ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ✖ (exo) : Geometry series : Circle | #ฟิควงกลมชานไค CHANKAI FT. EXO

    ลำดับตอนที่ #16 : CHAPTER 15

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.พ. 59


    TITLE : CYCLE

    Pairing : Chanyeol X Kai

    "เราสองคนไม่เคยมีอะไรเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นเราถึงต้องค่อยๆเรียนรู้กันไป"


    CHAPTER 15

    ชานยอลวิ่งจนสุดฝีเท้าแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ดีว่าตัวเองสายมาเกือบจะยี่สิบนาทีแล้ว คิมจงอินยืนกอดตัวเองยืนอยู่ตรงหัวมุมถนนที่พวกเขาเจอกันทุกวัน ถึงจะแต่งตัวมิดชิดขนาดไหนแต่อากาศหนาวในตอนนี้ก็ดูจะเลวร้ายเกินกว่าจะยืนรอนอกบ้าน แล้วคนอย่างคิมจงอินไม่ต้องถามเขาก็รู้ว่ามันยืนรอนานขนาดไหน

    “กูขอโทษ!” เด็กหนุ่มตัวสูงย่อต่อเท้าแขนกับเข่า อากาศเย็นเฉียบทำให้ลมหายใจกลายเป็นควัน แค่ปล่อยให้มันยืนรอก็รู้สึกผิดจะแย่อยู่แล้ว ยิ่งเห็นมันกำฮ็อทแพคแน่นชานยอลยิ่งรู้สึกแย่มากขึ้นไปอีก

    “ไม่เป็นไร”

    ชานยอลยืดตัวขึ้นถอดผ้าพันคอของตัวเองออกแล้วคว้ามือของอีกคนก่อนจะพันผ้าทับลงไปจนกลายเป็นว่าตอนนี้มือของจงอินเหมือนใส่นวมอยู่ยังไงยังงั้น

    “นายคงไม่คิดว่าเราจะไปเที่ยวกันทั้งที่มือฉันเป็นอย่างนี้ใช่ไหม” จงอินถามทั้งที่ยังมองก้อนซึ่งพันมืออยู่ด้วยรอยยิ้ม อาจจะเพราะอ่านหนังสือมากไปความคิดชั่ววูบหนึ่งถึงคิดว่าจะยอมไปเที่ยวกันทั้งอย่างนี้ ขอแค่ปาร์คชานยอลบอกมา

    วันหยุดอย่างนี้เขาควรขลุกอยู่กับกองหนังสือท่วมหัว แต่เพราะคำพูดเมื่อคืนของปาร์คชานยอลที่บอกให้เขาออกมาพักผ่อนบ้าง ประโยคดุดันแฝงไปด้วยความห่วงใยทำให้เขายอมปล่อยได้ตัวเองได้พักผ่อนจริงๆสักวัน

    “พันไว้จนกว่ามึงจะหายหนาวนั่นแหละ”

    นั่นไง...คุณกัปตันเขาเอาจริงอย่างที่คิดไว้เลย

    พวกเขาเริ่มเดินไปยังป้ายรถเมล์ใกล้ๆ ผู้คนแถวนั้นลอบมองจงอินเป็นระยะ มันไม่แปลกหรอกเพราะทุกคนคงแปลกใจว่าทำไมเขาถึงมีผ้าพันมืออยู่อย่างนี้ ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่คิดว่าปาร์คชานยอลลักพาตัวเขามา

    ทันทีที่ขึ้นมาบนรถประจำทางได้หูฟังข้างหนึ่งก็ถูกยึดไปโดยกัปตันปาร์ค จงอินมองค้อนนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร ออกจะอายเสียด้วยซ้ำเพราะเพลงที่กำลังเล่นอยู่ตอนนี้มันเป็นเพลงที่เขาขอร้องให้อีกคนอัดมาให้

    อากาศด้านในรถอุ่นขึ้นจนจงอินรู้สึกว่ามือเขาเริ่มเหงื่อออกถึงได้ยื่นแขนออกไปให้อีกคนเอาผ้าพันคอคืนไป แต่ดูเหมือนว่าเขากำลังโดนปาร์คชานยอลแกล้งเสียแล้วล่ะ เพราะเด็กหนุ่มกลับเมินเฉย แถมยังมีการผิวปากเลิกคิ้วมองกันอีกด้วย

    “เอาออกให้หน่อย”

    “พูดเพราะๆ กับกูสิ”

    ได้ทีก็แกล้งใหญ่ คงคิดว่าจงอินเอาออกไม่ได้เลยเล่นตัวสินะ หึ...ปาร์คชานยอลรู้จักกันน้อยเกินไปแล้ว

    “ขอโทษนะครับ พี่ช่วยเอาอันนี้ออกให้ผมหน่อยได้ไหม” เด็กหนุ่มตัวสูงเบิกตากว้าง ตกใจที่อยู่ๆ คิมจงอินก็หันไปหาผู้หญิงซึ่งยืนเบียดอยู่ข้างกัน น้ำเสียงนุ่มเอ่ยร้องขอให้เธอช่วยเอาผ้าพันในมือออก เธอเกือบจะตกลงอยู่แล้วถ้าไม่ติดที่ว่าปาร์คชานยอลยื่นมือมากระชากมันออกไปเองซะก่อน

    “ถ้านายทำให้ฉันแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว” จงอินเช็ดเหงื่อกับกางเกงยีนส์ก่อนจะเงยหน้ามองคนตัวสูงที่ยืนหน้าบูดพาดผ้าพันคอไว้กับไหล่

    “ใครจะไปคิดว่ามึงจะกล้าขอให้คนไม่รู้จักช่วยวะ” เออ ชานยอลคิดอย่างนั้นแหละ “ก็แค่พูดกับกูเพราะๆ มันจะตายหรือไงกันล่ะ”

    “เปล่า แต่นายอยากแกล้งฉัน ฉันเลยไม่ยอมโดนนายแกล้งไง”

    ทีเรื่องอย่างนี้ล่ะฉลาดเป็นกรด!!

    ชานยอลล็อคคอเด็กหนุ่มตัวผอมไว้แล้วขยี้กำปั้นลงไปเต็มแรงจนจงอินร้องลั่น ผู้คนรอบข้างเริ่มขยับถอยตัวออกห่างเพราะกลัวการทะเลาะวิวาท รวมถึงคนขับที่มองผ่านกระจกหลังมาทางพวกเขาด้วยสายตาตำหนิ

    พวกเขาโค้งหัวแล้วยิ้มแห้งเพื่อเป็นการขอโทษคนโดยรอบ จงอินถองศอกใส่คนเล่นไม่รู้เรื่องไปหนึ่งที จากนั้นการเดินทางไปเมียงดังก็มีเพียงแค่เสียงเพลงจากหูฟังที่พวกเขาแบ่งกันจนถึงที่หมาย

    เพราะอากาศหนาวทำให้วันนี้ผู้คนค่อนข้างบางตา ร้านรวงซึ่งเคยเปิดเต็มกลับปิดเสียส่วนใหญ่ จงอินเสียดายนิดที่ร้านการ์ตูนเจ้าประจำของเขาก็ไม่เปิดด้วยเช่นกัน สุดท้ายพวกเขาก็เลือกร้านคอฟฟี่ช็อปเล็กๆ แทนการเดินเล่นท่ามกลางอากาศย่ำแย่อย่างนี้

    “นายคิดไว้หรือยังว่าอยากเรียนอะไรต่อ” จงอินถามขึ้นขณะยกแก้วโกโก้ร้อนขึ้นจิบ ในขณะที่ปาร์คชานยอลยังคงบ้าพลังด้วยการกินไอซ์ช็อคโก้ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังหายใจจนควันออกมาปาก

