ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ✖ (exo) : Geometry series : Circle | #ฟิควงกลมชานไค CHANKAI FT. EXO

    ลำดับตอนที่ #8 : CHAPTER 7

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.ค. 58






    TITLE CYCLE

    PAIRING : CHANYEOL X KAI

    เวลาที่เราได้รู้จักหรือเรียนรู้ใครสักคน...มันเป็นยังไงกันนะ?”

     



    CHAPTER 7


    เรื่องที่ว่าลูกชายคนเล็กของบ้านปาร์คออกจากบ้านแต่เช้าในวันหยุดถือเป็นเรื่องแปลกแล้ว แต่นี่..ลูกขายคนเล็กของบ้านปาร์คตื่นตั้งแต่ตีห้าในวันไปโรงเรียน เสียงโครมครามจากชั้นล่างของบ้านเล่นเอาพ่อกับแม่แทบจะกุลีกุจอลงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นขโมยขึ้นบ้านหรือยังไง แต่ก็พบเพียงลูกชายคนเล็กที่แต่งตัวเกือบจะเรียบร้อยเหลือเพียงแค่กางเกงเท่านั้นที่เจ้าตัวยังใส่ขาสั้นธรรมดา

    ชานยอลจะไปไหนลูก

    ผมจะไปซื้อนมที่มาร์เก็ตครับแม่

    คราวนี้เครื่องหมายคำถามอันเบ้อเริ่มแปะอยู่กลางหน้ามากขึ้นไปอีก คุณนายปาร์คมั่นใจว่าเธอเลี้ยงลูกชายมายี่สิบปี แน่นอนว่าชานยอลชอบกินนมถึงได้สูงยาวเข่าดีแบบนี้ แต่ไอ้การตื่นแต่เช้าแล้วออกไปซื้อนมนี่มันไม่ใช่เรื่องที่เคยเกิดขึ้นเลย สองสามีภรรยาหันไปสบตากันด้วยความงุนงงและก่อนที่จะมีใครพูดอะไร เด็กหนุ่มตัวสูงก็เดินพ้นประตูบ้านไปคร่อมจักรยาน ปั่นออกไปเสียแล้ว

    อากาศตอนเช้าค่อนข้างเย็น แต่ชานยอลก็ยังต้องมานั่งหงุดหงิดใจร้อนกับบรรดาแม่บ้านที่ออกมาจ่ายตลาดกันตั้งแต่ช่วงฟ้าสว่าง เขาไม่เคยรู้ว่ามีผู้คนมากมายที่ต้องตื่นเช้าเพื่อดูแลครอบครัวขนาดนี้ ปกติวันไปโรงเรียนชานยอลตื่นลงมาแม่ก็เตรียมอาหารรอพร้อมไว้เรียบร้อยแล้ว

    เบียดตัวไหลไปกับแรงคนจนหยุดอยู่หน้าร้านนมที่บ้านปาร์คเป็นลูกค้าประจำมาตั้งแต่ตอนชานยอลยังเด็ก เจ้าของร้านเอ่ยทักทายเด็กชายหูกางที่ยังพอมีเค้าหน้าเดิมอยู่บ้าง พร้อมกับส่งนมรสจืดให้สองขวดตามที่เขาเคยส่งให้เมื่อสมัยก่อน

    ผมขอเพิ่มอีกสามขวดได้หรือเปล่าครับ?”

    ได้สิ ฮ่าๆ เด็กสมัยนี้นี่กินนมกันเก่งจริงๆ”  เจ้าของร้านส่งนมเพิ่มให้ชานยอลที่รับมาแล้วรีบเดินฝ่าผู้คนกลับไปอีกครั้ง เสื้อนักเรียนของเขาเริ่มจะชื้นเหงื่อนิดๆ แต่นั่นไม่ไม่เท่ากับเวลาที่เขานัดบัดดี้ของตัวเองเอาไว้เมื่อคืน หลังจากที่หมอนั่นโทรมาด้วยน้ำเสียงง่วงนอนเต็มแก่

    พรุ่งนี้นายจะมากี่โมง

    สาบานได้ว่าชานยอลตื่นเต้นขนาดไหน แม่งโคตรจะไม่ใช่การนัดสาวเพื่อไปโรงเรียนพร้อมกันเลยสักนิดแต่เขาก็ยังจะตื่นเต้นขนาดที่ว่าลืมบอกเรื่องเวลา จนคิมจงอินต้องเป็นฝ่ายโทรมาถามด้วยตัวเอง เชื่อเถอะตอนนั้นเขากำลังอายจนหน้าแทบไหม้อยู่ รวมถึงตอนนี้ด้วย

    โต๊ะทานข้าวของบ้านปาร์คไม่เคยเงียบสนิทขนาดนี้มาก่อน เพราะโดยปกติแล้วเจ้าลูกชายคนเล็กมักจะโหวกเหวกโวยวายเรื่องไปโรงเรีนสายเสมอ แต่วันนี้ทุกคนต่างนิ่งงันตอนที่เห็นชานยอลเดินถือนมห้าขวดมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วรีบวิ่งตึงตังขึ้นไปด้านบนก่อนจะลงมาอย่างไวด้วยความเร็วแสงพร้อมกับชุดนักเรียนและสัมภาระสำหรับซ้อมกีฬาสีในช่วงเย็น

    ไปแล้วนะครับ

    ชานยอลคว้าจักรยานของตัวเองแล้วรีบปั่นออกไปทันที เขาไม่อยากให้คิมจงอินรอแล้วหาข้ออ้างด่าเขาต้อนรับเช้าวันใหม่ที่ชานยอลตั้งใจจะเอานมช็อคโกแลตสองขวดไปอรุณสวัสดิ์

     

    จงอินกระพริบตาปริบๆ มองบัดดี้ตัวสูงของตัวเองที่เบรกจักรยานแล้วหอบจนตัวโก่ง ก้มมองนาฬิกาก็พบว่าปาร์คชานยอลยังไม่สาย แต่ก็ดูจากเหงื่อที่ไหลอาบใบหน้านั้นบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวคงจะรีบเต็มที่ เอาล่ะจงอินจะเป็นคนดีด้วยการเอ่ยทักทายคนเหนื่อยก่อนแล้วกัน

    อรุณสวัสดิ์

    จักรยานมึงล่ะ?”

    ขมวดคิ้วเมื่อคำทักทายแรกไม่ใช่สิ่งที่เขาควรจะได้รับ จงอินไม่ได้ตอบแต่กลับยืนจ้องหน้าปาร์คชานยอลอยู่แบบนั้น จนคนที่คร่อมจักรยานแล้วเริ่มปรับลมหายใจได้คงที่ยืดตัวขึ้นยันขาไว้กับพื้นแล้วกระแอมไอในลำคอ

    อรุณสวัสดิ์เหมือนกันเขาตอบพร้อมกับส่งนมชอคโกแลตขวดหนึ่งในถุงให้บัดดี้ของเขา คิมจงอินยังคงมองไอ้ขวดนมโง่ที่อยู่บนมือของชานยอลด้วยความไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายเขาก็รับมันมาเมื่อหมอนั่นขยับมือยื่นมันใส่หน้าเขาอีกครั้ง

    จักรยานมึงละ่?”

