คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : CHAPTER 14
TITLE : CYCLE
Pairing : Chanyeol X Kai
"เราสองคนไม่เคยมีอะไรเหมือนกัน
เพราะอย่างนั้นเราถึงต้องค่อยๆเรียนรู้กันไป"
ขอบคุณน้ำหวานนน วาดรูปให้ T____T น่ารักมากกก
CHAPTER 14
จงอินบิดขี้เกียจหลังจากนั่งอยู่ท่าเดิมมาร่วมชั่วโมง
เสียงเพลงเบาๆดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ที่เปิดวีดีโอคอลทิ้งไว้แต่ปลายดูเหมือนจะหลับไปแล้ว
ทำเอาเด็กหนุ่มลอบยิ้ม
เพราะนี่เป็นคืนวันศุกร์จงอินเลยอนุญาตให้ตัวเองนอนดึกกว่าปกติเพราะอยากใช้เวลาอ่านหนังสือให้มากขึ้น
และปาร์คชานยอลก็อนุญาตให้ตัวเองโด้เกมอย่างไม่มีลิมิตได้เช่นเดียวกัน
เสียงกรนดังลอดสายทำให้จงอินหลุดหัวเราะ
ลังเลอยู่ว่าจะอาบน้ำหรือนอนทั้งชุดนักเรียนไปเลยอย่างนี้ดี ไหนๆนี่ก็ตีสามแล้ว
เดี๋ยวอีกกี่ไม่กี่ชั่วโมงคงต้องตื่น เขาตัดสินใจคว้าชุดนอนเดินเข้าห้องน้ำ
ล้างแขนขาพอให้ไม่เหนียวตัวและจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
หยิบโทรศัพท์มาตั้งไว้บนหัวเตียงและเอนตัวลงนอน
รู้สึกร่างกายผ่อนคลายเมื่อได้อยู่ใต้ผ้านวมอุ่นๆ
แบตเตอรี่เหลืออยู่อีกสามสิบเปอร์เซนต์คงนานพอที่จงอินได้ฟังเสียงกีต้าร์ของปาร์คชานยอลจนเขาหลับและเครื่องก็ดับไปเอง
โคมไฟสีส้มอ่อนทำให้บรรยากาศในห้องดูสลัวๆ
ตัวหนังสือมากมายที่เพิ่งถูกบรรจุเข้าสมองไปเมื่อครู่วิ่งวนช้าๆตามจังหวะเพลงที่ดังคลอ
จงอินมักจะทำอย่างนี้เสมอเวลาอ่านหนังสือเสร็จ เขาชอบถามว่าตัวเองรู้อะไรบ้าง
มีอะไรอยู่ในหัวบ้าง มันเป็นทริคอย่างหนึ่งที่เอาไว้ใช้ตอนที่ไม่มั่นใจว่าอ่านไปได้มากน้อยแค่ไหน
ครืด
กำลังคิดเพลินเกือบเคลิ้มหลับอยู่ๆ
โทรศัพท์ก็สั่นขึ้นมาเสียก่อน
เด็กหนุ่มเอื้อมไปหยิบมันเอามาดูแจ้งเตือนแล้วก็ต้องกลั้นยิ้ม
เพราะมีคนรู้ทันส่งข้อความมาดักคอ
กัปตันปาร์ค
อ่านจบแล้วก็นอน ไม่ใช่มาหงายโทรศัพท์ให้กูมองเพดานห้องส้มๆ
วางสายด้วย แล้วนอนเลย เอาไปชาร์จแบตด้วย
ถ้าปล่อยให้แบตหมดพรุ่งนี้กูจะไปทุบหัวถึงบ้าน
“เหมือนเลี้ยงเซนต์เบอร์นาร์ดไว้เลยแฮะ”
“กูได้ยินนะ
แล้วกูก็ไม่ใช่เซนต์เบอร์นาร์ดด้วย นั่นมันหมาโง่”
“นายต่างหากที่โง่
หมาไม่ได้โง่”
เสียงทุ้มต่ำดังลอดออกมาทำให้จงอินสะดุ้ง
เพราะเผลอนินทาปลายสายทั้งที่ยังไม่ได้กดวาง
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ลืมที่จะแก้ตัวให้หมาพันธ์ุโปรดของตัวเอง
เขายิ้มกว้างทั้งที่ดวงตาปรือลงเรื่อยๆ จงอินเหนื่อยล้ามากสำหรับวันนี้
แม้เสียงโวยวายงึมงำของปาร์คชานยอลจะดังอยู่ไม่ขาด
แต่ก็ไม่สามารถทำให้เขารู้สึกง่วงน้อยลงแม้แต่น้อย
ชานยอลเงียบลงเมื่อเห็นว่าคนในจอหลับไปแล้ว
คิมจงอินหลับทั้งที่มือยังจับโทรศัพท์และปล่อยให้เขาพูดคนเดียวอยู่นานสองนาน
ขนาดบอกแล้วว่าอย่าปล่อยให้โทรศัพท์แบตหมดแต่อีกฝ่ายก็ไม่คิดจะฟัง
