คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : CHAPTER 16
TITLE : CYCLE
Pairing : Chanyeol X Kai
“ผมคิดว่าผมรู้ว่าควรทำตัวยังไงเวลาผมรักใครสักคน
แต่นั่นมันก็แค่ความคิด เมื่อผมได้พบกับเขา”
CHAPTER 16
ชานยอลใช้เวลาในช่วงปิดเทอมหมดไปกับการเล่นบาสและตะลอนเที่ยวกับแฟนหมาดๆ
อย่างคิมจงอิน แต่ส่วนใญ่ก็มีอยู่ไม่กี่ที อย่างเช่นสวนสาธารณะ
ไม่ก็ไปขลุกอยู่ด้วยกันที่ร้านหนังสือในห้าง
หรือวันไหนที่เขานัดพวกจงซอกไปสนามกีฬา คิมจงอินก็จะตามไปนั่งอยู่ด้วยเหมือนวันนี้
ชานยอลกำลังจะส่งลูกบาสลงห่วงแต่เสียงดังลั่นจากข้างสนามก็ทำเอาทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียวกัน
คิมจงอินนั่งขัดสมาธิในมือถือโทรศัพท์ของเขาพร้อมกับหน้าตาตกตะลึงสุดขีด
ชานยอลส่งลูกบาสให้คนที่ใกล้ที่สุดก่อนจะเดินตรงไปยังแฟนตัวเองซึ่งยังคงทำหน้าตาประหลาดๆอยู่
แค่เล่นโทรศัพท์ก็นับว่าแปลกแล้ว ก็ปกติมันเล่นซะที่ไหนกันล่ะ
“เป็นไรวะ
ทำไมทำหน้างั้น”
ดูเหมือนว่าประสามการรับรู้ของคิมจงอินจะปิดสนิมไปชั่วขณะ
ขนาดว่าชานยอลทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ยังไม่รู้ตัว
ขมวดคิ้วแน่นด้วยความสงสัยปนหงุดหงิดนิดหน่อย ตั้งแต่เป็นแฟนกันมาถ้าไม่นับเวลา
ส่วนตัวของกันและกัน ก็ไม่เคยไม่สนใจกันอย่างนี้
“ดูอะไรอยู่วะ
นะ…”
ยังไม่ทันจะพูดได้จบประโยค
คิมจงอินก็ยกโทรศัพท์ยื่นมาให้จนแทบจะชิดจมูก
ชานยอลผงะเกือบหงายหลังแต่ก็ตั้งสติดีๆ เพราะเห็นว่าคนตรงหน้าน้ำตาคลอเบ้า
แต่พอจะถามก็ดันเห็นตัวหนังสือบนหน้าจอเสียก่อน
ประกาศผลสอบแอดมิดชั่น
รหัสสอบ : 59031486587
ชื่อ : คิมจงอิน
คณะ : สถาปัตยกรรมศาสตร์
สาขา สถาปัตยกรรม
สถาบัน :
มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล
ผลการสอบ : ผ่าน
ชานยอลใจเต้นแรง
มองชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอสลับกับเจ้าตัวอยู่หลายครั้ง
อ้าปากจะพูดแต่ก็ต้องปิดลงทำซ้ำอยู่อย่างนั้นเพราะไม่รู้ว่าจะหาคำไหนมาร่วมแสดงความยินดี
คิมจงอินเครียดกับมันมากแค่ไหนทำไมเขาจะไม่รู้ ในเมื่อมันได้อย่างที่ใจหวัง
ชานยอลเองก็ดีใจไปกับมันด้วยเหมือนกัน
แรงโถมกอดแน่นตามมาด้วยเสียงโห่แซวไม่ได้ทำให้ชานยอลอายหรือหันไปส่งสายตาดุใส่คนอื่น
ในเมื่อตอนนี้เขาสนใจเพียงเสียงกระซิบอยู่ข้างหูว่า ทำได้แล้ว ทำได้แล้ว
ซ้ำๆอยู่อย่างนั้น ชานยอลหลุดยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูในอีกหนึ่งเรื่องเล็กๆ
ซึ่งมันน่ารักจนเขาอดใจไม่ไหวต้องก้มจูบลงบนกลุ่มผมสีดำแรงๆ สักที
คิมจงอินใช้เวลาสักพักเลยทีเดียวกว่าจะรู้ว่าตัวเองแสดงอาการดีใจมากกว่าปกติ
แต่มันก็สายไปแล้วตอนที่ผละออกไปชานยอล
เสียงล้อเลียนเริ่มดังเข้าหูและสุดท้ายก็รู้ว่าพวกเขาอยู่ใกล้กันมากแค่ไหน ชานยอลเอื้อมมือไปป้ายคราบน้ำที่เปรอะอยู่ใต้ตาแล้วส่งยิ้มให้
และพอได้ยิ้มตอบกลับมาเขาก็รู้สึกว่าเรื่องดีๆ เกิดขึ้นในช่วงเวลาของเราอีกเรื่องหนึ่งแล้ว
“ไม่ดูของนายเหรอ”
อยู่ๆ
ก็รู้สึกหน้าแห้งอย่างไม่มีสาเหตุ
ชานยอลยิ้มกว้างจนกลายเป็นยิ้มเก้อเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็กำลังรอประกาศผลอยู่ด้วยเหมือนกัน
ยิ่งเห็นว่าคิมจงอินมองอยู่เขายิ่งทำตัวไม่ถูก ใจหนึ่งมันก็อยากจะรู้
แต่อีกใจก็อยากจะเก็บไว้ดูคนเดียว
ชานยอลตัดสินใจลุกขึ้นยืนโดยไม่ลืมรวบข้าวของและคิมจงอินติดมือขึ้นมาด้วย
ตะโกนบอกเด็กๆ
ว่าขอกลับก่อนแล้วก็เดินลิ่วออกจากสนามกีฬาไปท่ามกลางความงุนงงของทุกคนรวมถึงคนที่ถูกลากให้เดิมตามกันมา
“ไปนั่งเล่นตรงนั้นกัน”
อยู่ๆ
คิมจงอินก็ออกแรงขืนไว้พร้อมทั้งชี้ไปทางม้านั่งหินอ่อนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสนามกีฬาสักเท่าไหร่นัก
เพราะเป็นช่วงปิดเทอมและโรงเรียนก็กำลังปิดปรับปรุงโรยิม
ชานยอลกับคนอื่นถึงได้นัดกันมาเล่นที่สนามกีฬาในสวนสาธารณะซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านพวกเขามากแทน
อากาศอุ่นๆ
พร้อมกับลมที่พัดโกรกเข้ามาปะทะทำให้ชานยอลรู้สึกใจเย็นขึ้นนิดหน่อย
แต่ก็มันก็ไม่ได้ช่วยดับความกังวลข้างในได้เลยแม้แต่น้อย
พวกเขาเลือกนั่งเก้าอี้คนละตัวตรงข้ามกันชานยอลถึงเห็นว่าคิมจงอินกำลังเคาะนิ้วลงกับโต๊ะและมองเขาไม่ละสายตา
มันไม่ใช่การกดดันแต่คือการรอเพื่อให้เขาพูดอะไรที่อยู่ในใจออกไป
คิมจงอินมักจะทำอย่างนี้เสมอนั่นแหละ
“อะไรกัน
คราวนี้นายไม่ยอมพูดออกมาเหรอ”
ทำอย่างนั้นอยู่สิบนาทีแต่จนแล้วจนรอดชานยอลก็คิดไม่ออกว่าเขาควรจะพูดเรื่องไหนก่อน
สถิตินานที่สุดที่เขาพ่ายแพ้ต่อสายตาอย่างนี้ก็แค่สามนาทีเท่านั้น
พอมานึกถึงเรื่องอย่างนี้ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมคิมจงอินถึงปล่อยเขาไว้กับความเงียบถึงสิบนาที
มันใช่เวลาที่กูจะมาคิดเรื่องนี้มั้ยเนี่ยยย
“กลัวเหรอ”
อ๋อ..หาคำตอบจากการมองหน้ากันอยู่งั้นสินะ
ลืมไปได้ยังไงกัน คิมจงอินก็ยังคงเป็นคิมจงอินอยู่วันยังค่ำ
“นายห้ามวันพรุ่งนี้ได้หรือเปล่าล่ะ”
คำถามแปลกประหลาดจากคนเป็นแฟนทำให้ชานยอลแปลกใจแต่ก็ยอมส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ
ก่อนจงอินจะพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นนายก็เลือกที่จะไม่รับรู้ผลสอบอันนี้ไม่ได้เหมือนกัน”
“อันนั้นกูรู้”
“จะช้าหรือเร็วนายก็ต้องรู้
ถ้านายกลับไปดูคนเดียวที่บ้าน แน่นอนว่าถ้ามันออกมาดี
นายมีครอบครัวดีใจแต่ถ้ามันไม่ใช่อย่างที่หวัง นายก็คงเก็บเรื่องนี้เอาไว้คนเดียว”
คิมจงอินเป็นคนแบบไหนกันนะ
