ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Oh...My....GOD

    ลำดับตอนที่ #53 : กระดูกแห้งคืนชีพ---- เอเสเคียล 37:1-14 ---

    • อัปเดตล่าสุด 11 มี.ค. 54


     เอเสเคียล 37:1-14

      

    “พระหัตถ์ของพระเจ้ามาอยู่เหนือข้าพเจ้า”  

    พระเจ้าได้วางพระหัตถ์ของพระองค์ลงเหนือเอเสเคียล และทรงนำท่านไปในที่แห่งหนึ่ง ที่ท่านเอง(คง)ไม่ประสงค์อยากจะไป พระคัมภีร์ได้กล่าวถึง “ด้วยพระวิญญาณ เอเสเคียลได้ถูกนำออกมา(วาง)ไว้ที่กลางหว่างเขา มีกระดูกเต็มไปหมด”

     

    ทำไมพระเจ้าจึงนำเอเสเคียลไปให้อยู่ท่ามกลางกระดูกคนตายที่เกลื่อนกลาดเต็มหุบเขา??

     

    จุดประสงค์ของพระเจ้า 

    เวลานั้น เป็นช่วงศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตศักราช ซึ่งเป็นเวลาที่อิสราเอลกำลังตกต่ำอย่างถึงที่สุด คือ กำลังอยู่ในสภาวะสิ้นชาติสูญแผ่นดิน ประชาชนจำนวนมากถูกฆ่าตาย ส่วนคนที่เหลือก็ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่ บาบิโลน ในขณะที่มีแต่ความหายนะ คือมองไปที่ไหนก็มีแต่กระดูกแห้งจากซากศพของคนตาย

     

    พระเจ้าทรง “เห็น” ทรง “รู้” ทรง “เข้าใจ” ในความรู้สึกสิ้นหวังของผู้รับใช้และของประชากรของพระองค์ ในเวลานั้นอาจจะมีคำถามว่า “ทำไม?” ดังอยู่แทบทุกบ้านของชาวอิสราเอล ‘ความตาย’ ได้พรากคนที่เขารักไปจากเขา ความหายนะได้ครอบคลุมทุกอณูของแผ่นดินของเขา ประเทศของเขาล่มจมลงแล้ว “ไม่มีความหวังใดๆในอิสราเอล”....ในเวลาเช่นนี้ ยากนักที่อิสราเอลจะเข้าใจว่า พวกเขายังจะมีพระเจ้าอยู่ด้วยอีกหรือไม่?? คงจะคิดว่า “พระองค์คงไม่มีจริงหรอก หรือถ้ามีก็คงจะทรงละทิ้งพวกเราไปแล้ว” ความคิดเช่นนี้คงจะวนเวียนอยู่ในสมองของพวกเขาในเวลานี้

     

    ท่านเอเสเคียลเอง แม้ว่าท่านจะมีความเชื่อในพระเจ้าอย่างหนักแน่นมั่นคง แม้จะมีประสบการณ์มากมายกับพระองค์ แต่ในสภาวะ ในสถานการณ์และในความทุกข์ระทมของอิสราเอลเช่นนี้ ท่านเองก็คงจะไม่แตกต่างกับประชาชนนัก ความหดหู่ใจและความสิ้นหวังได้ปกคลุมเหมือนก้อนเมฆที่ดำมืดอยู่เหนืออิสราเอล

     

    “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย กระดูกเหล่านี้จะมีชีวิตได้ไหม?” 

    คำถามนี้ช่างยากนัก....เอเสเคียลบรรยายถึงกระดูกเหล่านั้นว่า “และนี่แน่ะ เป็นกระดูกแห้งทีเดียว” เราจะยังมีหวังอะไรในกระดูกแห้งของคนที่ตายแล้ว มนุษย์อย่างเราจะทำอะไรได้กับกระดูกแห้งของคนตายเหล่านั้น? พระเจ้าพาเอเสเคียลไปผิดที่หรือเปล่า?? ทำไมไม่ทรงพาท่านไปในที่ๆมีหวังมากกว่านั้น? พระองค์ไม่ทรงรู้หรือว่าท่านกำลังสิ้นหวัง? ไม่ทรงสนใจบ้างเลยหรือว่าท่านรู้สึกอย่างไร? ก็ในเมื่อพระองค์ ‘ทรงเป็นพระเจ้า’ ทำไมจึงทรงมองดู ‘ความตาย’ของประชากรของพระองค์และทรงทำเฉยอยู่? การที่จะทรงทำการอัศจรรย์ในคนเป็นก็ดีกว่าที่จะทำการอัศจรรย์ในกระดูกของคนตายมิใช่หรือ?