    จอดอยู่บ้าน

    =_____= มึงคงไม่ย่อส่วนแล้วซ่อนมันไว้ในกระเป๋ากางเกงหรอกครับคิมจงอิน ไอ้เรื่องที่มันจอดอยู่บ้านน่ะกูรู้ แต่คำถามของกูคือทำไมมึงไม่ปั่นมันมา ทำหน้าเซ็งรับเช้าวันใหม่แล้วยิ่งตอนที่เห็นอีกคนกลั้นขำชานยอลก็รู้แล้วว่าเขากำลังโดนกวนตีน

    "ก็นายนัดมาโรงเรียนฉันเลยเลือกที่จะเดินมามันคงดีกว่า"

    "ปั่นจักรยานไม่ดีตรงไหนวะ?"

    "แล้วเดินไปเรื่อย  ๆด้วยกันมันไม่ดีตรงไหน?"

    เอากะมันดิ ชานยอลไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาเถียงกับบัดดี้ของตัวเองแล้ว ยิ่งเห็นคิมจงอินทำหน้าตาเป็นผู้ชนะใส่เขาแบบนั้นทั้งที่เรายังยืนสบตากันอยู่อย่างนี้มันยิ่งน่าหงุดหงิดขึ้นไปเป็นเท่าตัวว่าทำไมเขาถึงต้องแพ้ทางคิมจงอินไปตลอดเวลา แต่ก่อนที่ริมฝีปากจะได้เริ่มขยับกร่นด่า คนที่ทำตัวน่าโมโหอยู่ตลอดเวลาก็พูดขึ้นขัดเอาไว้เสียก่อน

    เราไปโรงเรียนกันเถอะ

     

    ระยะทางจากแยกมุมถนนมาถึงโรงเรียนไม่ได้ไกลสักเท่าไหร่นัก แต่วันนี้ชานยอลกลับรุ้สึกว่ามันใกล้มากเกินกว่าปกติ ยิ่งโดยเฉพาะมองคิมจงอินเดินล้วงกระเป๋าแล้วดื่มนมจากขวดที่เขาส่งให้ตอนเจอกันไปด้วยนั่นทำให้ชานยอลรู้สึกว่าเช้าวันนี้มันผ่อนคลายมากกว่าทุกวัน จากที่เคยหงุดหงิด เหนื่อยหอบ ก็กลายเป็นเดินเอ้อระเหยมาเข้าโรงเรียนแบบนี้  จนเดินผ่านป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนแล้วเริ่มเป็นจุดสนใจนั่นแหละชานยอลถึงได้กลับมาดูเป็นผู้ชายอารมณ์ร้อนอีกครั้ง

    มึงไม่รำคาญบ้างหรอวะ ทั้งมองทั้งซุบซิบทำตัวเป็นสาวน้อยไปได้หันไปมองบัดดี้ที่ยังคงเดินล้วงกระเป๋า กินนมอย่างสบายใจ ไอ้นมขวดนั้นก็ไม่ได้ใหญ่โตมากมายเลย 600 มิลลิลิตรแค่นั้น แต่คิมจงอินกลับค่อยๆละเลียดกินมันมาตั้งแต่พวกเขาเริ่มเดิน จนตอนนี้พึ่งจะหมดไปแค่ครึ่งขวด

    จงอินมองบัดดี้ที่ตอนนี้พ่วงตำแหน่งนักกีฬาในสังกัด(?) ทำหน้าตาหงุดหงิดแล้วก็ได้แต่กลั้นขำ ปาร์คชานยอลก็จัดว่าเป็นคนดังของโรงเรียน ดังข้ามไปจนถึงโรงเรียนสตรีฝั่งตรงข้ามเลยด้วยซ้ำ เขาไม่เข้าใจว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาปาร์คชานยอลอดทนกับเสียงซุบซิบได้ยังไง หรือไม่แน่เจ้าตัวอาจจะไม่ได้สนใจเลยพึ่งจะมาหงุดหงิดเอาตอนนี้

    ฉันก็ฟังอย่างอื่นที่มันน่าฟัง ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรที่ไม่อยากได้ยินแล้วคิมจงอินยกขวดนมออกจากปากพลางใช้มือที่ล้วงกระเป๋าอยู่ยกขึ้นมาดึงสายหูฟังที่เขาไม่ทันสังเกตให้ได้เห็น

    ฟังหูเดียวอีกหูนึงมันก็ได้ยินอยู่ดีไม่ใช่หรอวะ นินทาขนาดนี้ ไม่มาพูดใส่หน้ากูเลยล่ะจงใจพูดเสียงดังให้กลุ่มที่อยู่ใกล้ที่สุดได้ยิน จงอินเห็นเด็กสาวโรงเรียนฝั่งตรงข้ามสะดุ้งแล้วก็รีบพากันจูงมือข้ามถนนไป หันมามองบัดดี้ของเขาแล้วก็ต้องส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ

    ปกติฉันก็ใส่หูฟังสองข้าง…” จงอินเว้นระยะ มองปาร์คชานยอลที่พึ่งจะละสายตามาจากกลุ่มเด็กผู้หญิงกลุ่มนั้นแต่วันนี้นายเดินมาโรงเรียนด้วยกัน ฉันก็เลยเอาอีกข้างนึงออกเผื่อนายคุยอะไรฉันจะได้ได้ยิน

     

    อ้าวมึง

     

    ชานยอลได้แต่ร้องอ้าวในใจดังลั่น อยู่ๆเขาก็ทำได้แค่อ้าปากพะงาบกับประโยคแสนจะธรรมดาของคิมจงอิน คิดไม่ออกว่าไอ้ประโยคที่เหมือนจะหวานแหววอย่างนั้นมันใช่อย่างที่เขาตีความได้หรือไม่ เด็กหนุ่มตัวสูงไม่รู้เลยว่าเขาต้องทำยังไงกับบัดดี้ที่ยังคงยืนมองเขาด้วยหน้าง่วงๆ เซื่องๆ หลังจากพูดประโยคนั้นออกมา

    อ้าว เป็นใบ้ไปเลยอีก นายนี่แปลกดีนะ นึกจะด่าคนก็ด่า นึกจะเป็นก็เป็นใบ้

    ไอ้สัด..เดี๋ยวกูต่อย

    สุดท้ายชานยอลก็หาเสียงของตัวเองเจอหลังจากที่โดนด่าเข้าแสกหน้ารับอรุณสวัสดิ์ไปอีกหนึ่งประโยค ไม่ต้องพูดถึงไอ้อารมณ์อ้าปากค้างเมื่อครู่นี้หรอก มันหายวับไปหมดแล้ว ไม่อยากจะนับว่าวันนึงเขากลอกตากี่ร้อยรอบตอนที่อยู่กับคิมจงอิน

    นายก็แค่ต้องหาอะไรที่นายชอบ มันจะได้ดึงนายให้ห่างจากสิ่งที่จะทำให้นายหงุดหงิด มันก็เท่านั้น

    พวกเราเดินเข้าโรงเรียนมาพร้อมกับที่คิมจงอินพูดประโยคนั้นแล้วหยุดยืนรอให้บัดดี้ของเขาเดินเอาจักรยานไปจอด หูฟังข้างที่ห้อยอยู่ถูกหยิบขึ้นมาสวมใส่อีกครั้ง และถึงแม้ว่าคราวนี้พวกเราจะเดินด้วยกันในโรงเรียนจงอินก็ไม่คิดว่าเขาจะเอาหูฟังออกอีกแล้ว นี่ขนาดเขามีเพลงเปิดคลอระหว่างที่เราเดินไปด้วยกัน เขายังได้ยินเสียงปาร์คชานยอลบ่นไม่หยุดเลยให้ตายเถอะ

     