ทำไมถึงได้อ่านเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ถ้าผลมันออกมาว่าไม่ผ่านการคัดเลือกชานยอลก็คงเก็บเรื่องนี้เอาไว้กับตัวเองจนวันที่เขาพร้อมจะบอกกับครอบครัวนั่นแหละ
“แต่ถ้านายดูมันที่นี่ตอนนี้
นายจะมีฉันอยู่เป็นเพื่อน ไม่ว่าจะดีใจหรือเสียใจฉันก็ยังอยู่ตรงนี้กับนาย”
“น้ำตาแตกขายขี้หน้าตายห่า”
“ถ้าต้องอยู่คนเดียวเวลาเสียใจ
นายก็ไม่ต้องมีฉันเป็นแฟนก็ได้จริงไหม”
โอเค..ยอมแพ้แล้ว
คำพูดหว่านล้อมธรรมดาแต่กลับทำให้รู้สึกอบอุ่นนี่ทำให้เขาใจอ่อนได้จริงๆนั่นแหละ ชานยอลพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
มองหน้าคนที่กำลังยิ้มให้เขา
โทรศัพท์เครื่องเดิมถูกยื่นมาให้พร้อมกับหน้าจอกรอกรายละเอียดประกาศผลสอบ
“มันไม่แย่หรอก
หรือถ้ามันแย่นายก็ไม่ต้องเก็บไว้คนเดียวนี่”
คำพูดของคิมจงอินมันไม่เคยเหมือนคนอื่น
ประโยคธรรมดาแต่กลับทำให้เขารู้สึกดีขึ้นได้อย่างน่าประหลาด ชานยอลพิมพ์เลขประจำตัวสอบช้า
ๆ ทุกวินาทีมันโคตรจะลุ้นระทึก
เขาคงโยนโทรศัพท์ทิ้งไปแล้วถ้าไม่ติดที่ว่าคิมจงอินขยับมานั่งอยู่ข้างกัน
เด็กหนุ่มตัวสูงใช้เวลาชั่วอึดใจกว่าจะยอมกดรับประกาศผลสอบ
ช่วงเวลาที่นั่งรอดาวน์โหลดทำเอาเกือบประสาทเสีย มันไม่กี่นาทีหรอกแต่ชานยอลอุปทานไปเองว่ามันนาน
เลื่อนหน้าจอดูช้าๆ
โดยมีคิมจงอินยื่นหน้าเข้ามาดูด้วยกัน ใจจริงเขาก็อยากลุ้นคนเดียว
แต่เพราะอีกฝ่ายดันรู้ทันว่าเขาจะอายที่สอบไม่ติดเลยจัดการคว้าโทรศัพท์ไปวางบนโต๊ะและพวกเราก็ลุ้นผลสอบไปพร้อมกัน
ชานยอลสาบานว่านี่คือการอ่านหนังสือที่ช้าที่สุดในชีวิต
เขาค่อยๆไล่ทุกตัวอักษรอย่างใจจดใจจ่อ
ผิดกับคิมจงอินที่ขยับขึ้นนั่งตัวตรงมองเขาด้วยสายตายินดีพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
“ฉันกวนตีนนายบ่อยก็จริง
แต่ฉันเป็นแฟนที่ดีนะ ปาร์คชานยอล”
วินาทีที่เกิดเรื่องดีๆเรื่องนึงเราก็อยากบอกเล่าให้คนสำคัญในชีวิตได้รับรู้
ชานยอลวิ่งกลับบ้านด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ในหัวมีแต่ภาพของประกาศผลสอบ
รอยยิ้มของคิมจงอิน และประโยคธรรมดาๆที่อีกฝ่ายบอกก่อนจะแยกจากกัน
“เดี๋ยวคืนนี้ค่อยคุยกันนะ” คิมจงอินบอกอย่างนั้น
หลังจากนั้นชานยอลรู้สึกว่าเขาไม่เคยวิ่งเร็วเท่านี้มาก่อน
แม้กระทั่งการวิ่งขึ้นเนินก็ยังไม่สามารถลดความเร็วเขาลงได้
ใจร้อนขนาดจะไขประตูยังหยิบกุญแจผิดแล้วผิดอีกจนต้องตะโกนลั่นอยู่หน้าบ้านเหมือนคนบ้า
แน่นอนว่าปาร์คยูราตกใจทิ้งสายยางรดน้ำต้นไม้มาเปิดประตูพร้อมเสียงด่า
แต่นั่นก็ไม่ทำให้ชานยอลรู้สึกแย่เลยสักนิด
“พี่!!!”
เรียกเสียงดังพลางพุ่งไปกอดหญิงสาวตัวเล็กแน่นๆเสร็จแล้วก็ลากเข้าบ้านไปด้วยกัน
“อะไรลูก
โวยวายอะไรกัน”
คุณนายปาร์คโผล่ออกมาจากห้องครัวพร้อมตะหลิวเอ่ยถามอย่างงุนงงเช่นเดียวกับคุณปาร์คซึ่งละสายตาจากมวยคู่โปรดในทีวีมามองลูกชายคนเล็ก
ใบหน้าของปาร์คชานยอลยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทำเอาทั้งบ้านอดแปลกใจไม่ได้
“ผมติดมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซลแล้วแม่!!!”
เสียงตะโกนบอกดังลั่นทำให้ทุกคนนิ่งไปหลายวินาทีก่อนที่ปาร์คยูราจะกระโดดกอดเขาแน่นเป็นคนแรก
ตามด้วยพ่อ ชานยอลเห็นยืนน้ำตาคลอแต่ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เก่งมากไอ้เสือ!”
นั่นคือคำแรกที่พ่อพูดกับเขาหลังจากพวกเรายืนกอดกันอยู่นาน
ชานยอลยิ้มกว้างขณะเดินไปหามารดาซึ่งมองมาทางเขาด้วยสายตาภาคภูมิใจ
คุณนายปาร์คมองลูกชายเดินเข้ามาใกล้ๆ
ภาพนั้นพร่าเลื่อนด้วยน้ำตาแห่งความดีใจ เด็กหนุ่มหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอ
ใบหน้าของเขามีแต่รอยยิ้ม
เธอเพิ่งจะรู้ว่าปาร์คชานยอลของเธอนั้นโตเป็นหนุ่มมากขนาดนี้
เจ้าเด็กอ้วนเมื่อตอนนั้นเปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มรูปหล่อ สูงใหญ่ แต่ถึงภายนอกจะเปลี่ยนไปสักเท่าไรปาร์คชานยอลก็ยังคงรักษาสิ่งหนึ่งเอาไว้เสมอ
“ดีใจด้วยนะลูก
ชานยอลของแม่เก่งมากเลย”
เสียงของแม่ที่เอ่ยชื่นชม
ยิ้มของแม่ที่บ่งบอกว่ายินดี มือของแม่ที่ ทำให้ชานยอลน้ำตาไหล
เด็กหนุ่มโน้มตัวสวมกอดคนเป็นแม่แน่นที่สุดตั้งแต่จำความได้ เขาเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าวันนี้ประกาศผล
ความสุขอบอวลไปทั่วบ้าน
รอยยิ้มของทุกคนในครอบครัวกลายเป็นของขวัญชิ้นใหญ่สำหรับคนที่เพิ่งจะเริ่มการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย
ประกาศผลสอบแอดมิดชั่น
รหัสสอบ : 5903264895
ชื่อ : ปาร์คชานยอล
คณะ : ศิลปกรรมศาสตร์
สาขานิเทศศิลป์
สถาบัน :
มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล
ผลการสอบ : ผ่าน
เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่เขาคิดว่าดีที่สุดในรอบหลายปี
การเลือกคณะเข้ามหาวิทยาลัยว่ายากแล้วแต่ความต้องการที่จะเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันนั้นยากยิ่งกว่า
ชานยอลจำได้ดีว่าคิมจงอินด่าเขายังไง แต่มันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้
ในเมื่อสุดท้ายชานยอลก็เลือกมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซลตามแฟนของตัวเอง
หัวข้อการสนทนาในคืนนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเมื่อต่างฝ่ายต่างก็มีเรื่องพูดคุยเป็นเรื่องเดียวกัน
ชานยอลละทิ้งดันเจี้ยนมานอนวีดีโอคอลจ้องหน้าคิมจงอินที่ทิ้งกระดาษและดินสอมานอนคุยกับเขา
ตื่นเต้นจนแทบเก็บเอาไว้ไม่อยู่เมื่อรู้ว่าอีกไม่นานพวกเขาจะโตขึ้นอีกครั้งไปพร้อมกัน
“คุณว่าคณะผมจะเป็นไงวะคุณ”
“หืออ?
