คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : CHAPTER 5
TITLE CYCLE
PAIRING : CHANYEOL X KAI
“เราอาจจะเคยได้ยินคำพูดว่าเหรียญมักจะมีสองด้านเสมอคนเราก็เช่นกัน
แต่ผมกลับรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เป็นโรงกษาปณ์ที่คอยผลิตเหรียญออกมา
แล้วผมก็เดาไม่ออกว่ามันจะเป็นเหรียญอะไร”
CHAPTER 5
เช้าวันเสาร์แบบนี้ถ้าไม่นอนจนเข็มนาฬิกาบอกว่ามันเที่ยง
ชานยอลก็คงกำลังใช้เวลาไปในเกมส์เซ็นเตอร์ไล่ทำสกอร์สูงสุดของเครื่องเล่นไปเรื่อยๆ
แต่ว่าช่วงเวลาสองอาทิตย์ที่ผ่านมาเขากลับมีกิจกรรมแปลกใหม่มาให้ได้ทำ
ซึ่งนั่นมันทำให้พ่อกับแม่ของเขาแปลกใจเป็นอย่างมาก ตอนที่เห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนออกไปเล่นกีฬาตั้งแต่เช้าตรู่
และพอมาถึงอาทิตย์นี้ทุกคนยังเห็นลูกชายคนเล็กของบ้านถือเครื่องดนตรีสุดรักสุดหวงลงมาจากห้องอีก
“นี่แกจะแบกกีต้าร์ไปไหน? เดี๋ยวนะ
โลกจะแตกหรือเปล่านี่พึ่งจะเจ็ดโมงเช้าเองนะปาร์คชานยอล”
เด็กหนุ่มตัวสูงโย่งกลอกตามองเพดานด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ
ปาร์คยูรายังคงเป็นพี่สาวฝีปากจัดจ้านที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่สมัยยังเด็ก
“ไปทำรายงาน”
ตอบออกไปแค่นั้นแล้วเริ่มจัดการมื้อเช้าที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่รีบร้อนสักเท่าไหร่นัก
เขามีนัดทำรายงานกับคิมจงอินที่บ้านของหมอนั่น
ตอนแรกก็เถียงกันจะเป็นจะตายว่าให้มาทำที่บ้านชานยอลแต่เพราะบ้านเขามีคนอยู่ถึงสามคน
คิมจงอินผู้ซึ่งเป็นคนดีและมนุษย์ขี้เกรงใจจึงจัดการตัดสินใจให้อย่างเสร็จสรรพ
‘เสาร์นี้ฉันอยู่คนเดียว นายมาบ้านฉันแทนก็แล้วกัน’
เออครับ… สุดท้ายแล้วชานยอลก็ต้องเป็นฝ่ายยอม
เพื่อให้การคุยโทรศัพท์ในหัวข้อนี้ไม่ยืดยาวมากจนเกินไป
เขาอยากจะมีเวลาคุยเรื่องอื่นกับคิมจงอินบ้างอาทิเช่นอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่
ซึ่งมันก็ไม่ค่อยจะมีโอกาสแบบนั้นสักเท่าไหร่นัก หลังจากที่คุยกันสามสี่ครั้ง
ชานยอลก็ตระหนักได้ว่าคิมจงอินเป็นประเภทที่ไม่สนใจเทคโนโลยีที่เรียกว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่เท่ากับเด็กวัยรุ่นคนอื่นๆเลย
“นายใช้โทรศัพท์ทำอะไรบ้างเนี่ย SNS ก็ไม่ค่อยตอบ” นึกถึงบทสนทนาในครั้งแรกที่พวกเขาคุยกัน
หลังจากที่ปาร์คชานยอลรัวไลน์ไปจนกลายเป็นเครื่องเขาเองที่จะค้าง
แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมตอบมาเลยสักตัวอักษร อย่าว่าแต่ตอบเลย
อ่านยังไม่อ่านเลยด้วยซ้ำ
(ดูบอล เล่นเกมส์ แล้วก็ฟังเพลง)
จงอินเอาแขนหนุนรองใต้คอนอนมองเพดานห้องที่คุ้นเคยมาตั้งแต่จำความได้
คำถามของปาร์คชานยอลทำให้ต้องใช้เวลาครุ่นคิดอยู่พอสมควร
“เหลือเชื่อ ยังมีคนแบบนายหลงเหลืออยู่บนศตวรรษที่ 20 ด้วย”
(พึ่งรู้ว่าคนศตวรรษที่ 20 เขาชอบทำหน้าตาจะฆ่าคนอยู่ตลอดเวลา)
“ทำไมจะต้องกวนตีนกูด้วยวะ” ชานยอลกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าคิมจงอินโคตรเป็นคนกวนส้นตีน
แต่ที่อยู่รอดมาได้ทุกวันนี้ก็อาจจะเป็นเพราะความมึนของเจ้าตัวเองก็อาจจะเป็นได้
(ก็นายเริ่มก่อน)
“เออ กูไม่อยากจะเถียงกับมึงแล้ว”
(งั้นแค่นี้นะ)
สาบานได้เลยว่าหลังจากนั้นคิมจงอินก็วางสายไปจริงๆ ไม่ได้เปิดโอกาสให้เขาพูดห่าเหวอะไรทั้งสิ้น
ชานยอลรู้สึกพูดไม่ออกไปเกือบนาที
สรุปว่าเมื่อครู่นี่ไม่ได้ธุระอะไรเลยสักนิดจากการโทรหาบัดดี้เขา
และมันก็ถือว่าเป็นประสบการณ์การคุยโทรศัพท์ที่แย่ที่สุดเท่าที่ชานยอลเคยเจอมาเลยทีเดียว
นอกจากธุระไม่ได้แล้วยังโดนหลอกด่าฟรีไปหลายดอกอีกด้วย!
