ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Oh...My....GOD

    ลำดับตอนที่ #4 : ไดโนเสาร์ กับพระคัมภีร์ Bible (80%)

    • อัปเดตล่าสุด 24 มิ.ย. 57





     

    Dinosaurs and the Bible

    ไดโนเสาร์ กับพระคัมภีร์ Bible

    เป็นความจริงที่ว่า ไม่มีคำว่า “ไดโนเสาร์” ในพระคัมภีร์ Holy Bible เลย  แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า พระคัมภีร์ ปฎิเสธ และบอกว่า ไดโนเสาร์ ไม่มีจริง

     

    แล้วที่เราเห็นโครงกระดูดใหญ่ๆใน พิพิธภัณฑ์ ในหนัง ในภาพยนตร์ หลายๆที่ล่ะ พระคัมภีร์ไม่ใช่ความจริงหรือ  โกหก และมุสาใช่ไหม?

     


     

    นั้น ก็เพราะว่าคำว่า ไดโนเสาร์ ในภาษาอังกฤษ (dinosaur) ถูกตั้งขึ้นโดย เซอร์ ริชาร์ด โอเวน นักบรรพชีวินวิทยา ชาวอังกฤษ ในปีค.ศ.1841 ซึ่งเป็นการผสมของคำในภาษากรีกสองคำ คือคำว่า ไดนอส (deinos) ซึ่งแปลว่า ใหญ่จนน่าสะพรึงกลัว และคำว่า เซารัส (sauros) ซึ่งแปลว่า สัตว์เลื้อยคลาน


     ซึ่งคำว่า “ไดโนเสาร์” นี้ เกิดในปี  ค.ศ.1841  ซึ่งเกิดหลังจาก พระคัมภีร์ Holy Bible  เป็นไปได้ว่า ผู้สื่อสารจากพระเจ้า หรือผู้เผยพระวจนะบางคน ใช้ภาษาที่ไม่เหมือนใน ปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงของาษา ทำให้เราทั้งหลาย ไม่เข้าใจในพระคัมภีร์อย่างเที่ยงแท้

     

     

    คำว่า “ไดโนเสาร์” นักวิชาการด้านพระคัมภีร์ คาดว่า ในพระคัมภีร์ ใช้ คำว่า “สัตว์มหึมา” “สัตว์ขนาดใหญ่” ซึ่งคำเหล่านี้ ปรากฏ ในพระธรรมหลายตอน  ซึ่งท้ายจะขออธิบายในขั้นตอนต่อไปนะคะ ตอนนี้ เรามาว่า กันในเรื่อง หลักการพระเจ้า กับทฤษฏีวิวัฒนาการที่ว่า

     

     “ไดโนเสาร์มีมาประมาณ 70 ล้านปีก่อนมนุษย์จะเกิด”

     

    ซึ่งทฤษฏีนี้ ขัดแย้งกับพระคัมภีร์ เป็นอย่างมาก

     

    น่าเสียดายที่ คริสเตียนจำนวนมาก ยอมรับทฤษฏีนี้ ทั้งๆที่เขาเหล่านั้น รู้จักพระคัมภีร์ เป็นอย่างดี และเรียกได้ว่า อ่านพระคัมภีร์ทุกๆวัน และเข้าใจว่าทฤษฏีนี้ ใช่และเป็นจริงอย่างนั้น มาโดยตลอด เชื่อตามภาพยนตร์ ตามตำราเรียนบางตำรา  มากกว่าเชื่อตามพระคำขององค์พระผู้เป็นเจ้า

     

    ลองคิดเล่นๆๆนะคะ ถ้าไดโนเสาร์ เกิดขึ้นก่อน อดัมกับเอวา ก็จะมีปัญหาทันทีกับสิ่งที่พระคัมภีร์ปฐมกาลได้บันทึกเอาไว้

     

    เพราะในพระธรรมปฐมกาลได้กล่าวไว้ว่า พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งใน 6 วัน  นั้นหมายถึง ร่วมถึงไดโนเสาร์ และมนุษย์ด้วย

    (John Clayton, Teacher’s Manual - Does God Exist? Correspondence Course, p. 16)

     
     

     

    แต่ อะไรที่เป็นหลักฐานที่จะพิสูจน์ล่ะ?