    “กูยังคิดไม่ออกเลย มึงจะเรียนสถาปัตย์ฯต่อเหรอ”

    “อื้อ ฉันชอบมันที่สุดแล้วล่ะ”

    ชานยอลลอบมองคนที่พูดถึงเรื่องวาดภาพหรืออะไรที่เกี่ยวกับงานศิลปะก็จะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ คิมจงอินเป็นอย่างนี้ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกันจนกระทั่งถึงตอนนี้ อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปมาก แต่หลายอย่างก็ยังเหมือนเดิม รวมทั้งรอยยิ้มนั่นด้วย

    พอเห็นคนมีความฝันอยู่ตรงหน้าชานยอลก็เริ่มหันกลับมามองตัวเอง เขาหาคำตอบให้ตัวเองมาตั้งแต่อาจารย์ที่ปรึกษาเรียกไปคุยเรื่องเรียนต่อเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ชานยอลตอบไม่ได้ว่าตัวเองอยากทำอะไรในอนาคต เขาหาคำตอบไม่เจอว่าอะไรที่เขาจะต้องเลือกในตอนและใช้เวลาอีกครึ่งค่อนชีวิตที่เหลืออยู่กับมัน

    “ถ้านายคิดไม่ออกว่าอยากเรียนอะไร ก็ลองถามตัวเองดูใหม่ ว่ามีอะไรบ้างที่นายทำได้ดี” เสียงของคนที่นั่งตรงข้ามดึงชานยอลออกมาจากความคิดของตัวเอง เขาเงยหน้ามองจงอินซึ่งกำลังยกเครื่องดื่มร้อนของตัวเองขึ้นจิบและสบตาเขาไปด้วย “ไม่นับเรื่องที่นายด่าคนได้ทั้งวันนะ”

    เกือบจะดีอยู่แล้วเชียว.. ชานยอลสำลักไอซ์ช็อคโก้จนรู้สึกว่าหน้าอกของตัวเองเย็นวาบ แต่สุดท้ายเขาก็มีรอยยิ้มเหมือนเดิม เพราะประโยคปลอบใจในสไตล์ของคิมจงอินนั่นแหละ

    “กูชอบเล่นบาส” ชานยอลมองแก้วไอซ์ช็อคโก้ของตัวเองที่เริ่มละลาย “เคยฝันว่าอยากเล่นอาชีพหรือไม่ก็ติดทีมชาติ แต่ก็นะ...”

    “ถ้าอย่างนั้นก็เล่นสิ”

    ประโยคของคิมจงอินดึงเขาออกจากความคิดในหัวอีกครั้ง ชานยอลมองคนที่พูดว่าไม่ชอบกีฬาใช้กำลังกลับบอกให้เขาไปเล่นกีฬาแทนที่จะมาสนใจเรื่องเรียนต่ออย่างที่วัยรุ่นคนอื่นกำลังทำกัน

    “บอกตรงๆว่ะ ตอนนี้มันสายไปแล้ว”

    “มันไม่สายไปหรอก จนกว่านายจะวิ่งไล่ลูกบาสไม่ไหว นั่นแหละถึงเรียกว่าสายไป แล้วพอถึงตอนนั้น นายก็จะเอาแต่คิดว่าถ้าได้ทำอยู่จะมีความสุขแค่ไหนกันนะ”

    คำพูดของคิมจงอินเป็นเรื่องจริง ทุกอย่างเกิดขึ้นในความคิดของชานยอลมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ยังไม่สามารถหาวิธีแก้ไขปัญหานี้ของตัวเองได้...ไม่สิ เขารู้ว่าควรทำยังไง แต่ไม่มีความมั่นใจมากพอที่จะทำมัน

    “ฉันไม่ได้บอกให้นายทิ้งมหาวิทยาลัยแล้วทุ่มให้กับบาสเก็ตบอลทั้งหมดนะ” จงอินยิ้ม เขาดันแก้วโกโก้ร้อนของตัวเองไปด้านข้าง ขยับตัวเท้าแขนลงกับโต๊ะยื่นหน้าเข้ามาใกล้กัปตันปาร์คคนเก่งที่กำลังมีสีหน้าไม่สู้ดี “นายสามารถทำทั้งสองอย่างได้ แต่มันอาจจะเหนื่อยหน่อยเท่านั้นเอง”

    “......”

    “ลองคิดดูนะ ถ้านายเข้ามหาวิทยาลัยได้ การที่นายได้เป็นนักกีฬามหาวิทยาลัย นายก็จะได้อยู่กับสิ่งที่นายชอบ แต่นายคงต้องพยายามหนักกว่าคนอื่นหลายเท่า ถ้าจะไม่ทำให้การเรียนเสียไปด้วย”

    ชานยอลรู้สึกว่าตัวเองใจเต้นแรง เมื่อได้ยินอีกหนึ่งทางเลือกที่เขาไม่เคยคิดถึงมาก่อนหลุดออกมาจากปากคิมจงอิน  ความรู้สึกเหมือนกับเขากำลังมีความหวังอะไรสักอย่างผุดขึ้นอย่างไม่รู้ที่มา

    “หรือว่าวันนึง นายเล่นไม่ไหวแล้ว อย่างน้อยๆ นายก็ยังเป็นโค้ชให้กับทีมไหนสักทีมก็ยังได้ เพียงแค่นายต้องหาลู่ทางไปเท่านั้นเอง”

    รอยยิ้มให้กำลังใจถูกส่งมาให้พร้อมกับสัมผัสอุ่นที่จับมือเขาหงายขึ้นก่อนจะวางมือของตัวเองทับลงมา  ชานยอลไม่คิดว่าจะมีคนไหนมานั่งใส่ใจเรื่องคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็มีเรื่องเครียดสุมอยู่ไม่ต่างกัน ทุกคนต่างกำลังหาวิธีทำให้ตัวเองก้าวหน้า มีอนาคตที่ดี แต่คิมจงอินกลับยังแบ่งเวลามาคิดเรื่องของเขา ความประทับใจไหล่บ่ามารวมอยู่ที่หน้าอกจนรู้สึกว่าอวัยวะตรงนั้นมันจะเต้นแรงเกินไปแล้ว

    “ฉันยังไม่รู้จักนายกับครอบครัวดีนัก เลยไม่รู้จะช่วยอะไรได้มากกว่านี้หรือเปล่า แต่อย่างน้อยๆ ฉันแนะนำให้นายปรึกษาเรื่องนี้กับที่บ้าน พวกเขาเป็นห่วงและพร้อมช่วยเหลือนายเสมอนะ”

    ชานยอลนิ่งไปหลายนาที เขาเอาแต่มองรอยยิ้มสลับกับมือที่จับกันไว้ ในหัวกำลังคิดหาคำพูดดีๆ เพื่อขอบคุณในสิ่งที่อีกคนมีให้

    “กู..ไม่รู้จะพูดอะไรเลย”

    “พูดว่าจะเลี้ยงข้าวฉันไปจนกว่าจะได้เป็นนักกีฬามหาลัยก็ได้ ฉันไม่ว่า”

    น้ำเสียงติดตลกทำให้ชานยอลหลุดยิ้ม เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่น่าดูเลยถ้าหากพูดออกไปอย่างนั้น การเลี้ยงคิมจงอินซึ่งกินเก่งเกินขนาดตัวไปมากทำให้เขาไม่อยากรับปาก แต่เอาเข้าจริงเขาก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิด ชานยอลคิดว่าเขารู้ความหมายที่คิมจงอินพูดออกมาอย่างนั้น