เด็กหนุ่มปั่นจักรยานของตัวเองทั้งที่แบกกีต้าร์ไว้บนหลังมาตรงหัวมุมถนนที่เขาแยกกับคิมจงอินเมื่อสองสัปดาห์ก่อน
ก้มมองนาฬิกาก็โล่งใจนิดหน่อยเมื่อเห็นเขามาถึงก่อนเวลานัดหลายนาที
ไม่ได้กลัวหรอกแต่ชานยอลก็ไม่อยากเสี่ยงจะโดนคิมจงอินหลอกด่าเป็นการอรุณสวัสดิ์รับวันใหม่
กรุ๊งกริ๊ง
เสียงกระดิ่งจักรยานดังขึ้นจากถนนฝั่งตรงข้ามเรียกให้ชานยอลหันไปมอง
คิมจงอินยืนอยู่ข้างจักรยานที่จอดอยู่อีกฝั่งของถนน
เด็กหนุ่มพยักหน้าเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกวักมือเรียกเขาให้ข้ามไปหา
ชานยอลมองบัดดี้ของเขาในชุดลำลองสบายๆ อย่างเสื้อโปโลลายทางสีแดงกับกางเกงขาสั้นแค่เข่าสีครีม
หน้าตาที่กลั้นยิ้มสุดชีวิตนั่นกำลังทำให้เค้าหงุดหงิด
“อรุณสวัสดิ์”
“เออ...” พอเห็นคิมจงอินเลิกคิ้วมองด้วยสายตาแล้วยังไงต่อ
ริมฝีปากที่ปิดสนิทมันก็อ้าออกไปเองโดยที่เจ้าของมันแทบไม่ได้คิด “อรุณสวัสดิ์เหมือนกัน”
จงอินกลัวว่าตัวเองจะกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ไหวจนต้องรีบหันหลังแล้วจูงจักรยานตัวเองออกมาจากที่ตรงนั้น
ถ้าปาร์คชานยอลมาเห็นว่าเขามีความสุขกับการแกล้งเจ้าตัวขนาดไหนนะมีหวังต้องทนฟังเสียงบ่นของคนขี้หงุดหงิดจนหูชากันไปข้างแน่ๆ
“เฮ้! รอด้วยสิวะ กูไม่รู้นะเว้ยว่าบ้านมึงอยู่ไหน”
เห็นมั้ยล่ะ? นี่พึ่งจะคิดเมื่อครู่ปาร์คชานยอลก็แหกปากโวยวายนำมาก่อนแล้ว
เด็กหนุ่มส่ายหน้าช้าๆ
กำเบรกมือแล้วหันไปมองคนที่พึ่งจะโน้มตัวขึ้นคร่อมจักรยานอย่างทุลักทุเลแล้วปั่นตามมาอย่างรวดเร็ว
จงอินหันกลับมายิ้มกับตัวเอง เมื่อเห็นว่าบนหลังของบัดดี้ตัวสูงแบกอะไรเอาไว้
อย่างน้อยปาร์คชานยอลก็เป็นคนรักษาสัญญานะ
จักรยานสองคันหยุดอยู่หน้าประตูรั้วสีน้ำตาลเข้มที่อยู่ประมาณช่วงกลางซอย
ชานยอลมองบัดดี้ของเขาจอดรถไว้ข้างกำแพงบ้านก่อนจะขยับอย่างคล่องแคล่วตรงไปยังประตูเล็กที่อยู่ริมสุดด้านขวา
คิมจงอินใช้เวลาเพียงครู่เดียวก่อนจะเดินกลับมาที่รถจักรยานพร้อมๆกับพยักหน้าให้เขาเดินตามเข้าไป
ชานยอลกวาดสายตามองไปรอบบริเวณบ้านหลังขนาดกลางที่ทาสีเป็นโซนสีฟ้าทั้งหมด
แม้กระทั่งหลังคายังเป็นสีฟ้าเข้มจนเกือบจะเป็นสีกรม
สนามหญ้าที่กลายเป็นสวนเล็กๆทางฝั่งขวาทำให้ดูสดชื่นมากยิ่งขึ้น
ด้านริมติดกับชานบ้านมีเก้าอี้ตัวยาวไว้สำหรับเอนหลัง
กับโต๊ะน้ำชาตัวเล็กที่มีเก้าอี้อีกสองสามตัว
"บ้านน่าอยู่ดี"
"ขอบคุณ"
เสียงขอบคุณมาพร้อมกับคิมจงอินหันมายิ้มให้กับเขา
ตอนนี้ชานยอลยืนนิ่งอยู่กลางห้องนั่งเล่นจะนั่งก็ไม่กล้า
จนคิมจงอินบอกให้เขานั่งรอที่นี่ก่อนนั่นแหละเขาถึงปลดกีต้าร์ลงพิงกับโซฟาสีน้ำตาลอ่อนแล้วทรุดลงนั่งข้างกันได้นั่งลง
มองเจ้าของบ้านเดินหายเข้าไปด้านหลังซึ่งน่าจะเป็นส่วนครัว
นี่เป็นครั้งแรกที่ชานยอลได้มาบ้านเพื่อนคนอื่นนอกเสียจากไอ้ลู่หานกับไอ้แบคฮยอน
เขาเห็นชั้นหนังสือสามสี่หลังตั้งอยู่มุมนึงของห้อง ที่ผนังฝั่งตรงข้ามเป็นโฮมเธียร์เตอร์ครบชุดแทบจะไม่ต้องเดาเลยว่าครอบครัวคิมใช้เวลาวันหยุดพักผ่อนยังไง
"นายมองเหมือนบ้านฉันมีอะไรประหลาด"
เสียงเจ้าของบ้านเรียกให้ชานยอลหันกลับไปมองและเห็นคิมจงอินเอนตัวพิงอยู่กับตู้ไม้โปร่งที่กั้นระหว่างห้องนั่งเล่นและโต๊ะทานข้าวมองมาทางเขาด้วยแววตาขำขัน
ชานยอลไม่มั่นใจว่าเขาเผลอทำหน้าตาตลกออกไปหรือเปล่า
คิมจงอินถึงได้หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังแบบนี้
“ทำไมต้องทำหน้าตาเด๋อด๋าขนาดนั้นล่ะ”
เด๋อด๋า? ไอ้หน้าตาเด๋อด๋านี่มันอะไรแปลว่าอะไรกันวะ? ชานยอลรู้สึกได้ว่าเขากำลังขมวดคิ้วแน่นจนเป็นปม
แต่เหมือนว่าจงอินจะยิ่งตลกที่เห็นเขาทำหน้าตาคร่ำเครียดแบบนี้
“อะไรวะ มึงตลกอะไรกูนักหนาเนี่ย”
“ฮ่ะ ฮ่ะ ฉันไม่หัวเราะนายแล้วก็ได้” โคตรจะหงุดหงิดกับคิมจงอินที่เป็นแบบนี้ชะมัด
หมอนี่ดูจะเป็นกันเองมากขึ้นเมื่ออยู่ในพื้นที่ของตัวเอง
และชานยอลคิดว่าความน่ากลัวของเขาก็ลดลงด้วยเมื่อคิมจงอินยังคงหัวเราะจนเห็นฟันกระต่ายคู่หน้าอย่างชัดเจน
เดี๋ยวกูต่อยฟันแตกเลยแม่ง
เด็กหนุ่มตัวสูงปล่อยให้บัดดี้ของเขาหัวเราะจนสะใจ
ทั้งที่อยากจะพุ่งตรงเข้าไปล็อคคอปิดปากพร้อมตะคอกให้หยุดหัวเราะเขาสักทีก็เถอะ
จงอินมองปาร์คชานยอลที่ยืนทำหน้าเซ็งวางแขนเท้าอยู่บนหัวกีต้าร์ของตัวเองแล้วมันอดหัวเราะออกมาไม่ได้จริงๆ
ก็มันตลกอ่ะ หน้าจะฆ่าคนทั้งโลกกับฮู้ดสีขาวแดง แล้วก็ทรงผมกะลาครอบหัวแบบนี้
มันไม่มีอะไรเข้ากันเลยสักนิดอ่ะ