อ้าวไม่พูดกูมึงแล้วเหรอ”
ชานยอลขมวดคิ้วแต่กลับทำให้ปลายสายหัวเราะ
เพราะเมื่อเที่ยงดันเครียดไปหน่อยจนเผลอหลุดพูดกูมึง
ทำให้คิมจงอินมันมีประเด็นมาล้อกันในคืนนี้ ตั้งแต่ตกลงเป็นแฟนกัน เขาก็เลิกพูดไม่เพราะกับมันไปโดยปริยาย
คนมันก็มีพลาดบ้างได้ไหมล่ะแหม
“อย่ากวนตีนดิวะคุณ
นี่ถามดีๆนะเว้ย”
ยัง..ยังไม่เลิกขำ
จนชานยอลต้องถลึงตาใส่นั่นแหละคิมจงอินถึงได้ทำท่ายกมือว่าโอเคแล้วปรับอารมณ์ตัวเองอยู่ครู่หนึ่งค่อยเริ่มบทสนทนากันต่อ
“ตกลงว่าไง คุณว่าคณะผมจะเป็นไง”
ถามย้ำไปอีกครั้ง
เพราะเท่าที่หาข้อมูลด้วยกันมาชานยอลก็หวั่นอยู่ไม่น้อยว่าตัวเองจะเข้าสังคมกับคนอื่นไม่ได้
“ของแบบนี้แค่คำบอกเล่าจากคนไม่กี่คนตัดสินอะไรไม่ได้หรอกนะ”
คิมจงอินว่าอย่างนั้น ชานยอลชอบมองที่สุดก็เวลาแฟนตัวเองยิ้มอ่อนให้กันนี่แหละ
ไม่ใช่ยิ้มอ่อนด้วยความเหนื่อยหนาระอาใจ แต่มันเป็นยิ้มที่ทำให้รู้สึกดี “นายบอกว่ามันคือการโตขึ้นอีกขั้น
ถ้าอย่างนั้นทำไมเราไม่เตรียมพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆแทนล่ะ”
“......”
“ฉันเองก็กลัวไม่ต่างจากนาย
แต่ถ้าฉันคิดนู่นนั่นนี่ไปก่อนที่จะได้เจอจริงๆ ฉันกลัวว่าฉันอาจจะพลาดอะไรดีๆ
จากการเรียนรู้ไปก็ได้ นายเคยได้ยินเรื่องทฤษฎีน้ำเต็มแก้วใช่ไหม”
ชานยอลนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง
ก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบให้คิมจงอินได้พูดต่อ
“ถ้าเราทำตัวเป็นแก้วเปล่า
ใช่..มันดีที่นายสามารถเรียนรู้ทุกอย่างได้หมดแต่ในบางเรื่องฉันคิดว่าเราจำเป็นต้องรู้เข้าไปก่อนอย่างเช่นทำเนียมพื้นฐานอะไรทำนองนั้น
อย่างน้อยเราก็ไม่ใช่เด็กอายุห้าขวบกันแล้ว”
“......”
“ไม่ต้องกลัวหรอกนะ
ยังไงนายก็เลือกจะเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับฉันไปแล้ว
ถ้าไม่มีเพื่อนในคณะนายก็ยังมีฉัน เป็นไงซึ้งบ้างไหม
ฉันเป็นแฟนที่ดีแล้วก็ยังน่ารักด้วยนะ”
น่ารักมันก็น่ารักอยู่หรอกแต่ไอ้ความกวนตีนในคำหลงตัวเองนี่มันก็ทำให้น่าหมั่นไส้ไม่น้อยเลยเหมือนกัน
คิมจงอินมักจะมีมุมแบบนี้หลุดออกมามากขึ้นซึ่งชานยอลก็ดีใจที่ตัวเองมีโอกาสได้เห็น
ถ้าอยู่ใกล้ๆ ก็อยากจะผลักหัวสักทีสองที ตอนนี้เลยทำได้แค่ยิ้มให้อย่างเอ็นดู
“หลังจากนี้คุณจะทำอะไร”
“ก็นอนสิ
คงไม่ลุกไปแอโรบิคหรอก”
มันใช่เวลาไปแอโรบิคมั้ยล่ะครับคุณ!!
ไม่รู้ว่ามันจะสนุกอะไรนักหนากับการกวนตีนแฟนของตัวเอง
คิมจงอินถึงได้ชอบทำมันประจำซึ่งเรื่องนี้ก็พิสูจน์ได้ตลอดเพราะหลังจากที่ชานยอลทำหน้าตาหงุดหงิด
อีกฝ่ายกลับยิ้มกว้างจนน่าเอากำปั้นยัดเข้าปากให้รู้แล้วรู้รอด
แต่ก็แค่คิดไง
แฟนน่ะแฟนทำอะไรได้ซะที่ไหนแค่ด่ายังไม่กล้าเลย
เสียงพูดคุยยังคงดังต่อเนื่องโดยมีแบ็คกราวน์เป็นเสียงเพลงในเกมที่ชานยอลเปิดทิ้งไว้
บางครั้งก็มีเสียงตะโกนด่าจากเพื่อนร่วมทีมแจมเข้ามาบ้างแต่เขาก็ไม่ได้สนใจ
จนกระทั่งคิมจงอินตาปรือทำท่าจะผล็อยหลับนั่นแหละถึงได้ขยับลุกขึ้นมานั่งหน้าคอม
“จะเล่นเกมต่อเหรอ”
“อือ ง่วงก็นอนได้แล้วคุณ
ผมเล่นเกมต่ออีกแป๊บนึง”
“นอนเถอะน่า
เดี๋ยวขึ้นมหาลัยนายจะเสียดายเวลานี้ อีกอย่างนี่มันก็จะตีสามแล้ว
ลงดันพรุ่งนี้ตอนเที่ยงก็ไม่ได้ต่างกันนักหรอก”
นี่ก็เรื่องน่ารักอีกเรื่องที่ชานยอลไม่อยากจะคุยอวด
เมื่อก่อนไม่มีหรอกจะมาบอกให้นอนอะไรอย่างนี้นอนใครก็นอนมัน
เป็นแฟนกันมาหลายเดือนก็เพิ่งจะมามีนั่นแหละ
แต่ก็เป็นเพราะว่าเขาเกิดดันไปหลับในโรงหนังพอสารภาพว่าหวดเกมจนดึกจงอินก็ไม่ได้ว่าอะไร
เพียงแค่...