    “นายจะได้พยายามมากขึ้นเพื่อจะได้เป็นนักกีฬามหาลัย แทนที่จะต้องเสียเงินเลี้ยงฉันไปวันๆไง”

    คำพูดที่ราวกับนั่งอยู่กลางใจทำให้ชานยอลเปลี่ยนเป็นจับมือของจงอินเอาไว้ นับวันเขายิ่งชอบคิมจงอินมากขึ้นทุกที การกระทำทุกอย่างที่ได้รับมันทำให้เขารู้สึกว่าถ้ามีอีกคนอยู่ด้วยกันอย่างนี้ไปนานๆ มันจะดีสักแค่ไหน

    “เอ็นติดไปด้วยกันนะปาร์คชานยอล”

    อยู่ๆแรงฮึดมันมาจากไหนนักหนาก็ไม่รู้ ถึงตอนนี้จะยังมืดแปดด้านแต่ชานยอลเผลอให้สัญญากับตัวเองไปแล้วว่าเขาจะทำให้สำเร็จ

    เสียงออดดังขึ้นพร้อมกับเสียงอาจารย์ตะโกนบอกให้ทุกคนวางปากกา ชานยอลเขียนคำตอบลงในขัอสุดท้ายแล้วทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง  พวกเขาต้องนั่งรอจนกว่าอาจารย์คุมสอบจะเก็บกระดาษคำตอบหมดทุกคน  รู้สึกเหมือนยกภูเขาก้อนแรกออกจากอกไปแล้ว มองไอ้ลู่หานซึ่งนั่งเยื้องไปด้านขวาเล็กน้อยก็เห็นว่ามันมีท่าทางไม่ต่างกัน  การสอบครั้งนี้สูบพลังวัยรุ่นออกไปจากตัวพวกเขาจนเกือบหมด

    “เสร็จแล้วโว้ยยยย!!! / ช่างแม่งแล้วโว้ยยยยย”

    เสียงตะโกนดังลั่นไปทั่วทั้งทางเดินอาคาร นักเรียนหลายร้อนคนออกันอยู่ตรงหน้าห้องสอบ เสียงพูดคุยถึงข้อสอบที่เพิ่งผ่านไปดังซ้อนกันจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง  ชานยอลหากระเป๋าเป้ของตัวเอง คว้าโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดเครื่องและรีบกดเบอร์ของคิมจงอินเพื่อพบว่า...

    “ยินดีต้อนรับเข้าสู่...”

    แม่ง...ยังไม่เปิดเครื่อง....

    เวลาเกือบสองเดือนที่ไม่ได้เจอกันทำให้ชานยอลคิดยังไงวันนี้เขาก็ต้องได้เห็นหน้าคิมจงอิน  ครั้งล่าสุดที่วีดีโอคอลกันมันเมื่อสามอาทิตย์ก่อน ตาขวาของอีกคนดูจะอาการดีขึ้นแล้วแต่ก็ดูจะบวมอยู่นิดหน่อย ในช่วงเวลานั้นต่อให้ป่วยหนักถึงขนาดไหน เอาช้างมาฉุดไปพักผ่อนยังไง คนอย่างคิมจงอินคงไม่ยอมแน่นอน

    เด็กหนุ่มตัวสูงเดินฝ่าคนจนมาหยุดอยู่หน้าห้องเรียนของคิมจงอิน  เห็นว่ายืนนิ่งอยู่กับพวกลู่หานแบคฮยอนก็รีบเดินตรงเข้าไปหา ยิ่งใกล้ก็ยิ่งเห็นว่าตาข้างขวาช้ำหนักกว่าครั้งก่อนแต่จะให้ดุตอนนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่ อาการแปลกๆ มันทำให้ชานยอลห่วงมากขึ้นไปอีก

    “เป็นห่าอะไรไม่เปิดโทรศัพท์”  นึกอยากตบกะโหลกตัวเองให้หัวโยก ทั้งที่คิดไว้แล้วว่าจะพูดดีๆ แต่สุดท้ายก็ยังลงอีหรอบเดิม “ทำหน้าเศร้าเหมือนมึงแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ”

    “ฉันกำลังแบกโลกความฝันของฉันเอาไว้ทั้งใบ”

    เพียงแค่ได้ยินคำตอบของจงอินก็ทำเอาชานยอลเปลี่ยนท่าที ความท้อ ความผิดหวัง ความกลัดกลุ้มส่งผ่านออกมาหมดทั้งสีหน้าและแววตา เขาไม่เคยเห็นคิมจงอินเป็นอย่างนี้ คนที่มักจะมีทางออกดี ๆ สำหรับปัญหาอยู่เสมอกลับดูหมดเรี่ยวแรงจนน่าเป็นห่วง

    มือใหญ่เลื่อนขึ้นแตะลงบนศีรษะ นาทีนั้นเขาเห็นวูบหนึ่งว่านัยน์ตาของจงอินคลอไปด้วยหยดน้ำ มันเป็นเพียงแค่วูบเดียวก่อนที่เขาจะกดน้ำหนักลงบนกลุ่มผมทำให้ใบหน้าของอีกคนก้มต่ำ ชานยอลหันมองลู่หานกับแบคฮยอนขยับปากบอกคำว่าขอตัวก่อนจะจัดการล็อคคอคิมจงอินที่ไม่ได้เงยขึ้นมามองใครออกไปจากตรงนี้

    เด็กหนุ่มตัวสูงไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่จัดการเดินกอดคอคนที่ก้มหน้าต่ำลงมาข้างล่างตึก เสียงซุบซิบโดยรอบไม่ทำให้ชานยอลหงุดหงิดสักนิด ชานยอลพาคิมจงอินมาจนถึงม้านั่งด้านข้างตึกซึ่งไม่ค่อยมีคนหนาตา กดร่างของคนกำลังเศร้านั่งลงบนเก้าอี้ขยับตัวเองไปยืนซ้อนหลังเอื้อมมือข้างหนึ่งมาปิดตาเอาไว้ ส่วนอีกมือบีบอยู่บนบ่า

    “ถ้ามึงอยากร้องก็ร้อง ตอนนี้ไม่มีใครเห็นหรอก เครียดก็ระบายออกมา เก็บไว้ทำห่าอะไร”

    ชานยอลยังคงพูดเสียงกระโชก หงุดหงิดที่หาคำพูดหรือใช้น้ำเสียงดีๆ อย่างที่คิมจงอินเคยพูดกับตัวเองไม่ได้ รู้สึกว่าตัวเองช่วยอะไรอีกคนไม่ได้เลยสักนิด เพราะถ้ากลับกันเป็นตัวเขารู้สึกแย่อย่างนี้คิมจงอินก็จะมีคำพูดหรืออะไรสักอย่างมาปลอบใจกันอยู่เสมอ

    “นี่กำลังปลอบใจฉันเหรอ” กระทั่งน้ำเสียงนุ่มๆยังดูอ่อนล้า ชานยอลยิ้ม เลื่อนมือขึ้นจากบ่ามาวางไว้บนหัว คราวนี้เขาไม่ได้กดลงไปแต่กลับสางผมเล่นแทน

    “อือ คนอื่นอาจจะมองว่ามึงเวอร์ไป แต่สำหรับกูมันไม่ใช่”

    จงอินกำลังยิ้ม ยิ้มทั้งที่สองตาของตัวเองมีน้ำตาคลอ แต่แปลกที่ความรู้สึกอยากร้องไห้เมื่อครู่มันลดทอนลงไปมากแล้ว พอจะขยับมาดึงมือของชานยอลออกก็ถูกขืนไว้จากเจ้าตัว