     

    แต่ข้อความข้างบนนี้ก็เป็น “ความคิดอย่างมนุษย์ ไม่ใช่ความคิดอย่างพระเจ้า” หลายครั้งที่เราไม่เข้าใจการกระทำของพระเจ้า เราไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ ก็เพราะเราคิดว่า “อย่างนี้มันง่ายกว่า อย่างนี้มันดีกว่า” การที่พระองค์จะอวยพรเราไม่ให้พบปัญหาก็น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้วมิใช่หรือ?? แต่แล้วทำไมทรงปล่อยให้คนที่รักพระองค์ต้องพบกับความทุกข์ยาก ทรมานสารพัด? แต่นั่นก็เป็น “ความคิดอย่างมนุษย์ ไม่ใช่เป็นความคิดอย่างพระเจ้า” มนุษย์นั้นคิดอะไรที่ง่ายๆแต่ทำอะไรที่ยากๆ ส่วนพระเจ้านั้นทรงทำอะไรที่ยากๆแต่คิดอะไรที่ง่ายๆ

     

    ที่มนุษย์เรา(มัก)คิดอย่างนั้น เพราะเราไม่เข้าใจ “ธรรมชาติบาป”ในตัวของตัวเอง พระเจ้า ได้ทรงเริ่มต้นด้วยการให้สิ่งดีที่วิเศษมากให้กับมนุษย์เมื่อทรงสร้างเขา ทรงสร้างสรรพสิ่งมากมาย ก่อนที่จะทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา และเมื่อทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาแล้ว ก็ทรงให้เขามีอำนาจครอบครองเหนือสิ่งสารพัดที่ทรงสร้าง ทรงสร้างเขาวิเศษเลิศกว่าทุกสิ่งที่ทรงสร้างมาทั้งหมด ทรงระบายลมปราณให้แก่เขา เพื่อเขาจะมีชีวิต “แต่” ดูสิ่งที่มนุษย์ทำกับพระเจ้าสิ....

     

    ความบาปทำให้เกิดความตาย และความตายทำให้กระดูกแห้ง 

    พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งให้มนุษย์เป็นผู้ครอบครองดูแล ในพระธรรมปฐมกาล 1:9 (ก)  

    แล้วพระเจ้าทรงให้ต้นไม้ทุกชนิดที่งามน่าดูและน่ากิน เป็นอาหารงอกขึ้นจากดิน...

    ในเมื่อมนุษย์มีทุกอย่างที่ดีพร้อมอย่างนี้แล้ว มีเหตุผลอะไรที่เขาจะยื่นมือทำบาป มีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้า?

    ปฐมกาล 1:9 (ข)ได้พูดถึงต้นไม้สองต้นที่อยู่กลางสวน คือ ต้นไม้แห่งชีวิต และต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว อย่างละต้น “แต่ต้นเดียวเท่านั้น” ที่พระเจ้าทรงตรัสห้ามไม่ให้กิน ก็คือ “ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว” เพราะถ้าเขาขืนกินวันใด “เขาจะต้องตายแน่” แต่แทนที่มนุษย์จะยื่นมือหยิบผลไม้แห่งชีวิต(ซึ่งดีกว่ามากมายนัก)มากิน แต่เขากลับไม่ทำ! เมื่อมาร(ในร่างของงู)มาล่อลวงเขาด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว เขาก็หลงตามและปัดคำสั่งของพระเจ้าทิ้งไปง่ายๆ ดังนั้น มนุษย์และพงศ์พันธุ์ของมนุษย์จึงตกอยู่ภายใต้อานุภาพของมารร้าย  เพราะเขาได้ยอม(ขาย)ตัวให้อยู่ภายใต้คำล่อลวงของมัน

     

    มนุษย์ทำให้พระเจ้า(น่าจะ)สิ้นหวังไปตั้งแต่ยังมีเพียงคนคู่แรกด้วยซ้ำไป แต่(ถึงกระนั้น) พระเจ้าก็สำแดงพระกรุณาด้วยทรงทำเสื้อหนังสัตว์ให้เขาคลุมกาย ไล่เขาออกจากสวน เพื่อเขาจะได้ไม่ยื่นมือหยิบต้นไม้แห่งชีวิตแล้วมีชีวิตในบาปตลอดไป