    เสียงเหวี่ยงกระเป๋าแลนด์ดิ้งลงข้างหู ไม่ได้ทำให้ไอ้คนที่กำลังฟุบอยู่กับโต๊ะคิดจะเงยหน้าขึ้นมาเลยสักนิด ลู่หานกับแบคฮยอนที่มาโรงเรียนช้าแต่ดันมีสายไปรายงานว่าวันนี้คู่จิ้นคนดังเขาเดินเข้าโรงเรีนมาด้วยกัน แค่นั้นแหละพวกเขาสองคนก็รีบดิ่งขึ้นมาถามหาความจริงกับไอ้ต้นเรื่องที่กำลังนอนหลับอยู่บนโต๊ะแบบนี้

    “เชี่ยชานยอล ตื่นดิวะ ตื่นตื่น ตื่นขึ้นมา” แบคฮยอนเขย่าแขนเพื่อนโดยมีลู่หานคอยช่วยอีกแรง ฝ่ามือจิกกำกระจุกผมน้อยๆของเพื่อนตัวเอง ออกแรงดึงจนมันเด้งพรวดขึ้นมาร้องลั่นด้วยความเจ็บซ้ำยังทำหน้าตาจะฆ่าคนได้ใส่พวกเขาสองคน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องจะต้องมานั่งแคร์กันตอนนี้หรอก ความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขามันมีเยอะกว่า!

    “เมื่อเช้ามึงมาโรงเรียนด้วยกันจริงหรอวะ” ลู่หานเป็นคนยิงคำถามใส่เพื่อนที่ยังกุมหัวอยู่โดยไม่คิดจะห่วงใยกันเลยสักนิด ชานยอลรู้สึกหงุดหงิดขึ้นเป็นเท่าตัวที่แม้กระทั่งเพื่อนสนิทอย่างไอ้ลู่หานยังเป็นไปกะเขาด้วย

    “ทำไมวะละการที่กูมาโรงเรียนกับใครมันน่าตื่นเต้นขนาดนั้นเลยหรอวะ”

    “มากกกกกเหี้ยเหี้ยยยยยย”

    น้ำเสียงลงหนักพร้อมกับคำขยายแบบหยาบๆของพวกนั้นตอกย้ำความน่าตื่นเต้น ผลักดันให้ชานยอลรู้สึกโมโห หงุดหงิดมากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว คนพวกนี้แม่งจะอะไรกันนักหนาวะ แค่กูมาโรงเรียนพร้อมบัดดี้กูนี่โลกมันจะถล่มลงมาทับพวกมึงตายไง๊

    “ขี้เสือกจริงๆ”

    “เสือกเรื่องของเพื่อนครับ เพื่อนฝูงนอกจากคบกันไว้ช่วยเหลือแล้ว เรื่องส่วนตัวก็มีไว้เสือกด้วยเหมือนกัน”

    ทฤษฎีห่าเหวของไอ้แบคฮยอนยิ่งทำให้ชานยอลหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก เขาไม่ได้โทษว่ามันเป็นเพราะการตื่นเช้าเพื่อมาโรงเรียนพร้อมกันกับบัดดี้เป็นสาเหตุ แต่ไอ้เพื่อนรักสองคนที่ไม่ยอมให้เขาฟุบหลับก่อนเข้าเรียนนี่ต่างหากมันทำให้เขาหงุดหงิด

    “เร็วดิมึง เมื่อเช้ามึงมาโรงเรียนด้วยกันหรอ”

    “เออ”

    “เหยดดดดดดดดดดดดดดดดดด...” แล้วก็ตามด้วยประโยคยาวเหยียดที่ชานยอลไม่คิดจะใส่ใจ พอจะฟุบหน้านี้ก็ดันมีเสียงของพวกมันแว่วเข้าหูมาให้ได้ยินอีก โงหัวขึ้นมาจะอ้าปากด่าออกไปแล้ว แต่อยู่ๆ คำพูดของคิมจงอินเมื่อเช้ากลับดังชัดเต็มสองรูหู

    ฉันก็ฟังอย่างอื่นที่มันน่าฟัง ก็ไม่ได้ยินอะไรที่ไม่อยากได้ยินแล้ว

    จากที่จะฟุบตัวลงนอนเฉยๆ ชานยอลกลับหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาแตะๆอยู่สองสามครั้ง หยิบหูฟังที่พกติดตัวเอาไว้แต่ไม่ค่อยจะได้ใช้สักเท่าไหร่เสียบเข้ากับตัวเครื่องแล้วให้มันทำหน้าที่ของมัน เสียงกีต้าร์ที่เกลาไปตามจังหวะเบาสบาย เริ่มจะตัดคนขี้หงุดหงิดออกจากเสียงเพื่อนที่น่ารำคาญ ปกติแล้วชานยอลไม่ค่อยมาฟังเพลงที่ตัวเองเล่นสักเท่าไหร่นักหรอก เวลาแบบนี้ถ้าไม่ตะโกนด่าจนสุดเสียงเขาก็จะฟังเพลงหนักๆจนหูจะแตกไปแทน

    คำแนะนำของคิมจงอิน มันก็ใช้ในชีวิตประจำวันได้เหมือนกันแฮะ  

     

     

    จงอินกระพริบตามองเทากับเซฮุนที่นั่งนิ่งจ้องหน้าทันที่เขาเดินเข้ามาในห้องเรียน พอจะวางกระเป๋าหย่อนตัวลงนั่ง เทาก็คว้าเก้าอี้ของเขาลากหนี พอจะดึงเอาอีกตัวมานั่งแทนเซฮุนก็ดันยื่นขามาพาดเอาไว้ไม่ให้เขานั่งอีก เด็กหนุ่มผิวแทนมองเพื่อนที่ทำตัวกวนตีนกันแต่เช้าด้วยสายตาส่งคำถาม

    “เมื่อเช้ามาโรงเรียนกับใครวะ”

    จงอินถอนหายใจทันทีที่ได้ยินคำถามจากหวงจื่อเทา ดูเหมือนว่าการมาโรงเรียนพร้อมกับปาร์คชานยอลดูจะเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์มากในเวลานี้ ไม่เว้นกระทั่งเซฮุนที่นั่งจ้องเขาตาเขม็งอยู่ข้างไอ้เทา

    “เอาขาออกดิ กูจะได้นั่งให้ถาม”

    “ตอบคำถามก่อนดิ แล้วเดี๋ยวจะให้นั่ง”

    จงอินอดคิดไม่ได้ว่าเพราะพวกเขาเริ่มสนิทกันมากขึ้นแล้วหรือยังไง ทำไมถึงดูจะะติดนิสัยขี้หงุดหงิดของปาร์คชานยอลมาแบบนี้ เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกๆ ใช้เท้าเขี่ยเก้าอี้ที่ไอ้เทาดึงเอาไว้พร้อมทั้งวางกระเป๋าทับลงบนขาเซฮุนที่พาดอยู่บนเก้าอี้ พูดเสียงดังฟังชัด

     


    “เมื่อเช้ามาโรงเรียนกับปาร์คชานยอล นัดเจอกันที่ทางแยกร้านบะหมี่ลุงคัง มันปั่นจักรยานมา ส่วนกูเดินมา นัดเจอกันตอนเจ็ดโมงเช้า ปาร์คชานยอลมาเจอกูพร้อมกับนมชอคโกแลตหนึ่งขวด แล้วเราก็เดินมาโรงเรียนด้วยกัน เคลียร์มั้ย???”