ช่วงนี้เด็กม.ปลายปีสุดท้ายไม่จำเป็นต้องไปโรงเรียนดังนั้นวิธีที่จะติดต่อกันได้คงมีแต่ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น เขาถึงได้ย้ำหนักย้ำหนาแต่คิมจงอินก็ยังลืม
ใบหน้าของคนหลับไม่มีอะไรน่ามองแต่ชานยอลก็ยังทำตัวเป็นคนบ้ายิ้มกับโทรศัพท์
เขาไม่เคยรู้สึกอย่างนี้ ความรู้สึกที่เราชอบใครสักคนและค่อยๆเรียนรู้กันไปมันเพิ่งจะเกิดกับคิมจงอินเป็นคนแรก
แต่ก็น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกชอบมันมาก
เด็กผู้ชายหน้ามึนๆที่ไม่มีอะไรน่าดึงดูดกลับทำให้ชานยอลใจเย็นและรู้จักคิดถึงคนอื่น
ถึงคนอื่นที่ว่าจะจำกัดอยู่แค่คิมจงอินคนเดียวก็ตามที ถึงบางครั้งมันโคตรน่าหงุดหงิดที่โดนหลอกด่าอยู่ตลอดเวลา
แต่ไม่มีครั้งไหนที่ชานยอลรู้สึกว่าอีกฝ่ายโกรธหรือเกลียดเขา มันมีแต่ความหวังดี
ปาร์คชานยอลอาจจะเป็นคนโง่ในสายตาคิมจงอิน
แต่เขาก็ไม่ได้โง่ที่จะมองไม่เห็นว่าตัวเองได้รับอะไรจากคนคนนี้มาบ้าง
“กูชอบมึงนะ
ชอบมึงมากๆเลย”
ถ้าหากเป็นเวลาปกติเขาคงไม่กล้าพูดมันออกไป
แต่ในตอนนี้คิมจงอินกำลังหลับและดูเหมือนว่าจะฝันดีซะด้วย
ไม่รู้ว่าชานยอลทำตัวเป็นสาวน้อยเพ้อเป็นบ้าเป็นหลังได้ขนาดนี้ได้ยังไง
แต่พอเห็นรอยยิ้มก็เผลอคิดเข้าข้างตัวเองทุกทีว่ามันยิ้มให้เขา เกิดขึ้นเพราะเขา
และครั้งนี้ก็เหมือนกัน
“มึงต้องกำลังฝันดีอยู่แน่ๆ
เพราะงั้น เพิ่มกูเข้าไปในความฝันด้วยแล้วกัน”
ปาร์คชานยอลกำลังถลึงตาใส่ตั้งหนังสือกองสูงท่วมหัวบนโต๊ะในห้องสมุดหลังจากจงอินตามอีกคนมาและบอกให้นั่งเฝ้าของให้หน่อยก่อนจะหายไปสักยี่สิบนาทีและกลับมาพร้อมกับหนังสือทั้งหมดนี้
“อะไรของมึงเนี่ย
ยกมาทำห่าอะไร”
“เอามาให้นายกินแทนข้าว
เผื่อจะได้ฉลาดขึ้นมาบ้าง”
จงอินตีความสายตานั้นได้เป็นประโยคว่า “มึงต้องการอะไรจากกูเหรอ” มันทำให้เขาอยากหัวเราะออกมาดังๆแต่ก็ติดที่ว่ากลัวจะโดนเชิญออกทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
นักเรียนปีอื่นก็ยังคงต้องมาเรียนตามเดิม
ดังนั้นในห้องสมุดตอนนี้จึงมีแต่พวกคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่แล้ว
จงอินยิ้มเพื่อนร่วมห้องที่จ้องพวกเขาตาไม่กระพริบผลก็คือพวกนั้นพากันสะดุ้งและหันกลับไปสนใจหนังสือของตัวเองแต่ไม่นานก็หันมามองต่อ
ชานยอลเองก็รู้สึกได้ว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตา
เด็กหนุ่มตัวสูงเริ่มแสดงอาการงุ่นง่านจนจงอินต้องดึงผมหน้าจนอีกฝ่ายร้องโอ๊ยดังลั่นและรีบหุบปากลงเมื่อได้อาจารย์คิมมองมาทางพวกเขาด้วยสายตาตำหนิ
“ดึงผมกูทำเหี้ยอะไร”
กระซิบถามเสียงแหบต่ำก้มหน้าลงมาจนเกือบจะแนบโต๊ะทั้งที่ยังใช้มือลูบผมตัวเองป้อยป้อย
แต่คิมจงอินก็ดูจะไม่สะทกสะท้านแถมยังยิ้มกว้างหน้าตาเฉยราวกับเมื่อครู่ไม่ได้ทำร้ายเขา
“เรียกเดี๋ยวเสียงดัง”