“นายเล่นเกมจนดึกฉันไม่เคยว่าหรอก
แต่ถ้ามันทำให้เพลียมากเกินไปฉันก็อยากให้เพลาๆลงบ้าง”
ไม่รู้ว่ามันเก็บสกิลความน่ารักพวกนี้ซ่อนไว้ใต้ความกวนตีนหรือยังไงทำไมมันถึงได้หลุดออกมาทีละเล็กทีละน้อย
ชานยอลยิ้มกับท่าทางสะลึมสะลือของคนในโทรศัพท์แล้วพิมพ์บอกลาเพื่อนในเกมสองสามคำก่อนจะกลับมาทิ้งตัวนอนท่าเดิมแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันใจคนรบเร้า
เพราะคิมจงอินหลับไปแล้ว
ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่าการนอนพร้อมกันเป็นอะไรที่แม่งโคตรงี่เง่า
กับแฟนเก่าคนก่อนๆ ก็เคยมีชวนนอนพร้อมกัน ทำอะไรพร้อมกันอยู่บ้าง
แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันเลยสักนิด ชานยอลเต็มใจที่จะทิ้งตัวนอนแล้วมองคนหลับมากกว่าที่จะเล่นเกมจนถึงเวลาง่วงจริงๆ
ซึ่งมันทำให้เขามีเวลาพักผ่อนมากขึ้นด้วย
“ราตรีสวัสดิ์ครับคุณ”
กระซิบเสียงเบาแล้วกดตัดสาย
ขยับวางโทรศัพท์ไว้บนหัวนอนแล้วกลับแผ่หลามองเพดานห้องอย่างที่เคยทำทุกวัน อยู่ๆ
เขาก็นึกถึงเรื่องราวตั้งแต่เริ่มรู้จักคิมจงอินมาจนถึงปัจจุบัน
ครั้งแรกที่เจอก็ไม่ได้คิดว่าสุดท้ายจะมาทำอะไรมุ้งมิ้งให้ แต่ตอนนี้...
โคตรดีเป็นบ้า
ก็ประมาณนี้แหละ
ความรู้สึกตอนรักใครสักคนแล้วมีเราเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของกันและกัน
ตอนยังเด็กชานยอลคิดว่าการเรียนมหาวิทยาลัยนี่มันโคตรเท่เลยให้ตายเถอะ แต่พอจะได้ก้าวเข้าไปจริงๆ เขาดันตื่นเต้นจนลืมทุกสิ่งทุกอย่างเสียอย่างนั้น เด็กหนุ่มตัวสูงวิ่งหน้าตั้งหาร้านถ่ายรูปโดยมีแฟนเดินดูดไอซ์ช็อคโกมิ้นต์เดินตามหลังมาอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน
“ชานยอลเลี้ยวซ้ายๆ”
ยังดีที่มีตะโกนบอกทางเป็นระยะตอนเห็นว่าเขาจะเลี้ยวผิดหรือวิ่งเลย เรื่องของเรื่องคือคิมจงอินกำลังดัดนิสัยไม่เตรียมพร้อมของเขานี่แหละ ทั้งที่เมื่อคืนอีกคนเตือนแล้วเตือนอีกชานยอลก็ยังเอาแต่เล่นเกม
“ถ้าพรุ่งนี้ลืมจะปล่อยให้วิ่งให้เข็ด”
ใครจะคิดว่าคิมจงอินทำจริงอย่างที่พูด พอค้นกระเป๋าแล้วพบว่าลืมรูป ชานยอลถึงกับหลุดสบถดังลั่นผิดกับแฟนตัวเองซึ่งเอาแต่พูด
ฉันบอกแล้ว ฉันบอกแล้ว
กูก็รู้แล้วว่าลืมไม่รู้ว่าจะตอกย้ำกันทำไมให้หงุดหงิดกว่าเดิม ได้แต่ยืนทำหน้าเซ็งอยู่พักใหญ่ จะให้กลับไปบ้านก็ไม่ทัน ทางเลือกสุดท้ายคือต้องถามคนแถวนั้นแล้วก็มาวิ่งหน้าตั้งอยู่อย่างนี้ แล้วเรื่องตลกร้ายแม่งก็ชอบเกิดตอนที่เรากำลังซวยสุดๆเสียด้วย
‘OPEN 11.00 - 20.00’
เปิดหาพ่อมึงเหรอครับสิบเอ็ดโมงน่ะ ไม่คิดจะตื่นมาทำมาหาเงินบ้างตั้งแต่ยังเช้าบ้างหรือยังไง หงุดหงิดตัวเองก็หงุดหงิด ยังจะต้องมานั่งหงุดหงิดกับทางแก้ปัญหาที่เสือกไม่เอื้ออำนวยกันอีก
“อ้าวว” เสียงร้องของจงอินไม่ได้ช่วยให้ชานยอลมีความคิดดีๆ เริ่มจะหงุดหงิดตัวเองขึ้นมาบ้างแล้วที่ไม่ยอมเช็คของให้ดี
เช้ามาก็แทบจะไม่ตื่นถ้าแฟนไม่ทุ่มหมอนข้างใส่หัวปลุก
จงอินเริ่มรู้สึกผิดนิดหน่อยที่ยังคงยิ้มได้ทั้งที่ชานยอลเครียดจะตายอยู่แล้ว เด็กหนุ่มโยกแก้วไอซ์ช็อคโก้ในมือไปมาสายตาก็มองคนตัวสูงซึ่งยืนนิ่งมองประตูเหล็กของร้านถ่ายรูปไปด้วย ไม่ใช่ว่าจงอินไม่ช่วยชานยอลคิดหาทางแก้นะ เขาคิดออกนานแล้วติดอยู่ที่ชานยอลไม่ถามกันเท่านั้นเอง
ผมที่เซตไว้ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงเพราะเจ้าตัววิ่งมาค่อนข้างไกลกอปรกับฝ่ามือหนาที่เผลอยกขึ้นเสยเป็นระยะด้วยติดนิสัยเคยตัว ทรงผมซึ่งตั้งใจเซ็ตเปิดหน้าผากถึงได้เละเทะอย่างที่เป็นในตอนนนี้ จงอินดึงแขนคนที่กำลังจะหงุดหงิดเต็มขั้นให้หันมาสนใจ ปาร์คชานยอลเวลาขี้หงุดหงิดเป็นอย่างไรตอนนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น
“นายนี่น้า บอกกี่ทีแล้วฉันเป็นแฟนนายก็ต้องพึ่งฉันบ้าง”
ชานยอลขมวดคิ้วแน่น ไม่เข้าใจว่าคิมจงอินต้องการจะสื่ออะไร เขากดต่อสายหาแม่ที่บ้านเป็นระยะแต่ยังไม่มีใครรับ
ตาก็ไม่ละออกจากใบหน้าเปื้อนยิ้มของจงอิน นี่มันจะมากเกินไปแล้วไหม เขากำลังเครีดยังมีหน้ามายืนยิ้มอยู่ได้ คนกำลังจะไม่มีรูปมอบตัวมันเครียดรู้ไหมวะ คิมจงอินนี่...