     


    เล่นเอาทุกสิ่งมีชีวิตในห้องเงียบกริบ ปกติคิมจงอินไม่ใช่คนขี้โมโหในสายตาเพื่อนฝูงอยู่แล้ว นานๆครั้งจะได้เห็นอารมณ์ขึ้นเป็นหมีตกมัน พอพูดเสียงดังขนาดนี้ แถมยังเป็นเรื่องประเด็นที่ร้อนฉ่าสนั่นโรงเรียนอีก มันเลยกลายเป็นนิ่ง อึ้ง งง กันไปเป็นแถบ แม้กระทั่งเทากับเซฮุนก็ยังได้แต่พยักหน้ารับเท่านั้น

     

    จ้ะ...เคลียร์จ้ะ... เคลียร์เลยจ้ะ...

     

     

    50 percent

     



    พักเที่ยงเป็นมักจะเป็นช่วงเวลาที่น่าหงุดหงิดอยู่เสมอสำหรับคนขี้รำคาญอย่างชานยอล โดยเฉพาะวันนี้นอกจากจะหงุดหงิดแล้วเขายังมีอาการประหม่าเพิ่มขึ้นมาอีก ยิ่งกลายเป็นว่าทั้งประหม่าที่คนเยอะแต่ก็อยากจะให้คนน้อยๆเพราะมันน่าหงุดหงิดกับเสียงซุบซิบที่ดังราวกับว่าไม่ได้เกรงใจกันเลยสักนิด เด็กหนุ่มตัวสูงยืนรออยู่หน้าทางเข้าโรงอาหารเพราะเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนเขาส่งข้อความไปชวนบัดดี้ที่ตอนนี้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการทีมบาสส่วนตัวมาทานข้าว

    'ฉันเรียนพละ หิวก็ไปก่อน. เดี๋ยวตามไป ไม่งั้นก็รอหน่อยแล้วกัน'

    เพียงเพราะประโยคนั้นชานยอลถึงได้มายืนล้วงกระเป๋า ฟังเสียงซุบซิบของเด็กห้องเออยู่หน้าโรงยิมตอนที่ใครต่อใครต่างก็พากันไปโรงอาหารอย่างนี้ ก้มดูนาฬิกาข้อมือก็ยิ่งรู้สึกว่าวันนี้เข็มวินาทีเดินช้ากว่าทุกวัน เขาพยายามทำทุกทางที่คิมจงอินบอกเพื่อให้ตัวเองใจเย็นแต่มันก็ดูจะเป็นเรื่องยากเสียเหลือเกิน

    อ้าว มารอตรงนี้เลยหรอ

    ชานยอลเงยหน้ามองคนที่ยังทำตัวไม่รู้สึกรู้สาว่าปล่อยให้เขารอนานขนาดไหนด้วยสายตากึ่งอาฆาต จงอินกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ตอนที่เห็นว่าบัดดี้ตัวสูงจ้องมองเขาด้วยสายตาแบบไหน ทั้งที่เขาก็บอกแล้วว่าถ้ารอไม่ไหวก็ให้ไปซื้ออะไรกินก่อนเดี๋ยวเดินตามไป แต่ปาร์คชานยอลก็ยังคงรั้นมายืนรออยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จงอินไม่ผิดนะ

    “เลิกทำหน้าตากวนส้นตีนแล้วไปกินข้าวกันสักที”

    “ก็บอกแล้วว่าถ้าหิวให้ไปกินก่อน”

    ชานยอลอ้าปากค้างมองคนที่พูดประโยคนั้นออกมาได้หน้าตาเฉย คิมจงอินควรจะสำนึกผิดที่ทำให้เขาหิ้วท้องรอไปกินข้าวพร้อมมันสิ

    “อย่าทำหน้าตาเหมือนฉันผิดมากขนาดนั้นสิ”

    “แล้วมึงไม่ผิดหรือไง” ชานยอลตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเต็มที คิมจงอินนี่มันกวนประสาทกวนโมโหได้ตลอดเวลาเลยจริงๆให้ตายเถอะ ดูมัน..ยังจะทำหน้ายิ้มตลกใส่เขาอีก

    “ฉันบอกนายแล้วว่าไม่ต้องรอ ถ้านายอยากรอก็ไม่ควรมาโยนความผิดให้คนอื่นระบายความหงุดหงิดแบบนี้นะ”  จงอินยิ้มให้กับปาร์คชานยอลที่ยืนทำหน้าบึ้งใส่เขาทั้งที่ตัวเองเป็นคนเลือกจะรอ

    “ จะบอกว่ามันรู้สึกไม่ดีงั้นดิ กูไม่รู้สึกผิดหรอกนะบอกเลย”

    “ถูกครึ่งนึง อีกครึ่งนึงฉันจะบอกว่าถึงนายจะหงุดหงิด..”รอยยิ้มรู้ทันของจงอินทำให้ปาร์คชานยอลเริ่มทำหน้าไม่ถูก และนั่นก็ยิ่งยืนยันว่าสิ่งที่จงอินคิด

     “....แต่ฉันก็ดีใจที่นายอยากไปกินข้าวด้วยกันมากขนาดนี้....”  

    “พูดมากว่ะ”

    ถึงจะดูหงุดหงิดสักแค่ไหนแต่ปาร์คชานยอลก็ยังไม่สามารถเก็บอาการเขินของตัวเองได้เลยสักนิดจึงได้แต่หันหน้าหนีเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของคิมจงอินที่ส่งมาล้อเลียนเขาอยู่อย่างนั้น หลายคนที่เดินผ่านหน้าโรงยิมได้แต่สะกิดกันชวนดูภาพน่ารักๆที่เด็กหนุ่มผิวแทนในชุดกีฬายืนหัวเราะล้อมหน้าล้อมหลังนักเลงโตชานยอลที่ได้แต่ยืนหูแดงแจ๋หันหนีรอยยิ้มทะเล้นของอีกคนอยู่อย่างนั้น

    มันน่ารัก!จนต้องถ่ายรูปเก็บเอาไว้!!

    จงอินยอมหยุดล้อเลียนในที่สุดเมื่อปาร์คชานยอลหันมาจ้องหน้าเขาราวกับจะฆ่าให้ตายตรงนี้ เขารู้ว่าบัดดี้ตัวสูงไม่ทำอะไรเขาหรอก แต่เพราะนี่มันก็เลยเวลามาพอสมควรแล้วพวกเขาควรจะได้ทานอาหารกลางวันกันเสียที

    “ไปเถอะ คนในโรงอาหารคงลดลงบ้างแล้ว ฉันยังต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก”

    “ไปเปลี่ยนดิ เดี๋ยวกูไปซื้อข้าวให้ จะเอาอะไร” ปาร์คชานยอลพยักหน้ารับเมื่อเขาบอกว่าเอาอะไรก็ได้แล้วรีบหมุนตัวเดินตรงไปยังโรงอาหารที่ผู้คนเริ่มซาลง จงอินมองบัดดี้ของตัวเองแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า ตอนที่เห็นข้อความชวนกินข้าวกลางวันก็ว่าเขาแปลกใจมากแล้ว แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายมายืนรอถึงหน้าโรงยิมแบบนี้จงอินเลยพอจะเข้าใจอยู่บ้าง คนขี้รำคาญแบบนั้น ต้องหงุดหงิดมากแน่ๆ

    เอาเถอะ หิวนิดหน่อยแต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ปาร์คชานยอลไปหงุดหงิดใส่คนทั้งโรงอาหารล่ะนะ

