คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ยุคสุดท้าย ไกล้ เข้ามาแล้ว จริงหรือ
ยก ข้อพระคำภีค์ มธ. 24:4-7มาทั้งหมด
4 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง 5 ด้วยว่าจะมีหลายคนมาต่างอ้างนามของเรา กล่าวว่า `เราเป็นพระคริสต์' เขาจะล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป 6 ท่านทั้งหลายจะได้ยินถึงเรื่องสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยังไม่มาถึง 7 เพราะประชาชาติต่อประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและโรคติดต่อร้ายแรงและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ
เหตการณ์นั้น มีหนึ่งในสาวก ถาม พระเยซูว่า เหตุการณ์ก่อนที่พระเยซูจะกลับมาเป้นครั้งที่สอง มีอะไร บอกได้บาง
ข้าพระเจ้าจะยกมาทีละข้อ นะค่ะ จากการ พิจารณาของตนเอง และค้นคว้า จนถึงที่สุด ก็ยังไม่มีข้อสรุป แต่ทุกอย่าง กำลังเกิดขึ้นตาม พระคำ ข้อนี้ค่ะ
เริ่มจาก ข้อ ที่ 4-5
มัทธิว 24
4 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง 5 ด้วยว่าจะมีหลายคนมาต่างอ้างนามของเรา กล่าวว่า `เราเป็นพระคริสต์' เขาจะล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป
จากข้อ 4-5 จะตีความหมายง่ายว่า ก่อนที่จะถึงยุคสุดท้าย จะมี เรื่องพระคริสต์มากมาย แบ่งแยกออกเป็น หลายแขนง หลายสาขา ปลีกย่อยออกไป แต่ที่ในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น นิกายใหญ่ๆ คือ
นิกายโรมันคาทอลิค ( Roman Catholic )
นิกายโรมันคาทอลิก ( Roman Catholic ) มีศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่สำนักวาติกัน (
ภาษาทางศาสนา ประมุขสูงสุดคือพระสันตะปาปา
อาจารย์เสฐียร พันธรังษี (2527 : 347) กล่าวว่า คำว่า "คาทอลิค" นี้แปลว่า "สากล" ได้แก่ ปฏิปทาของคนทั่วไป คริสตศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิก จึงไม่ถือว่าตนเองคือ นิกายหนึ่งของคริสตศาสนาแต่เป็นคริสตศาสนาที่สืบเนื่อง
มาจากต้นกำเนิด และถือว่าพวกตนเป็นผู้อนุรักษ์คำสั่งสอนที่ได้รับมาจากพระเยซูอย่างซื่อสัตย์ อีกทั้งเป็นผู้ปกป้อง
พระศาสนาให้เจริญก้าวหน้ามาโดยตลอด
นิกายโรมันคาทอลิคมีประวัติความเป็นมาตั้งแต่เปโตร ได้รับการสถาปนาจากพระเยซูให้เป็นผู้ดูแลพระศาสนจักร เราอาจกล่าวได้ว่า ท่านเป็นสันตะปาปาคนแรกที่ทุกคนต้องยอมรับนับถือและมีศรัทธาเชื่อฟังอย่างเดียวในฐานะที่เป็น
" ผู้ดูแลฝูงแกะ" ของพระเจ้า ความคิดแบบนี้ได้สืบทอดกันต่อมา จนกระทั่งปัจจุบันนี้ พระสันตะปาปาจึงมิได้อยู่ในฐานะ
นักบวชเท่านั้น แต่เป็นประมุขสูงสุดของศาสนจักรที่ทุกคนต้องปฏิบัติตามคำสั่ง นิกายโรมันคาทอลิคจึงเป็นนิกาย ที่มุ่งมั่น
ให้สัตบุรุษมีศรัทธา และปฏิบัติตามพระศาสนจักร เพราะพระศาสนจักรเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรแห่งสวรรค์ และเป็น
องค์การที่สามารถนำประชาชนไปสู่การบรรลุเป้าหมายตามภาระกิจ ที่พระเจ้าได้มอบไว้
นิกายออร์ธอด็อกซ์ ( Orthodox )
ความเป็นมาสืบย้อนได้ถึงศตวรรษแรกในคริสตศาสนา อันเป็นช่วงระยะเวลาที่จักรวรรดิโรมันถูกแบ่งแยกออกเป็น
สองอาณาจักร คือ โรมันตะวันตกมีศูนย์กลางที่กรุงโรม ( Rome )ใช้ภาษาละตินเป็นภาษากลาง
ส่วนโรมันตะวันออกซึ่งนิยมเรียกกันว่า ไบแซนทีน ( Byzantine ) มีศูนย์กลางที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ( Constantinople ) มีสหมิตรที่เป็นแนวร่วมเดียวกัน คือ เมืองอาเล็กซานเดรีย( Alexandria ) อันติอ็อค (Antioch) และเยรูซาเล็ม( Jerusalem )
ใช้ภาษากรีกเป็นภาษากลางสื่อสาร
แม้นว่ากรุงคอนสแตนติโนเปิล โดยทั่วไปเป็นของพวกเตอร์ก แต่ผู้นับถือนิกายออร์ธอด็อกซ์ยังคงมีอยู่บ้าง ส่วนมาก
แพร่หลายในแถบยุโรปตะวันออกและรัสเซีย ทำให้เกิดนิกายออร์ธอด็อกซ์แบบสลาฟ (Slavic Orthodox) และนิกายออร์ธอด็อกซ์แบบรัสเซีย ( Russia Orthodox ) ซึ่งแต่เดิมมาทั้งหมดนี้เคยเป็นแบบนิกายกรีก ออร์ธอด็อกซ์
( Greek Orthodox ) โดยเฉพาะที่รัสเซียนั้น ศาสนาเจริญรุ่งเรืองมากอาจเรียกได้ว่าเป็นอาณาจักรโรมันแห่งที่สาม มี
ีศูนย์กลางที่มอสโคว์ (
ปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ความรุ่งเรืองของศาสนาได้ลดลงไปแต่ยังไม่ถึงกับศูนย์สลาย
ปัจจุบันนี้ นิกายออร์ธอด็อกซ์มีอิสระภาพในด้านความเชื่อและการปกครองของตนเอง โดยไม่ต้องขึ้นต่อสำนักวาติกัน