“โอเค ฉันไม่หัวเราะแล้ว…” เว้นจังหวะไว้เล็กน้อยตอนที่ยังคงพยายามกลั้นยิ้มแล้วมองแขกของบ้าน“เราขึ้นไปทำรายงานกันเถอะ”
ชั้นสองข้างบ้านมีเพียงแค่ห้องนอนสามห้อง และห้องอ่านหนังสือเท่านั้น
บริเวณโถงกลางมีตู้เย็นหลังใหญ่หนึ่งตู้อยู่สุดทางเดิน
ชานยอลเห็นว่าบนประตูสีขาวแต่ละห้องมีป้ายเขียนบอกไว้อย่างชัดเจนว่าห้องของใคร
พวกเขาทั้งคู่เดินตรงเข้ามาหยุดที่ห้องด้านในสุด
และมันก็ทำให้เขาเข้าใจจงอินทันทีว่าการกลั้นขำเป็นเรื่องยากที่สุดในชีวิตขนาดไหน
“ห้ามหัวเราะ”
จงอินหันมาบอกบัดดี้ของตัวเองเสียงแข็งหลังจากที่อีกฝ่ายยังกลั้นหัวเราะคิกคักไม่หยุดจนเขานึกรำคาญขึ้นมานิดหน่อย
อันที่จริงมันเป็นความอายเสียมากกว่าด้วยซ้ำ
หน้าประตูห้องนอนด้านในสุดเต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์เจ้าหญิงของวอลท์ ดิสนีย์
แทบจะครบทุกคน ตไหนจะผองเพื่อนผู้น่ารักของเจ้าหญิงเงือกน้อย
แก๊งค์วินนี่เดอะพูห์ที่แปะเรียงอยู่ด้านบนของประตู
“กูไม่หัวเราะแล้วก็ได้ 555555555555555555”
คราวนี้เลยกลายเป็นจงอินที่ทำหน้าเซ็งใส่แทน
เพื่อนทุกคนที่มาบ้านต่างก็พากันหัวเราะไอ้ประตูมุ้งมิ้งบานนี้กันทั้งนั้น
แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องจัดการมันยังไง
นี่เป็นอย่างเดียวในบรรดาทรัพย์สมบัติของพี่สาวที่ยกให้น้องชายคนสุดท้องที่จงอินไม่สามารถทำอะไรกับมันได้เลย
ชานยอลกวาดสายตาไปรอบๆเมื่อเข้ามาด้านใน
ห้องนองของคิมจงอินคล้ายกับห้องนอนของเด็กผู้ชายทั่วไป มีโต๊ะหนังสือ
ชั้นการ์ตูนอัดแน่น โต๊ะคอม ตู้เสื้อผ้า
ชั้นวางทีวีที่มีจอยเกมส์และเครื่องเล่นดีวีดีครบชุด แต่ที่แปลกไปอย่างหนึ่งก็คือ
ขาตั้งที่ใช้สำหรับวางภาพพับเก็บพิงอยู่ระหว่างที่ซอกตู้เสื้อผ้ากับผนังห้องนอน
“ปกติแล้วนายไม่ได้ใช้ไอ้นั่นวาดภาพหรอก” จงอินมองปาร์คชานยอลที่ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้เขียนหนังสือของเขาอย่างถือสิทธิ์ด้วยสายตาไม่เข้าใจก่อนจะต้องร้องอ้อแบบไม่มีเสียงเมื่อเห็นว่าบัดดี้ของเขาชี้ไปทางไหน
“เปล่า ฉันวาดในสมุดที่เก็บอยู่ตรงนั้น..” จงอินชี้ไปที่กองสมุดสีดำหลายขนาดที่วางอยู่ซ้ายมือบนโต๊ะหนังสือ “ส่วนขาตั้งฉันเอาไว้ใช้ตอนที่อยากจะออกไปนั่งวาดที่อื่น”
ชานยอลครางรับในลำคอมองคิมจงอินที่ยืนพิงประตูระเบียงส่งยิ้มมาให้กับเขา
ความรู้สึกผ่อนคลายที่กำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้คืออะไรเด็กหนุ่มก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
รู้แค่ว่าเขาสบายใจที่จะปล่อยตัวเองไปกับโลกในห้องนอนสีขาวของคิมจงอิน
เจ้าของบ้านยกโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กมาวางไว้กลางเตียงห้าฟุตครึ่ง
ส่วนชานยอลขยับเอากีต้าร์ของตัวเองไปพิงไว้กับตู้เสื้อผ้า
ยืนมองคนที่กวาดข้าวของทั้งหมดบนโต๊ะลงไปกองกับพื้นลวกๆ
ก่อนจะหันมาถามความเห็นเรื่องที่นั่งทำงานของเขา
“นายนั่งตรงไหนถนัดกว่า?”
“กูก็นั่งได้หมดแหละ”
“งั้นบ้านหมาในสวนก็คงนั่งได้สินะ”
=__= คืออะไรเหรอ? กับการที่อยู่ๆ
กูก็โดนกวนตีน? ชานยอลไม่เข้าใจ
คิมจงอินนี่มันยังไงกันแน่วะ นึกจะกวนตีนใครก็ทำงั้นเหรอ? แล้วงี้ก็มาบอกว่ากูใจร้อน
มึงทำตัวให้น่าใจเย็นเป็นน้ำแข็งขั้วโลกใต้มากเลยครับบัดดี้
สุดท้ายจงอินก็ให้ชานยอลนั่งบนโต๊ะหนังสือ
ส่วนตัวเองลงมานอนสเกตภาพที่เหลืออยู่บนเตียง ในห้องมีเพียงแค่เสียงลมหายใจ
กับเสียงคลิกเม้าส์ของชานยอลเพียงเท่านั้น
เด็กหนุ่มดูรูปภาพจากกล้องที่เขาถ่ายออกมา
และพยายามเลือกอันที่คิดว่าน่าจะเหมาะเข้าไปอยู่ในรายงานของพวกเขามากที่สุด
“นายว่าเราจะทำรายงานเป็นแบบไหนดี”
เจ้าของห้องเงยหน้ามองบัดดี้ที่ตอนนี้หันมาหากันเสียทั้งตัว
ใบหน้าของปาร์คชานยอลดูจะเคร่งเครียดและจริงจัง
เหมือนกับตอนนั้นที่เขาเห็นนายคนนี้กำลังตั้งใจถ่ายรูปตุ๊กตาหมีตอนที่พวกเราอยู่เชจู
“ทำมันออกมาคล้ายกับหนังสือแนะนำท่องเที่ยวดีมั้ย?” จงอินลองเสนออออกไป
เขาใช้แขนยันไว้กับเตียงแล้วยกตัวขึ้นเพื่อดูว่าปาร์คชานยอลกำลังทำอะไรอยู่ “รูปที่นายถ่ายมาน่าจะใช้ได้”
“แล้วรูปที่มึงวาดล่ะ”
ชานยอลพยักหน้าไปบนเตียงที่เต็มไปด้วยรูปสเก็ตของสถานที่สวยงามต่างๆของเกาะเชจู
ไม่รู้ว่าคิมจงอินใช้เวลาพวกนี้นานขนาดไหน
เขาไม่อยากเลือกรูปจากภาพที่ตัวเองตั้งใจถ่ายมาใส่ในรายงานคนเดียว
โดยที่ไม่สนใจสิ่งที่บัดดี้ของเขาก็ตั้งใจทำเหมือนกัน
“เอาไปให้พี่สาวห่อผ้าอนามัยมั้ง”
“มึงเลิกกวนตีนกูสักนิดดิ๊!”