    ถึงจะเลยเวลาพักเที่ยงมาเกือบยี่สิบนาที แต่ก็ยังถือว่าคนในโรงอาหารยังคงค่อนข้างเยอะกว่าที่เขาคิดเอาไว้ จงอินโทรบอกเทากับเซฮุนแล้วว่าเที่ยงเขาจะไปกินข้าวกับบัดดี้ของตัวเอง ให้ทั้งสองคนไปกินก่อนเลยไม่ต้องรอ ดังนั้นถ้าเที่ยงนี้เขาหาปาร์คชานยอลไม่เจอก็คงจะต้องนั่งกินข้าวคนเดียว หมอนั่นก็ต้องจัดการข้าวสองจานคนเดียวเหมือนกัน

    ปึ่ก

    แรงกระแทกที่ศีรษะทำให้คนที่กำลังกวาดสายตาหันเหไปสนใจ จงอินเดาไว้ในใจไม่กี่คน เพราะถึงแม้จะเจอเพื่อนทักทายอยู่บ้างตอนที่เดินเข้ามา แต่คงไม่มีใครกล้ามาเคาะหัวเขาหรอก คนที่ทำแบบนี้ก็คงมีแค่..

    “ปาร์คชานยอล”

    “กูชูแขนจนมันจะทะลุออกหลังคาโรงอาหารแล้วมึงก็ยังไม่เห็น นู่น นั่งตรงนู้น” พยักหน้าไปทางโต๊ะตัวริมที่เกือบจะติดหน้าต่าง จงอินหันไปมองก็พบว่ามีเพื่อนสนิทของชานยอลนั่งอยู่ ทั้งสองคนโบกมือทักทายเขาจากไกลๆ ยังไม่ทันจะได้ยิ้มตอบก็รู้สึกถึงแรงกระแทกตรงกลางกระหม่อมอีกครั้ง ปาร์คชานยอลนี่มันยังไงกันนะ?

    “ไม่ต้องทำหน้าอยากจะด่ากูขนาดนั้นก็ได้”

    “เปล่า คราวนี้ฉันกำลังด่านายด้วยสายตาว่าทำไมเป็นคนนิสัยแบบนี้”

                ชานยอลถึงกับร้องอ้าวออกมาเสียงดัง หลังจากที่โดนคิมจงอินด่ากันซึ่งหน้าเป็นครั้งแรก(?) คนรอบข้างที่ได้ยินประโยคนั้นชัดเจนก็เริ่มมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ถึงทั้งคู่จะมีมุมกุ๊กกิ๊กน่ารักให้ทุกคนในโรงเรียนได้อมยิ้ม แต่ไอ้เวอร์ชั่นกวนตีนกันซึ่งหน้าแบบนี้เขาไม่มั่นใจสักเท่าไหร่นักว่าจะเกิดอะไรขึ้น

    “นี่มึงต้องการอะไรจากกูกันวะ”

    “ฉันต้องการกวนโมโหนายเพราะฉันกำลังหิวข้าว เหมือนที่นายหงุดหงิดใส่คนอื่นไปทั่วไง” ชานยอลมองบัดดี้ที่เริ่มจะกลับมากวนตีนของเขาด้วยท่าทางเอาเรื่อง แต่ก็แค่พักเดียวเท่านั้นแหละพอเห็นคิมจงอินหลุดหัวเราะ เขาถึงได้รู้ว่าตัวเองกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของมันไปอีกครั้ง ชอบนักล่ะกวนตีนแล้วหลอกด่ากูเนี่ย

    “หยุดหัวเราะกูแล้วแดกข้าวไปเลย”

    กระแทกเสียงหนักแล้วเดินตรงไปยังโต๊ะที่ให้เพื่อนสนิทนั่งเฝ้าเอาไว้ให้ ยิ่งเห็นหน้าไอ้ลู่หานกับไอ้แบคฮยอนกลั้นขำก็ยิ่งน่าหงุดหงิดขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ส่วนต้นเรื่องอย่างคิมจงอินน่ะเหรอ? เหอะ เดินมาถึงก็นั่งก้มหน้าก้มตากินไม่ได้สนใจว่าใครเขาจะหงุดหงิดเพราะมันเลย

    “อ่ะ....” เสียงของคิมจงอินยังไม่น่าตกใจเท่าขวดน้ำเปล่าที่ใส่หลอดยื่นมาให้ถึงปาก ไหนจะรอยยิ้มที่เจ้าตัวส่งมาให้เขาอีก ให้ตายเถอะ...

    “ไม่เห็นจะต้องทำหน้าเหวอขนาดนั้น...” จงอินยังคงยิ้ม ยิ้มทั้งตาทั้งปากจนชานยอลนึกสงสัยว่าหมอนี่เกิดมาเพื่อทำให้คนอื่นรู้สึกดีเพียงแค่ยิ้มให้หรือเปล่า

     

     “...แล้วก็ขอบคุณครับสำหรับน้ำดื่ม”

     

    อา....รู้สึกเหมือนโดนน็อคดาวน์ยังไงยังงั้นเลย

     


     

    จงอินเก็บของใส่กระเป๋าอย่างเชื่องช้า หลังจากที่ออดของชั่วโมงเรียนสุดท้ายดังขึ้นในเวลาบ่ายสามโมงยี่สิบนาที เขาไม่มีความจำเป็นจะต้องรีบร้อนไปที่ไหนเหมือนกับเทาและเซฮุนที่ต้องคุมน้องซ้อมกีฬาสี เด็กหนุ่มยัดหนังสือเล่มสุดท้ายลงกระเป๋าเป้ของตัวเอง ก่อนจะหันมองนอกหน้าต่างออกไปยังหน้าโรงยิมที่เห็นอยู่ไกลๆ ปาร์คชานยอลอยู่ตรงนั้น จงอินจำได้เพราะหมอนั่นยืนอยู่ด้านหน้าสุดในชุดบาสเก็ตบอลสีชมพูขาว  บนหน้าอกเบอร์ 61 ตัวใหญ่ที่สกรีนอยู่

    “พี่จงอิน พี่ชานยอลให้มาตาม บอกว่าถ้ายังไม่ลงไปจะขึ้นมาลากด้วยตัวเองแล้ว”

    เสียงของรุ่นน้องที่ยืนหอบแฮ่กอยู่หน้าประตูทำให้จงอินหันกลับไปมอง ทั้งขำทั้งเข้าใจ นี่ก็คงจะโดนขู่มาเหมือนกันล่ะมั้งถึงได้รีบวิ่งขึ้นตึกม.ปลายปีสุดท้ายมาแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นเขาควรทำหน้าที่ผู้จัดการทีมบาสของสีที่ดีด้วยการปกป้องลูกทีมไม่ให้โดนกัปตันแหกอกเอาใช่มั้ย?

    “ช้าจังวะ! มึงไปวิ่งรอบสนามบาสเลย!

    จงอินส่ายหน้า เขากับรุ่นน้องคนนึงที่จำได้ว่าชื่อจงซอกพึ่งจะเดินเข้าโรงยิมยังไม่ทันจะถึงที่ประจำของสีชมพูเลยด้วยซ้ำ คุณผู้จัดการทีมยิ้มกว้างทักทายรุ่นน้องที่เปลี่ยนชุดกันเรียบร้อยแล้วกำลังนั่งเรียงแถวตั้งใจปาร์คชานยอลชี้แจงเรื่องระเบียบคัดตัวนักกีฬา เขาเดินเอากระเป๋าไปกองรวมไว้กับคนอื่นแล้วเดินกลับมายืนท้ายแถวอีกครั้ง ตอนที่คุณกัปตันทีมพูดถึงกันพอดี

    “คนนั่นเป็นรุ่นเดียวกับพวกกู ชื่อคิมจงอิน จะช่วยดูแลพวกเรา แต่เขาไม่ใช่เบ๊ เข้าใจที่กูพูดมั้ย”

    “ครับ!!!