ของโรม มีปาตริอาร์ค เป็นประมุข แต่ก็มีออร์ธอด็อกซ์บางกลุ่มที่ยังขึ้นต่อสำนักวาติกันเรียกว่า ออร์ธอด็อกซ์คาธอลิค พวกนี้มีพิธีกรรมต่าง ๆ เป็นแบบตะวันออกแต่ระบบการปกครองอยู่ภายใต้การชี้นำของสำนักวาติกัน ประเทศที่นับ
ถือนิกาย ออร์ธอด็อกซ์ส่วนมากเป็นพวกยุโรปตะวันออก เช่น โรมาเนีย ฮังการี โปแลนด์ ยูโกสลาเวีย รัสเซีย ฯลฯ
นิกายโปรเตสแตนด์ ( Protestantism )
นิกายนี้มีกำเนิดมาจากความคิดเห็นที่แตกแยกกันในเรื่องความเชื่อและชีวิต คริสตชน โดยเรียกพวกที่ไม่ใช่คาทอลิค หรือออร์ธอด็อกซ์ว่า "โปรเตสแตนด์" (Protestant) ซึ่งแปลว่า "ประท้วง"
อาจารย์
ศตวรรษที่ 14-15 โดยเริ่มจากกลุ่มใหญ่ที่มีการเคลื่อนไหวอย่าง ต่อเนื่อง กลุ่มเหล่านี้ มีอิทธิพลต่อนิกายเล็ก ๆ ในภายหลัง กลุ่มที่เป็นตัวเคลื่อนไหวนี้มี 3 กลุ่ม คือ
1. นิกายลูเธอรัน ( Luthheran )
ผู้นำคนสำคัญ คือ มาร์ติน ลูเธอร์ ( Martin Luther ) มีชีวิตอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1483 - 1546 เกิดที่แซกซอนมี ( Saxony ) ประเทศเยอรมันได้รับการศึกษาสูงจนจบปริญญาเอกและได้ศึกษาเทวศาสตร์เกิดสถาบันต่าง ๆ
จากนั้นได้เข้าสู่ชีวิตนักบวชและแสวงบุญที่กรุงโรมทำให้เห็นสภาพต่าง ๆ ในศาสนจักร ต่อมาท่านได้ตีความพระคัมภีร์
ไบเบิล และวิพากษ์วิจารณ์ปรัชญาศาสนาของยุคกลาง ความคิดเลยต่อเนื่องมาวิจารณ์พระศาสนจักรซึ่งในขณะนั้นมีการ
ขายใบบุญกันมาก ความคิดของมาร์ติน ลูเธอร์ ได้รับการสนับสนุนจากมหาชนเยอรมันเป็นจำนวนมาก แล้วแพร่หลาย
ออกไปทั่วยุโรป ทำให้พระสันตะปาปาไม่พอพระทัยมาร์ติน ลูเธอร์ รับหมายขับออกจากการเป็นสมาชิกของพระศาสนจักร
( excommunication ) ในปี ค.ศ. 1521
ตรงจุดนี้ได้นำไปสู่การแตกแยกเป็นนิกายใหม่ในเวลาต่อมา ชีวิตของลูเธอร์ในระยะนี้ต้องหลบลี้ตลอดเวลา แต่ก็ทำให้
ท่านมีเวลาแปลพันธสัญญาใหม่เป็นภาษาเยอรมัน และได้เขียนเกี่ยวกับพิธีกรรมรวมทั้งศีลศักดิ์สิทธิ์เป็นภาษาเยอรมัน เพื่อให้ชาวบ้านและคนทั่วไปสามารถเข้าใจหลักคำสอนและพิธีกรรม ซึ่งแต่เดิมมาเขียนเป็นภาษาละติน จึงยากแก่การ
สื่อความหมายให้เข้าถึงได้ จึงรู้ได้เฉพาะปัญญาชน นักบวชและ นักศาสนาเท่านั้น
ผลงานของลูเธอร์นี้ได้สร้างคุณประโยชน์แก่ผู้ที่ไม่รู้หนังสือละตินได้มีโอกาสเข้าใจแก่นแท้ของศาสนาได้ด้วยตนเอง ซึ่งตรงกับจุดประสงค์ของลูเธอร์ที่ต้องการให้บุคคลสามารถ รับผิดชอบในความเชื่อของตน โดยไม่ต้องอาศัยบุคคลที่ 3
เช่น พระหรือนักบวช กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในศาสนาเป็นเพียงสิ่งเปลือกนอกที่ไม่สำคัญเท่ากับการที่บุคคลนั้นได้เผชิญหน้า
ต่อพระพักตร์พระเจ้าด้วยตนเอง นิกายนี้จึงได้ตัดประเพณี พิธีกรรม ตลอดจนศีลศักดิ์สิทธิ์บางเรื่องออกไปเหลือแต่ศีล
ล้างบาปและศีลมหาสนิท และสนับสนุนให้บุคคลเอาใจใส่ต่อพระคัมภีร์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นพระวจนะของพระเจ้า ที่ทำให้มนุษย์
์เข้าถึงความรอดส่วนบุคคลภายในโบสถ์ของโปรเตสแตนต์จึงไม่มีรูปเคารพและศิลปกรรมที่ตกแต่งดังเช่นโบสถ์คาทอลิค
บนแท่นบูชามีเพียงพระคัมภีร์เท่านั้นที่เป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ส่วนอื่น ๆ ที่นอกเหนือไปจากนี้เป็นเพียง
เปลือกนอกที่มาจากตัณหาของมนุษย์ และทำให้เราเกิดความยึดถือยึดติดไม่สามารถเข้าถึงพระเจ้าได้
2. กลุ่มคริสตจักรฟื้นฟู ( Reformed Christianity )
ผู้นำคนสำคัญที่มีความเคลื่อนไหวมากได้แก่ สวิงลี ( Ulrich Zwingli ) และคาลวิน
2.1 อูลริช สวิงลี ( Ulrich Zwingli )
เกิดที่สวิสเซอร์แลนด์ มีชีวิตอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1848 - 1531 ได้รับแนวความคิดจากลูเธอร์ และปรัชญามนุษยนิยม
( Humanism ) อูลริชไม่เห็นด้วยกับความคิดที่ว่าพิธีล้างบาป และพิธีศีลมหาสนิท เป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นเพียง
ความเชื่อภายนอก เท่านั้น หาใช่ความเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง เพราะพิธีล้างบาปก็คือการปฏิญาณตน และ
พิธีศีล มหาสนิทหรือมิสซาก็คือการระลึกถึงวันเลี้ยงมื้อสุดท้ายของพระเยซูเท่านั้น พิธีเหล่านี้ไม่ใช่พิธีที่มีความ
ศักดิ์สิทธิ์ในตัวของมันเองดังที่เชื่อกันในสมัยนั้น จนทำให้คนส่วนมากละเลยที่จะศึกษา พระวจนะเขาได้ปรับ
พิธีกรรมให้เรียบง่าย และเน้นที่แก่นแท้ของคำสอน
2.2 นิกายคาลวิน ( Calvinism )