     

     

    การพิจารณาในด้านพระคัมภีร์

    ในพระคัมภีร์ได้บอกเราถึงการทรงสร้างอย่างชัดเจน ในหลายๆตอน พระเจ้าใช้เวลาในสร้างโลก 6 วัน นั้นคือทุกสรรพสิ่ง และสร้างขึ้นตามชนิดของมัน  เป็นที่แน่ชัดและขัดกับผู้ที่เชื่อทฤษฏีวิวัฒนาการ  ที่มีช่วงเวลาเนินนานในการสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นกว่าจะลงตัว  เกิดมีสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้

     

     

     แต่นักทฤษฏีวิวัฒนาการ เหล่านั้น ไม่รู้ความจริงของ พระคัมภีร์ที่ว่า 1 วันของพระเจ้า  = 1,000 ปีของมนุษย์  อ้างอิงจากพระคำ  เพลงสดุดี 90: 4 “เพราะพันปีในสายพระเนตรของพระองค์เป็นเหมือนวานนี้ซึ่งผ่านไปแล้ว หรือเหมือนยามเดียวในเวลากลางคืนและ 2 เปโตร 3: 8 “แต่พวกที่รัก อย่าลืมข้อนี้เสีย คือวันเดียวขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเหมือนกับพันปี และพันปีก็เป็นเหมือนกับวันเดียว

    นั้น แสดงว่า เป็นไปได้ที่ โลกนี้ถูกสร้าง โดยใช้เวลาเกือบๆ 6,000 ปีของโลก มนุษย์

     

     

    ในพระคัมภีร์ ปฐมกาล กล่าวไว้ชัดเจนว่า พระเจ้าทรงสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้น ตามชนิดของมัน ไม่มีความบังเอิญใดๆ ในการทรงสร้างให้เกิดสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ตามที่นักทฤษฏีวิวัฒนาการ เหล่านั้น ได้กล่าวเอาไว้

     



     

    โดยของชี้แจงเป็นข้อๆดังนี้

     

    1. ในไบเบิ้ลเขียนไว้ว่า พระเจ้าสร้างโลก ใน 6วัน (อพย 20:11เพราะในหกวันพระเยโฮวาห์ทรงสร้างฟ้า และแผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น แต่ในวันที่เจ็ดทรงพัก เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์ทรงอวยพระพรวันสะบาโต และทรงตั้งวันนั้นไว้เป็นวันบริสุทธิ์ ) และนี่ ก็รวมทั้งไดโนเสาร์ และมนุษย์ด้วย
     

     

    และใน

    ปฐมกาล 1:21  พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเลขนาดใหญ่และสัตว์ที่มีชีวิตนานาชนิดซึ่งแหวกว่ายอยู่ในน้ำเป็นฝูงๆตามชนิดของมันและนกต่างๆตามชนิดของมันพระเจ้าทรงเห็นว่าดี..



    ปฐมกาล 1:24 พระเจ้าตรัสว่า"แผ่นดินจงเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมันคือสัตว์ใช้งานสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ป่าตามชนิดของมัน"ก็เป็นดังนั้น..

     

     

    2. พระเยซูทรงยืนยัน ถึงการทรงสร้างใน มาระโก 10:6 "ตั้งแต่เดิมสร้างโลกพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง  " ประโยคนี้บอกเราถึงการทรงสร้างที่มีมาแต่เดิม มีมนุษย์ตั้งแต่เริ่มต้น มิใช่ว่า มนุษย์ปรากฏขึ้นมาหลังจากที่ไดโนเสาร์สูญพันธ์ไปแล้ว มนุษย์ได้อยู่ในโลกตั้งแต่แรกสร้างโลก

     

     

    3. พระเจ้าให้มนุษย์ครอบครองสิ่งที่ทรงสร้างต่างๆบนแผ่นดินโลก

    ปฐมกาล 1:26 ให้เราสร้าง มนุษย์ตามฉายา ตามอย่างของเราให้ครอบครอง ฝูงปลาในทะเล ฝูง นก ในอากาศ และ ฝูงสัตว์ ให้ ปกครอง แผ่นดิน ทั่วไป และ สัตว์ ต่างๆ ที่เลื้อยคลาน บน แผ่นดิน" นี่เป็นเหตุผล ที่ทำให้เราได้เห็นว่า ไดโนเสาร์ก็อยู่ในการทรงสร้าง และมนุษย์ก็มีสิทธิอำนาจเหนือมัน

     

    หลักฐานสมัยใหม่



     

    http://www.apologeticspress.org/image/rr/2003/r&r0302b.jpg




    THE DINOSAUR.  Photograph by Robert L. 
    Carson.  Witnesses, Chas. W. Gilmore, 
    Samuel Hubbard, J. F. Roop, Fred V. Shaw.