    ทุกคนพากันยิ้มขำ เมื่อชานยอลตะโกนบอกรุ่นน้องดังลั่นถึงตำแหน่งและหน้าที่ของผู้จัดการทีม โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้จัดการทีมบาสมักจะเป็นผู้หญิงหรือไม่ก็ผู้ชายที่ค่อนข้างจะดูแลความเรียบร้อยของทุกคนในทีมได้เป็นอย่างดี ทั้งน้ำ ทั้งขนม ทุกคนมีสิทธิ์ไหว้วานให้ผู้จัดการไปซื้อให้ หรือแม้กระทั่งผ้าขนหนูที่ใช้ซับเหงื่อก็ยังต้องเป็นคนเอาไปซัก แต่ดูเหมือนว่าปาร์คชานยอลจะระบุชัดเจนแล้วว่าหน้าที่ผู้จัดการทีมของคิมจงอินมีอะไรบ้าง

    “เดี๋ยววันนี้เราจะเริ่มซ้อม จับกลุ่มแบ่งทีมตามนี้”

    ชานยอลส่งกระดาษรายชื่อที่เขากับคิมจงอินและเพื่อนสตาฟคนอื่นช่วยกันเลือก พวกเขาต้องการคนที่ดีที่สุดในตำแหน่งนั้นๆ เพื่อชัยชนะของสี และมันก็เป็นสิ่งชานยอลอยากจะทำให้ได้ดีเพราะมันเป็นสิ่งที่เขาชอบ

    กัปตันทีมบาสสีชมพูโบกมือไล่เด็กและสตาฟคนอื่นให้ไปคุมทีมซ้อม ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาคิมจงอินที่นั่งเอนหลังขัดสมาธิพิงกับม้านั่งคอนกรีตของสแตนด์ชั้นถัดไปมองดูคนอื่นแยกย้ายไปซ้อม พวกเขาแบ่งออกเป็นสามทีมย่อย และเพราะสตาฟมีไม่มากนัก ทุกคนจึงดูมีงานทำกันหมด อ๋อ..ไม่สิ เว้นไว้อยู่คน

    “ไม่ต้องไปคุมคนอื่นซ้อมหรือยังไง”

    “แบ่งหน้าที่แล้ว เดี๋ยวมึงกับกูไปซื้อน้ำหวานมาเตรียมไว้ให้พวกมันกินตอนพัก” 

    จงอินส่ายหน้า เขาไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่นักที่ชานยอลจะเป็นคนลงไปซื้อน้ำกับขนมขึ้นมารอทุกคน แน่ล่ะมันดีอยู่แล้วที่กัปตันจะดูแลลูกทีม แต่เด็กหนุ่มยังคงยืนยันว่าชานยอลควรจะลงไปเล่นกับเด็กที่มาสมัครคัดตัวเพื่อหาคนที่มีฝีมือด้วยตัวเอง

    “นายแยกไม่ออกหรอว่าเรื่องไหนควรทำ เรื่องไหนไม่ควรทำ”

    “นี่มึงจะด่ากูทำไมเนี่ย จะไปช่วยถือของไง” พอโดนว่าเข้าคนขี้โมโหก็ดูจะร้อนขึ้นมาทันที หน้านิ่วคิ้วขมวดจ้องบัดดี้ตัวเองอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ และเพราะไม่เถียงกันเสียงดังเหมือนครั้งก่อนๆ ภาพที่ทุกคนในโรงยิมแอบมองเลยกลายเป็นว่าทั้งคู่กำลังหยอกล้อกันอย่างน่ารัก(?) แน่นอนว่าบรรดาหนุ่มน้อยที่กลายมาเป็นแม่ยกชานไคต้องรีบอัพเดทให้แฟนคลับคู่จิ้นได้ฟินกันบ้าง


    [ข่าวด่วน] กัปตันทีมบาสสีชมพูกับผู้จัดการทีมดูจะพัฒนาความสัมพันธ์กันมากกว่าขึ้นกว่าเดิม ขอยืนยันฟันเฟิร์มกันตรงนี้! อยากให้ทุกคนมาเห็นภาพน่ารักๆที่เขาหยอกล้อกันในสนามบาสจริงๆ!


    “ฉันเดินไปซื้อของเองได้ เดี๋ยวไปเรียกรุ่นน้องที่อยู่ข้างนอกสักคนก็ได้” จงอินเข้าใจวเจตนาของปาร์คชานยอล แต่เขาก็เห็นเหมือนกันว่ามันมีเรื่องอื่นที่ปาร์คชานยอลควรทำมากกว่าการเดินลงไปซื้อของกับเขา

     “อยู่ซ้อมไปเถอะครับ คุณนักกีฬา ไหนบอกว่าให้ผมหัดดูแลคนอื่น เผื่อมีนักกีฬาเป็นของตัวเองไง”

     อีกแล้วรอยยิ้มของคิมจงอินมันทำให้ชานยอลลืมว่าตัวเองจะต้องโมโหหรือดื้อรั้นในสิ่งที่อยากทำอีกแล้ว เขามองหมอนั่นเดินไปสะกิดรุ่นน้องสักคนที่นั่งเล่นอยู่แถวๆหน้าประตูก่อนจะพากันหายลับไปจากสายตา รู้สึกว่าตัวเองต้องลูบหน้าแรงๆอยู่หลายครั้งกว่าจะเรียกสติ แล้วเดินไปกลางสนามเพื่อนซ้อมกับคนอื่นได้ ลู่หานกับแบคฮยอนรวมถึงจงซอกได้แต่สะกิดแล้วซุบซิบกันอย่างขำขันกับท่าทางของกัปตันทีมคนเก่ง

    ดูเอาเถอะ..ขนาดมีน้องคนนึงพลาดชู้ตบาสลงกระแทกหัว มันยังหันไปยิ้มให้เขาเลย  เป็นเอามากแล้วมั้งเนี่ยปาร์คชานยอล

     

    จงอินเดินกลับมาพร้อมกับน้ำเกลือแร่และน้ำเปล่าเย็นๆอีกหลายขวด ถังพลาสติกที่มีน้ำแข็งละลายน้ำอยู่ถูกใช้งานทันที เขากับรุ่นน้องอีกคนช่วยกันแช่น้ำแล้วยกมันไปไว้ตรงเก้าอี้นักกีฬาส่วนของพวกเขา ขอบคุณรุ่นน้องคนนั้นเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวดูความเป็นไปในสนาม

    ปาร์คชานยอลยืนรวมอยู่กับรุ่นน้องเกือบยี่สิบคนที่มุมสนามซ้ายมือของเขา กำลังต่อแถวกันชู้ทจุดโทษตรงเส้นแบ่ง ถัดมาเป็นนักกีฬาสีฟ้า ที่กำลังต่อคิวรอใช้แป้นบาสต่อ อีกฝั่งก็เป็นสีเหลืองกับสีม่วงที่แบ่งทีมแล้วจับน้องมาแข่งกัน ทุกคนดูจะตั้งอกตั้งใจซ้อม สตาฟคนอื่นที่นั่งริมสนามก็คอยจัดเตรียมทุกอย่างให้นกกีฬาสีตัวเอง จงอินดูจะเป็นคนที่ว่างงานมากที่สุดในโรงยิมนี้แล้วล่ะมั้ง