ผู้ริเริ่มและบุกเบิกนิกายนี้ คือ จอห์น คาลวิน ( John Calvin) หรือคาลแวงเป็นชาวฝรั่งเศส ได้รับการศึกษาที่
มหาวิทยาลัยปารีส ต่อมาได้สนใจ แนวคิดทางศาสนาของลูเธอร์และสวิงลี จึงได้รับคำสอนเหล่านั้นมาปรับปรุง คำสอนของเขาแพร่หลายเข้าไปถึงประเทศอังกฤษ ซึ่งเรียกว่า เปรสไบทีเรียน (Presbyterian)
คาลวินมีอิทธิพลในกรุงเจนีวา เขาถูกเชิญไปที่นั่นหลายครั้งจนกระทั่งได้อาศัยอยู่ที่เจนีวา จนสิ้นใจในปี ค.ศ. 1564 ผลงานที่สำคัญ คือ หนังสือศาสนาที่ต่อมาได้กลายเป็นหลักเทวศาสตร์ของโปรเตสแตนต์ ชื่อ " สถาบันทางศาสนาคริสต์"
( The Institutes of the Christian Religion ) แต่เดิมเขียนเป็นภาษาละตินแต่ถูกแปลเป็นภาษาฝรั่งเศสในเวลาต่อมา และ
ถูกพิมพ์ถึง4 ครั้ง ในช่วงที่คาลวินมีชีวิตอยู่ หนังสือเล่มนี้ช่วยให้เราสามารถเข้าใจศรัทธาของชาวคริสต์ คำสอนของนักบุญ
ออกัสติน (St.Augustin) อีกทั้งทำให้เราเข้าใจอำนาจของพระเจ้า เข้าใจในเรื่องบาปกำเนิด และชะตาที่ถูกลิขิตโดยพระเจ้า นอกจากนี้คาลวินได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเจนีวา และทำให้กรุงเจนีวาเป็นศูนย์นัดพบของชาวโปรเตสแตนต์ทั่วยุโรป
3. นิกายเชิร์ช ออฟ อิงแลนด์ ( Church of England)
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "แองกลิคัน" ( Anglicanism ) มีกำเนิดในประเทศอังกฤษ โดยมีสาเหตุมาจากพระเจ้าเฮนรี่
ี่ที่ 8 ต้องการให้พระสันตะปาปาที่กรุงโรมอนุญาตให้หย่าร้าง และอภิเษกสมรสใหม่ แต่ได้รับการปฏิเสธจากพระสันตะปาปา จึงไม่พอพระทัยประกาศตั้งนิกายใหม่ที่เรียกว่า เชิร์ช ออฟอิงแลนด์ ( Church of England ) ไม่ขึ้นต่อกรุงโรม และทรง
แต่งตั้ง โธมัส แคลนเมอร์ ( Thomas Cranmer ) เป็นอาร์คบิชอป ( Archbishop ) แห่งแคนเทอเบอรี่ (Canterbury)
นิกายต่าง ๆ ในโปรเตสแตนด์
กลุ่มฟื้นฟูศาสนาตามที่กล่าวมาในตอนต้นนี้ทั้ง 3 กลุ่ม ได้ทำได้เกิดนิกายเล็ก ๆ ต่อมา ซึ่งล้วนแต่รับโครงสร้างของ
โปรเตสแตนต์ ในที่นี้จะกล่าวถึงบางกลุ่มและบางนิกายเท่านั้น คือ
1. นิกายเพรสไบทีเรียน ( Presbyterian ) เป็นกลุ่มที่ต้องการจัดระบบการปกครองของพระเจ้าให้เป็นระเบียบแบบแผนและให้คงที่ตามหลักของลูเธอร์ โดยมีบิชอปเป็นประธาน ความเชื่อของนิกายนี้มุ่งเน้นศรัทธา เพราะถือว่าพรของพระเจ้าสามารถปลดเปลื้อง
ทุกข์ของมนุษย์ได้ ไม่ใช่พระ พระเป็นเพียงผู้ทำพิธีกรรมเท่านั้น
2. นิกายเมธอดิสต์ ( Methodism )
เกิดขึ้นโดยจอห์น เวสลีย์ ( John Wesley : ค.ศ. 1703 - 1791) เป็นชาวอังกฤษที่มีจุดประสงค์ต้องการให้ผู้นับถือ
พระเจ้ามีอิสระภาพมากขึ้น สามารถปฏิบัติศาสนาไปตามหลักของเหตุผลให้เหมาะแก่ชีวิตของตน
3. นิกายเซเวนเดย์ แอดเวนติสต์ ( Seven Day Adventists )
เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดของกลุ่มแอดแวนติสต์ นิกายนี้เน้นวันสุดท้ายของโลก และการเสด็จมาของพระคริสต์ใน
วันพิพากษาโลกเพื่อทำนี้บริสุทธิ์อีกครั้งสมาชิกผู้นับถือมีทั่วโลกโดยเฉพาะในประเทศไทยนั้น นิกายนี้ได้ส่ง
ศาสนฑูตเข้ามาเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1918 ศาสนทูตหลายท่านมีส่วนสร้างความเจริญให้แก่ประเทศไทย
เช่น ตั้งโรงเรียน ตั้งสุขศาลา และโรงพยาบาล โรงพยาบาลซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี คือ โรงพยาบาลมิชชัน
ที่สะพานขาว เมื่องานพยาบาลเจริญก้าวหน้าถึงกับต้องขยายเปิดโรงเรียนพยาบาล
4. นิกายเควกเกอร์ ( Quaker ) หรือสมาคมมิตรภาพ ( Society of Friends )
เป็นนิกายที่เกิดในอังกฤษ โดยยอร์ช ฟอกซ์ ( George Fox : 1624 - 1691) แต่แพร่หลายในอเมริกาโดย วิลเลี่ยม เพน
( William Penn : 1644-1718) โดยเฉพาะในรัฐเพนซิลเวเนีย ( Pennsylvania ) เป็นดินแดนแห่งแรกที่เพน ได้มาตั้ง
รกรากและทำการเผยแพร่ศาสนา นิกายนี้ต้องการรื้อฟื้นศาสนาคริสต์แบบดั้งเดิม จึงเน้นประสบการณ์ตรงในการเข้าถึง
พระเจ้าโดยใช้แสงสว่างที่เกิดขึ้นภายใน ( inner light)
5. นิกายพยานพระยะโฮวา ( Jehovah's Witnesses ) นิกายนี้เกิดจากการรวมกลุ่มของพวกโปรแตนแตนต์ที่ต้องการปฏิรูปคำสอนให้เป็นไปในแบบเดิม โดยเฉพาะแบบ
อย่างในการนมัสการพระเจ้า คือ พระยะโฮวา ทั้งนี้เพราะพวกโปรเตสแตนต์ส่วนมากได้แตกกลุ่มออกไปเป็นหลายพวก เพราะความสับสนในคำสอน และความไม่ชัดแจ้งของหลักคำสอน ชาร์ล รัสเซลล์ ( Charles Russell) ซึ่งเป็นชาวอเมริกัน
ได้ริเริ่มตั้งนิกายนี้ขึ้นมาโดยเริ่มแรกมีการรวมกลุ่มกันที่มลรัฐเพนซิลเวเนีย และขยายตัวออกไปทั่ว มีผู้สนใจกันมาก