     


    Two views of Tracks of Carnivorous Dinosaur 
    in "Painted Desert," Northern Arizona 
    (note depressions made by tip of tail).
     

     

     

    ในปี คศ.1970 หนังสือพิมพ์ รายงาน การค้นพบ ภาพเขียนสีภายในถ้ำ ลักษณะของภาพเป็นรูปสััตว์ขนาดใหญ่ อยู่ภายในถ้ำประเทศซิมบัพเว (Zimbabwe) ภาพเขียนสีนี้ น่าจะมีอายุ 1500 ปีก่อนคริสตกาล มีการเทียบเคียงมันกับช้างและยีราฟ ที่อยู่ในภาพ และเข้าใจว่าเป็น Apatosaurus (ไดโนเสาร์ขนาดใหญ่) ภาพเขียนนี้ เป็นจิกซอที่สำคัญทางวิทยาศาสตร์ เพราะมันได้บันทึก ชีวิตจริงไว้







    ประมาณ 70 ปีมาแล้ว Dr. Samuel Hubbard หัวหน้าพิพิธภัณฑ์โบราณคดี ใน Oakland (แคริฟฟอเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา) ค้นพบ ไดโนเสาร์ ภาพแกะสลักบนพนังถ้ำ ที่ Hava Supai Canyon ในอริโซนา ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับ Tyrannosaurus (หรือที่เรารู้จักกันในนาม T-rex) ทำให้เราเห็นความสัมพันธ์ระหว่าง มนุษย์และไดโนเสาร์ที่อยู่ในยุคเดียวกัน



    http://www.genesispark.com/wp-content/uploads/2011/11/ancient31.jpg

    ข้อมูลเพิ่มเติมภาพเขียนสี ที่ http://www.creationism.org

    .

    เมื่อรายการ discovery ออกอากาศการค้นพบ ร้อยเท้ามนุษย์ และรอยเท้าของไดโนเสาร์ ปรากฏร่วมกันในพื้นที่เดี่ยวกัน ที่แม่น้ำPaluxy ใกล้กับ Glen Rose ในรัฐเท้กซัส ในปี คศ.1939













    Click to View
    Click to View

     

    ในช่อง Natural History ก็ได้สร้างความสนใจอย่างมากจนทุกวันนี้ ทำให้ผู้ชมได้พบเห็นหลักฐานการคงอยู่ของมนุษย์และไดโนเสาร์ในยุคเดียวกัน

     

     

    สำหรับคนที่เชื่อ ทฤษฎีวิวัฒนาการ นี้คงเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งจากหลายชิ้น ถึงการทรงสร้างของพระเจ้า แต่ก็มีความพยายามจากผู้ที่เชื่อในทฤษฏีวิวัฒนาการ เพื่อพยายามพิสูจน์ว่า รอยเท้าดังกล่าวนั้นไม่ใช่มนุษย์


    ข้อมูลการค้นพบรอยเท้ามนุษย์ และไดโนเสาร์ที่่ ที่แม่น้ำPaluxy เพิ่มเติ่มที่ http://www.bible.ca






    จากทั้งหมดทำให้เราได้เห็นช่วงเวลาที่น่าถูกต้องตามพระคัมภีร์คือ การคงอยู่ของไดโนเสาร์นั้นมีจริงและคงอยู่มาตั้งแต่แรกสร้างโลก พร้อมกับที่มนุษย์ได้อยู่ในโลกใบนี้

     

     

     

     

     

    จากหลักฐานดังกล่าวที่กล่าวมานั้น  ทฤษฏีวิวัฒนาการที่ว่า  “ไดโนเสาร์มีมาประมาณ 70 ล้านปีก่อนมนุษย์จะเกิด” นั้น ไม่เป็นความจริง คริสเตียนไม่ควรเชื่อตามทฤษฏีนี้ เพราะว่ามันขัดแย้ง กับพระคัมภีร์คะ

     

     

     

    มาเล่าเรื่องของ “ไดโนเสาร์” ในพระคัมภีร์ กันต่อนะคะ  พระคัมภีร์ ข้อไหน ตอนไหนที่ น่าจะบงบอกว่า นั้น คือ “ไดโนเสาร์”

     

     

     