“เอาไปติดสิ”
มองสิ่งของซึ่งถูกยื่นมาให้สลับกับใบหน้าของแฟน ตาแทบถลนออกจากเบ้า เหมือนกับเจอขุมทรัพย์ขนาดใหญ่ อยู่ตรงหน้า
“คิดแล้วว่านายต้องลืม”
รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก อย่างน้อยชานยอลก็ไม่ต้องเป็นไอ้หน้าดำอย่างที่รุ่นพี่ขู่ ต้องขอบคุณคิมจงอินจริงๆนั่นแหละ พอได้รูปก็หาโต๊ะไม้แถวนั้นแล้วนั่งลงแปะพร้อมกรอกแบบฟอร์มทุกอย่างให้เรียบร้อย ชานยอลจะไม่ด่าไอ้กระเป๋าเป้โดเรม่อนของแฟนอีกแล้วเพราะวันนี้จงอินควานลงไปแล้วหยิบซองรูปที่เขาวางทิ้งไว้บนเตียงออกมาพร้อมกับกาวและปากกา
เป็นไงล่ะแฟนผม
“ถ้านายถามฉันแต่แรกก็ไม่ต้องวิ่งมาอย่างนี้หรอก” จงอินยิ้มกว้าง ดูดน้ำหวานในแก้วอีกอึกใหญ่ก่อนจะพูดต่อ
“แล้วก็ยังน่ารักมากด้วย" พูดแทรกขึ้นมาอย่างรู้ทัน ทั้งที่มือก็ขยับไม่หยุด "ก็ใครจะไปคิดว่าคุณมีรูปผมติดตัวอยู่วะ”
ขอให้ได้เถียงไว้ก่อน ไม่รู้เมื่อไหร่นิสัยนี้จะแก้ได้เหมือนกันเพราะถ้าเป็นกับคนอื่นอาจจะหงุดหงิดชานยอลไปเลยก็ได้
จงอินอิงสะโพกไว้กับขอบโต๊ะด้านข้างชะโงกมองแฟนตัวสูงกรอกข้อมูลส่วนตัวยิกๆวางแก้วน้ำไว้บนเก้าอี้แล้วเอื้อมมือไปหยิบเอกสารแนบขึ้นมาช่วยตรวจอีกครั้ง เหลือเวลาอีกไม่มากก่อนเขาจะเรียกรวมนักศึกษาแต่ละคณะ
“นายลืมเซ็นต์รับรองอันนี้”
ยื่นใบรับรองแพทย์ที่ไปตรวจด้วยกันมาเมื่ออาทิตย์ก่อนให้เซ็นต์ และเมื่อเจ้าตัวกรอกเสร็จเรียบร้อย จงอินก็จัดการเรียงเอกสารให้อีกครั้ง
ชานยอลนั่งควงปากกามองแฟนตัวเองตั้งหน้าตั้งตาเรียงเอกสาร อยู่ดีๆ ก็มีความสุขขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แอบสงสัยตัวเองอยู่นิดหน่อยว่าคงเป็นพวกหลงแฟนหัวปักหัวปำอะไรทำนองนั้น ถ้าวันก่อนเขาไม่งอแงให้คิมจงอินมานอนที่บ้านด้วยเหตุผลโง่เง่าว่าอยากมามหาวิทยาลัยวันแรกพร้อมกัน ตอนนี้เขาก็คงคิดไม่ตกว่าจะแก้ปัญหายังไง
“ไปกันเถอะ อีกยี่สิบนาทีจะถึงเวลาแล้ว” มั่นใจว่าเอกสารเรียบร้อยก็หันมาชวนคนที่นั่งมองไม่ละสายตา
“อะไรเหรอ เกิดอาการหลงแฟนกะทันหันเหรอ”
“ไม่ต้องแล้วมั้ง แฟนหลงตัวเองเป็นงานอดิเรกแล้ว”
“เหรอ” นอกจากชอบพูดว่าตัวเองเป็นแฟนที่ดีแล้วก็น่ารักแล้ว ไอ้คำว่าเหรอยาวๆ พร้อมกับหน้าตากวนประสาทนี่แหละที่ชานยอลคิดว่าคิมจงอินน่าหมั่นไส้มากที่สุด ไม่รู้ไปเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหนกันนักหนา แต่ปล่อยไปเถอะจะได้ไม่รู้ว่าเขาเองก็หลงไม่แพ้กัน
มานั่งคิดอะไรอย่างนี้นี่มันไม่ใช่กูเลยจริงๆ
“เสร็จแล้วก็โทรมา”
“อื้อ นายก็เหมือนกัน”
ชานยอลยืนรอจนเห็นคิมจงอินเลี้ยวมุมตึกเข้าคณะไปแล้ว จึงเริ่มเดินไปคณะตัวเองบ้าง ในหัวคิดแต่เรื่องที่นอนคุยกันมาหลายต่อหลายวัน ความกังวลเพิ่มขึ้นจนเหงื่อออกมากกว่าปกติ เขารู้ว่าตัวเองเข้ากับคนอื่นยากง่ายขนาดไหน และการต้องเริ่มสังคมก็เป็นเองน่ากังวลไม่น้อยว่าจะเข้ากับคนอื่นได้หรือเปล่า แต่ยังไม่ทันจะได้เจอเพื่อนใหม่ เขากับเจอเพื่อนของจงอินเสียก่อน
“อ้าว ไหนจงอินบอกกูว่ามึงกลับประเทศไปแล้วไง ทำไมมาโผล่ที่นี่ได้” ฮวางจื่อเทาเป็นคนสุดท้ายที่เขาคิดว่ามันจะมาโผล่ตรงนี้ พวกเราพูดคุยกันมากขึ้นเพราะเขาโดนกล่าวหาว่าแย่งจงอินมาจากมัน ดังนั้นการออกไปเดทด้วยกันช่วงหลังมานี้ถึงได้มีไอ้นี่กับแฟนพ่วงไปด้วยเสมอ
“ทำไมล่ะครับ หน้าอย่างมึงยังมายืนอยู่ที่นี่ได้เลย”
ชานยอลยืนยันว่าเขาไม่เคยพูดหยาบ ๆ หรือทำอะไรที่ไม่ดีกับคิมจงอินเลยแม้แต่ครั้งเดียว ความสนิทสนมระดับนี้มีได้เฉพาะกับเพื่อนของแฟนเท่านั้น
“แล้วแฟนมึงอ่ะไปไหน” ถามถึงจุนมยอนที่ปกติจะเห็นเดินคู่กันเป็นทางม้าลาย แต่วันนี้กลับไม่มาด้วย อันที่จริงชานยอลก็รู้อยู่แล้วนั่นแหละ แค่หมั่นไส้อยากหาเรื่องกวนตีนคนก็เท่านั้น
“เขาติดที่อื่น เดี๋ยวก่อนนะ…” จื่อเทาขมวดคิ้วหันมองหน้าปาร์คชานยอลชัดๆ รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมันแปลกๆ “จงอินไม่ได้เล่าไปแล้วเหรอ คราวที่แล้วมึงยังแสดงความยินดีกับจุนมยอนอยู่เลย”
“อ้าวเหรอวะ…” ตอบคำถามพาซื่อแต่หน้าตาไม่ได้บ่งบอกว่าตัวเองไม่รู้อย่างที่พูด จื่อเทาเซ็งมากกับไอ้หน้าตากวนส้นตีนของปาร์คชานยอล
“เหอะ กูไม่น่าฟันธงว่ามึงกับจงอินจะได้กันเลยจริงๆ” ส่ายหน้าด้วยความระอาแล้วนึกโทษชะตากรรมที่ต้องมาต่อแถวยาวเหยียดแล้วมีไอ้เวรนี่ยืนต่อหลัง
ไม่ใช่ว่าไม่ชอบขี้หน้า แต่ก็แอบหวงกับห่วงเพื่อนอยู่นิดๆ
ปาร์คชานยอลกะล่อนจนใครดูออก คบกันมาได้สามสี่เดือนนี่ก็ถือว่าแปลกใหม่แล้ว
“ยังไม่ได้กันนะ กูสุภาพบุรุษพอ”
“อ๋อ ที่ไว้ขนรักแร้ก็เพราะอยากโชว์ว่าตัวเองแมนมากสินะ”
ชานยอลถึงกับหายใจสะดุดเมื่ออีกฝ่ายยกเรื่องน่าอับอายของตัวเองขึ้นมาพูด
มันจะไม่ใช่อะไรเลยถ้าเมื่อหลายเดือนก่อนพวกเขาไปซื้อเสื้อบาสด้วยกันแล้วคิมจงอินดันบ่นขึ้นมากลางห้าง
“ขนรักแร้เยอะมันตลกนะชานยอล
ถ้าไม่ใส่เสื้อยืดทับข้างใน นายก็ควรจะโกนมันออกไปบ้าง”
เกิดมาในชีวิตไม่เคยมีใครมาพูดอย่างนี้ใส่ บอกตรงๆ
เลยว่าความมั่นใจมันลดฮวบ
ชานยอลถึงกับเดินไปซื้อมีดโกนหนวดท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของแฟนและเพื่อนแฟน
ไม่รู้ว่าตลกอะไรนักหนา แต่พอถึงตอนจะจ่ายเงินก็โดนขวางไว้ก่อน
รู้ตัวว่าโดนแกล้งก็ตอนนั้นแหละ
ถึงจะมีเรื่องให้น่าหงุดหงิดน่าปวดหัวเกือบจะตลอดเวลา
แต่ชานยอลกลับรู้สึกว่ามันไม่เคยมีคำว่าน่าเบื่อเลยสักนิด
ในเมื่อทุกครั้งเราทั้งคู่ต่างก็มีเสียงหัวเราะให้กันและกันเสมอ
“เอาน่า มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรอกเพื่อน
แค่แฟนให้ไปโกนขนรักแร้แค่นั้นเอง”
แม่งเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีเพราะมีคนอย่างฮวางจื่อเทานี่แหละคอยเสี้ยม!