“ว้า..เป็นคนจิตใจดีได้แป๊บเดียวเองสิ” จงอินพูดยิ้มๆ มองปาร์คชานยอลที่ยังคงนั่งหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่บนเก้าอี้อ่านหนังสือของเขา ในหน้าจอโน๊ตบุ๊คยังคงมีรูปภาพมากมายที่อีกฝ่ายคงจะเลือกพร้อมปรับแต่งมาแล้วบางส่วน
เด็กหนุ่มคิดว่าปาร์คชานยอลคงรอให้พวกเขาเลือกรูปที่จะใช้เล่มรายงานด้วยกัน
“มึงนี่มัน.. "
จงอินยังคงทำหน้าทะเล้นมองปาร์คชานยอลทำหน้าตาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่เขา
มันก็เป็นเรื่องแปลกอยู่พอสมควร จากคำบอกเล่าของคนกว่าครึ่งค่อนสายชั้น
บัดดี้ตัวสูงคนนี้เป็นคนใจร้อน ชอบชกต่อย และนอกจากเพื่อนฝูงนักบาส ลู่หาน
กับแบคฮยอนแล้ว ชานยอลก็เอาแต่ทำหน้าหมาไม่แดกกับคนทั้งโลก
อ้อ..จงอินก็โดนนะ แต่เขามีวิธีเอาคืนให้ตัวเองรู้สึกสะใจเหมือนกัน
"ค่อยเลือกรูปทีหลังก็แล้วกันกัน รอของมึงด้วย
เดี๋ยวกูหาข้อมูลไปพลางๆ"
พูดเอง เออเอง สรุปเอง เสร็จสรรพ แล้วก็หันตัวกลับไปจ้องหน้าจอต่อ
จงอินเองก็ได้แต่ส่ายหน้าเพราะเขาไม่คิดว่าประโยคเมื่อครู่คือการปรึกษาหารือแต่อย่างใด
ปาร์คชานยอลเพียงแค่บอกในสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจไว้แล้วก็เท่านั้น
เพราะว่ามัวแต่หาข้อมูลโดยไม่ได้ดูเวลา รู้ตัวอีกทีก็สิบโมงครึ่งเข้าไปแล้ว
หันไปมองบัดดี้ของเขาแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อคิมจงอินยังอยู่ในท่าเดิมก่อนที่พวกเรา(?)จะแบ่งหน้าที่กันทำงาน
ใบหน้ายังคงโน้มต่ำลงหากระดาษ
มือข้างขวายังคงขยับขีดๆเขียนๆลายเส้นไปอย่างไม่รู้จักหยุด
ชานยอลเห็นว่าบนเตียงมีกระดาษกระจัดกระจายอยู่สองสามใบ
ล้วนเป็นรูปภาพที่เกิดจากฝีมือคิมจงอินสเก็ตขึ้นมาทั้งนั้น
เหลือบตากลับมามองเนื้อหารายงานที่ถูกคัดลอกมาวางไว้บนไมโครซอฟท์เวิดก็ได้ถอนหายใจ
มันเป็นข้อมูลที่ค่อนข้างหาได้ง่าย
แค่กวาดตามองก็รู้ว่าในรายงานทุกเล่มที่ส่งอาจารย์มันต้องมีเนื้อความพวกนี้ประกอบอยู่ด้วย
แต่เขาไม่อยากได้รายงานแบบนั้น
มันเป็นครั้งแรกที่ชานยอลรู้สึกว่าอยากทำงานให้เต็มที่
ปกติเวลาทำงานส่งเขาก็แค่ก็อปปี้แล้วก็เอามาวางในเวิดเท่านั้นแหละ
ไม่มีมีพิถีพิถันอะไรขนาดนี้
หันกลับมามองบัดดี้ที่ยังคงตั้งใจวาดรูปที่บอกจะวาดให้ สงสัยอยู่เหมือนกันว่าคิมจงอินเหนื่อยบ้างหรือเปล่า
แต่ดูแล้วว่าหมอนี่อาจจะชอบก็ได้
ขนาดชานยอลเลิกสนใจเนื้อหารายงานมานั่งจ้องอยู่แบบนี้ เจ้าตัวยังคงอมยิ้ม
ขีดๆเขียนๆอยู่บนกระดาษอย่างตั้งใจ
“นายชอบวาดรูปขนาดนั้นเลยหรอ?”