    คำว่า ไดโนเสาร์ ในภาษาอังกฤษ (dinosaur) ถูกตั้งขึ้นโดย เซอร์ ริชาร์ด โอเวน นักบรรพชีวินวิทยา ชาวอังกฤษ ในปีค.ศ.1841 ซึ่งเป็นการผสมของคำในภาษากรีกสองคำ คือคำว่า ไดนอส (deinos) ซึ่งแปลว่า ใหญ่จนน่าสะพรึงกลัว และคำว่า เซารัส (sauros) ซึ่งแปลว่า สัตว์เลื้อยคลาน

     

    ซึ่งคำว่า “ไดโนเสาร์” นี้ เกิดในปี  ค.ศ.1841  ซึ่งเกิดหลังจาก พระคัมภีร์ Holy Bible  เป็นไปได้ว่า ผู้สื่อสารจากพระเจ้า หรือผู้เผยพระวจนะบางคน ใช้ภาษาที่ไม่เหมือนใน ปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงของภาษา ทำให้เราทั้งหลาย ไม่เข้าใจในพระคัมภีร์อย่างเที่ยงแท้

     

    คำว่า “ไดโนเสาร์” นักวิชาการด้านพระคัมภีร์ คาดว่า ในพระคัมภีร์ ใช้ คำว่า “สัตว์มหึมา” “สัตว์ขนาดใหญ่” ซึ่งคำเหล่านี้ ปรากฏ ในพระธรรมโยบ กล่าวถึงสัตว์ที่น่าสนใจไว้ 2 ชนิด

     

    1.          อยู่ในพระธรรมโยบบทที่ 40 ข้อ 15-24  

    15 ดูเบเฮโมทเถิด ซึ่งเราได้สร้างอย่างที่เราได้สร้างเจ้า มันกินหญ้าเหมือนวัว 16 ดูเถิด กำลังของมันอยู่ในเอว และฤทธิ์ของมันอยู่ในกล้ามเนื้อท้อง 17 มันขยับหางของมันให้แข็งเหมือนไม้สนสีดาร์ เอ็นโคนขาของมันก็สานเข้าด้วยกัน 18 กระดูกของมันเหมือนท่อนทองสัมฤทธิ์ และกระดูกของมันเหมือนท่อนเหล็ก 19 มันเป็นพระราชกิจชิ้นที่สำคัญของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างมันนำดาบมาให้ 20 ภูเขาผลิตอาหารให้มันแน่ เป็นที่ที่สัตว์ป่าทุ่งทุกชนิดเล่น 21 มันนอนอยู่ใต้ต้นไม้ที่มีร่มเงา ในเพิงอ้อและในบึง 22 ต้นไม้ที่มีร่มเงาเป็นเงาคลุมมัน ต้นไค้แห่งธารน้ำล้อมมันไว้ 23 ดูเถิด มันดื่มแม่น้ำจนหมดและไม่รีบหนีไป มันวางใจว่าจะดูดแม่น้ำจอร์แดนเข้าใส่ปากมัน24 มันจ้องตาดูแม่น้ำ จมูกมันทะลุผ่านบ่วงทั้งหลายได้"

    พระเจ้าได้ตรัสกับโยบ ถึงสัตว์ที่เขาคุ้นเคยดี นั่นคือ เบเฮโมท ซึ่งเป็นชื่อที่เรียกทับศัพท์จากภาษาฮีบรู ถูกกล่าวว่าเป็น พระราชกิจชิ้นที่หนึ่งของพระเจ้า(ในข้อที่ 15 ดูเบเฮโมทเถิด ซึ่งเราได้สร้างอย่างที่เราได้สร้างเจ้า มันกินหญ้าเหมือนวัว )พระคัมภีร์กล่าวว่า มันขยับหางของมันเหมือนไม้สนสีดาร์

     

    ท้ายเคยเขียนเรื่อง ไม่สนสีดาห์แห่งเลบานอน ซึ่งพี่น้องบางคนได้อ่านแล้ว และพี่น้องบางคนยังไม่ได้อ่าน ขอทบทวนอีกครั้งนะคะ ลักษณะของสนซีดาร์แห่งเลบานอน เรียกได้ว่า เป็นต้นไม้ ใหญ่ยักษ์ที่สวยงามมาก ต้นไม้ที่เขียวชอุ่มตลอดทั้งปี ลำต้นของมันมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ถึง 6 ฟุต หรือ ประมาณ 2 เมตร เมื่อเทียบกับต้นไม้ในอิสราเอลยมย่อมเป็นต้นไม้ที่ยิ่งใหญ่ หรือถ้าพระคัมภีร์ตอนนี้ พูดถึงต้นสนสีดาห์ธรรมดาๆ ไม่ใช่ต้นสนสีดาห์แห่งเลบานอนก็ตาม เส้นผ่าศูนย์กลางของมันก็ไม่ใช่ น้อยๆ อย่างต่ำๆ ก็ 1 เมตร ซึ่งก็ถือว่าใหญ่มากเลยทีเดียว