    “บอกกูก่อนอะไรที่กูจะช่วยมึงได้บ้าง”

    “ไม่เป็นไร แค่นี้นายก็ช่วยฉันมากแล้ว”

    “จะไม่เป็นไรได้ไงวะ มึงเองยังพูดว่าเรื่องคนที่ชอบเป็นเรื่องใหญ่ แล้วกับคนที่กูคิดว่ากูรักกูจะปล่อยให้เป็นเรื่องเล็กได้ยังไงกัน”

    “กูไม่ได้หวังว่ามึงจะใจเต้นแรงแล้วมายืนเขินแก้มแดงให้กูรู้สึกดีในตอนนี้หรอกนะ” ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไรต่อ ปาร์คชานยอลก็พูดขัดความรู้สึกผิดที่กำลังเกิดขึ้นไว้ก่อน “กูก็แค่อยากให้มึงรับรู้ไว้ก็เท่านั้นแหละ”

    ยอมรับว่ารู้สึกดีขึ้นไม่น้อย ถึงแม้มันจะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมแต่เพราะปาร์คชานยอลไม่ต้องการคำตอบจงอินถึงเบาใจ เขารู้สึกว่ามือที่ปิดตาอยู่เลื่อนออกเลยค่อยๆหันกลับไปหาและเห็นว่าคนขี้โมโห วันๆ เอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงกำลังยิ้มกว้างจนรู้สึกได้ว่าหูสองข้างเหมือนจะขยับได้ยังไงอย่างนั้น

    “นายยิ้มจนหูขยับได้เลย”

    “มึงนี่บอกคำขอบคุณดีๆ ไม่เป็นเหรอ บอกว่ากูเอาแต่ด่าคนอื่นไปวันๆ มึงนั่นแหละ ด่ากูได้ทุกวัน”

    จงอินหัวเราะ เขาเงยหน้ามองปาร์คชานยอลซึ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิม รอยยิ้มเมื่อครู่หายไปแล้วเหลือแค่หน้าตาหงุดหงิดและริมฝีปากที่เอาแต่ขยับปากบ่นไม่หยุด คำขอบคุณซึ่งแม้จะไม่ได้พูดออกไปจงอินก็รู้ว่าปาร์คชานยอลเข้าใจและสัมผัสมันได้


    ห้าสิบเปอร์เซนต์

    ช่วงเวลาสอบผ่านพ้นไปได้เกือบเดือนหนึ่งแล้ว ตารางชีวิตกลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง จงอินใช้เวลาของตัวเองหมดไปกับการนอน อ่านหนังสือ ดูการ์ตูนเรื่องโปรด วาดภาพทุกอย่างที่อยากวาด แม้ความกังวลจากข้อสอบเอนทรานซ์ยังตกตะกอนอยู่ลึกๆ แต่ก็มีอยู่หนึ่งคนไม่ค่อยจะยอมให้เขาอยู่คนเดียว

    ปึง ปึง

    นั่นไง..ยังไม่ทันจะขาดคำ
    คนไร้มารยาทเอาแต่ทุบประตูห้องคนอื่นจงอินก็รู้จักอยู่คนเดียวจริงๆ นั่นแหละ

    เด็กหนุ่มกางหนังสือการ์ตูนคว่ำลงกับเตียงแล้วค่อยๆเดินเอื่อยลุกไปล้างหน้าให้ตาสว่าง
    เสียงทุบประตูห้องยังดังมาเป็นระยะ เดี๋ยวนี้ปาร์คชานยอลก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นถึงขนาดว่าเข้าออกบ้านคิมตามใจชอบ
    เรื่องที่จงอินร้องไห้หลังออกจากห้องสอบถึงหูแม่ในตอนที่อีกคนมาส่งเขาถึงบ้าน
    แล้วไปตกลงกันยังไงก็ไม่รู้เด็กหนุ่มตัวสูงถึงโผล่มาอยู่กับเขาในเวลาที่พ่อกับแม่ออกไปทำงาน

    “เปิดช้าจังวะ!”

    วันนี้ปาร์คชานยอลใส่เสื้อบาสสีแดงตัวโคร่งเข้ากับกางเกงตัวใหญ่ที่คลุมไปถึงเข่า
    เส้นผมซึ่งปกติมักจะเซ็ตตั้งวันนี้ปล่อยลงจนจงอินเหมือนเห็นเห็ดต้นใหญ่ๆ
    แล้วมีหูงอกออกมา

    “ก็นอนอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่”

    “ป่ะ วันนี้กูจะไปเล่นบาสกับพวกจงซอก”

    จงอินพยักหน้ารับ เหวี่ยงประตูเปิดกว้างแล้วเดินหายเข้าไปในห้อง ปล่อยให้ปาร์คชานยอลเดินเข้ามา ส่วนตัวเองก็ยืนเอื่อยเลือกเสื้อผ้าก่อนจะหายเข้าไปห้องน้ำทิ้งแขกเจ้าประจำนอนเอกเขนกเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง

    “มึงเช่าเล่มใหม่มาอีกแล้วเหรอ”

    ตะโกนถามพลางพลิกหนังสือการ์ตูนซึ่งวางแหมะอยู่บนเตียง ความจริงก็ถามไปอย่างนั้นเพราะนี่ไม่ใช่เล่มเดิมที่ไปเช่ามาด้วยกันเมื่ออาทิตย์ก่อน

    “หาอะไรคั่นไว้ให้ฉันด้วยสิ”

    ชานยอลเด้งตัวลุกขึ้นนั่งทำตามที่อีกคนบอก คิมจงอินแต่งตัวเรียบร้อยและตอนนี้พวกเขาพร้อมที่จะออกไปด้วยกันแล้วล่ะ

    จักรยานสองคันปั่นไล่กันลงมาจากเนิน ชานยอลปล่อยให้คิมจงอินปั่นนำไปก่อนเขาสังเกตหลายครั้งแล้วว่าหมอนี่ชอบอะไรทำนองนี้ ไม่ว่าจะเป็นตอนวิ่งเล่นน้ำฝนด้วยกัน ถึงจะหงุดหงิดตอนโดนปั่นจักรยานหนีแต่ก็นับว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะนั้น

    โรงเรียนในช่วงปิดเทอมเงียบมาก มีเด็กปีหนึ่งกับปีสองบางคนเดินร่อนเพราะต้องมาแก้ศูนย์ อากาศเริ่มอุ่นขึ้นมานิดหน่อยแต่สำหรับคนขี้ร้อนอย่างเขากลับรู้สึกว่านี่มันร้อนเอามากจนพาลหงุดหงิดเอาง่ายๆ และเพราะว่าเป็นช่วงปิดเทอมทำให้ไม่มีกฎระเบียบเคร่งครัดอะไรมากมายนัก พวกเขาสองคนจูงจักรยานมาจอดอยู่หน้าโรงยิม

    “โหยยยย ก็นึกว่าทำไมมาสาย ที่แท้ก็แวะไปรับ แฟน

    ชานยอลทำท่าจะขว้างกระเป๋ารองเท้าเล่นเอาเด็กที่จับกลุ่มกันอยู่ผวาก้าวถอยหลัง จงอินส่ายหัวยิ้มๆ  จอดจักรยานแล้วเดินแยกตัวออกไปร้านน้ำที่แม้จะปิดเทอมก็ยังคงเปิดอยู่

    ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กลายเป็นความเคยชิน เวลาอีกคนมาเล่นบาสเขาก็จะแยกตัวออกมาซื้อเกลือแร่ ผ้าเย็น แล้วค่อยเดินตามขึ้นไปทีหลัง เดินหิ้วถุงน้ำอมยิ้มขึ้นมาก็เห็นว่าทุกคนวิ่งกันเต็มสนามบาสแล้ว จงอินวางของลงบนพื้นทิ้งตัวลงนั่งข้างกองกระเป๋าหลายใบ หยิบรองเท้าแตะคู่หนึ่งเก็บยัดเข้ากระเป๋าที่คุ้นเคย

    หยิบโทรศัพท์เครื่องสีขาวที่เก็บไว้ในช่องซิปขึ้นมาเสียบหูฟัง ตาก็นั่งมองผู้ชายสิบคนวิ่งไปวิ่งมาขว้างลูกกลมๆสีส้มกันอย่างสนุกสนาน ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ไม่เข้าใจว่ามันสนุกตรงไหนแต่แปลกที่จงอินกลับไม่ได้รู้สึกว่ามันน่าเบื่อ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะมีอะไรแปลกใหม่ทำหรือความจริงแล้วเป็นเพราะปาร์คชานยอลที่ยิ้มกว้างอยู่ตรงนั้น

    ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่จงอินรู้สึกว่าเราเริ่มแชร์เรื่องราวในชีวิตประจำวันด้วยกัน มาโรงเรียนพร้อมกัน กลับบ้านพร้อมกัน ไปเที่ยวด้วยกัน ในทุกคืนก็ยังมีเรื่องพูดคุยแม้จะเพิ่งแยกกันตอนเย็น ถ้าย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อนจงอินบอกตามตรงว่าเขานึกภาพที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ไม่ออกจริงๆ

    ปาร์คชานยอลคนที่แทบจะหักคอกันทิ้งตั้งแต่เจอหน้าครั้งแรก กลายเป็นคนที่กล้าเดินผ่านกำแพงความเสียใจของเขาเข้ามาในวันที่จงอินกำลังรู้สึกไม่ดี

    เทากับเซฮุนมักจะพูดเสมอว่าเขาร้ายกาจแต่เป็นความร้ายกาจในแง่ดี จงอินมักจะมีมุมมองแปลกใหม่หลุดออกมาให้แปลกใจเสมอ ซึ่งเทาบอกว่าน่ากลัวตรงที่มันคล้อยตามไปเสียทุกครั้ง ตอนแรกก็ไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่จนมีเวลามานั่งทบทวนความเปลี่ยนไปของปาร์คชานยอลนี่แหละเขาถึงได้รู้สึกว่าที่เทาพูดมันก็มีส่วนจริงอยู่บ้างเหมือนกัน

    เด็กหนุ่มตัวสูงยังคงเอาแต่ด่าไม่หยุดเหมือนเดิม แต่จงอินกลับรู้สึกว่าปาร์คชานยอลในวันก่อนกับตอนนี้เปลี่ยนเป็นคนละคน ไม่ใช่ในทางไม่ดีนะ ตรงกันข้ามเลยต่างหาก เขากวาดตามองไปรอบสนามบาสสถานที่ซึ่งเขาไม่เคยคิดว่าจะใช้เวลาอยู่ได้นานกว่าหนึ่งชั่วโมง แต่ตอนนี้อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปแล้ว

    จงอินสามารถนั่งมองผู้ชายหลายสิบคนวิ่งไล่ลูกบาสได้เท่าที่คนในสนามยังเล่นพอๆ กับที่ปาร์คชานยอลนั่งมองเขาอ่านหนังสือไปพลางดีดกีต้าร์ไปพลางได้ครึ่งค่อนคืนนั่นแหละ

    “เฮ้ย เปลี่ยนตัว เปลี่ยนตัว กูเหนื่อย”

    เสียงตะโกนเรียกรอยยิ้มขึ้นมาได้ ปาร์คชานยอลตะโกนบอกรุ่นน้องคนนึงข้างสนามแล้วเดินออกมาเลยไม่ได้สนใจอย่างอื่น กัปตันปาร์คเหงื่อไหลโทรมตัวหน้าจนเจ้าตัวยกคอเสื้อขึ้นเช็ด จงอินเคยได้ยินหมอนั่นบ่นบ่อยๆ เรื่องแม่จะเลิกซักผ้าให้เพราะลูกชายชอบเอาเสื้อเช็ดเหงื่อแทนผ้าขนหนูนี่แหละ

    “แล้วก็มาบ่นเรื่องต้องซักผ้าเอง”

    “กูก็บ่นไปงั้นแหละ”

    ชานยอลทิ้งตัวนั่งลงข้างเหยียดแข้งเหยียดขาเท้าแขนเอนตัวไปด้านหลัง ปกติพัดลมเก่าๆตัวใหญ่ไม่ได้ช่วยคลายร้อนอะไรสักเท่าไหร่หรอก แต่เพราะเขามีเหงื่ออยู่ท่วมตัวเลยรู้สึกเย็นขึ้นมานิดหน่อย

    เด็กหนุ่มตัวสูงเหลือบมองคิมจงอินที่ยังคงนั่งขัดสมาธิมองคนในสนามวิ่งวนไปวนมาด้วยความสนใจ  อดยิ้มไม่ได้เพราะเห็นคนที่เคยว่าเขาชอบใช้กำลังกลับมานั่งดูอย่างสนุกสนาน ช่วงก่อนหน้านี้เขาแทบจะไม่เห็นอีกคนยิ้มเลยสักนิด เห็นชัดว่ายังเครียดเรื่องผลสอบที่ผ่านไป ชานยอลเองก็ไม่รู้จะช่วยยังไงเพราะที่เขาทำได้ก็คืออยู่ด้วยกันเท่านั้น อีกอย่างนับตั้งแต่วันนั้นเขายังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ได้ทำอย่างเป็นทางการ

    “มึงอยากไปไหนมั้ย เบื่อหรือเปล่า” ชานยอลรู้สึกแล้วว่าคิมจงอินคงชอบสนามบาสจริงๆ เพราะอีกฝ่ายเลือกที่จะส่ายหัวเป็นคำตอบแทนที่จะหันมาพูดกัน

    “งั้นออกไปเดินเล่นกันเหอะ ซื้อน้ำให้พวกมันด้วย ข้างในนี้ร้อนชิบหายเลย”

    เหตุผลไม่เข้าท่าเรียกความสนใจได้ในที่สุด ชานยอลลุกขึ้นยืนพร้อมดึงให้คนที่หันมามองด้วยสายตาไม่เข้าใจลุกขึ้นตาม
    คิมจงอินบ่นอุบเรื่องเขาชอบใช้กำลังแต่เดี๋ยวสุดท้ายก็ยอมเดินลงมาพร้อมกันอยู่ดีนั่นแหละ

    ด้านล่างของโรงยิมเป็นสนามวอลเลย์บอลเก่าๆ สีเส้นขอบบนพื้นปูนจางจนแทบไม่เห็นขอบเขต บนพื้นมีใบไม้อยู่ประปราย ชานยอลเดินเอื่อยลงมาตามขั้นบันไดผิดกับคนที่เดินตามหลังกันอยู่ซึ่งตอนนี้คิมจงอินเดินนำเขาไปแล้วเหยียบใบไม้แห้งใบหนึ่งบนหญ้ารอบสนามวอลเลย์ฯ

    “ทำอะไรของมึงน่ะ”

    “เหยียบใบไม้ไง เดี๋ยวมันปลิว”