     

    เหตุการณ์ทั้งหลายที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ในลำดับพงศ์พันธุ์ของมนุษย์ เราพบว่า “ความบาป” เป็นปัญหาที่ทำให้มนุษย์ต้องกลายเป็นเหมือนกระดูกที่แห้งสนิท “แต่” ถึงกระนั้นก็ตาม พระเจ้าก็ยังตรัสกับเขาในพระธรรมอิสยาห์1.18 พระเจ้าตรัสว่า มาเถิด ให้เรามาสู้ความกัน ถึงบาปของเจ้าเหมือนสีแดงเข้ม ก็จะขาวอย่างหิมะ ถึงมันจะแดงอย่างผ้าแดงก็จะกลาย เป็นอย่างขนแกะ”  

     

    พระเจ้าไม่ได้สิ้นหวัง แม้ในกระดูกที่แห้งแล้ว 

    แม้ว่า มนุษย์อย่างท่านเอเสเคียลและเรา อาจจะสิ้นหวังต่อกระดูกของคนตาย แต่พระเจ้า “ไม่เคยสิ้นหวัง” คำถามของพระองค์ต่อท่านเอเสเคียลนั้นแสดงถึงพระกรุณาที่ไม่สิ้นสุดของพระองค์ที่ทรงต่อมนุษย์

     

    “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย กระดูกเหล่านี้จะมีชีวิตได้ไหม?” 

    ท่านเอเสเคียลตอบด้วยความลำบากใจว่า “พระเจ้าข้าพระองค์ก็ทรงทราบอยู่แล้ว” คำตอบของเอเสเคียลสามารถคิดได้สองอย่าง อย่างที่หนึ่งคือ “โธ่เอ๋ย!!! ก็ทรงรู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีทางจะเป็นไปได้ แล้วจะมาถามทำไม?” แต่อย่างที่สองคือ “ถึงแม้ว่ามันจะแห้งสนิทแต่ถ้าทรงพอพระทัยมันก็จะมีชีวิตได้”

     

    ในชีวิตของเรานั้น มีกี่ครั้งที่เราเผชิญหน้ากับความสิ้นหวัง สิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ และไม่มีทางเป็นไปได้แน่ๆ....ขอให้เรามาฟังคำถามของพระเจ้า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย กระดูกเหล่านี้จะมีชีวิตได้ไหม?” เราจะตอบพระองค์เป็นคำตอบของเราเองได้ไหม???

     

    “จงเผยพระวจนะต่อกระดูกเหล่านี้” 

    คำๆนี้ช่างอัศจรรย์จริงๆ ที่พระเจ้าทรงเรียกให้เอเสเคียล(มนุษย์คนหนึ่ง)เผยพระวจนะต่อกระดูกคนตายเหล่านั้น

     

    “พระวจนะของพระเจ้า”  

    พระวจนะที่เคยตรัสให้ “เกิดความสว่าง” ให้ “มีกลางวันและกลางคืน) ให้ “มีภาคพื้น” ให้ “มีทะเลและแหล่งน้ำ” มี “สัตว์ที่มีชีวิตทั้งสัตว์บก สัตว์ปีกและสัตว์น้ำ” ให้ “มีพืชที่ออกเมล็ดตามชนิดของมัน” ให้ “มีดวงสว่างทั้งหลาย ทั้งดวงสว่างที่ครองวันและครองคืน”....สรรพสิ่งที่เรามองเห็นและมองไม่เห็นด้วยตา ได้เกิดมีขึ้นมาโดย “พระวจนะของพระเจ้า”

     

    นี่คือ ‘พลานุภาพ’ ที่เราควรจะรู้ เราทุกคนมี “พระคัมภีร์” เราเรียกพระคัมภีร์ว่าเป็น “พระวจนะของพระเจ้า” เราสามารถอ่านพระคัมภีร์และใช้พระคัมภีร์ได้เต็มที่ทุกที่ทุกเวลา แต่หลายครั้งเราพูดว่า “ฉันไม่มีเวลาพอที่จะอ่าน” หลายครั้งเราอ้างว่า “ข้าเหนื่อยเกินไปที่จะอ่าน” แล้วจากนั้นก็จะมานั่งจับเจ่าพรรณาถึงความทุกข์และปัญหาที่ทำให้เราไม่มีเวลา หรือไม่มีแรงอ่านพระคัมภีร์...