     

    ข้อมูล ไม่สนสีดาห์ของท้ายเองคะ

    http://my.dek-d.com/iamtaity/story/viewlongc.php?id=399277&chapter=133

     

     

    จากคำอธิบายเรื่องไม้สนสีดาห์ เราลองเอามาเปรียบเทียบ กับพระคำโยบตอนนี้ ที่บอกว่า หางของมันเหมือนไม้สนสีดาห์ (ในข้อที่ 17 มันขยับหางของมันให้แข็งเหมือนไม้สนสีดาร์ ) นั้นหมายความว่า ตัวที่เรียกว่า “เบเฮโมท” มีขนาดใหญ่ไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงขนาดพระคำโยบตอนนี้ได้กล่าวว่า ตัวของมันสามารถดื่มน้ำในแม่น้ำแห้งลงได้ นั้นแสดงว่า มันใหญ่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว (23 ดูเถิด มันดื่มแม่น้ำจนหมดและไม่รีบหนีไป มันวางใจว่าจะดูดแม่น้ำจอร์แดนเข้าใส่ปากมัน)   อาหารของมัน คือพืชทั้งภูเขา พืชที่ขึ้นบนภูเขาทั้งลูก เป็นอาหารของมัน (20 ภูเขาผลิตอาหารให้มันแน่)

     

    มีคำอธิบายถึง สัตว์ชนิดหนึ่งในปัจจุบัน ที่หางของมันเหมาะสมกับคำอธิบายนี้คือ “ไดโนเสาร์” กินพืชพันธุ์ซัวโรพอด เช่น บราชิโอเซารัส (Brachiosaurus), ซูเปอร์เซารัส (Supersaurus), หรืออุลตราเซารัส(Ultrasaurus)

     
    Brachiosaurus



    ซูเปอร์เซารัส (Supersaurus)


    อุลตราเซารัส(Ultrasaurus)


    พระคัมภีร์ได้อธิบายในข้อ 23 ของพระธรรมโยบบทที่ 40 ว่า มันใหญ่และแข็งแรงพอที่จะยืนอย่างมั่นคงในแม่น้ำจอร์แดน   เรื่องราวทั้งหมดนี้ อาจจะทำให้พี่น้องคลายสงสัยได้บ้างนะคะ ^__^

     