    คำตอบของคิมจงอินก็ยังคงความเป็นคิมจงอินได้เสมอต้นเสมอปลาย ชานยอลไม่เคยเข้าใจเรื่องแปลกๆที่อีกคนชอบทำเลยสักนิด บางทีเขาก็ถูกลากไปทำด้วยงงๆอย่างตอนนี้ด้วยเหมือนกัน พวกเราเหยียบใบไม้แห้งทีละใบ ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าช้าๆ จากใบหนึ่งเราก็ก้าวไปเหยียบอีกใบหนึ่งพร้อมกัน ไม่รู้ว่าจะไปทำเพื่ออะไรแต่ถ้ามันแลกกับความรู้สึกดีๆ ตอนนี้ชานยอลก็ไม่อยากคิดหาเหตุผลอะไรให้มันวุ่นวาย

    พวกเขาเหยียบใบไม้จนเดินวนมาถึงครึ่งรอบสนาม จงอินเกือบล้มหน้าคะมำตอนปาร์คชานยอลคว้าแขนของเขาไว้ในจังหวะที่กำลังจะก้าว เดี๋ยวนี้คุณกัปตันปาร์คกล้าแกล้งกันแล้วล่ะ

    “ถ้าฉันล้มแล้วลุกขึ้นมาได้ หน้านายจะเป็นอย่างแรกที่ฉันเหยียบเลยคอยดู”

    “โห โหดจังนะมึง กลัวตายห่า.. โอ๊ยยย ไอ้เหี้ยเจ็บนะเว้ย”

    ชานยอลร้องลั่นรีบปล่อยมือออกราวกับจงอินเป็นของร้อนรีบไปจับปลายเท้าตัวเองซึ่งโดนเหยียบเข้าเต็มรักเมื่อครู่
    หน้าตาบูดสนิท แสดงออกอย่างชัดเจนว่าถ้าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็นคนอื่นต้องได้ตายคาตีนเบอร์สี่สิบสี่คู่นั้นอย่างแน่นอน

    “สมน้ำหน้า”

    “ฝากไว้ก่อนเถอะมึง”

    สะบัดปลายเท้า ขยับถอยออกมาเล็กน้อย บรรยากาศดีๆ เมื่อครู่หายวับไปเลย ชานยอลกลอกตาไปมาเพราะเซ็งจนไม่รู้จะเซ็งยังไง หลายวันมานี้เขามีเรื่องเรื่องหนึ่งวนเวียนอยู่ในหัว คิดแทบตายว่าจะทำอย่างไรดี แต่พอคิดออกคิมจงอินกลับไม่ให้ความร่วมมือกันเสียอย่างนั้น

    “มึงช่วยทำตัวให้มันสมกับบรรยากาศหน่อยได้ไหมวะ”

    เสียงระเบิดหัวเราะลั่นไม่ได้ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ชานยอลถอนหายใจหน่ายๆ แล้วจัดการล็อคคอคนที่เอาแต่ยืนขำเดินไปร้านน้ำอย่างที่บอกไว้ตอนแรก ให้ตายเถอะ ไม่คิดว่าคิมจงอินจะซื่อบื้อขนาดนี้

    “อ้าว ตกลงนายลงมาซื้อน้ำจริงๆเหรอ”

    “ก็รู้นี่ เสือกทำเสียบรรยากาศหมด”

    สายตาของป้าเจ้าของร้านน้ำมองพวกเขาด้วยความงุนงง เธอส่งโค้กลิตรขวดใหญ่พร้อมถุงน้ำแข็งและแก้วพลาสติกเกือบสิบใบให้ชานยอลก่อนจงอินจะทำหน้าที่จ่ายเงิน

    “เอาน่า ไม่เห็นจะต้องคิดเรื่องบรรยากาศเลย”

    “ถ้าอย่างนั้น กูพูดเรื่องนี้ตอนมึงไปขี้ได้ไหมล่ะ”

    “คืนนี้ก็ลองดูสิ เผื่อฉันจะตกใจจนทำโทรศัพท์ร่วงชักโครกไปเลย”

    ให้ตายเถอะ ขอผู้หญิงเป็นแฟนมาแล้วก็เยอะแต่พอมาเจอคนแบบนี้กลับไปไม่เป็นจริงๆ ปกติมันต้องมีเขิน มีอาย บ้างไม่ใช่เหรอวะ แล้วนี่อะไรคิมจงอินกลับล้อเลียนเขาหน้าตาเฉยแถมยังไล่ให้เขาไปบอกมันตอนเข้าห้องน้ำอีก

    คิมจงอินนี่มันคิมจงอินจริงๆเลย ให้ตายเถอะ!

    คนในกลุ่มที่นั่งอยู่พากันมองกัปตันปาร์คกับแฟนเป็นตาเดียว งงเป็นไก่ตาแตกว่ามันเกิดอะไรขึ้น คุณผู้จัดการส่วนตัวทำอะไรมานักกีฬาคนเก่งถึงได้หน้าบูดไม่รับแขกแถมยังโยนถุงโค้กลงกลางวงอย่างไม่กลัวว่าหัวใครจะแตกเลยสักนิด

    “ไปทำอะไรมาวะพี่ ไหงพี่ชานยอลท่าทางเหมือนองค์ลงอย่างนั้น” จงซอกขยับมากระซิบกับจงอิน หน้าตาหวาดหวั่นทำเอาเขาหลุดยิ้มขำหันไปมองก็เห็นว่าปาร์คชานยอลนั่งเท้าแขนหันไปทางอื่นอยู่

    “คนขี้งอนน่ะ”

    คำตอบของจงอินไม่ได้ไขข้อข้องใจของจงซอกเลยสักนิด แต่เขาไม่คิดว่าจะต้องอธิบายอะไรต่อเพราะปาร์คชานยอลก็แสดงท่าทางออกมาชัดเจนเสียขนาดนั้น

    โทรศัพท์มือถือดูจะเป็นเครื่องมือสื่อสารที่พึ่งพาได้ในเวลานี้ จงอินพิมพ์ข้อความสั้นๆ ก่อนจะเงยหน้ามองปาร์คชานยอลที่เหล่โทรศัพท์ในมือตอนรู้สึกว่ามันสั่น

    ‘งอนเหรอปาร์คชานยอล’

    อ่านข้อความจบเจ้าของชื่อก็ได้แต่เลิกคิ้วมองมันก่อนจะหันกลับมาเห็นว่าเจ้าของข้อความก็มองเขาอยู่เหมือนกัน

    เหอะ

    จงอินเห็นว่าอีกคนหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดสองสามครั้งแล้วก็โยนทิ้งลงไปอย่างเดิม
    ไม่นานโทรศัพท์ของเขาก็สั่นเตือน ถึงจะไม่ชอบใจท่าทางโยนข้าวของแบบนั้นของปาร์คชานยอลสักเท่าไหร่ก็เถอะ
    แต่เขาจะมองข้ามมันไปก่อนแล้วกัน

    ‘ไม่ได้งอน’

    ‘ไม่ได้งอนแล้วก็คุยกันดีๆสิ’

    ‘ขี้เกียจคุย มึงมันเดายาก กูคิดมาตั้งหลายคืนว่าจะทำไง ต่อไปกูไม่คิดแม่งแล้วจะบอกอะไรก็บอกตอนมึงขี้ก็แล้วกัน’

    จงอินอยากหัวเราะให้ดังคับโรงยิมแต่ก็กลัวคนอื่นจะรู้ว่ากำลังคุยอะไรกัน เนี่ยนะคนบอกว่าไม่งอน คำพูดคำจานี่ประชดกันเต็มขั้นเสียขนาดนี้

    ‘ฉันแหย่นายเล่นเองน่า นี่ไงฉันให้โอกาสใหม่แล้ว ส่งเป็นข้อความมันก็น่ารักไปอีกแบบเหมือนกันนะ’

