้อเท็จจริงตามพระคัมภีร์จึงต้องพึ่งวิทยาการสมัยใหม่ อยู่มากแต่เมื่อค้นคว้าแล้วก็ไม่ผิดหวัง คัมภีร์ไบเบิ้ลบางตอนจึงสามารถใช้เป็นประวัติศาสตร์ที่เชื่อถือได้ทีเดียว อันการที่เมืองถล่มทลายลงไปใต้ดินนี้ คนโบราณเขาบันทึกไว้เกือบทุกชาติ แสดงว่าในอดีต เคยมีเมืองถล่มมาแล้วทั่วโลกนับแต่ทวีปแอตแลนติสเป็นต้นมา ในพระเวทของอินเดียก็กล่าวถึงเมืองทวารกาที่จมลงไปใต้ทะเล
อ้างอิง : arkdiscovery.com ,หนังสือ เปิดนครในตำนาน โดย ไดโนเสาร์ (แก่)
คัดลอก จาก: http://cid-ebb8f3cb9f8e21ef.spaces.live.com/blog/cns!EBB8F3CB9F8E21EF!702.entry
ที่ท้ายคิดว่า พระเจ้าจะต้องล้างยุคสุดท้ายด้วยไฟ เพราะพระเจ้าให้สัญญากับโนอาห์ใน ปฐก 9:11 เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับพวกเจ้าว่า จะไม่มีการทำลายบรรดาเนื้อหนังโดยน้ำท่วมอีก จะไม่มีน้ำมาท่วมทำลายโลกอีกต่อไป"
การที่คนในโลกทำบาปมากๆ อาจจะเร่งการกลับมาของเจ้าให้เร็วขึ้นก็ได้ การทำบาปของ Hm ที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใด มันรังจะมาซึ่งความพินาศ เหมือนกับเมืองนีระเวห์ แต่มีบางเหตุผลที่พระเจ้าไม่ทำลายเขา นั้นเพราะว่า ถ้าถามว่า ชาวเมืองนีระเวห็ป่าเถื่อนไหม?บาปไหม?และเขาสมควรจะต้องพินาศในบึงไฟนรกไหม? คำตอบแรก แน่นอนพวกเขาเป็นคนบาปโดยสายเลือด(บรรพบุรุษ) คำตอบต่อมา เขาไม่สมควรจะถูกพิพากษา เพราะว่าเขายังไม่เคยได้รับฟังข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าจึงได้ใช้โยนาห์ไป เช่นเดียวกับโลกในปัจจุบันพระเจ้าจะพิพากษาโลก ก็ต่อเมื่อข่าวประเสริฐไปทั่วทั้งโลกแล้วโดยผ่านคริสเตียนอย่างเราๆนั้นเอง
30:28 พระปัสสาสะของพระองค์เหมือนลำธารท่วมท้น ที่ท่วมถึงกลางคอ เพื่อจะร่อนบรรดาประชาชาติด้วยตะแกรงแห่งความไร้สาระ และจะมีบังเหียนซึ่งพาให้หลงไปที่ขากรรไกรของชนชาติทั้งหลาย
ความคิดเห็น