นั่งมองอยู่นานเกือบสามสิบนาที ชานยอลถึงได้เป็นฝ่ายถามขึ้นมาเมื่อเห็นว่านี่มันสิบเอ็ดโมงกว่าเข้าไปแล้ว
คิมจงอินก็ยังไม่มีท่าทางจะเหน็ดเหนื่อยหรือเลิกวาดแต่อย่างใด
เจ้าของห้องเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มจนตาปิดให้ แล้วก้มลงไปวาดต่อ
เล่นเอาคนที่อยู่ๆโดนยิ้มหวานใส่หาคำพูดตัวเองไม่เจอเลย
“เฮ้ย กูถามก็ตอบดิ”
“ก็ชอบ วาดแล้วสนุกดี”
ดูดิ..ขนาดเสียงดุแบบนี้ คิมจงอินยังไม่กวนตีนเขากลับมาเลย
ชานยอลเห็นจงอินเอียงหัวเอียงคอไปมายามที่เจ้าตัวเอียงดินสอแล้วแรเงารูปที่วาดเสร็จไปแล้วเรียบร้อย
เพื่อให้ได้มิติของแสงและเงาที่สมจริงทำให้รูปสวยงาม
พอเห็นอีกคนดูจะตั้งใจและมีความสุขตอนที่ลงเส้น
เขาก็เป็นคนดีพอที่ไม่คิดจะขัดให้เสียอารมณ์หรือบรรยากาศ
เด็กหนุ่มตัวสูงไม่ได้พูดอะไรอีกเมื่อเห็นเจ้าของห้องก้มไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับผลงานตัวเองอีกครั้ง
จงอินฉีกงานออกจากสมุดอย่างทะนุถนอม
วางมันลงบนเตียงเช่นเดียวกับภาพใบอื่นแล้วก็ก้มลงไปเริ่มร่างรูปใหม่
มชานยอลจำได้ว่าตอนอยู่ที่เชจู เขาก็เคยนั่งมองจงอินวาดรูปเล่นอยู่แบบนี้
มันเพลินตา รู้สึกว่าตัวเองกำลังลอยไปตามสายน้ำที่ไหลเอื่อยกับใครอีกคน
มันกลายเป็นว่าตอนนี้เขาลืมเรื่องหงุดหงิดไปเกือบหมด
ไม่ว่าจะเป็นอาการหิวที่ทำให้เขาละจากการค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต
หรือแม้กระทั่งเนื้อหารายงานที่ชานยอลตั้งใจทำมันมากกว่าทุกเล่มในชีวิตนักเรียนของเขา
ฉันจะตั้งใจทำรายงานเล่มนี้ให้สมกับที่นายตั้งใจวาดรูปใส่รายงานของเราแล้วกันนะคิมจงอิน
50%
จงอินลบรอยดินสอที่ขีดออกมาเกินจากเส้นเป็นรอยสุดท้าย ก่อนจะยกมันขึ้นมาดูอย่างพึงพอใจที่งานวันนี้เสร็จไปตามที่วางแผนเอาไว้
งานเสร็จก็ได้เวลาท้องหิวเด็กหนุ่มเกือบจะส่งเสียงเรียกบัดดี้ของเขาอยู่แล้วแต่ก็งับปากไว้ได้ทันเสียก่อน
เพราะปาร์คชานยอลกำลังนั่งหลับโดยใช้เพียงแค่ฝ่ามือของตัวเองค้ำศีรษะเอาไว้
"มานั่งหลับอะไรท่านี้ล่ะเนี่ย"
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่จงอินก็หันซ้ายหันขวาเพื่อหาโทรศัพท์มือถือของเขา
เจ้าเครื่องมือสื่อสารแอปเปิ้ลแหว่งถูกยกขึ้นระดับสายตา
จงอินตรวจเชคดูอีกครั้งว่าเขากดปิดเสียงเรียบร้อยแล้ว
รอยยิ้มซนๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าชนิดที่ถ้าชานยอลตื่นมาเห็นจงอินคงโดนจับหักคอฆ่าทิ้งแน่ๆ
เด็กหนุ่มนั่งมองบัดดี้ของเขาอย่างใช้ความคิดว่าควรจะทำยังไงกับคนหลับดี
ระหว่างปล่อยให้นอนต่อไปแบบนี้หรือจะปลุกให้ลุกไปหาอะไรกินกัน
แต่ก็โชคดีอยู่นิดหน่อยที่เหมือนปาร์คชานยอลจะรู้สึกตัวตอนที่เขากำลังขยับลงจากเตียง
หมอนั่นดูจะสะลึมสะลืออยู่นิดหน่อย พอแคะขี้ตา
ตั้งสติกันอยู่สักพักก็เริ่มกลับมาพูดได้เหมือนเดิม
แต่ท่าทางตอนตื่นเหมือนเด็กชะมัด
"กินไรกูหิว"
จงอินไม่ได้ตอบคำถามนั้นในทันที
เขาเปิดประตูห้องนอนแล้วชะโงกหน้าออกไปเท่านั้น
แต่พอได้กลิ่นอาหารลอยขึ้นมาชั้นบนก็ยกยิ้มกว้างก่อนจะหันมาบอกบัดดี้ของเขาด้วยน้ำเสียงสดใส
"แม่กลับมาแล้ว เที่ยงนี้ไม่อดตายละ"
พูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังตามมาติดๆ ชานยอลเหวอไปนิดหน่อย
ก็ไหนบอกว่าบ้านไม่มีคนอยู่ไงวะ แล้วยังไง? ไอ้เสียงเคาะประตูกับรูปประโยคว่าแม่กลับมาแล้วนี่คืออะไร?
แอ๊ด
จงอินขยับเบี่ยงออกให้พ้นรัศมีประตูเมื่อเขารู้สึกว่าลูกบิดมันกำลังกระแทกแผ่นหลัง
ชานยอลเองก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว วินาทีต่อมาเด็กหนุ่มตัวสูงก็พบว่า
หญิงสาวที่ใบหน้าละม้ายคล้ายคิมจงอินอยู่นิดหน่อยโผล่เข้ามาทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้มสดใส
"แม่ให้มาตามไปกินข้าวน่ะ
รู้มั้ยว่าพวกเรารีบกลับมาบ้านกันแค่ไหน
เพราะห่วงแกจะพังครัวโชว์เพื่อน"
ชานยอลเห็นคิมจงอินขมวดคิ้วมุ่น ดูจากคำพูดแล้วคนนี้คงเป็นพี่สาว
ชานยอลเป็นเด็กเกเรแต่ก็ไม่ใช่ไม่รู้เรื่องมารยาท
เขาโค้งต่ำจนเกือบจะเก้าสิบองศาให้ลูกสาวคนโตบ้านคิม เธอยิ้มให้เขาอย่างน่ารัก
ผิดกับจงอินที่ยังคงยืนทำหน้าอึนๆอยู่ข้างประตู
"อือ เดี๋ยวผมลงไปนะ"
"เร็วๆล่ะ"
จงอินไม่ได้ตอบรับเป็นคำพูด เขาเพียงแค่พยักหน้าแล้วอือออไปตามนิสัย
หญิงสาวส่ายหน้าหน่ายๆกับนิสัยน้องชายแต่ก็ยังไม่ลืมหันมายิ้มให้กับแขกอย่างเป็นมิตร
ชานยอลไม่ได้รอให้เจ้าของเรียกเขาลุกเดินมาหยุดหน้าคิมจงอินทันทีที่พี่สาวปิดประตู
"ไปกินข้าวกันเถอะ"
ชานยอลพบว่าครอบครัวคิมเป็นอีกครอบครัวที่ทั้งอบอุ่นและมีอารมณ์ขัน
เสียงพูดคุยหยอกล้อบนโต๊ะอาหารมีมาเป็นระยะ
กระทั่งคิมจงอินที่เขาคิดว่าจะนั่งหน้าง่วงๆกินข้าวบนโต๊ะอาหารกลับยิ้มให้กับทุกบทสนทนาระหว่างครอบครัวด้วยกัน
และเพราะวันนี้มีชานยอลมาเป็นแขก พี่จียองเลยอาสาย้ายที่นั่งไปนั่งข้างคุณแม่
ชานยอลเลยได้รับรอยยิ้มจากสองสาวตลอดเวลาที่ร่วมโต๊ะด้วยกัน
"เป็นยังไงบ้าง
ตอนที่จงอินเล่าให้ฟังว่าเพื่อนคนอื่นจะมาบ้าน แม่ตกใจมากเลยนะ"
ชานยอลได้แต่ยิ้มแห้งๆให้กับคุณนายคิม
ที่กำลังตักกับข้าวอย่างหนึ่งส่งมาให้เขา พยายามคิดคำตอบเรียบเรียงออกมาให้ดีที่สุดกับคำถามที่ว่า
'เป็นยังไงบ้าง'
ที่เธอถามมา
"ก็ดีครับ จงอินตั้งใจทำงาน
จนผมไม่กล้าอู้งานเลยทีเดียว" เสียงหัวเราะอีกครั้ง
ทุกคนดูจะชอบใจที่ชานยอลตอบออกมาแบบนั้น
มีก็แต่คิมจงอินนี่แหละที่นั่งหน้าบูดบึ้งกว่าเก่าจนชานยอลต้องเอียงตัวไปกระซิบถามเสียงเบา
"กูพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าวะ"
"นายพูดสิ่งที่ครอบครัวฉันเดาไว้ได้ต่างหาก"
จงอินไม่คิดจะปิดบัง
เพราะทุกคนที่บ้านรู้ดีว่านิสัยลูกชายบ้านคิมนั้นเป็นยังไง พูดน้อย หน้ามึน
ชอบกวนประสาท เขาเคยพาเพื่อนมาบ้านหลายคน ทุกคนก็ตอบพ่อกับแม่คล้ายๆกับปาร์คชานยอลหมด
มีก็แต่ไอ้เทากับเซฮุนเท่านั้นแหละที่ตอบความจริงออกมา อ๋อ..