    เบนสายตากลับมาสนใจที่สีของตัวเองอีกครั้ง คราวนี้ทุกคนไม่ได้ชู้ตจุดโทษกันอีกต่อไปแล้ว ชานยอลให้มินโฮ(เพื่อนอีกคนในทีมบาส) ยืนตั้งหลักอยู่ตำแหน่งเซนเตอร์ แล้วสอนเทคนิคสำหรับคนที่จะทำแต้มด้วยการบุกฝ่าเข้ามาชู้ตภายในครึ่งวงกลม

    จงอินมองกัปตันทีมที่มีดีกรีนักกีฬาโรงเรียนแปะหลังถอยตัวออกไปนอกเขตครึ่งวงกลม ตรงกลางตำแหน่งเซนเตอร์มีมินโฮยืนตั้งท่าเตรียมรับการบุก ลูกบาสในมือกระดอนลงพื้นแล้วเด้งเข้าหาฝ่ามือใหญ่ราวกับมีแรงดึงดูด เขาเห็นว่าปาร์คชานยอลย่อตัวลงต่ำ แล้วพุ่งตัวเข้าหามินโฮที่ยืนตำแหน่งเซนเตอร์กั้นอยู่ เขาแทบจะมองไม่ทันชานยอลทำอะไรบ้าง เห็นเพียงแค่จังหวะหมุนตัวหันหลังหลบคว้าลูกบาสเข้ามือแล้วกระโดดเทคตัวขึ้นยัดเจ้าลูกสีส้มนั้นลงห่วงไปอย่างสวยงาม

    ยอมรับทึ่งมาก เพราะนอกจากผู้ชายขี้โมโหกับผู้ชายสบายๆที่นั่งเล่นกีต้าร์แล้ว นี่ก็พึ่งจะเป็นอีกมุมหนึ่งของปาร์คชานยอลที่จงอินเคยเห็น

    ปาร์คชานยอลตอนเล่นบาสที่ก็เท่ไม่เบาเหมือนกันแฮะ

     

    เสียงเม็ดฝนตกกระทบหลังคาทำให้ทุกคนในโรงยิมพร้อมใจกันหยุด แล้วหันไปมองทางออกเป็นตาเดียวกัน ชานยอลนิ่งมองอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะสั่งให้ทุกคนเลิกซ้อมแล้วไปเตรียมตัวกลับบ้าน พอฝนหยุดจะได้รีบกลับกันทันที ส่วนตัวเองก็เดินตรงเข้ามาหาบัดดี้ที่นั่งขัดสมาธิมองนู่นมองนี่เหมือนเด็กอยากรู้อยากเห็น

    “ทำไมยังไม่กลับอีกวะ”

    “ฉันก็ควรรอกลับพร้อมคนอื่นไม่ใช่หรือไง” โน้มตัวลงหยิบผ้าเย็นที่แช่ไว้ในถังก่อนจะส่งให้กัปตันทีมที่ใบและลำตัวเต็มไปด้วยเหงื่อ “นี่ครับคุณนักกีฬาจะได้สดชื่น”

    สาบานได้ว่าตอนไปแข่งต่างโรงเรียนหรือแม้แต่กระทั่งระดับประเทศ ชานยอลมีสาวน้อยน่ารักส่งผ้าเย็นเช็ดเหงื่อให้เป็นสิบคนแล้ว แต่ยังไม่มีใครส่งมันให้เขาด้วยความรู้สึกที่ว่าอยากให้รับไปเพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้าแบบคิมจงอินมาก่อน

    “พี่จงอินๆๆๆๆ ขอผมบ้างๆๆๆๆ”

    เสียงโหวกเหวกโวยวายจากด้านหลัง ทำเอาชานยอลที่คิดจะทำอะไรบางอย่างได้แต่กลอกตาแล้วขยับหลีกทางให้ไอ้พวกรุ่นน้องและเพื่อนตัวแสบที่แห่กันมาขอทั้งผ้าทั้งน้ำเกลือแร่จากจงอินกันเต็มไปหมด พวกที่อยู่วงนอกเห็นหน้าเขาแล้วก็ได้แต่พากันหัวเราะเยาะ

    เหอะ...โอกาสไม่ได้มีครั้งเดียวหรอกน่า

    กว่าฝนซาก็กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง รุ่นน้องหลายคนตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนเอากระเป๋าหนังสือของตัวเองไปเก็บในตู้ล็อคเกอร์ใต้ตึกเรียน จากนั้นก็ค่อยไปยืนอัดแน่นกันอยู่ที่ป้ายรถเมล์

    “ฝนเบาแล้ว มึงไม่รีบกลับบ้านหรือยังไง”

    ตอนนี้บันไดหน้าโรงยิมเหลือนักเรียนอยู่ไม่ถึงสิบคน เพราะส่วนใหญ่วิ่งฝ่าฝนออกไปแล้วเพราะกลัวว่ามันจะเกิดตกหนักขึ้นมาทำให้กลับบ้านเย็นกว่านี้ ทุกคนต่างจับจองที่ของตัวเองเพื่อให้เปียกฝนน้อยที่สุด ปาร์คชานยอลและคิมจงอินเป็นหนึ่งในนั้น พวกเขานั่งอยู่บันไดขั้นต่ำสุดจนเกือบจะหลุดจากชายคา ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องมานั่งให้ฝนมันกระเซ็นโดนอยู่แบบนี้

    “รอมาได้ตั้งนานนี่ รอให้มันหยุดอีกหน่อยก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย” ชานยอลหันมองใบหน้าด้านข้างคนที่นั่งพาดแขนไว้บนเข่าเงยหน้ามองเม็ดฝนที่กำลังโปรยปราย ละอองฝนที่ทำให้เหนียวเหนอะหนะตกกระทบใบหน้าแต่คิมจงอินดูจะไม่รำคาญกับมันเลยสักนิด

    "ทำอะไรของมึงวะ” เด็กหนุ่มตัวสูงคว้าข้อมือของจงอินเอาไว้ทัน แต่ก็ต้องปล่อยออกเมื่ออีกฝ่ายหันมายิ้มให้เขา ชานยอลมองมือที่ค่อยๆยื่นออกไปจนเม็ดฝนทำให้มันเปียกชื้น แต่คิมจงอินกลับไม่มีท่าทางรำคาญหรือไม่ชอบใจอะไรทั้งนั้น หมอนั่นยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าทั้งที่ถ้าเป็นตัวเขาเองคงจะหงุดหงิด

    “เล่นน้ำฝนไง ตอนเด็กไม่เคยเล่นหรือไง? อย่าบอกนะว่านายเป็นอันธพาลตั้งแต่เดินได้น่ะ”

    “เหอะ กูไม่ชอบ มันไร้สาระ”

    ชานยอลตอบไปอย่างที่เขารู้สึกก่อนจะหันกลับไปมองด้านหน้าตัวเองเหมือนเดิม ตอนนี้ฝนเริ่มตกหนักขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว แต่คิมจงอินก็ยังคงสนุกกับการยื่นมือปล่อยให้น้ำฝนมันตกกระทบฝ่ามืออยู่อย่างนั้น ไหนจะลองฝนที่กระเซ็นมาโดนเนื้อตัวทำให้เหนียวเหนอะหนะกว่าเดิมนี่อีก