     

    โอ...มนุษย์เอ๋ย!! เอวาได้ถูกหลอกมาก็ด้วยเหตุผลจอมปลอมที่มารป้อนมาในความคิดของนาง เหตุผลจอมปลอมนั้นทำให้นางมองไม่เห็นความอัศจรรย์ของ “พระวจนะของพระเจ้า” คำสั่งของพระเจ้าเพื่อเอวาและอาดัมนั้น ไม่ใช่เพียงเพื่อพวกเขาสองคนเท่านั้น แต่เพื่อประโยชน์ทั้งของเขาและพงษ์พันธุ์ของเขาด้วย

     

    เช่นกัน ที่คำสั่งสอนของพระเจ้าในพระคัมภีร์เป็นประโยชน์ให้แก่ตัวเราและแก่พงษ์พันธุ์ของเรา เราและพงษ์พันธุ์ของเราสามารถจะได้ ‘รับพระพรด้วยการเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า’ ...แต่น่าเสียดายที่หลายคนได้ปล่อยให้พระคัมภีร์ฝุ่นจับเขรอะ เขาทิ้งและปล่อยให้พระวจนะของพระเจ้าถูกปิดไว้ การกระทำอย่างนั้นเองที่ทำให้เขาเป็นเหมือนกระดูกแห้ง จริงอยู่ที่ว่าเขาอาจจะยังเคลื่อน ไหวไปมาได้ แต่ข้างในใจของเขานั้นแห้งแล้งเหมือนกระดูกแห้ง

     

    “กระดูกแห้งเอ๋ย จงฟังพระวจนะของพระเจ้า”(ข้อ 4)

    พระองค์ทรงสั่งให้เอเสเคียลเผยพระวจนะแก่กระดูกแห้งเหล่านั้นว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้แก่กระดูกเหล่านี้ว่า ดูเถิดเราจะกระทำให้ลมหายใจเข้าไปในเจ้า และเจ้าจะมีชีวิต เราจะวางเส้นเอ็นไว้บนเจ้าและจะกระทำให้เนื้อมีมาบนเจ้า และเอาหนังคลุมเจ้า และบรรจุลมหายใจในเจ้าและเจ้าจะมีชีวิต และเจ้าจะทราบว่า เราคือพระเจ้า”(ข้อ 5, 6)

      

    พระเจ้าได้ทำให้เอเสเคียล ผู้(คงจะ)กำลังหมดหวังต่อชนชาติอิสราเอลได้เห็น “ความจริงที่ซ้อนทับความจริง” นั่นก็คือว่า ความจริงแรกที่ว่า “กระดูกคนตายไม่สามารถมีชีวิตขึ้นมาได้” ได้ถูกสวมทับด้วยความจริงที่สองที่ว่า “แต่ด้วยพระวจนะของพระเจ้าไม่มีสักสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้ ไม่มีเลย! แม้ว่ากระดูกเหล่านี้จะแห้งแล้ว แต่ถ้าพระวจนะของพระเจ้าสั่งให้มันกลับมีชีวิตมันก็จะต้องเชื่อฟัง!!! เพราะพระวจนะที่พระเจ้าใช้ให้ออกไปแล้วจะไม่กลับสู่พระองค์เปล่า แต่มันจะต้องสัมฤทธิ์ผล”  

    พระเจ้าไม่ทรงสิ้นหวัง

      

    ในพระธรรมยอห์น 3:16 ได้กล่าวไว้ว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”  พระธรรมตอนนี้ได้แสดงถึงความหวังและความตั้งใจที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ที่ทรงสร้าง แม้ว่า ตั้งแต่ทรงสร้างมนุษย์มา พวกเขา(พวกเรา)ก็ยังไม่หยุดที่จะทำบาป แม้ว่าจะทรงล้างโลกไปครั้งหนึ่งแล้ว ความบาปก็ยังงอกเงยไม่หยุดแพร่เชื้อร้ายไปสู่มนุษยชาติ แต่ถึงกระนั้น พระเจ้าก็ไม่ทรงสิ้นหวังในการช่วยกู้มนุษย์ พระองค์ได้ทรงส่ง พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ลงมา พระบุตรนั้นได้มาสิ้นพระชนม์ที่กางเขนเพื่อเป็น ‘ค่าไถ่บาปของมนุษย์’ พระคัมภีร์กล่าวไว้อย่างนี้ว่า “แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา” (โรม 5:8)