ชานยอลรู้สึกหงุดหงิดเหมือนจะพังโลกได้ก็ตอนที่เขาต่อคิวมาเกือบสองชั่วโมงเพื่อยื่นเอกสารทุกอย่างเสร็จภายในไม่ถึงเวลาห้านาที
ไม่รู้ว่าจะนัดมาทำไมตั้งแต่แปดโมงแล้วก็ให้นั่งรอ รอ รอ และรอ
ยิ่งนอนไม่พอก็ยิ่งหงุดหงิดจนอยากจะหักคอเจ้าหน้าที่ที่ส่งตาหวานมาให้จนหมดจะกัด ความสวยไม่ได้ทำให้ความหงุดหงิดหายไปครับบอกเลย
น่ารำคาญขึ้นไปเจ้าตัวเมื่อเธอเอาแต่ส่งยิ้มมาให้โดยไม่ยอมจัดการเอกสารของเขาให้เรียบร้อยสักที
“ยืนทำหน้าหงิกอย่างนี้สาวหายหมด”
“ช่างหัวแม่งเหอะ กูอยากนอนแล้ว”
“อ้าวว มึงอยากนอนแล้วเหรอชานยอล”
นี่ก็เผลอเป็นไม่ได้ต้องรอจังหวะเหยียบซ้ำตลอด ชานยอลเหล่มองแฟนที่เพิ่งเดินมาถึงพร้อมน้ำหวานแก้วใหม่ในมือแล้วจัดการล็อคคอมากดหัวแรงสักทีให้หายหมั่นเขี้ยว
“กินอีกแล้วเหรอ ช่วงนี้คุณติดน้ำหวานไปป่ะวะ”
“ต้องใช้สมองเยอะ กินน้ำหวานให้พลังงานกับสมองนะ”
"มันเกี่ยวอะไรกันวะ"
"คนชอบใช้กำลังอย่างนายไม่เข้าใจหรอก" เดี๋ยวนะ... "ล้อเล่นน่า ก็มันอร่อย" ให้มันได้อย่างนี้เถอะ ขอให้ได้หลอกด่าให้ได้แกล้งกันไว้ก่อน ความสุขคุณเขาล่ะ แต่มันก็คงอร่อยจริงอย่างที่ว่าเพราะคิมจงอินเอาแต่ซื้อเจ้านี่กินทุกครั้งที่หิวน้ำ ชานยอลไม่เข้าใจนิยามคำว่าอร่อยเท่าไหร่ แต่สำหรับเขาไอ้ช็อคโก้มิ้นต์มันไม่ได้ใกล้เคียงคำนั้นเลยจริงๆ
“กลับบ้านเลยหรือเปล่า อยากแวะกินอะไรก่อนมั้ย”
“กิน ผมหิวว่ะคุณ ไปหาอะไรกินก่อนเข้าบ้านก็ได้”
“บะหมี่ลุงแล้วกัน”
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ชานยอลรู้สึกว่าตัวเองโชคดี
เขาอาจจะชอบเที่ยวหรือกินในห้างบ่อย
แต่กับคิมจงอินพวกเขาไปเดทกันอย่างหรูที่สุดก็เคเอฟซี
ซึ่งมันกลายเป็นอาหารสิ้นคิดที่สุดเพราะไม่รู้จะกินอะไรตอนไปหาหนังสืออ่านเล่นคร่าเวลาช่วงปิดเทอม
นอกเหนือจากนั้นพวกเขาก็ชอบเสิชหาร้านอาหารแนะนำแล้วพากันไปกินในช่วงระหว่างสัปดาห์
ร้านบะหมี่ลุงก็ยังคงเป็นร้านเล็กๆ
ติดสี่แยกที่พวกเขาต้องผ่านตอนกลับบ้าน วันนี้โต๊ะเหล็กถูกกางออกเรียงหน้าร้านคงเพราะคนแน่นตั้งแต่หัววัน
ชานยอลเลือกนั่งลงกับโต๊ะด้านนอกแล้วปล่อยให้คิมจงอินเดินไปทักทายและสั่งอาหารลุงอย่างคุ้นเคย
ไม่รู้ว่าไปตีสนิทกันมาตั้งแต่ตอนไหน
ขนาดเขามากินบ่อยกว่ายังไม่สนิทขนาดได้เส้นเพิ่มสองเท่าอย่างอีกคนเลย
เสียงโหวกเหวกโวยวายสั่งก๋วยเตี๋ยวเป็นเรื่องปกติแต่คนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ชานยอลเนี่ยแหละ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนหงุดหงิดจากการต้องตื่นเช้าไปรออะไรนานๆ เพื่อจัดการมันแค่แป๊บเดียวเขาคงไม่มีอารมณ์มานั่งร้อนเหงื่อแตกพลั่กอยู่หรอก
แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเขากำลังนั่งยิ้มมองคิมจงอินเล่าเรื่องเพื่อนในคณะให้ฟังด้วยสีหน้าตื่นเต้น
เข้าหูบ้างไม่เข้าหูบ้าง จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเพื่อนคนแรกที่พูดถึงชื่ออะไร
เพราะเอาแต่มองว่าแฟนตัวเองยิ้มแล้วน่ารักขนาดไหน นาทีนี้อากาศร้อนๆ
หรือเสื้อเชิ้ตที่ฟิตตัวก็ไม่ทำให้หงุดหงิดได้จริงๆ
การเริ่มต้นสังคมใหม่
ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน แต่ชานยอลก็ไม่ได้รู้สึกยากเย็นอย่างที่ควร
อย่างน้อยก็มีฮวางจื่อเทาร่วมเผชิญชะตากรรมนี้ด้วยกัน
ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดี..ล่ะมั้ง
“มึงว่าไอ้นั่นเป็นพี่เนียนป่ะวะ”
“ช่างหัวแม่งเหอะ”
ชานยอลตอบปัดอย่างขอไปที
นี่ก็รอบที่สิบที่ฮวางจื่อเทาเอาแต่สะกิดแขนแล้วถามว่าคนนั้นคนนี้เป็นพี่เนียนหรือเปล่า
จะใช่หรือไม่ใช่เขาก็ไม่ได้สนใจหรอก
ตอนแรกก็น่าสนใจกับกิจกรรมต้อนรับน้องใหม่นี่อยู่หรอกแต่พอผ่านไปครึ่งวันก็ชักเริ่มเบื่อ
เพราะนอกจากจะเต้นเป็นบ้าเป็นหลัง ชานยอลก็ไม่เห็นว่าเขาจะได้อะไรอีกเลย
อีกเรื่องคือคิมจงอินหายจ้อยไปกับกิจกรรมรับน้องของคณะตัวเอง
ระหว่างไม่มีแวะเวียนมาคุยอย่างเคย ตั้งแต่เช้าจนถึงพักเที่ยงเครื่องสื่อสารของชานยอลเงียบกริบ
มีแค่แจ้งเตือนว่ายังไม่จ่ายค่าโทรศัพท์เข้ามาเท่านั้น อาจจะเป็นเพราะอย่างนี้ด้วยเขาถึงได้หงุดหงิดและไม่สนุกอย่างที่ควรจะเป็น
ไลน์
ยังไม่ทันจะเริ่มด่าก็เหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกได้ ถามว่าทำไมถึงรู้ก็เพราะว่าวันวันหนึ่งมีไม่กี่คนที่อยากจะติดต่อกับเขา
เธอ : นายเลิกกี่โมง ฉันเลิกแล้ว 14:30
กัปตันปาร์ค : ยัง มานั่งรอแถวโรงอาหารก่อนก็ได้ 14.30
เธอ : ฉันอยู่ร้านนมกับเพื่อน เลิกแล้วโทรมานะ 14:31
ชานยอลไม่ได้ตอบ
เขายัดโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงแล้วปล่อยให้ความหงุดหงิดทำงานของมันเอง
จะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่อีกฝ่ายหายไปกับเพื่อนโดยไม่ยอมบอกกล่าวก็ไม่ใช่
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องอีกนั่นแหละที่จะเอามาหงุดหงิด ตั้งแต่วันปฐมนิเทศเมื่อเดือนที่แล้ว
คิมจงอินก็ดูจะมีเพื่อนเพิ่มขึ้นหลายคนทั้งผู้หญิงผู้ชาย
แล้วก็ไม่รู้ว่าไปสนิทสนมกันมาตั้งแต่ชาติไหน เพราะมันดันเลือกอยู่หอกับคนอื่นแทนที่จะเป็นแฟนอย่างเขา
ซึ่งเรื่องนี้น่าหงุดหงิดกว่าอะไรทั้งหมด