ถ้าปาร์คชานยอลตอบความจริงออกมาเหมือนกัน ทุกคนก็จะขำเสียงดังกว่านี้อีก
"ไม่ใช่ว่าจงอินกวนประสาทหรอชานยอล"
คิมจียองเอ่ยถามเพื่อนบัดดี้ทำงานของน้องชายด้วยสายตาระยิบระยับ
จงอินได้แต่ทำปากเบะใส่พี่สาวตัวเองก็จะก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ
ส่วนชานยอลเองก็ไม่รู้ว่าเขาควรจะตอบออกไปอย่างไรดีกับคำถามนั้น
กวนประสาทงั้นหรอ?
อืมมม ถ้าคำสุภาพน่ะใช่ แต่ถ้าหยาบๆ ก็กวนส้นตีนเลยล่ะครับคุณพี่
จบหัวข้อนิสัยคิมจงอินก็ยังคงมีหัวข้ออื่นขึ้นมาให้ได้สอบถาม
ดูท่าทุกคนจะตื่นเต้นมากจริงๆ กับการที่ลูกชายพาเพื่อนใหม่มาที่บ้าน
ชานยอลตอบคำถามไปกินข้าวไปจนพวกเราเสียเวลาในการทานมื้อกันวันกันร่วมชั่วโมงกว่า ๆ
ถ้าคุณคิมที่ไม่ได้ยินเสียงละครช่วงบ่ายดังขึ้นมาจากทีวีที่เปิดทิ้งไว้
เขาคงจะโดนซักจนถึงเรื่องที่ว่าคิมจงอินกวนตีนเขายังไงแน่
"เดี๋ยวแม่ให้จียองยกขนมขึ้นไปให้นะ"
"ขอบคุณครับแม่"
จงอินโค้งขอบคุณคุณแม่ยังสาวทั้งที่ยังคงกอดเอวคุณนายคิมอยู่อย่างนั้น
หนำซ้ำยังก้มตัวลงหอมแก้มแรงๆ จนผู้เป็นแม่ต้องตีแขนลูกชายที่เล่นอะไรไม่อายเพื่อน
ชานยอลที่ยืนหลบมุมรออยู่ตรงบานประตูห้องครัวได้แต่ยิ้มพลางก้มหัวอย่างขอบคุณที่เธอต้อนรับและดูแลเขาอย่างดี
พอกลับขึ้นมาอยู่บนห้องอีกครั้ง หลังจากที่เราจัดการอาหารจนแน่นท้องไปหมดไปเมื่อครู่
ชานยอลกลับรู้สึกว่าร่างกายเขาไม่พร้อมที่จะทำรายงานต่อไปอีกแล้ว
จงอินเองก็ดูจะเป็นเหมือนกันเพราะว่าตอนนี้เจ้าของห้องจัดการยกทุกอย่างลงจากเตียง
รวบกระดาษที่ตั้งใจวาดอย่างดีเข้าปึกด้วยกันแล้ววางไว้บนโต๊ะลวกๆ ก่นอจะทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาลงบนเตียง
ห้องทั้งห้องเงียบสนิท
ได้ยินแค่เสียงเครื่องปรับอากาศกับลมหายใจเท่านั้น ชานยอลก็ไม่รู้ว่าเขาควรจะไปนั่งตรงไหน
สุดท้ายถึงได้นั่งลงบนพื้นปลายเตียงทำหน้าโง่ๆมองคิมจงอินนอนพาดขวางเตียงสบายอยู่อย่างนั้น
“ขี้เกียจทำรายงาน” อยู่ๆคิมจงอินที่นอนนิ่งก็พูดขึ้นมาเสียงเบา
ทำให้ชานยอลที่นั่งมองอยู่ได้แต่เลิกคิ้วทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็น
“กูก็เหมือนกัน”
เด็กหนุ่มมองคนที่นอนหงายจ้องเพดานห้องพูดคุยกับเขาโดยที่เราไม่หันมาสบตากันด้วยความรู้สึกแปลกๆ
แต่จะว่าไปแล้วอะไรมันก็ดูแปลกไปหมดตั้งแต่ตอนที่เจอกันแล้วล่ะนะ
“ปาร์คชานยอล...”