โดยเฉพาะชนชั้นกรรมกรและคนชั้นกลางถึงกับมีการตั้งสมาคมเผยแผ่ลัทธิที่เรียกว่า " หอสังเกตการณ์"( Watch Tower )
และมีการพิมพ์หนังสือออกเผยแพร่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
6. นิกายมอร์มอน ( Mormonism )
หรือศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย (The Church of Jesus Christ of Latter-Day Saints) ผู้ก่อตั้งคือ โจเซฟ สมิธ (Joseph Smith) ผู้เติบโตท่ามกลางบรรยากาศทางศาสนาแบบกลุ่มฟื้นฟูชีวิต (Revivalists) ในนิวยอร์ค
( New York ) หลักคำสอนของศาสนาเหมือนคำสอนทั่ว ๆ ไปของศาสนาคริสต์ เพียงแต่เพิ่มความเชื่อในคัมภีร์มอร์มอน
( Book of Mormon ) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับมาจากมอร์มอน และเชื่อกันว่าคัมภีร์นี้เป็นพระวจนะของ
พระเจ้าเดิมจารึกในภาษาโบราณ
จากข้อความข้างบนนี้ จะเห็นได้ว่า แค่คำว่า สาศนาคริสต์ ได้ แบ่งแยกออกเป้น หลายนิกายจนน่าปวดหัว แน่นอนว่าจะมีหลายคนที่สับสน ว่าอันไหนคือพระคริสต์ที่แท้จริง นิกายพวกนี้ยังไม่รวม ไปถึงที่ยังไม่ได้เขียนไว้อีกมากมาย ถ้าแถวบ้าน ของข้าพเจ้า ก้จะมี นิกายที่เรียกว่า โยนา อยู่อีกนิกายหนึ่ง ที่ อธิฐานในนามพระเยซู เช่นกัน กับ นิกาย โปเตสแตนต์แต่ว่าทุกคนที่เข้าไป ต้องบูชารูปเคราพที่เรียกว่า โยนา เท่านั้นเองและยังคงมีอีกหลายนิกายที่ยังไม่ปรากฏ นั้นหมายความ การที่จะถูกล่อหลางให้เราหลง นั้นง่ายมากในสมัยนี้
ขอขอบคุณที่ทุกท่านที่สนใจเข้ามาอ่านค่ะ คราวหน้าจะเป้นข้อที่ 6 ว่าด้วยเรื่องสงคราม แต่ตอนนี้ขอตัวไปหาข้อมูลก่อนนะค่ะ
ตอนที่ 2
ว่าด้วย พระคำของพระเจ้า มธ. 24:4-7
พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง ด้วยว่าจะมีหลายคนมาต่างอ้างนามของเรา กล่าวว่า `เราเป็นพระคริสต์' เขาจะล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป ท่านทั้งหลายจะได้ยินถึงเรื่องสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยังไม่มาถึง เพราะประชาชาติต่อประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและโรคติดต่อร้ายแรงและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ
4567
สงครามที่เกิดขึ้นทั่งทุกมุมของโลก เช่น ..........
- สงครามกลางเมืองญี่ปุ่น
- สงครามฮุสไซท์ (Hussite wars) (ราว ค.ศ. 14191437) - โบฮีเมีย
- สงครามดอกกุหลาบ (Wars of the Roses) (ราว ค.ศ. 14551485) - อังกฤษ
- สงครามศาสนาของฝรั่งเศส (ค.ศ. 1562-1598) - สงครามระหว่างชาวฝรั่งเศสผู้นับถือนิกายโรมันคาทอลิก และ ชาวฝรั่งเศสผู้ที่นับถือนิกายโปรเตสแตนต์
- สงครามกลางเมืองอังกฤษ (ค.ศ. 1642-1651)
- สงครามกลางเมืองอเมริกา (ค.ศ. 1861-1865)
- สงครามกลางเมืองรัสเซีย (ค.ศ. 1918-1922)
- สงครามกลางเมืองไอร์แลนด์ (ค.ศ. 1922-23)
- สงครามกลางเมืองจีน (ค.ศ. 19281937, ค.ศ. 19451949)
- สงครามกลางเมืองสเปน (ค.ศ. 1936-1939)
คลิกที่จุดสีแดงบนแผนที่เพื่อดูว่าอยู่ที่ใดบ้าง
จากแผนที่นี้จะเห็นได้ว่า พระคำของพระเจ้า ได้กล่าวไว้นั้น เริ่มเป้นความจริง เพราะพื้นที่ จุดแดง บ่งบอกว่าสงครามกำลังเกิดขึ้นแทบทุกพื้นที่ของโลก.....................
ดังนั้นจึงขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน พิจารณาดูเอาเองว่า ข้อพระคำของเจ้าในข้อนี้เป็นจริงเพียงใด
อย่าให้พวกเราได้ตระหนก เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นเพียงแค่เหตุการณ์เริ่มต้นเท่านั้น เหตุการณ์พวกนี้เกิดขึ้นแน่นอน
ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะกลับมา ครั้งที่ 2
วันนี้คิดอะไรไม่ออกแล้วค่ะ ขอลาไปก่อน แล้วจะกลับมา หาข้อมมูลในข้อต่อไปให้นะค่ะ
ขอพระเจ้าอวยพระพรผู้รับใช้ของพระองค์ทุกคน เอเมน
ตอนที่ 3
เอ๊า คิดกันเล่นๆ ง่ายๆนะคนไทยมี หกสิบล้านคน อาหารมื้อหนึ่ง หมดไปเท่าไร
แล้ว โลกเรามีกี่ประเทศ กินมื้อหนึ่งๆ ไปเท่าไร ประชากรแต่ละประเทศ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เทียบกับ ทรัพยากรที่กำลังลดลงไปเรื่อยๆ
แถมช่วงนี้แผ่นดินไหว น้ำท่วม ทำให้ทรัพยากรที่ควรมีขาดหายไปเท่าไร
ต่อไปอีกสัก 20 -50 ปี จะเหลืออาหารให้พวกเรากินไหม
อันนี้ให้คิดกันดูเล่นๆนะค่ะ
ถ้าคิดดีๆก็จะรู้ว่า การขาดแคลนอาหารน่าจะเกิดขึ้นแน่นอน ในไม่กี่สิบปี อันใกล้นี้
โลกของเราอาจจะเป็นอย่างงี้............................