     2. สัตว์ชนิดที่ 2  อยู่ในพระธรรมโยบ เช่นกัน ในบทที่ 41 ทั้งบท ได้กล่าวว่า 1 "เจ้าจะลากเลวีอาธานออกมาด้วยเบ็ดได้หรือ หรือจะเอาเชือกกดลิ้นของมันลงได้  2 เจ้าเอาเชือกสนตะพายมันได้หรือ หรือเอาหนามเจาะคางมันได้  3 มันจะวิงวอนต่อเจ้าเป็นอันมากหรือ มันจะพูดด้วยคำอ่อนหวานกับเจ้าหรือ  4 มันจะทำพันธสัญญากับเจ้า เพื่อเจ้าจะรับมันเป็นบ่าวตลอดไปหรือ  5 เจ้าจะเล่นกับมันเหมือนนก หรือเจ้าจะผูกมันไว้ให้สาวๆของเจ้าเล่นหรือ  6 เพื่อนฝูงจะมาจับและกินมันได้หรือ เขาทั้งหลายจะแบ่งกันท่ามกลางพวกพ่อค้าหรือ  7 เจ้าเอาฉมวกปักหนังของมัน หรือเอาหลาวแทงหัวของมันได้หรือ  8 ลงมือจับมันดู เมื่อคิดถึงการต่อสู้กับมันแล้ว เจ้าจะไม่คิดทำอีก  9 ดูเถิด ความหวังของคนที่อาจสู้มันนั้นก็เป็นของเปล่า เมื่อเห็นมันเข้าเท่านั้น จะไม่ล้มลงหรือ  10 ไม่มีใครดุพอที่จะไปยั่วเย้ามัน แล้วใครเล่าจะยืนมั่นต่อเราได้  11 ใครเล่าที่จะขัดขวางเรา ซึ่งเราจะต้องตอบสนองเขา สิ่งใดๆที่อยู่ใต้ฟ้าสวรรค์ทั้งสิ้นก็เป็นของเรา  12 เราจะไม่งดพูดถึงอวัยวะต่างๆของมัน หรือกำลังอันแข็งกล้าของมัน หรือโครงร่างอันดีของมัน  13 ใครจะถลกเสื้อชั้นนอกของมันออกได้ ใครจะแทงเข้าไปในเสื้อเกราะสองชั้นของมันได้  14 ใครจะเปิดประตูหน้าของมันได้ ฟันของมันนั้นน่าสยดสยองโดยรอบ  15 เกล็ดของมันอยู่อย่างทะนง แนบตัวมันสนิทเหมือนอย่างตราผนึก  16 มันอยู่ชิดกันมาก ไม่มีลมผ่านเข้าไปได้ 17 เกล็ดเหล่านั้นต่อซึ่งกันและกัน มันเกาะติดหมด และแยกจากกันไม่ได้ 18 การจามของมันปล่อยแสงสว่างออกมา ตาของมันเหมือนอย่างแสงอรุณรุ่งเช้า 19 คบเพลิงออกมาจากปากของมัน ประกายไฟกระโดดออกมา 20 ควันออกมาทางรูจมูกของมันอย่างกับมาจากหม้อหรือหม้อขนาดใหญ่ที่เดือดพล่าน 21 ลมหายใจของมันจุดถ่านลุก เปลวเพลิงออกมาจากปากของมัน 22 กำลังอยู่ในลำคอของมัน และความสยดสยองเต้นอยู่ข้างหน้ามัน 23 หลืบเนื้อของมันเกาะติดกัน หล่อติดกันแน่น ทำอะไรมันไม่ได้ 24 หัวใจของมันแข็งอย่างกับหิน เออ แข็งเหมือนอย่างแท่นหินโม่ 25 เมื่อมันลอยขึ้นมา ผู้ทรงอานุภาพก็กลัวมัน พอมันแว้ง เขาทั้งหลายก็มีใจฝ่อเสียแล้ว 26 ถึงคนใดเอาดาบลองแทงมัน ก็ต่อต้านมันไม่ได้ ไม่ว่าหอก หรือแหลน หรือหอกซัด 27 มันนับเหล็กว่าเป็นฟาง และทองสัมฤทธิ์ว่าเป็นไม้ผุ 28 ลูกธนูทำให้มันหนีไปไม่ได้ หินลูกสลิงก็กลายเป็นตอข้าว 29 ไม้กระบองก็นับเป็นตอข้าวด้วย มันหัวเราะเยาะการซัดหอก 30 เบื้องล่างของมันคมอย่างกับเศษหม้อแตก มันเหยียดตัวออกบนเลนเหมือนแหลมคม 31 มันทำให้น้ำลึกเดือดเหมือนหม้อ มันทำให้ทะเลเหมือนหม้อน้ำมันทา  32 มันละทางแวบวาบไว้ข้างหลัง ทำให้ใครๆคิดว่ามหาสมุทรผมหงอก 33 บนแผ่นดินโลก ไม่มีอะไรเหมือนมัน เป็นสิ่งที่ถูกสร้างไม่ให้รู้จักความกลัว 34 มันเห็นทุกสิ่งที่อยู่สูง มันเป็นกษัตริย์เหนือบรรดาสัตว์ที่สง่า"

     

    สัตว์ที่กล่าวถึงในพระธรรมตอนนี้ พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ เลวีอาธาน” ซึ่งแปลว่า สัตว์ทะเลขนาดมหึมา

     



     

    “ เลวีอาธาน” ยังปรากฤในพระธรรม อิสยา27: 1 ในวันนั้น พระเยโฮวาห์จะทรงลงโทษด้วยพระแสงอันร้ายกาจ ยิ่งใหญ่ และแข็งแกร่งของพระองค์ต่อเลวีอาธาน ซึ่งเป็นพญานาคที่ฉกกัด คือเลวีอาธานพญานาคที่ขด และพระองค์จะทรงประหารมังกรที่อยู่ในทะเล





    กล่าวถึงเลวีอาธาน Livyatan  ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า พญานาค หรือมังกร
    พระคัมภีร์ฉบับภาษาอังกฤษใช้คำว่า “dragon” ที่แปลว่า มังกร อยู่หลายครั้งทั้งในพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่