คิมจงอินให้เหตุผลสั่วๆกับเขาว่าในระยะยาวมันอาจจะต้องทำงานดึก
กลับห้องไม่เป็นเวลา ของเยอะ แล้วอีกสารพัดสารเพที่มันจะนึกออกมาเป็นข้ออ้าง
ใช่..ชานยอลมองว่าทั้งหมดนั่นเป็นข้ออ้าง ถึงจะมีเสียงออกมาจากด้านมืดว่าคิมจงอินก็เป็นของมันอย่างนี้
คิดไกลมองไกลอยู่เสมอ แต่ก็ไม่สามารถเอามาหักลบความไม่พอใจของชานยอลได้อยู่ดี
ช่างแม่งไปก่อนก็ได้วะ ค่อยไปคุยกันทีหลัง
ปาร์คชานยอลปิดประตูห้องเสียงดังจนแม่และพี่สาวซึ่งนั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นถึงกับทำหน้าไม่ถูก
ไม่บ่อยนักที่ลูกชายคนเล็กของบ้านจะแสดงอาการไม่พอใจชัดเจนอย่างนี้
สาเหตุที่คาดเดาได้ก็คงไม่พ้นคิมจงอิน เพราะตั้งแต่เมื่อช่วงปีที่แล้วปาร์คยูราก็เห็นว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมีอิทธิพลกับน้องชายตัวเองขนาดไหน
“คงทะเลาะกับจงอินมาล่ะมั้งคะ”
“ลูกคนนี้ก็ใจร้อนเหลือเกิน เพื่อนทำอะไรผิดใจเข้านิดหน่อยก็อารมณ์เสียซะได้”
ยูรายิ้มรับ เธอไม่ได้บอกแม่เรื่องความสัมพันธ์ของเด็กหนุ่มทั้งสองคน
ถึงชานยอลจะไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่น้องชายขี้โมโหของเธอกลับแสดงความต่างชั้นอย่างเห็นได้ชัดระหว่างคำว่าเพื่อนกับคนพิเศษ
อย่างน้อยๆ เธอก็ไม่เคยเห็นชานยอลคุยโทรศัพท์กับลู่หานหรือแบคฮยอนจนดึกดื่นเหมือนที่คุยกับจงอิน
หรือบางทีก็แอบไปเห็นเจ้าเด็กตัวสูงบ่นรัวไม่หยุดแค่เพียงเพราะว่าอีกคนไม่ยอมรับโทรศัพท์
ตอนนั้นก็แค่คิดแซวเล่นๆ ว่าเจ้าเด็กบ้านี่ชอบเขา แต่ทำไปทำมามันดันชอบของมันจริงๆ แถมยังดูเหมือนรักเขามากเสียด้วย เธอขอตัวแม่ขึ้นไปตามชานยอลลงมากินข้าวหลังจากเหตุการณ์มึนตึงผ่านไปเมื่อเย็น เสียงเกมดังลั่นทะลุประตูห้องทำเอายูราอดจะยิ้มกับตัวเองไม่ได้
คงจะเล่นเกมระบายอารมณ์อยู่สินะ
ก็เป็นอย่างนี้มันซะทุกครั้ง
ยูราไม่ใช่คนที่จะอยากรู้ทุกเรื่องแต่เลือกแสดงว่ารู้เฉพาะเรื่องที่เจ้าตัวต้องการ
นอกเหนือจากนั้นก็ไม่คิดจะเอ่ยปากถาม ได้แต่ลอบสังเกตอยู่เป็นระยะ
และหมู่นี้ก็มักจะมีเสียงสบถหรือเสียงอะไรต่อมิอะไรที่เธอไม่เข้าใจลอดออกมาจากห้องของปาร์คชานยอลบ่อยๆ
ปึง ปึง ปึง
รอไม่นานเจ้าน้องชายตัวดีก็เดินมากระชากประตูห้องพร้อมใบหน้าปูดบึ้ง
ยูราเพียงแค่เบียดตัวเองเข้าไปในห้องแล้วหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงรกๆ
อย่างไม่สนใจว่าชานยอลจะมีสีหน้าอย่างไร
“พี่จะเข้าห้องผู้ชายอายุยี่สิบเอ็ดหน้าตาเฉยอย่างนี้ไม่ได้หรอกนะ”
“ฉันเข้าได้แน่ โถถถ ผู้ชายอายุยี่สิบเอ็ดที่ฉันเห็นไอ้นั่นของแกตั้งแต่เกิดน่ะเหรอ”
เห็นหน้าเซ็งของน้องชายแล้วก็ต้องหลุดขำ
ชานยอลไม่เคยเถียงเธอชนะเลยสักครั้ง
เอาเข้าจริงเจ้าเด็กนี่ก็ไม่ค่อยมีปากเสียงกับคนในบ้านเท่าไหร่หรอก
ออกจะเป็นเด็กดี ถึงจะชอบมีทะเลาะกันบ้าง
แต่พ่อกับแม่มักพูดเสมอว่ามันเป็นเรื่องราวระหว่างพี่น้อง
ชานยอลเดินกลับไปนั่งบนโต๊ะญี่ปุ่นเตรียมจะลงดันเจี้ยนต่อไป
โดยไม่คิดจะถามพี่สาวว่ามีเรื่องอะไรถึงเข้ามาในอาณาจักรส่วนตัวกันอย่างนี้
ปกติแล้วปาร์คยูรามักบ่นเสมอว่าอาณาจักรของชานยอลเหมือนที่เก็บรวบรวมเศษขยะจากทุกที่ในบ้าน
ไม่ค่อยอยากจะเข้ามาเพราะมันรกจนหาที่ทางเดินไม่ได้
“งอนจงอินมาอีกแล้วเหรอ”
นิ้วที่กำลังกดสกิลถึงกับพลาดไปกดอัพเลือด
ชานยอลสบถเสียงดังลั่นแล้วจัดการคลิกเม้าส์พุ่งเข้าใส่ไอ้ตัวประหลาดในจออย่างบ้าคลั่ง
ยูรากลั้นขำจนปวดแก้มมองน้องชายฆ่ามอนสเตอร์ในเกมมจนเสร็จเรียบร้อยแล้วหันมาประจันหน้ากับเธอ
“แทงใจดำนิดหน่อย ต้องฆ่าสัตว์ตายเป็นเบือเลยเหรอ”
“ผมไม่ฆ่าพี่ก็แล้วกัน”
“โถถถถถ ปาร์คชานยอลหนอ ปาร์คชานยอล คราวนี้งอนอะไรเพื่อนมาอีกล่ะ”
จงใจเน้นคำว่าเพื่อนแล้วก็ได้สีหน้าเซ็งๆ
ของน้องชายกลับมาเป็นของรางวัล
เธอหัวเราะอย่างมีความสุขแล้วโบกมือไปมาในอากาศเมื่อเห็นว่าชานยอลไม่ได้สนุกไปกับเธอ
“แกไปงอนอะไรเขาอีกหืม”
“พี่พูดอย่างกับว่าผมงอนมันบ่อยอย่างนั้นแหละ”
“น้อยกว่าที่เขาง้อแกอันนั้นฉันมั่นใจ”
เพิ่งรู้ตัวว่าศัตรูที่น่ากลัวมากที่สุดในชีวิตของตัวเองคือปาร์คยูราก็วันนี้
พี่สาวของเขาจี้ใจดำได้ทุกจุดชนิดที่ถ้าไม่ได้เป็นพี่เป็นน้องกันมาก่อน
ชานยอลต้องคิดว่าเธอเกลียดเขาอย่างแน่นอน แต่จะให้เถียงก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปแก้ต่างในเมื่อที่พี่สาวพูดมาก็ถูกทั้งหมด
ชานยอลกลายเป็นผู้ชายขี้งอนมากขึ้นเท่าตัว เมื่ออีกฝ่ายคือคิมจงอิน
ที่เคยได้ยินว่าอีกคนไม่ค่อยสนใจใครเพิ่งจะเข้าใจจริงๆ ก็วันนี้ ตั้งแต่เปิดเทอมมาสองเดือน
ปาร์คชานยอลเจอหน้าแฟนตัวเองนับครั้งได้
อย่างวันนี้พวกเขานัดกันไปกินข้าวตอนเย็นแต่อีกคนกลับโทรมาบอกว่าขอเลื่อนไปก่อนเพราะที่คณะมีกิจกรรมอะไรของมันสักอย่างก็ไม่รู้
กิจกรรมห่าเหวอะไรเยอะแยะ
อยากจะตะโกนกลับไปอย่างนั้นแต่คิมจงอินก็รีบขอตัววางสาย
ได้ยินเสียงลอดเข้ามาว่าเขาเรียกรวมแล้วสายก็ตัดไปเลย
ชานยอลได้แต่ยืนเคว้งอยู่หน้าคณะมองเพื่อนที่ทยอยเดินไปเข้ากลุ่ม คณะตัวเองก็มีเรียกรวมอย่างนี้เหมือนกัน
แต่เพราะเราไม่ได้เจอกันมาสองอาทิตย์แล้วเขาถึงได้เลือกโดดแล้วออกไปเจอแฟน
แต่แฟนแม่ง...