    ‘ไหนมึงบอกว่าเรื่องอย่างนี้เราควรพูดกันต่อหน้า’

    แหนะ..มีการมายอกย้อนกันด้วย

    คนอื่นพากันมองปาร์คชานยอลกับคิมจงอินสลับไปสลับมา คนนึงพิมพ์ไปยิ้มไป อีกคนถึงจะหน้าบึ้งแต่ยังตอบข้อความ
    ตอบเสร็จก็โยนโทรศัพท์ลงกับกระเป๋าแล้วค่อยคว้ามาตอบใหม่ตอนมันสั่นอีกครั้ง

    คุยอะไรกันอ่ะ! พวกผมก็อยากรู้ด้วยนะ(โว้ยยยยยยย)

    จงอินใช้เวลาจ้องหน้าจอโทรศัพท์เปล่าๆ ใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะพิมพ์ข้อความอะไรตอบไปดี เรื่องที่เขามองว่าเล็กน้อยมันคงจะสำคัญสำหรับปาร์คชานยอลมากจริงๆนั่นแหละ อีกคนถึงได้งอนกันอยู่อย่างนี้ เผลอๆจะพาลรู้สึกไม่ดีไปเลยก็ได้  เสียงพิมพ์ซึ่งดังออกมาจากโทรศัพท์ทำเอาบรรดาเด็กๆ ในวัยอยากรู้อยากเห็นชะโงกมองกันคอยืดยาว จงอินยิ้มขำทำท่าขยับออกห่างแล้วยกมือขึ้นจุ๊ปากจนทุกคนพากันทำหน้าตาเสียดายแล้วกลับไปนั่งจับกลุ่มกันอย่างเดิม

    เชอะ! สังเกตการณ์อยู่รอบนอกก็ได้

    แฟนกัปตัน(ตามความเข้าใจของคนครึ่งค่อนทีมบาส)ค่อยๆขยับเข้าไปหาเด็กผู้ชายตัวสูง จงซอกเห็นอยู่คาตาว่าปาร์คชานยอลแอบเหล่มองมาครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองทางอื่นอย่างเดิม ส่วนพี่จงอินก็ค่อยๆขยับตัวไปนั่งฝั่งตรงข้าม ทำท่าทางยิ้มๆมือก็สะกิดแขนคนที่ยังไว้ท่ายิกๆ

    โอ๊ยยยย ให้ตาย.. กูอยากได้แฟนน่ารักแบบพี่จงอินมั่งอ่ะ

    ฝั่งคนงอนกับคนง้อที่รู้ว่ามีคนมองอยู่แต่ก็ยังไม่ได้สนใจ ชานยอลไม่รู้ว่าคิมจงอินต้องการอะไรแต่เขาไม่ยอมหายโกรธมันง่ายๆหรอกคราวนี้ มีอย่างที่ไหนรู้ทันก็ทำเป็นไม่รู้ไปสิวะ คิดมาตั้งนานไอ้ห่า เสียฟอร์มกูหมด แล้วเขาก็อยากเป็นฝ่ายพูดก่อนด้วย

    “นี่ ปาร์คชานยอล นายมีอะไรจะพูดไม่ใช่เหรอ นี่ไงฉันอยู่ต่อหน้าแล้วไง”

    “กูปวดขี้”

    “เดี๋ยวก็แช่งให้ท้องเสียจริงๆซะหรอก”

    โอ้โห.. เดี๋ยวนี้คิมจงอินแม่งมีพัฒนาการ  ปาร์คชานยอลยังคงนั่งเท้าคางแต่สายตาหันกลับมาเหล่มองคนเลียนแบบคำพูดคำจาของตัวเอง หน้าตาทะเล้นทำเอาเขาหมั่นเขี้ยวจนทนมองไม่ไหวกลัวเผลอยื่นมือไปยีผมเดี๋ยวมันรู้ว่าหายงอนตั้งแต่อ่านข้อความแรกแล้ว

    อยู่ๆคิมจงอินก็ลุกขึ้นยืนค้ำหัวแถมยังมีการดึงเขาให้ลุกขึ้นตาม ภาพมันคุ้นๆเหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน แต่คราวนี้ต่างกันตรงที่จงอินลากแขนคุณกัปตันพร้อมทั้งกวาดกระเป๋าของชานยอลติดมือมาด้วย และมันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเอื้อมไปคว้ามาถือไว้เอง

    “จะไปไหน”

    “ไปหน้าโรงยิมไง นายค้างอยู่ที่ตรงนั้นไม่ใช่เหรอ”

    ชานยอลขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าคิมจงอินกำลังคิดอะไรอยู่ ไม่รู้เหรอว่า...

    “ฉันรู้ว่ามันแทนกันไม่ได้หรอก จะให้นายรู้สึกตื่นเต้นอย่างเดิม หรือจะให้ฉันทำเป็นไม่รู้อย่างเดิม แต่อย่างน้อยถ้ามันเป็นสถานที่ที่นายคิดว่าดีที่สุดที่จะพูดอะไรสักอย่างออกมา ฉันก็จะพานายไป”

    ไม่ว่าจะกี่ครั้งคิมจงอินก็เหมือนนั่งอยู่กลางใจยังไงยังงั้น ชานยอลเริ่มสงสัยว่าตัวเองคิดดังเกินไป อ่านง่ายเกินไป หรือเป็นคิมจงอินกันแน่ที่ช่างสังเกตและรู้จักเขาดีเกินไป

    เขาวางกระเป๋าของตัวเองที่บันไดขึ้นบนสุดแล้วก้าวทำทุกอย่างเหมือนตอนแรกที่พาอีกคนลงมา แต่คราวนี้พวกเราไม่ได้ไปซื้อน้ำหรือไปที่ไหนอีกแล้ว ต้นไม้ใหญ่สองคนซึ่งขึ้นอยู่ขนาบข้างสนามวอลเล่ย์บอลทำให้ใบไม้แห้งยังคงอยู่ คิมจงอินเริ่มเดินลงไปเล่นกับพวกมันอีกครั้ง ชานยอลรู้สึกว่ามันโง่เง่ามากจริงๆนั่นแหละที่ทำอะไรอย่างนี้ แต่เขาก็ไม่ลังเลที่จะทำมันด้วยเหมือนกัน

    เด็กหนุ่มสองคนค่อยๆ ย่ำไปบนใบไม้คนละใบ โดยมีสองมือคอยจับกันอยู่ไม่ปล่อย พอคิมจงอินก้าวออกไปไกลนิดหน่อย ปาร์คชานยอลก็จะขยับเหยียบใบไม้อีกใบตามไป มันทำให้มือพวกเขาไม่หลุดออกจากกัน

    “นี่....มึงคิดว่า...”

    ปาร์คชานยอลพูดขึ้นและเงียบลงอีกครั้งราวกับลังเลว่าสิ่งที่ตัวเองพูดนั้นถูกต้องหรือเปล่า จงอินไม่ได้ตอบอะไรออกมา เขาปล่อยให้เด็กหนุ่มตัวสูงใช้ความคิดของตัวเองให้เต็มที่ ตอนนี้พวกเราก้าวมาถึงอีกฟากของสนาม ใบไม้ใบถัดไปอยู่ไกลพอสมควร จงอินรู้ว่าถ้าเขาก้าวไปโดยที่ปาร์คชานยอลไม่ก้าวตามมือของพวกเราต้องหลุดออกจากกันแน่ แต่ก่อนที่เขาจะขยับตัว....