    “ลองดู..มันไม่ได้แย่หรอก ไม่รู้สึกงั้นหรอว่าฝนตกมันทำให้อากาศเย็นสบาย”

    คิมจงอินเป็นคนแปลก บางมุมก็ดูเป็นคนกวนตีนที่น่าหมั่นไส้ บางมุมก็ดูเป็นคนคิดอะไรลึกซึ้ง มุมมองหลายอย่างที่ชานยอลได้เรียนรู้จากบัดดี้ของเขามันทำให้เขาเริ่มสนใจอยากเรียนรู้ไปทีละเล็กทีละน้อย

    “กูบอกแล้วไง...ว่ามันไร้สาระน่ะ”

    น้ำเสียงดูไม่ได้จะพูดจริงจังสักเท่าไหร่นัก จงอินเอาแต่กลั้นหัวเราะตอนที่เห็นทางหางตาว่ามีฝ่ามือใหญ่ยื่นออกมารองฝนเล่นเหมือนกับที่เขากำลังทำอยู่ จากที่แบมือกันอยู่เฉยๆ ก็กลายเป็นว่าทั้งคู่ต่างพลิกมือไปมาอยู่อย่างนั้นทั้งที่มือก็เปียกจนไม่รู้จะเปียกยังไงแล้ว

     

     


    “เห็นมั้ยบอกแล้วว่าฝนตกไม่ได้แย่เสมอไปหรอก”

    “ถ้ามันไม่เฉอะแฉะ เหนอะหนะ กูก็ว่ามันไม่ได้แย่หรอก”

    หลังจากที่นั่งเล่นฝนอยู่ครู่ใหญ่จนฝนซาลงมาก ชานยอลก็ตัดสินใจชวนบัดดี้ของเขาให้ลุกขึ้นเพื่อกลับบ้านสักทีเพราะนี่ก็เริ่มจะมืดแล้ว เด็กหนุ่มตัวสูงบอกให้คิมจงอินรออยู่หน้าโรงยิมส่วนตัวเองวิ่งฝ่าละอองฝนออกไปยังตึกเรียนที่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก ก่อนจะกลับมาพร้อมร่มคันใหญ่หนึ่งคัน

    ตอนนี้พวกเรากำลังเดินออกจากโรงเรียน ในช่วงเวลาโพล้เพล้ที่ฝนยังลงเม็ดอยู่บ้าง ถึงจะเหนอะหนะผิวไปสักหน่อย แต่ไอดินหลังจากฝนตกก็ทำให้สดชื่นอย่างบอกไม่ถูก จงอินชอบช่วงเวลานี้มากที่สุด เพราะแบบนี้เขาถึงได้นั่งรอให้ฝนหยุดอย่างใจเย็น

    “กูเปียก มึงเห็นมั้ยเนี่ย ไหล่เปียกหมดแล้ว ขยับมานี่!

    ชานยอลยกร่มให้คิมจงอินเป็นคงถือเพราะเขาต้องเข็นจักรยานของตัวเอง แต่เพราะคิมจงอินเอาแต่คอยจะเผลอจะเดินออกห่างไปเล่นน้ำฝนเขาถึงได้ต้องตะคอกอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น ไอ้เรื่องเปียกที่ไหล่นั่นไม่ได้ใหญ่โตมโหฬารอะไรหรอก

    “ต้องแยกกันตรงนี้สินะ..” พวกเขาหยุดตรงทางแยกตรงข้ามร้านบะหมี่ลุงคังที่เจอกันเมื่อเช้า จงอินหันไปมองปาร์คชานยอลที่จับจักรยานตัวเองอยู่ “อ่ะ ขอบคุณครับสำหรับร่ม”  แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเจ้าร่มดันกลับมันมาทางเขา

    “กูปั่นจักรยานกลับ มันถือไม่สะดวก”

    “เอาปากนายกัดไว้สิ ปกติให้นายก็กัดอย่างอื่นตลอด”

    “ไม่ด่ากูสักวันคงนอนไม่หลับสินะ”

    เขาชินแล้วล่ะ กับประโยคกวนส้นตีนที่ตามมาด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคิมจงอินหลังจากที่ได้หลอกด่าหรือด่าเขาตรงๆ ขืนหงุดหงิดชานยอลว่าเขาคงต้องกลายเป็นบ้าไปก่อนเรียนจบแน่

    “งั้นฉันไปล่ะ”

    จงอินยิ้มให้ก่อนจะเดินข้ามถนนไปและเมื่อถึงอีกฝั่งเด็กชายอารมณ์ดีก็หันกลับมายืนมองบัดดี้ของตัวเองที่ยังคงไม่ขยับไปไหน คิมจงอินเป็นเด็กผู้ชายวัย 20 ปีที่เรียนรู้อารมณ์คนรอบข้างและรู้จักตัวเองดีมาตลอด เพราะฉะนั้นความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้นระหว่างอยู่ด้วยกัน  แน่นอนว่าจงอินรับรู้

    รอยยิ้มกว้างจากอีกฝั่งถนนที่ส่งมาทำเอาชานยอลหน้าร้อนวูบ คิมจงอินแตกต่างจากคนอื่นที่เขาเคยรู้จัก  พวกเราเริ่มต้นจากคนแปลกหน้าจนตอนนี้กลายมาเป็นเพื่อนเดินกลับบ้าน และชานยอลมั่นใจว่าในอนาคตมันจะมากกว่านี้ ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักนิดก็ตาม

     คิมจงอินเป็นเพื่อนผู้ชายที่ชานยอลไม่ค่อยอยากจะเป็นแค่เพื่อนสักเท่าไหร่นัก แต่เขายังไม่รู้ว่าต้องการอีกฝ่ายไว้ในฐานะไหน อาจจะเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก เพื่อนที่สบายใจที่ได้คุยกันทุกเรื่อง หรือจะอะไรก็ช่างมันเถอะ แต่ตอนนี้ชานยอลขอนิยามสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาตอนนี้ว่ามันเป็นความรู้สึกดีๆก็แล้วกัน

     

    “แล้วเจอกันพรุ่งนี้ คิมจงอิน”

     

    “แล้วเจอกันนะ ปาร์คชานยอล”  

     

     

     

     

     

     

    #ฟิควงกลมชานไค

    555555555555555555555555555555555555555555+ อิ้________________อิ้ อยากมีคนให้ร่มเดินกลับบ้านมั่งอ่ะ!!

    นั่งแต่งวันฝนตก 55555555555 คือมันเหมือนจะไม่มีอะไร แต่มันก็ก้าวหน้าขึ้นไปอีกทีละนิดแล้วเน้อะ เขาดูจะค่อยเป็นค่อยไปกันมากๆเลย  มันเอื่อยด้วยเนื้อเรื่อง ด้วยคาแรคเตอร์ แล้วก็ด้วยตัวคนเขียนเองด้วยค่ะ 55555555

    ขอบคุณทุกคนมากน้า ที่ให้กำลังใจ ทั้งในแท็กแล้วก็คอมเม้น เรามีกำลังใจมากมากมากมากเลย เราดีใจที่ยังเห็นทุกคนอ่านฟิคเราน้า มีความสุขไปด้วยกันเถอะค่ะ  วันไหนท้อ หรือหมดแรงก็แวะมาเติมพลังกับพาริมและฟิคของเธอได้นะคะ!

    วันนี้ไปแล้วน้า รักคนอ่านทุกคนเลย รักพี่นักรบด้วย *เขินแรงมาก*

    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×