     

    คำนี้ถูกใช้ในพระคัมภีร์ก่อนที่จะมีการบัญญัติคำว่า ไดโนเสาร์หากเราจะนำคำว่า ไดโนเสาร์ไปแทนคำว่า มังกรในพระคัมภีร์ เราจะพบว่าสามารถใช้แทนกันได้เป็นอย่างดี

     

    “ เลวีอาธาน” ชั่งน่าสนใจใช่ไหม? คะ  ท้ายจึงไปค้นๆ หาความรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับ “ เลวีอาธาน” มาให้คะ

    เลอีวาธาน (לִוְיָתָן "ม้วน; ขด", ภาษาฮิบรูมาตรฐาน Livyatan, ภาษาฮิบรูติเบเรียน Liwyāṯān) เป็นสัตว์ร้ายในทะเล ตามความในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลในศาสนาคริสต์ อ้างไว้ในพระพันธสัญญาเดิม (เพลงสดุดี 74:13-14; โยบ 41; และ อิสยาห์ 27:1)

        

    จอมปีศาจแห่งริษยาตกเป็นตำแหน่งของงูยักษ์ลิเวียธาน  หรือ ลิเวียธานถูกกล่าวถึงทั้งในคัมภีร์ยิวและไบเบิ้ล ใช้ในเชิง จอมปีศาจ ริษยา ความบาป และมารซาตาน 

     

     

    ลักษณะของ “ เลวีอาธาน” เป็นสัตว์ทะเลขนาดยักษ์ มีหลายหัว มีฟันแหลมคมเหมือนจระเข้ มีดวงตาดั่งขนตาของตะวัน (หมายถึงมันโผล่ตาขึ้นมาเหนือน้ำเหมือนที่จระเข้ทำเวลาล่าเหยื่อ ตามันจะโผล่พ้นน้ำมาเล็กน้อย เหมือนพระอาทิตย์โผล่พ้นเหลี่ยมเขาในตอนเช้า)

     


    คำว่า "เลวีอาธาน" นั้น ยังหมายถึงสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ หรือสัตว์ขนาดใหญ่ใดๆ ก็ได้  ในภาษาฮิบรูใหม่ คำนี้มีความหมายเพียง ปลาวาฬ เท่านั้น

     

     เลวีอาธาน มีลักษณะเหมือน งูมีความยาวมาก ปรากฏบ่อยๆในเกม เช่น final fantasy


    ในพระรรม โยบบทที่41 บรรยายลักษณะของเลวีอาธานไว้ว่าเป็นสัตว์ที่น่ากลัวมาก มีโคร่งสร้างที่แข็งแก่งและสวยงาม ผิวหนังเหมือนเป็นเสื้อเกราะสองชั้น มีฟันที่น่าสยดสยอง ที่หลังมีเกล็ดที่เรียงเป็นแถวเหมือนโล่ห์ ปากพ่นไฟได้ มีควันออกทางจมูก หัวใจของมันแข็งแกร่งอย่างหิน ไม่ว่าหอกหรือดาบก็ทำอะไรมันไม่ได้ สำหรับมันเหล็กก็เป็นเหมือนฟางข้าว มันทำให้ทะเลเดือดได้ ตัวมันสูงใหญ่ เพราะมันเห็นทุกอย่างจากความสูงของมัน (หรือบ้านเราอาจจะมองเห็นเป็นพญานาค อันนี้ความคิดของท้ายเองนะคะ)

     
     

    นอกจากนั้น ยังมีเรื่องเล่าโบราณในหนังสือประวัติศาสตร์ในห้องสมุดหลายแห่งทั่วโลกที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับมังกรและการปรากฏให้มนุษย์ได้เห็น



    ที่น่าสังเกตก็คือว่าคำอธิบายของมังกรในหนังสือต่างๆ เหล่านั้นล้วนสอดคล้องกับลักษณะของไดโนเสาร์ รวมไปถึงไทแรนโนเซารัส

     


    ไทแรนโนซอรัส หรือ ทิแรนโนซอรัส (ชื่อวิทยาศาสตร์Tyrannosaurusเสียงอ่านภาษาอังกฤษ: /tɨˌrænɵˈsɔrəs หรือ taɪˌrænɵˈsɔrəs/; แปลว่า กิ้งก่าทรราชย์ มาจากภาษากรีก) เป็นสกุลหนึ่งของไดโนเสาร์ประเภทเทอโรพอด ชนิดเดียวที่เป็นที่รู้จักในสกุลนี้คือ ไทแรนโนซอรัส เรกซ์ (ชื่อวิทยาศาสตร์Tyrannosaurus rex; rex แปลว่า ราชา มาจากภาษาละติน) หรือเรียกอย่างย่อว่า ที. เรกซ์ (T. rex)