ตอนที่ 4
เพราะประชาชาติ ต่อประชาติราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กัน จะเกิดกันดารอาหาร และ โรคติดต่อร้ายแรง และ แผ่นดินไหว ในที่ต่างๆ
วันนี่เราจะมา ตีความหมายของคำว่า โรคติดต่อร้ายแรง ในพระคำตอนนี้บอกชัดเจนค่ะว่า โรคติดต่อ จะเกิดขึ้นในโลก แห่งความบาปของเราอย่างแน่นอน ถ้าพุดถึงกันแล้ว ทุกคนก้พอจะนึกภาพของโรคติดต่อได้พอสมควร นะค่ะ แต่วันนี้ ดิฉันจะพาพี่น้องไปรู้จักกับโรคติดต่อที่ ในพระคำได้พูดถึงกันค่ะ
ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับโรค ติดต่อกันก่อน
ทางติดต่อของเชื้อโรค ได้แก่ ๑. ทางการหายใจหรือสูดดม นับว่าเป็นทางที่สำคัญที่สุด ผู้ป่วยจะปล่อยเชื้อโรคออกมากับน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ โดยการไอหรือจาม เกิดเป็นละอองฝอยกระจายอยู่ในอากาศ ถ่ายทอดให้ผู้อื่นโดยการสูดดมละอองเชื้อโรคเข้าไป ทำให้ติดเชื้อป่วยเป็นโรค ตัวอย่างเช่น วัณโรค ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ไข้คอตีบ ไอกรน และหัด เป็นต้น ๒. ทางการกิน โดยการกินอาหารหรือน้ำดื่มที่มีเชื้อโรคปนเปื้อน เชื้อโรคจะเข้าไปเพิ่มจำนวนในลำไส้ ออกมากับอุจจาระแล้วปนเปื้อนกับอาหารหรือเครื่องดื่ม ติดต่อสู่ผู้อื่นต่อไป ตัวอย่างเช่น อหิวาตกโรค บิด ไข้ไทฟอยด์หรือไข้รากสาดน้อย โปลิโอตับอักเสบ พยาธิใบไม้ในตับ พยาธิตืดหมู พยาธิตืดวัว พยาธิใบไม้ในปอด และพยาธิตัวจี๊ด เป็นต้น ๓. ทางผิวหนัง ทางบาดแผล รอยถลอกหรือฉีดยา โดยทั่วไปผิวหนังและเยื่อบุของคนปกติจะสามารถป้องกันการบุกรุกของเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย แต่ถ้าเกิดบาดแผลหรือรอยถลอก หรือแทงเข็มผ่านไปก็จะทำให้เชื้อโรคเข้าไปเพิ่มจำนวนได้ ตัวอย่างเช่นโรคพิษสุนัขบ้า บาดทะยัก และหนองฝี เป็นต้น แมลงหลายชนิดเป็นพาหะนำโรค เช่นยุง หมัด เห็บ เหา และไร แมลงจะกัดกินเลือดผู้ป่วยที่มีเชื้อโรคเข้าไป เชื้อโรคไปเพิ่มจำนวนในตัวแมลง และเมื่อแมลงไปกัดกินเลือดผู้อื่นก็จะปล่อยเชื้อถ่ายทอดไป ตัวอย่างเช่น มาลาเรีย ไข้เลือดออก และไข้สมองอักเสบ เป็นต้น แมลงบางชนิดเป็นพาหะนำโรคโดยเป็นสื่อกลางนำเชื้อจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยตรงไม่มีการเพิ่มจำนวนของเชื้อ เช่น โรคไวรัสตับอักเสบบีเป็นต้น ระยะติดต่อของพยาธิและเชื้อบัคเตรีบางชนิดสามารถไชเข้าทางผิวหนังที่ไม่มีรอยบาดแผลได้ เช่นพยาธิปากขอ พยาธิใบไม้เลือด และเชื้อเล็พโทสไปโรซิส (leptospirosis) เป็นต้น ๔. ทางเพศสัมพันธ์ โรคที่ติดต่อทางเพศเดิมเคยเรียกว่า กามโรค ปัจจุบันเรียกว่า โรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งมีมากมายหลายโรค เช่น หนองในซิฟิลิส หูดหงอนไก่ เริม และแผลริมอ่อน ๕. ทางรกและช่องคลอด ถ้ามารดามีการติดเชื้อโรคบางอย่างขณะตั้งครรภ์ ทำให้ทารกติดเชื้อ เกิดความพิการแต่กำเนิด แท้ง หรือตายตั้งแต่แรกคลอดเชื้อที่สำคัญได้แก่ ซิฟิลิส หัดเยอรมัน เป็นต้น นอกจากนี้ ถ้ามารดามีการติดเชื้อบริเวณช่องคลอด ทารกจะได้รับเชื้อโดยการกลืนกิน สูดดมหรือสัมผัสขณะคลอด ทำให้เกิดโรคอาการรุนแรง ตัวอย่างเช่น ตาอักเสบจากหนองใน หนองในเทียม และโรคเริม เป็นต้น เชื้อโรคบางอย่างจะติดต่อก่อโรคจากคนไปสู่คนเท่านั้น แต่บางโรคอาจติดต่อถ่ายทอดจากสัตว์มาสู่คนโรคติดต่อจากสัตว์ที่สำคัญ ได้แก่ โรคพิษสุนัขบ้า วัณโรค โรคเล็พโทสไปโรซิส โรคสมองอักเสบจากเชื้อรา และโรคสมองอักเสบจากเชื้อไวรัส เป็นต้น |
|
พาหะของโรค ได้แก่ คนหรือสัตว์ที่มีเชื้อโรคอาศัยอยู่โดยไม่แสดงอาการของโรคและสามารถถ่ายทอดเชื้อโรคไปสู่ผู้อื่นได้ ระยะเวลาที่เป็นพาหะอาจสั้นเพียงชั่วคราว หรือพบเชื้ออยู่ได้นานเป็นพาหะเรื้อรัง พาหะนำโรคนี้อาจเป็นผู้ที่มีสุขภาพสมบูรณ์ ผู้สัมผัสโรค ผู้อยู่ในระยะฟักตัวของโรค หรือผู้ที่เพิ่งหายจากการป่วยเป็นโรคก็เป็นพาหะของโรคได้ |
ระยะติดต่อของโรค หมายถึง ระยะเวลาที่คนหรือสัตว์ที่มีเชื้อโรคนั้น แล้วสามารถนำเชื้อถ่ายทอดไปสู่ผู้อื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม เมื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้รับเชื้อโรค จะเกิดการติดเชื้อป่วยเป็นโรคหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและจำนวนของเชื้อโรคที่ได้รับเข้าไป และความต้านทานหรือสภาพร่างกายของบุคคลผู้นั้น ผู้ที่มีสุขภาพดีได้รับอาหารที่เหมาะ ออกกำลังและพักผ่อนเพียงพอจะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคต่างๆ ดีกว่าผู้ที่ขาดอาหารหรือเจ็บป่วยเป็นโรคเรื้อรัง ผู้ที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวจะมีภูมิคุ้มกันโรคดีกว่าเด็กอ่อนหรือคนชรา เราอาจสร้างเสริมภูมิคุ้มกันจำเพาะโรคใดโรคหนึ่งให้เกิดขึ้นได้ โดยการฉีดวัคซีนหรือให้เซรุ่ม (serum) ที่มีภูมิคุ้มกันโรคนั้น |
- ตาแดง
- หูอักเสบ
- ไข้ตัวร้อน
- ชัก
- ไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
- วัณโรค
- หลอดลมอักเสบ
- หัด
- หัดเยอรมัน
- สุกใส
- คอตีบ
- ไอกรน
- โปลิโอ
- คางทูม
- บาดทะยัก
- ไข้เลือดออก
- สมองอักเสบ
- โรคติดต่อทางระบบทางเดินอาหาร
- อุจจาระร่วง
- บิด
- ไวรัสตับอักเสบ เอ
- ไวรัสตับอักเสบ บี