    “มึงคิดว่าเราเป็นแฟนกันได้หรือยังวะ”

    คำถามไร้ความมั่นใจจากคนที่มีความมั่นใจมาตลอดทำเอาจงอินกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ปาร์คชานยอลก็ไม่เคยมีความมั่นใจเรื่องของเราเลยสักนิด ทั้งที่เขาก็คิดว่าตัวเองแสดงออกมามากขนาดนี้แล้วจริงๆ แต่ก็ถือว่าเข้าใจได้ เพราะบางอย่างคำพูดอาจจะสำคัญพอๆกับการกระทำ

    “แล้วนายคิดว่าได้หรือยังล่ะ”

    น้ำเสียงของคิมจงอินไม่ได้บ่งบอกว่าเจ้าตัวรู้สึกอย่างไรและนั่นทำให้ชานยอลคิดหนักเข้าไปอีก ถ้าถามตัวเขา เขาคิดเรื่องนี้มาหลายเดือนแล้ว ตั้งแต่ช่วงอ่านหนังสือสอบด้วยซ้ำ นับวันยิ่งอยากรู้จัก อยากอยู่กับคนคนนี้ไปเรื่อยๆ อยากช่วย อยากโดนด่า อยากปรับตัวเอง ถึงจะไม่มั่นใจว่ามันดีจริงๆหรือเปล่าถ้าได้เป็นแฟนกัน แต่ชานยอลคิดว่าเขาคงต้องอกแตกตายแน่ๆ ถ้าปล่อยให้เรื่องทุกอย่างจบลงพร้อมกับปิดเทอมที่กำลังจะมาถึง

    “นายไม่เห็นจะต้องคิดเยอะขนาดนั้นเลย”

    ชานยอลหลุดออกจากความคิดของตัวเองและเห็นว่าคิมจงอินกำลังยิ้ม ใบไม้แห้งปลิวลากแกรกกรากไปตามแรงลมพัด อากาศกำลังอุ่นสบายหรืออาจจะเป็นเพราะยิ้มของคิมจงอินก็ได้ เรื่องนี้ชานยอลเองก็เริ่มไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ มันทำให้ความคิดล้านแปดที่ตีกันอยู่ในหัวของเขาหายไปเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา

    “ถ้านายคิดว่าได้ นายก็แค่ขอ เราไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะดีหรือไม่ดีจนกว่าจะได้ลองทำมัน อย่างมากนายกับฉันก็แค่เสียใจที่ทุกอย่างมันไม่เป็นอย่างที่หวัง”

    “.......”

    “มันก็เหมือนเรื่องกีฬาบาสของนายนั่นแหละ.. อะไรที่มีโอกาสทำฉันก็อยากให้นายทำ ไม่อยากให้นายมาเสียใจในอนาคต ไม่อยากให้นายมาตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมตอนนั้นถึงไม่ทำ”

    “.......”

    “เพราะเวลามันเดินเร็วเกินไป และเราก็ไม่สามารถย้อนไปแก้ไขอะไรในอดีตได้”

    “ต้องสอนกันตอนจะขอเป็นแฟนด้วยเหรอ?”

    ประโยคหงุดหงิดแสนธรรมดา แต่เล่นเอาคนได้ยินกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ ชานยอลเองก็เหมือนกัน เขาไม่ได้พูดประโยคนั้นด้วยอารมณ์หงุดหงิดหรือตั้งใจจะหยุดสิ่งที่คิมจงอินกำลังพูด

    “งั้นก็พูดออกมาให้เป็นทางการสักทีสิ”

    ชั่วเวลาอึดใจที่มีแต่ความเงียบ ชานยอลคิดหาคำพูดดีๆ มากมาย แต่ไม่มีคำไหนที่เขาคิดว่ามันเหมาะกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้เลยสักนิด คิมจงอินทำให้ทุกอย่างของเขาไม่ธรรมดา

    “มึง.. เป็นแฟนกับกูไหมวะ ไม่สิ มึงจะเป็นกับกูไหมวะ แฟนน่ะ.. เดี๋ยวนะ.. มึง...”

    เป็น”

    ชานยอลไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองพูดภาษาเกาหลีได้ย่ำแย่มากขนาดนี้มาก่อน เหมือนลืมสมองไว้ในลูกบาสโง่ๆ แค่จะพูดประโยคประโยคนึงเขายังเรียบเรียงมันออกมาไม่ได้ แต่แล้วคำสั้นๆคำเดียวจากคิมจงอินก็หยุดอาการโง่เง่าของเขาได้ทันที

    “เดี๋ยวนะ..มันง่ายขนาดนี้เลยเหรอวะ”

    “อื้อ ง่ายขนาดนี้แหละ”

    เริ่มไม่มั่นใจว่าตัวเองกำลังโดนแกล้งหรือเปล่า แต่อาการยิ้มจนเห็นรอยบุ๋มจางๆตรงข้างแก้มซ้าย  มันไม่เหมือนกับที่คิมจงอินเอาแต่หัวเราะเวลาเขาทำอะไรโง่ๆ หรือหลอกด่าเขาได้ซึ่งๆหน้า

    นี่มันเป็นยิ้ม.. ยิ้มกว้าง ยิ้มกว้างๆ จนพาให้หัวใจคนมองพองโตตามไปด้วย

    “มีเรื่องเล่าไปอีกนานเลยว่ากัปตันปาร์ค ขวัญใจสาวๆ ขอคบแฟนยังไง”

    ยัง...ยังจะมีมาล้อเลียน

    ให้ตายเถอะ.... ยอมแพ้เลยจริงๆ เอาเลยครับคุณ ล้อเลียนแค่ไหนก็ได้ตามสบาย เป็นแฟนแล้ว ผมไม่ด่าคุณหรอกครับคุณ

    คิมจงอินหันกลับไปสนใจใบไม้แห้งบนพื้นต่อและคราวนี้ชานยอลเองก็รู้สึกว่ามันสนุกอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว พวกเขาเริ่มก้าวเดินกันอีกครั้งและคราวนี้ไม่มีใครต้องเดินตามหลังใคร คนหนึ่งก้าวเหยียบใบไม้อีกหนึ่งใบ อีกคนก็ก้าวไปเหยียบใบที่อยู่ระดับเดียวกัน ใกล้กันบ้าง ไกลกันบ้าง

    แต่สองมือที่จับกันไว้ ไม่เคยหลุดออกจากกัน  








    #ฟิควงกลมชานไค

    55555555555555555555555555555555555555555555 ตอนแต่งหลังๆนี่ ต้องบอกว่าตัวเองว่านี่ชานไค ชานไค ชานไค บ่แม่นไคยอลน่อวว บ่แม่นไคยอลน่อววว ชานยอลนี่มันสาวน้อยชันโยรุชัดชัดเลย ขอบคุณฉากขอเป็นแฟนของเพื่อนตอนม.ปลายนะคะ 55555555555555

    ยาวด้วยอะไรก็ไม่รู้อ่ะตอนนี้ แต่งหลายวันด้วย แต่อีกหกตอนที่เหลือ อัพเร็วๆได้เลยยย เราจัดหน้าฟิคแล้วนะคะ อยู่ในช่วง 300-350 หน้า พยายามจะไม่ให้เกินนี้ กลัวมันหนามาก 

    ขอบคุณทุกคนมากๆเลยนะคะ ที่ยังคงตามอ่าน ขอบคุณทุกๆคำติชมทั้งในเด็กดีแล้วก็ทวิตเตอร์เลยน้า เราอ่านตลอดเลย ขอบคุณมากๆเลยที่ยังคิดถึงกัน

    เอาล่ะ...หวังว่าพรุ่งนี้ถ้าได้อ่าน ขอให้ทุกคนมีแต่รอยยิ้มน้า




    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×