    พอสรุปได้แล้วนะคะ ว่า ไดโนเสาร์ นั้น มีจริงๆ โดยพระคัมภีร์ได้พูดถึงมันจริงและอธิบายไว้อย่างชัดเจน

     

     

    คำถามต่อมาในเรื่อง ไดโนเสาร์ ที่เรามักเจอบ่อยๆ คือะไรเกิดขึ้นกับไดโนเสาร์ ทำไมปัจจุบันเราจึงไม่พบพวกมันอีก  ซึ่งท้ายเจอบ่อยๆ กับเด็กๆ ลูกหลานของท้ายมักสนใจเป็นพิเศษคะ

     

    มีบทความหลายบทความที่พูดถึงสาเหตุของการตายของไดโนเสาร์ เอาไว้อย่างมากมาย ซึ่งท้ายเองก็ใช้สมองปลาทองอันน้อยนิด แปลภาษาอังกฤษแบบ งูๆ ปลาๆ ได้ใจความดังนี้ว่า ....(ถ้าพี่น้องมีข้อเพิ่มเติมโปรดแจ้งด้วยนะคะ เพื่อเป็น ข้อพระพรร่วมกัน)

     

    เหตุผลก็น่าจะมาจากการสูญพันธุ์ไปตามธรรมชาติ จากการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศน์ การขาดแคลนอาหาร

    (อันนี้น่าจะจริงคะ เพราะพวกมันกินทีราบเป็นภูเขา) 
    = =!


    รวมทั้งการถูกล่าโดยมนุษย์


     

    และโดยทั่วๆไปของโลกเรา ทุกๆ ปีก็จะมีสัตว์จำนวนหนึ่งสูญพันธุ์ไปโลก และสัตว์บางชนิดกำลังจะสูญพันธุ์จนต้อง ตั้งให้เป็นสัตว์สงวน  

     

    มันเป็นความจริงที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้อยใหญ่แค่ไหน มนุษย์เราก็กินเรียบ อะนะ   = =!

     

    มีบทความบางบทความซึ่ง อธิบายถึงการตายของ ไดโนเสาร์ไว้ได้อย่าน่าสนใจมากๆ เขาได้อธิบายและ สันนิษฐาน ว่า ไดโนเสาร์ อาจจะจมน้ำตายในช่วง สมัย น้ำท่วมโลก เพราะ ไดโนเสาร์ขึ้นเรือโนอาห์ไม่ได้ เพราะขนาดของมัน ใหญ่เกินไปที่จะขึ้นเรือ  














    เดี๋ยวมาต่อนะคะ ท้ายใช้เวลาอาทิตย์กว่าๆ แต่ท้ายขยายความได้แค่นี้  เดี๋ยวขอเวลาไปศึกษาต่ออีกสักพัก

     

     

    ท้ายหวังว่าบทความนี้จะเป็นพระพรต่อพี่น้องคริสชนทั้งหลาย เพื่อประโยชน์ในการตอบคำถามของผู้เชื่อและข้อสงสัยหลายๆคนได้นะคะ

     

    พี่น้องท่านใด อยากแชร์บทความนี้ ซึ่งท้ายยินดีมากๆที่จะช่วยกันเป็นท่อพระพร เพื่อความจำเริญขึ้นในพระคริสต์ของผู้เชื่อ

     

    จึงขอความร่วมมือ ช่วยให้ออกไปพร้อมเครดิตเหล่านี้นะคะ  ให้เกียรติแก่ผู้ที่พยายามเขียนบทความเหล่านี้ขึ้น เพื่อเป็นพรแก่เราทั้งหลายนะคะ

     

     

    ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก....http://www.weareimpact.com/

     

    http://writer.dek-d.com/iamtaity/story/viewlongc.php?id=399277&chapter=4

     

    wersingenesis.org/dinosaurs/dinosaurs-and-the-bible/


    http://christianity.about.com/od/whatdoesthebiblesay/a/Dinosaurs-Bible.htm

    http://www.creationism.org/swift/DohenyExpedition/Doheny
    01Main.htm

     

     

    ขอให้พระเกียรติทั้งสิ้นจงมีแด่พระเจ้า

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×