“เพิ่งรู้นะเนี่ย ว่าแกงี่เง่าไอ้ระดับสาวน้อยขนาดนี้ปาร์คชานยอล”
แรกๆ ก็ยอมรับว่าตัวเองงี่เง่า
แต่พักหลังมานี้เริ่มตั้งคำถามแล้วที่งี่เง่านี่มันเพราะอะไร อย่าว่าแต่เจอหน้าเลย
คุยโทรศัพท์ยังแทบจะนับคำได้
ตั้งแต่คิมจงอินย้ายไปอยู่หอก็ดูเหมือนว่าเวลาสำหรับปาร์คชานยอลจะถูกย้ายเก็บลงหีบไปด้วยเหมือนกัน
จากตอนแรกตกลงกันไว้ว่าจะมากินข้าวกลางวันก็ไม่มา
เจอหน้ากันตอนเย็นก่อนแยกย้ายก็ไม่ได้เจอ คุยกันก่อนนอนก็ไม่ได้คุย
จะส่งไลน์มาบอกหรือแค่สติ๊กเกอร์โง่เง่าสักตัวก็ยังไม่มี
นี่มันเรื่องราวห่าเหวอะไรกันเหรอ
ชานยอลถามตัวเองเป็นสิบรอบว่ามันจุดที่เขาจะโวยวายได้แล้วหรือยัง
แต่สุดท้ายทุกอย่างก็หายวับไปเพียงแค่คิมจงอินโทรมาบ่นเสียงอ่อนว่าเหนื่อยแค่ไหนกับการเรียนและทำกิจกรรมไปพร้อมกัน
“ผมไม่รู้ว่าควรจะจัดการเรื่องนี้ยังไงว่ะพี่”
ตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลาย ชานยอลก็เลิกปรึกษาวิธีจัดการชีวิตกับคนอื่น
แต่ครั้งนี้มันมืดจนหาทางไม่ออก แค่ช่วงเวลาเกือบปีที่มีคิมจงอินเข้ามา
ชานยอลก็เหมือนได้คำแนะนำดีๆ มาโดยตลอด พอต้องคิดอะไรเองคนเดียวถึงกับลืมไปแล้วว่าเมื่อก่อนเป็นยังไง
“ได้บอกเขาบ้างหรือเปล่า ว่าแกเองก็รู้สึกไม่ดี”
“ยังคิดหาคำพูดดีๆ ไม่ออก”
ปาร์คชานยอลโตขึ้นมากจนยูราอดดีใจไม่ได้
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้าเด็กบ้านี่รู้จักใส่ใจความรู้สึกคนอื่น
ที่ไม่ยอมพูดออกไปก็คงเพราะรู้ว่าอีกคนคงรู้สึกไม่ดีที่เผลอทำให้แฟนตัวเองรู้สึกแย่
แต่ก็นะ..
“เรื่องบางอย่างเก็บไว้คนเดียวมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น อย่างน้อยแกก็ควรจะบอกเขา
เรื่องไหนที่แกพอใจ ไม่พอใจ เรื่องไหนที่แกต้องการจากเขา ทีด่าคนเป็นวันๆ
แกยังด่าได้ แค่พูดความรู้สึกตัวเองออกมาคงไม่ยากหรอกมั้ง”
นั่นแหละเรื่องยาก
ชานยอลก็เพิ่งรู้ตัวเหมือนกันว่ามันยาก ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากบอก
แต่เพราะบอกแล้วไม่รู้ว่าในหัวกลมๆของคิมจงอินจะคิดอะไรอยู่ ช่วงเวลาที่ผ่านมาสอนชานยอลว่าคิมจงอินเป็นประเภทที่คิดแล้วก็ทำ
คิดว่ามันดีแล้วก็ทำ ซึ่งมันก็เป็นข้อดี แต่บางครั้งมันก็แย่ได้เหมือนกัน
ถ้าพวกเราไม่ใช่แฟนกันสาบานเถอะมันจะทำอะไรก็เรื่องของมัน แต่นี่เพราะเราเป็นแฟนกัน
อะไรที่มันกำลังคิดจะทำ หรือกำลังทำชานยอลก็อยากให้มันบอกเขาบ้าง
อย่างน้อยพวกเราก็จะได้เข้าใจกันมากขึ้น
#ฟิควงกลมชานไค
เดินไปต้มน้ำ ฉีกมาม่าต้มยำกุ้งน้ำข้นใส่ถ้วยรอน้ำเดือด
เรื่องราวธรรมดาๆ ของนายปาร์คชานยอลกับคุณคิมจงอินกำลังจะเริ่มอย่างจริงจังในช่วงต่อจากนี้แล้วเน้อะ เอาใจช่วยเขากันหน่อยแล้วกันนะคะ เราเปลี่ยนเพื่อนสนิทของจงอินจากเซฮุนเป็นจุนมยอนน้า มันจะได้สอดคล้องกับเรื่องราวต่อจากนี้ และในเรื่องต่อๆไปค่า ขอโทษด้วยน้าที่ผิดพลาด TT เศร้าแรง พลาดอย่างไม่น่าให้อภัย
เอาล่ะ.. ตอนนี้เปิดจองฟิคอยู่นะคะ~~~~ รายละเอียดอยู่ในลิ้งค์นี้เลยค่า
LINK : https://goo.gl/forms/HZiaRg1EvB
เราเปิดจอง+โอนสองเดือนน้า ได้ช่วงงานฟิคพอดี ใครที่ไม่ได้สั่งจองก็ไปซื้อที่งานฟิคได้น้า
ขอบคุณทุกๆคนมากเลยนะคะที่ติดตาม และคอมเม้นต์น้า เราดีใจที่ยังเห็นคุณๆ อ่านฟิคกันอยู่ ไม่ว่างไม่เป็นไรแต่แว้บมาอ่านตอนเหงาๆ ก็ได้เน้อะ อีกอย่าง วงกลมอันนี้มีเรื่องต่อแล้วน้า เป็น Geometry Series ค่า เรื่องต่อไปจะเป็นอะไรฝากติดตามด้วยน้า เดี๋ยวลงเรื่องนี้จนถึงตอนที่ 20 ก่อนแล้วจะมาบอกกก ขอบคุณทุกๆคนจริงๆนะคะ
เอาล่ะ วันนี้ไปก่อนน้า
ความคิดเห็น