ขอขอบคุณ http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-5/no46-48/wer.htm
http://guru.sanook.com/search/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99
ที่นำเสนอ ที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่ ข้อมูลเบื้องต้นของโรคติดต่อ เท่านั้น รูปที่ 1 แสดงแนวโน้มของผู้ป่วยเอดส์และผู้ติดเชื้อที่มีอาการ จำแนกตามรายปี ตั้งแต่ กันยายน 2527-31 ตุลาคม 2550 รูปที่ 2 แสดงจำนวนผู้ป่วยโรคเอดส์จำแนกตามกลุ่มอายุ และเพศ ตั้งแต่ กันยายน 2527-31 ตุลาคม 2550 ผู้ป่วยเอดส์ส่วนใหญ่มีปัจจัยเสี่ยงจากการมีเพศสัมพันธ์สูงถึงร้อยละ 84 (83.88) เป็นชายที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์และวัยแรงงาน ร้อยละ 57.28 เป็นชายรักต่างเพศ และร้อยละ 26.60 เป็นหญิงรักต่างเพศ รองลงมาเป็นผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดร้อยละ 4.67 กลุ่มที่ติดเชื้อจากมารดา พบร้อยละ 3.92 กลุ่มรับเลือดร้อยละ 0.03 กลุ่มที่ไม่ทราบปัจจัยเสี่ยง และอื่นๆ ร้อยละ 7.51 ตามลำดับ ผู้ป่วยเอดส์ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ประมาณ ร้อยละ 70 มีการศึกษาน้อย มีรายได้ต่ำ ส่วนหนึ่งประกอบอาชีพการใช้แรงงาน/รับจ้างทั่วไป ลูกจ้างโรงงาน ขับรถรับจ้าง กรรมกร ร้อยละ 46.79 รองลงมาเป็นผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 20.53 ผู้ที่ว่างงาน ร้อยละ 5.94 แม่บ้าน ร้อยละ 4.12 เด็กต่ำกว่าวัยเรียน 3.28 ข้าราชการ (ข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ และข้าราชการไม่ทราบสังกัด) ร้อยละ 3.05 ผู้ต้องขัง ร้อยละ 1.58 และอื่น ๆ ร้อยละ 14.71 ประชากรส่วนหนึ่งมีการเคลื่อนย้ายแรงงานภายในประเทศ ซึ่งยังไม่รวมกลุ่มผู้อพยพหรือผู้ใช้แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาในประเทศแบบถูกกฎหมาย และผิดกฎหมาย ในการประกอบอาชีพผู้ใช้แรงงานผลิต กรรมกรก่อสร้าง ขายบริการทางเพศ ประมง และอื่นฯลฯ ในบริเวณตามแนวจังหวัดชายแดน หรือจังหวัดที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม การท่องเที่ยวสูง ซึ่งพบว่ามีอัตราการติดเชื้อเฉลี่ย ร้อยละ 0.75 ของประเทศที่ส่งผลกระทบต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ ในด้านการแพร่ระบาดของเอชไอวีและเอดส์ในบางพื้นที่ของประเทศไทย มีเพียงบางจังหวัดที่มีการรายงานข้อมูล เช่น ประจวบคีรีขันธ์ กาญจนบุรี ปัตตานี สระแก้ว ระนอง และแม่ฮ่องสอนซึ่งยังไม่รวมจังหวัดสำคัญ ๆ อีกหลายจังหวัด โดยเฉพาะไม่ได้มีการดำเนินการเฝ้าระวัง และสำรวจการจัดเก็บฐานข้อมูล เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดเตรียมแผนการรองรับบริการและการดูแลรักษาในระบบบริการทางการแพทย์ แผนงานยุทธศาสตร์ หรืองบประมาณ รวมทั้งปัญหาในด้านการสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจในด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ ด้วยเหตุจูงใจในด้านเศรษฐกิจมีผลต่อการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของประชากรในวัยแรงงานและวัยเจริญพันธ์อยู่มากที่มีผลต่อพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์หรือโรคเอดส์เพิ่มมากขึ้น ข้อพิจารณาแนวทางแก้ไข อาจมีเงื่อนไขในการสร้างงานที่เป็นรายได้ในเชิงเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ให้มากขึ้น เพื่อลดผลกระทบในเรื่องปัญหาความแตกแยกของครอบครัว ภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีแล้ว นโยบายระดับประเทศควรมีแผนงานกลไกการแก้ไขปัญหาเอดส์ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน หรือการผลักดันการแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจของแต่ละประเทศร่วมกัน ในการสนับสนุนงบประมาณและร่วมดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ในกลุ่มประชากรที่ด้อยโอกาส หรือแรงงามข้ามชาติเมื่อมีการเจ็บป่วยร่วมกัน จากรายงานผู้ป่วยโรคเอดส์ส่วนใหญ่มีภาวะแทรกซ้อนของโรคติดเชื้อฉวยโอกาส(Opportunistic Infection) ที่พบมากที่สุดใน 5 อันดับแรก คือ Mycobacterium Tuberculosis, Pulmonary or extrapulmonary 87,433ราย (ร้อยละ 27.13) รองลงมา คือ โรคปอดบวมจากเชื้อ Pneumocystis carinii 65,317 ราย (ร้อยละ 20.27) Cryptococcosis 46,271 ราย (ร้อยละ 14.36) และ Candidiasis ของหลอดอาหาร หลอดลม (Trachea, bronchi) หรือปอด 16,294 ราย (ร้อยละ 5.06) และ Pneumonia recurrent (Bacteria) มากกว่า 1 ครั้งใน 1 ปี 11,069 ราย (ร้อยละ 3.43) ตามลำดับ รูปที่ 3 รูปที่ 4 แหล่งข้อมูล UNAIDS/WHO
ซึ่งโรคติดต่อที่กล่าวมาไม่ใช่ โรคติดต่อที่ พระคำได้กล่าวถึง
แต่ที่พระคำ ของพระเจ้าได้กล่าวถึงนั้น เป้น โรคที่ติดต่อ ร้าย แรง
นั้นหมายความว่าไม่มีทางจะรักษาได้ แม้ว่าโลกนี้จะสลายไป
โรคติดต่อร้ายแรง ทุกคนคงคิดเหมือนกันว่าคงจะเป็นโรคนี้
"โรคเอดส์"
พี่น้องก็คงตอบคำตอบนี้อยุ่ในใจอยุ่แล้วใช่ไหมค่ะ ค่ะ
ดิฉันเองก็คิดเหมือนกัน แต่สิ่งที่คิดมากกว่า
นั้น ก็คือ ทำไมพระเจ้าถึงให้โรคร้ายแรงขนาดนี้เกิดขึ้นที่โลก
ของ เราได้แต่ถ้าเราหันกลับมามอง โลกใบนี้อีกทีเราจะเข้าใจ ว่าทำไม?