      

    และโรม 5:10 ได้กล่าวไว้ว่า เพราะว่าถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรูต่อพระเจ้าเราได้กลับคืนดีกับพระองค์ โดยที่พระบุตรของพระองค์สิ้น พระชนม์ ยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อเรากลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์แน่นี่คือความอัศจรรย์ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำแล้วในชีวิตของพวกเรา พระประสงค์ของพระองค์ที่มีต่อเราผู้ที่ได้รับความรอดแล้วก็คือ ที่จะทรงใช้เราให้เข้าไปยังโลก(ยอห์น 17: 18) ในโลกที่เต็มไปด้วยกระดูกแห้งของคนตาย เพื่อที่เราจะพูดถ้อยคำ(พระวจนะ)ของพระเจ้าเข้าไปสู่พวกเขา และเพื่อที่พวกเขาจะได้มีชีวิต

     

    พระประสงค์ของพระเจ้า ได้สำแดงต่อท่านเอเสเคียลและสำแดงต่อมายังพวกเรา(ผู้ที่ได้รับพระคุณ) ให้เห็นถึงความปรารถนาที่อยู่ในหัวใจที่ไม่เคยสิ้นหวังของพระองค์ ให้เรารู้ว่าพระองค์ทรงรักมนุษย์มากมายเพียงใด ทรงพอพระทัยที่จะให้เขามีชีวิตอยู่ไม่ใช่ที่จะให้เขาตาย ทรงพอพระทัยที่จะให้เขามีชีวิตที่เปี่ยมล้นไปด้วยสันติสุขและความชื่นชมยินดี ไม่ใช่ให้อยู่ในความทุกข์ทรมานและความสิ้นหวัง

     

    พระธรรมบทเพลงคร่ำครวญ 3: 33 กล่าวไว้ว่า “เพราะพระองค์ทรงกระทำให้ใครเกิดความทุกข์ใจ หรือให้ลูกหลานมนุษย์มีความโศกด้วยชอบพระทัยก็หามิได้” ไม่ใช่พระเจ้าที่ทำให้มนุษย์มีทุกข์แต่ความบาปต่างหากที่ทำให้เขาต้องกลายเป็นเหมือนกระดูกแห้งของคนตาย... “แต่ถึงกระนั้น” ก็อย่าให้เราสิ้นหวัง เพราะ “พระวจนะของพระเจ้าไม่ตาย แต่มีพลานุภาพอย่างไร้ขีดจำกัด” พระวจนะของพระเจ้าจะช่วยกู้เราและจะทำให้เราออกไปนำการช่วยกู้ และการปลดปล่อยไปสู่คนอีกมากมายที่ได้ยินพระวจนะนั้น

     

    อย่าลืมว่า “ใครที่อยู่ในเรา” ถ้าพระเจ้าอยู่ในเรา การอัศจรรย์ใดๆก็พร้อมที่จะเกิดขึ้นได้ ไม่มีการใดใหญ่เกินไปที่พระเจ้าผู้ทรงอยู่ในเราจะทำไม่ได้ ขอเพียงแต่เราจะเชื่อฟังพระองค์และพูดถ้อยคำที่ทรงให้เราพูดออกไปด้วยความเชื่อเท่านั้นเอง!!!

     

    โลกที่สิ้นหวังจะไม่สิ้นหวัง ถ้าเพียงแต่คริสเตียนจะเชื่อฟังเหมือนท่านเอเสเคียล “จงพูดพระวจนะแก่กระดูกเหล่านี้!”

    ข้าพเจ้า(เจิม ซัม)จะใช้เวลาทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกเพื่อพูดพระวจนะของพระเจ้า จะเผยแพร่พระวจนะออกไป เพราะข้าพเจ้าได้เห็นแล้วว่า “ด้วยพระวจนะกระดูกแห้งก็กลับฟื้นคืนชีวิตได้” อาเมน.

     

    ด้วยรักในพระคริสต์

    เจิม ซัม



    ANGEL SPlus

    บทความแจกธีม ฟรีธีม FREE THEME
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×