เสียงเรียกจากบนเตียงทำให้ชานยอลที่ถอยหลังไปนั่งพิงตู้เสื้อผ้าเงยหน้าขึ้นจากสมาร์ทโฟนตัวเองมาสนใจอีกหนึ่งชีวิตที่นอนหายใจทิ้งอยู่ด้วยกัน
“อะไร”
“ทำตามสัญญาหน่อยดิ”
ตอนแรกเขาก็ไม่เข้าใจหรอกว่าสัญญาอะไร
แต่พอคิมจงอินเห็นเขาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธถึงได้ละสายตาจากเพดานห้องมามองหน้าเขาแทน
ก่อนจะพยักเพยิดไปทางกีต้าร์ที่ถูกตั้งพิงไว้กับประตูตู้ ชานยอลร้องอ๋อแล้วขยับเอื้อมแขนไปหยิบเจ้าถุงสีดำใส่ลูกรักมาใกล้ตัวก่อนจะหยิบมันมาวางบนตัก
“ฟังเพลงอะไรก็ได้” ดูมันทำ ตอบก่อนจะถามอีก
ชานยอลเลยไม่รู้ว่าเขาควรจะพูดอะไรกับไอ้คนที่นอนตะแคงตัวมานอนมองเขาเล่นกีต้าร์อยู่บนเตียง
“ระบุมาดิ มึงอยากฟังเพลงอะไร”
“เพลงอะไรก็ได้”
ชานยอลจิ๊ปากมองคนที่นอนตะแคงตาปรอยมองเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเอื่อยอ่อยว่าเพลงอะไรก็ได้
แล้วไอ้เพลงอะไรก็ได้นี่กูจะไปรู้มั้ยครับว่ามึงชอบแนวไหนอะไรยังไง
กูจะได้เล่นให้ฟังถูก
“มันมีมั้ย?”
“มันไม่มีเพลงชื่อนี้ แต่ฉันหมายถึงให้นายเลือกมาสักเพลง”
เอ้าไอ้ห่า... ตกลงกลายเป็นกูผิดหรอที่ไม่เข้าใจคามหมายมัน..
คือกูก็พูดชัดมั้ยวะว่าให้มันเลือก เดี๋ยวนะเดี๋ยว
เรื่องแค่นี้มึงก็ยังจะกวนตีนกูได้นะครับคุณเจ้าของบ้าน
“กูร้องเพลงไม่เพราะเท่าไหร่หรอกนะ”
“เพราะกว่าด่าคนแน่นอนฉันมั่นใจ”
ไม่ต้องเล่นมันซะดีมั้งกีต้าร์เนี่ย
เอาฟาดหัวคนแล้วหนีออกทางหน้าต่างบานเลยดีมั้ย กวนตีนขนาดนี้ ชานยอลเห็นจงอินหัวเราะก็ยิ่งนึกหมั่นไส้ขึ้นไปอีก
คนอะไรมันจะน่าหมั่นไส้ได้ตลอดเวลาขนาดนี้วะ
เสียงเกากีต้าร์ดังคลอเบาๆ
เปลือกตาที่หนักอยู่แล้วก็ยิ่งเหมือนถูกถ่วงด้วยเสียงชวนผ่อนคลายนั่นเข้าไปใหญ่
เขายังไม่ได้หลับ แต่ก็ตาปรือเต็มที จงอินเห็นปาร์คชานยอลนั่งขัดสมาธิมีกีต้าร์วางอยู่บนตักกำลังจ้องมองมาทางเขา
มือซ้ายขยับเปลี่ยนคอร์ดอย่างคล่องแคล่วสอดคล้องกับมือขวาที่ขยับดีดกีต้าร์ขึ้นลง
ส่งเสียงเพลินหูนี้ออกมา
อยู่ๆ จงอินก็อยากจะยิ้ม
เมื่อได้ยินว่าเพลงที่เล่นนั้นมันเพลงอะไร เขาค่อยๆยิ้มกว้างขึ้นกว้างขึ้นทีละน้อย
แน่นอนว่าเขากำลังง่วง แต่ตอนนี้จงอินก็เห็นภาพตรงหน้าชัดเจน
ปาร์คชานยอลกำลังเล่นกีต้าร์
ดวงตาคู่นั้นก้มลงมองคอร์ดที่ต้าร์ที่ตัวเองจับอยู่เป็นระยะ สลับกับสบตาเขา
จากที่ไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ว่าสิ่งนี้จะทำให้ปาร์คชานยอลใจเย็นได้
แต่ตอนนี้จงอินว่าเขาเชื่อแล้วล่ะ
ปาร์คชานยอลตอนเล่นกีต้าร์
ก็ดูเท่ไม่หยอกเลยเหมือนกัน
เช้าวันนี้อากาศน่านอนปกติ
แต่ก็ยังโชคดีที่คิมจงอินยังมีคุณแม่และพี่สาวที่แสนน่ารัก(กัดฟัน)คอยปลุก
เด็กหนุ่มถึงมาโรงเรียนได้ในเวลาเฉียดฉิวและเพราะวันนี้เขาตื่นสายเพราะมัวแต่นอนเพลินนั่นแหละ
ถึงได้ต้องปั่นจักรยานแทนการเดินมาโรงเรียนเหมือนกับทุกวัน
“โอ๊ยยยย ผมเจ็บ อาจารย์
เบาดิเบา ‘จารย์ เบาคร้าบบบบบ”
เสียงโอดครวญจากหน้าประตูตอนที่เขากำลังจะเดินออกจากโรงจอดจักรยานทำให้จงอินได้แต่ยิ้มขำ
ทำไมเขาจะจำไม่ได้ว่าเสียงนั้นเป็นของปาร์คชานยอล หมอนั่นคงจะตื่นสายแน่ๆถึงได้มาโรงเรียนช้า
แต่ก็นะ..จงอินไม่มีสิทธิ์ว่าใครหรอกเพราะวันนี้เขาก็ตื่นสายเหมือนกัน
หลังจากฟังเพลงตามที่บัดดี้ของเขาสัญญาเอาไว้
จงอินก็ไม่รู้ว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่
น่าจะซักช่วงเพลงที่สามหรือไม่ก็เพลงที่สี่ เพราะรู้สึกตัวอีกที ปาร์คชานยอลก็เก็บกีต้าร์เข้ากระเป๋ากำลังจะเตรียมตัวออกจากห้องของเขาแล้ว
“เห็นนายหลับเลยไม่อยากกวน”
“อือ จะกลับแล้วหรอ?” เพราะยังกึ่งหลับกึ่งตื่น
จงอินเลยทำได้แค่บิดตัวเองขึ้นไปบนเตียงเพื่อที่เขาจะได้ไม่ลุกมาแต่สามารถเห็นหน้าปาร์คชานยอลตอนเราสนทนากํนได้
“นี่ห้าโมงเย็นแล้ว
กูควรจะกลับบ้านมั้ยล่ะ”
จำได้ว่าตอนนั้นเขาได้แต่พยักหน้าแล้วก็หลับตาลงอีกครั้ง
ได้ยินเสียงปิดประตูเลยถอนหายใจไปอีกหนึ่งที
น้ำเสียงชานยอลดูหงุดหงิดคิมจงอินจับได้
แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่หมอนั่นดันเล่นเพลงชวนง่วงให้คนที่พึ่งกินอิ่มจนพุงจะแตกฟัง