ดิฉันได้กล่าวมาแล้วตั้งแต่ต้นแล้วว่าพระเจาได้สร้างเพศสัมพันธ์ขึ้นมาเป้นสิ่งที่สวยงามไร้มลทินเพื่อที่จะขยายพันธุ์ของมนุษย์เท่านั้น
http://www.aidsthai.org/main.php?filename=index
เรามาดูว่า ดรคติดต่อที่ร้ายแรงอันดับแรกๆๆ ของ โลกนั้นเป้นอย่างไรบ้างในตอนนี้สถานการณ์โรคเอดส์ในประเทศไทย จากรายงานสถานการณ์ผู้ป่วยเอดส์และผู้ติดเชื้อที่มีอาการในประเทศไทยล่าสุด (31 ตุลาคม 2550) สำนักระบาดวิทยา รายงานว่ามีจำนวนผู้ป่วยเอดส์ ทั้งสิ้น จำนวน 322,296 ราย เสียชีวิตแล้ว จำนวน 89,969 ราย แนวโน้มของผู้ป่วยเอดส์และเสียชีวิตด้วยโรคเอดส์ลดลงกว่าในอดีตที่ผ่านมา เนื่องจากการรักษาผู้ป่วยเอดส์ด้วยยาต้านไวรัสทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาว และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จึงทำให้มีผู้ป่วยเอดส์และผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์ลดลง จะเห็นได้จากแนวโน้มข้างล่างนี้
แหล่งข้อมูล: สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
แหล่งข้อมูล: สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขในช่วงที่ผ่านมา (ปี พ.ศ.2527-2549) อัตราป่วยเอดส์ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคเหนือสูงกว่าภาคอื่น ๆ รองลงมาภาคกลาง ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เท่ากับ 35.30, 32.93, 22.03 และ11.30 ต่อประชากรในพื้นที่แสนคนตามลำดับ ในขณะที่ปัจจุบัน (31 ตุลาคม 2550) พบว่าอัตราป่วยเอดส์ในภาคกลางสูงกว่าภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตามลำดับ (11.94, 9.77, 5.53, 2.69) การคาดประมาณสถานการณ์โรคเอดส์ การรายงานสถานการณ์เอดส์ทั่วโลกล่าสุด (www.unaids.org/unaids/06.20e(English orignial, May 2006) โดย UNAIDS/WHO พบว่าอัตราการติดเชื้อในบางประเทศจะลดลงก็ตาม แต่คาดว่าอัตราการติดเชื้อเอชไอวีและเอดส์ในภาพรวมยังคงเพิ่มขึ้นในทุก ๆ พื้นที่ทั่วโลก ในปี พ.ศ.2549 มีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์ทั่วโลกประมาณ 39.5 ล้านคน (34.1-47.1 ล้าน) เป็นผู้ใหญ่ประมาณ 37.2 ล้านคน (32.1-44.5 ล้าน) มีผู้หญิงที่ติดเชื้อ ประมาณ 17.7 ล้านคน (15.1-20.9 ล้าน) เป็นเด็กที่อายุต่ำกว่า 15 ปี ประมาณ 2.3 ล้านคน (1.7-3.5 ล้าน) และเป็นผู้ที่เสียชีวิตจากโรคเอดส์ประมาณ 2.9 ล้านคน (2.5-3.5 ล้าน) ทั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น ประมาณ 4.3 ล้านคน (3.8-6.6 ล้าน) ทั่วโลก โดยคาดว่าจะมีเด็กวัยรุ่นที่อายุ 15-24 ปี มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นกว่า ร้อยละ 40 การติดเชื้อส่วนใหญ่พบมากใน SUB-Saharan Africa ประมาณ 24.7 ล้านคน รองลงมาอยู่ในแถบ SOUTH & SOUTH EAST ASIA ประมาณ 7.8 ล้านคน ส่วนใหญ่ประเทศที่มีการติดเชื้อสูง ร้อยละ 95 จะอยู่ในประเทศที่มีรายได้ต่ำ หรือฐานะยากจน และอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ส่วนใหญ่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเอชไอวีทั่วโลก มีอัตราการติดเชื้อเฉลี่ยรายใหม่ต่อวันมากกว่าวันละ 11,000 คนต่อวัน
ดูรายงานสถาณการณ์ แล้วน่าตกใจใช่ไหมค่ะ ทั้งเรื่องจำนวนคนที่สูงขึ้น
รวมไปถึง อายุ ของผู้ติดเชื้อที่น้อยเลยเรื่อยๆๆ
อย่างที่กล่าวมา พระเจ้าสร้างเรื่องเพศมา
เพื่อที่มนุษย์จะอยุ่ด้วยกันด้วยความรักความผูกพันจนเรียกได้ว่าเป็นเนื้อเดียวกัน
ส่วนใหญ่แล้วจะจัดอยู่ใน โรค ระบาด ค่ะ เช่น ไข้หวัดนก กดเข้าไปดูรายละเอียดกันเอาเองนะค่ะ
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%81
ขอพระเจ้า อวยพระพร พี่น้องทุกท่าน และปกป้องคุมครองให้ห่างไกลจากโรคที่น่ากลัวเหล่านี้ เอเมน
คราวหน้าจะมา ว่าด้วยเรื่องแผ่นดินไหวค่ะ
แต่ว่าหามานานมากแล้วยังเก้บข้อมูลได้ไม่เท่าไรเลยค่ะ
ปล.บทความนี้เขียนโดย มนุษย์คนบาปคนหนึ่งเท่านั้น ขอบคุณทุกท่านที่อ่านบทความ ขอบคุณพระเจ้าพระบิดาผู้ให้สติปัญญา ขอบคุณพระเจ้าค่ะ
ใน พระคำ ของพระเจ้า ยังกล่าวไว้ในตอนท้ายไว้อีกว่า "แผ่นดินไหว ในที่ต่างๆ"
ตั้งแต่ตอนที่ 1- 5 เรากำลังกล่าว ถึง ข้อพระคำ มธ.24:4-7
4 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง 5 ด้วยว่าจะมีหลายคนมาต่างอ้างนามของเรา กล่าวว่า `เราเป็นพระคริสต์' เขาจะล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป 6 ท่านทั้งหลายจะได้ยินถึงเรื่องสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยังไม่มาถึง 7 เพราะประชาชาติต่อประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและโรคติดต่อร้ายแรงและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ
ตอนนี้เป้นตอนสุดท้ายแล้วค่ะ ที่จะกล่าวถึงพระคำตอนนี้
จาก สี่ตอนที่ผ่านมา ทุกท่านคงรู้แล้วว่า ยุดสุดท้าย วันสิ้นโลกของเรานั้น
อยู่ไม่ไกลเลย ใช่ไหมค่ะ
เราจะมาว่าด้วยเรื่องแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในโลกเรานะค่ะ แ
ผ่นดินไหวเกิดขึ้นทั่วโลกแล้วจริงๆๆ
ภาพเหตุการณ์แผ่นดินไหวทั่วโลกที่เกิดขึ้นแล้ว
ภาพแผ่นดินไหว
เหตุการณ์แผ่นดินไหวในมณฑลเสฉวน พ.ศ. 2551
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%89%E0%B8%A7%E0%B8%99_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2551
สถิติการเกิดแผ่นดินไหวทั่วโลก 2000 - 2008
สถิติการเกิดแผ่นดินไหวทั่วโลก ปี 2008
ทราบหรือไม่ ในรอบ 7 เดือนกับอีก 2 วันที่ผ่านมา มีแผ่นดินไหวรุนแรง(ตั้งแต่ 6.3 ริคเตอร์ขึ้นไป) เกิดขึ้น 27 ครั้ง ระดับปานกลาง (4.5 - 6.2 ริคเตอร์) 282 ครั้ง ระดับเล็กน้อย (ตำว่า 4.5 ริคเตอร์) 202 ครั้ง รวมเป็น 511 ครั้งแล้ว