พอคิดว่ารายงานไม่ได้คืบหน้าสักเท่าไหร่นักจงอินก็เกิดรู้สึกผิดขึ้นมานั่นแหละ
กะว่าล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วจะมาสานต่อไอ้ที่หมอนั่นทำไว้
แต่พอมาถึงโต๊ะหนังสือกก็เห็นโพสอิทสีเขียวมะนาวของเขาแปะไว้บนโน๊ตบุ๊คที่พับเก็บเรียบร้อยแล้ว
“กูเอารูปมึงกลับไปสแกนที่บ้านนะ”
จงอินแปะโพสต์อิทบนผนังห้องแล้วก็กลับไปทิ้งตัวนอนลงใหม่อีกครั้ง
ไม่ได้รู้สึกผิดมากเท่าเดิมแล้ว
เพราะขนาดไอ้ที่เขาจะทำบัดดี้ของเขาก็เอาไปทำเสียหมดแล้ว
เดินล้วงกระเป๋ามาตามทางเดินจนถึงทางเข้าอาคารเรียน
ดูเหมือนจะเพลินไปเสียหน่อย เขาถึงได้ไม่ทันสังเกตว่าเทากับเซฮุนเดินสวนบันไดลงมา
นี่ถ้าเซฮุนไม่คว้าแขนเอาไว้เขาคงเดินผ่านเพื่อนของตัวเองไปเลย
“เหม่อไปถึงไหนน่ะ”
“คิดอะไรเพลินๆ
พวกนายจะไปไหนกัน จะเข้าเรียนแล้วไม่ใช่หรือไง” จงอินขมวดคิ้วมองเพื่อนสองคนที่อยู่บันไดขั้นต่ำกว่า
เทากับเซฮุนดูจะหน้าตาตื่นเต้นสุดๆ ทั้งที่ปกติพวกนี้ก็ไม่ได้เป็นเกเร
ไอ้ไม่ตั้งใจเรียนน่ะมีบ้าง แต่ถ้าโดดเรียนก็ต้องชวนเขาด้วยสิ
“ไปดูประกาศกีฬาสีน่ะ
เห็นไอ้มยองซูบอกว่า เขาแปะไว้ที่บอร์ดหน้าห้องกิจกรรมแล้ว”
จงอินพยักหน้าแล้วโบกให้เพื่อนไปกันเองเถอะ
เซฮุนกับเทาก็ไม่ได้เซ้าซี้เพราะรู้ดีว่าจงอินไม่ค่อยกระตือรือร้นกับงานกีฬาสีเท่าไหร่นัก
เป็นประเภทที่ว่าสนุกสนานด้วยเสมอ แต่ไม่ได้กระตือรือร้นว่าตัวเองจะต้องทำอะไรกับใคร
เป็นพวกง่ายๆที่ทำงานกับใครก็ได้ประมาณนั้นแหละ
หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าโต๊ะได้ก็ฟุบหน้าทันที
ดูเหมือนมันจะกลายเป็นกิจวัตรของจงอินไปแล้วนั่นแหละ
แต่วันนี้มันแปลกไปหน่อยก็ตรงนี้จงอินไม่ได้กดหน้าลงเพื่อหลบแสงแดดที่เข้ามากระทบสายตา
เขาเพียงแค่เอาหัวหนุนแขนของตัวเองไว้ ตะแคงหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างห้องเรียน
ตอนนี้คนที่มาสายกำลังโดนลงโทษให้เก็บขยะที่เกลื่อนอยู่เต็มสนามไปพร้อมกับวิ่ง
ไม่รู้แน่ว่าโดนกี่รอบ นักเรียนเกือบสิบคนกำลังวิ่งไปก้มเก็บเศษขยะที่เจอไป
แต่มีหนึ่งในนั้นที่ทำตัวอู้วิ่งรั้งท้าย แถมยังไม่ยอมเก็บขยะอีก
ไกลขนาดนี้
เห็นชัดแค่หูจงอินยังรู้เลยว่าไอ้คนอู้ข้างหลังนั่นคือปาร์คชานยอล
อยากรู้ว่าหมอนั่นจะโดนครูจับได้เมื่อไหร่ แต่เหมือนจงอินจะไม่ต้องสงสัยนานนัก
เพราะหลังจากนั้น
อาจารย์ซอนเยก็เอื้อมมือไปดึงหูจนปาร์คชานยอลต้องเอียงตัวลงต่ำมาตามแรง
เดาได้เลยว่ามันต้องเจ็บมาก ขนาดเขาแค่เห็นยังรู้สึกเจ็บแทน
จงอินนั่งมองอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเห็นว่าบัดดี้ของเขาถูกปล่อยตัว
แล้วเดินหน้าหงิกงอเหมือนจะฆ่าคนได้เข้ามาในตัวตึก ระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ
แต่ปาร์คชานยอลที่ขยับปากสบถอะไรสักอย่างไม่หยุดทำให้เขาได้แต่ขำ
นอกจากเล่นกีต้าร์แล้ว
ไอ้เรื่องที่ดูเป็นตัวของตัวเองที่สุดก็น่าจะเป็นเรื่องด่าไม่หยุดของปาร์คชานยอลนี่แหละ
นั่งมองเรื่อยเปื่อย
จนอีกฝ่ายหายลับเข้ามาในตัวอาคาร จงอินก็เบือนหน้ากลับมาที่ชั้นเรียนอีกครั้ง
ตอนนี้อาจารย์วิชาประวัติศาสตร์เดินเข้ามาแล้ว ไอ้เทากับเซฮุนก็วิ่งเลิ่กลั่กเข้ามาทิ้งตัวนั่งด้านข้างและด้านหลังเขาอย่างทุกวัน
แอบได้ยินมันซุบซิบเรื่องกีฬาสีกันอยู่นิดหน่อย จนเริ่มสงสัยขึ้นมาบ้างแล้ว
กีฬาสีปีนี้
จะต้องคู่กับห้องไหนบ้างนะ?
#ฟิควงกลมชานไค
เขินเองอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้จะแซวใครเลยดีอ่ะ
5555555555555555555555555555555555555555+ เอาล่ะ จบทัศนศึกษาแล้ว
สนิทกันมากขึ้นมาอีกนิด อีกระดับนึงแล้วนะคะ ต่อไปเป็นตอนกีฬาสี อิ้________________อิ้ ชานยอลมันต้องเหนื่อยกับความกวนตีนมึนๆอย่างงี้ไปอีกนานอ่ะ
ยิ่งนับวันเลเวลจงอินยิ่งแข็งแกร่ง
ขอบคุณทุกคนมากๆน้า ทั้งในแท็ก ทั้งในเว็บ
แล้วก็คนที่แวะมาอ่านด้วยค่า ยิ้มได้ตามฟิคก็ดีใจแล้วอ่ะ ขอบคุณที่ไม่เบื่อตัวอักษรของเรา
ทั้งที่ตอนตอนนึงแทบจะไม่มีอะไรเลยอ่ะ 555555 แต่ก็ยังอ่าน ขอบคุณมากจริงๆน้า
ความคิดเห็น