Region | Micro | Moderate | Strong | Grand Total |
Alaska | 9 | 9 | 2 | 20 |
California | 74 | 9 | 83 | |
Cantral US | 16 | 1 | 17 | |
Hawaii | 10 | 10 | ||
Northeast | 8 | 8 | ||
Outside USA | 34 | 236 | 24 | 294 |
Pacific NW | 4 | 4 | ||
Puerto Rico & US Terr | 4 | 24 | 1 | 29 |
West Mountain | 43 | 3 | 46 | |
Grand Total | 202 | 282 | 27 | 511 |
สำหรับในเอเซีย ยุโรป และทวีปอื่นนอกเหนือจกทวีปอเมริกา ในปี 2008 นี้
เกิดแผ่นดินไหวระดับรุนแรงแล้ว 24 ครั้ง เฉพาะในเอเซีย ได้แก่
อินโดนีเซีย 5 ครั้ง (7.4, 7 และ 6.6 ริคเตอร์อย่างละครั้ง กับ 6.4 ริคเตอร์ 2 ครั้ง)
ญี่ปุ่น 4 ครั้ง ( 6.8 ริคเตอร์ 3 ครั้งและ 7 ริคเตอร์ 1 ครั้ง)
ฟิลิปปินส์ 2 ครั้ง (6.9 และ 6.3 ริคเตอร์)
หมู่เกาะอันดามัน 1 ครั้ง (6.7 ริคเตอร์)
จีน 1 ครั้ง ( 7.9 ริคเตอร์)
แคว้นแคชเมียร์ 1 ครั้ง ( 7.2 ริคเตอร์)
รัสเซีย 1 ครั้ง ( 7.7 ริคเตอร์)
ส่วนแผ่นดินไหวระดับกลางในเอเซีย ก็เช่น
ญี่ปุ่น 39 ครั้ง
อินโดนีเซีย 36 ครั้ง
ฟิลิปปินส์ 16 ครั้ง
จีน 15 ครั้ง
ไต้หวัน 9 ครั้ง
หมู่เกาะอันดามัน 2 ครั้ง
อิหร่าน 2 ครั้ง
อินเดีย 1 ครั้ง
บังคลาเทศ 1 ครั้ง
เกิน 50 % ของเหตะแผ่นดินไหวระดับเดียวกันเกิดในโซนเอเซีย
แผนที่แสดงการเกิดแผ่นดินไหวในรอบ 8 -30 วันที่ผ่านมา
จากสถิติปี 2000 - 2008 มีแผ่นดินไหวและการสูญเสียชีวิตดังนี้
จะเห็นว่าในปีนี้ (2008) แม้จะมีจำนวนครั้งน้อยแต่มีคนเสียชีวิตไปแล้วประมาณถึงเกือบ 8 หมื่น 8 พันรายแล้ว!
ที่มา: http://neic.usgs.gov/neis/eqlists/graphs.html
http://home.kku.ac.th/peangta/s664306-student-ques16.htm
http://www.sawananan.ac.th/knowleage/2008/2008-06-14-5.html
ว้าว เกิดขึ้นทั่วโลกจริงๆๆคะ เดี๋ยวเรามาดูภาพที่ต่างๆๆกันบ้างนะค่ะ
แผ่นดินไหวในเปรู เมื่วันที่ 16 ส.ค 2007
ซึ่งมีจุดศูนย์กลางลึกลงไปใต้พื้นดิน 30.2 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากกรุงลิมาไปทางตอนใต้และตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 150 กิโลเมตร
ล่าสุด มาร์กาเรต้า วาห์ลสตรอม ผู้ช่วยเลขานุการกิจการมนุษยชน และรองผู้ประสานงานด้านการบรรเทาทุกข์ฉุกเฉินของสหประชาชาติ กล่าวว่า เหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงดังกล่าว ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 450 ราย และได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 1,500 คน รวมถึงบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายเกือบ 400 หลัง
แผ่นดินไหวรุนแรงวัดความสั่นสะเทือนได้ 6.8 ริกเตอร์ ใกล้ชายฝั่งคาชิวาซากิ
เอเอฟพี แผ่นดินไหวรุนแรงวัดความสั่นสะเทือนได้ 6.8 ริกเตอร์ ถล่มชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิขนาดย่อม มีรายงานโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกิดเพลิงลุกไหม้ โคลนถล่ม และบ้านเรือนประชาชนพังทลายเสียหาย โดยมีผู้เสียชีวิตแล้ว 5 ราย และยอดผู้ได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 600 ราย และยังเกิดอาฟเตอร์ช็อกในเวลาต่อมา
http://www.jat-languagecafe.com/newsite/highlight/display.php?id=146
แผ่นดินไหวไต้หวัน กระทบโทรคมนาคม - เน็ตล่มระนาว
สำนักข่าวในไต้หวัน รายงานถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.1 ริกเตอร์ ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานนี้ (26 ธ.ค) ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบต่ออาคารบ้านเรือนไต้หวันแล้ว
ยังส่งผลทำให้ระบบโทรคมนาคมต่าง ๆ รวมถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของหลายประเทศ โดยเฉพาะในแถบภูมิภาคเอเชีย เช่น ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ รวมถึงบางแห่งในสหรัฐอเมริกา
ได้รับผลกระทบอย่างหนักไม่สามารถติดต่อสื่อสารและมีปัญหาในการเชื่อมต่อเครือข่ายระหว่างประเทศ โดยสาเหตุหลักเกิดจากสายเคเบิลใต้น้ำหลายเส้นชำรุดเสียหาย ทำให้ประสิทธิภาพการโอนถ่ายข้อมูลลดลงถึงร้อยละ 50 ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ต รวมถึงผู้ใช้โทรศัพท์ระหว่างประเทศ
http://hosting.nu.ac.th/forum_nu/index.php?topic=35.0
แผ่นดินไหวขนาด 5.8 ริกเตอร์ จุดศูนย์กลางอยู่ประเทศพม่า
http://hilight.kapook.com/view/13793
เกิดเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 5.8 ริกเตอร์ โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ในประเทศพม่า (31กค.) กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานว่า เมื่อเวลา 05.42 น. เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.8 ริกเตอร์ โดยมีจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่ประเทศพม่า ความลึกจากระดับพื้นดิน 28 กิโลเมตร
http://hilight.kapook.com/view/13300
|
คลื่นยักษ์ "สึนามิ" เกิดจากแผ่นดินไหวใต้ท้องทะเลค่ะ
http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/poonsak/tsunami/favorite.html
http://www.mut.ac.th/~l1110353/page6.htm
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B6%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4
ดูแล้ว เศร้าใจค่ะ รับไม่ได้ ขอจบเท่านี้นะค่ะ T-T
จากไปทั้งน้ำตา
ขอพระเจ้าทรงปกป้อง ทุกคนอย่าให้ได้เจอกับเหตุการณ์อย่างนี้เลย
พระองค์ ได้โปรดเมตตาด้วย
ความคิดเห็น