อยากจะจับมันไปสาบานที่ไหนก็ได้ว่าพูดจริง
ชานยอลกลอกตาและยืดตัวขึ้นนั่งพิงพนักเก้าอี้มองคิมจงอินที่ยังคงส่งยิ้มน่าหมั่นไส้มาให้
“แล้วจะสื่อสารกันยังไงล่ะครับ
ถ้ามึงไม่พูดกูไม่พูดคงจะคุยกันรู้เรื่องหรอก มองตาแล้วรู้ใจไง้”
“นายไม่เลี่ยนตัวเองบ้างเหรอปาร์คชานยอล”
จงอินทำสีหน้าขยาดใส่
ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มบนสุดจากกองที่อยู่ทางขวามือและส่งให้อีกคนที่เลิกคิ้วมองเขาโดยไม่สนใจสิ่งที่ส่งให้เลยแม้แต่น้อย
“เปิดอ่านสิ นายคงไม่เก่งขนาดมองตาแล้วรู้ใจหนังสือหรอกนะ”
กวน-ตีน
ชานยอลขยับปากช้าๆแถมยังดันหนังสือเกี่ยวกับโลกและดาราศาสตร์ออกไปพ้นๆหน้าด้วย
พอจะเข้าใจอยู่บ้างแล้วว่าทำไมวันนี้เขาถึงต้องมานั่งอยู่ที่นี่
เรื่องมันเกิดเมื่ออาทิตย์ก่อนที่แม่ชวนคิมจงอินไปบ้านและดันพูดถึงผลการเรียนห่วยแตกในวิชาวิทยาศาสตร์ของเขาขึ้นมาบนโต๊ะอาหาร
คิดว่ามันลืมไปแล้วด้วยซ้ำแต่ไอ้ที่กองอยู่ตรงหน้านี่คงยืนยันได้แล้วว่าคิมจงอินไม่ได้ลืม
“อ่านซะ
ปาร์คชานยอล”
“กลัวตายห่าล่ะ”
“ไม่ได้บังคับเพราะคิดว่าจะกลัว
แต่บังคับเพราะห่วงอนาคตของนาย”
เจอคำนี้ร้อยทั้งร้อยก็ตายด้วยกันทั้งนั้น
แม้แต่ปาร์คชานยอลก็ไม่เว้น
ไม่อยากเชื่อว่านี่จะเป็นคนเดียวกับที่เขาเคยได้ยินมาผ่านๆ
ไม่แน่ใจว่าใช่คิมจงอินคนเดียวกันกับที่ใครต่อใครพูดว่าวันๆ ไม่ทำอะไร
ไม่สนใจใครนอกจากนอนหรือเปล่า ทำไมอะไรอะไรที่มันทำถึงได้ดูตรงข้ามไปซะหมด
วิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่ชานยอลไม่ชอบ
โคตรจะไม่ชอบไม่ว่าจะแขนงไหน
เขาไม่เคยมีความอยากรู้กับสิ่งที่อยู่ในหนังสือเรียนพวกนี้เลยแม้แต่น้อย
เพราะเขาคงไม่สามารถเอามันไปประยุกต์ในชีวิตประจำวันได้แน่ๆ
ใครจะมามัวนั่งคิดวะว่าตอนต่อยคนมันจะมีรีแอคชั่นกลับมาที่มือเท่าไหร่
ต่อยก็คือต่อย รู้แต่ว่าตอนต่อยก็ต้องซัดมันให้สลบเท่านั้นแหละ
“อ่านเล่มนั้นก่อนก็ได้
ถึงนายจะมีโควต้านักกีฬาแต่ยังไงพวกนี้นายก็ต้องสอบ
อย่างน้อยมหาวิทยาลัยที่รับนายเข้าไปจะได้ไม่ลังเลตอนที่เห็นคะแนนเด็กทุนของพวกเขา”
“กูไม่ชอบห้องสมุด
ยืมกลับไปอ่านที่บ้านได้มั้ยล่ะ”
จงอินเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือที่เต็มไปด้วยตัวเลขของตัวเองก่อนจะพยักหน้ารับข้อตกลง “ถ้านายไม่วางทิ้งมันไว้มุมห้อง
หรือหลับคาโต๊ะตอนอ่านมันน่ะนะ”
“เถอะน่า
กูไม่หลับหรอก” พูดไปทั้งที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำได้หรือเปล่า
เขาเป็นไม้เบื่อไม้เมากับมันมานานแล้ว
“งั้นก็เลือกเอาแค่เล่มที่จะอ่านไปก่อนแล้วกัน”
ชานยอลพยักหน้า
หยิบหนังสือออกมาสองสามเล่มจากที่กองอยู่ เขาไม่มั่นใจว่าจะอ่านมันได้จริงๆ
ให้ไปแข่งบาสห้าต่อหนึ่งยังดูเป็นเรื่องง่ายซะกว่า
พวกเขาช่วยกันยกหนังสือไปเก็บที่และชานยอลเห็นว่าคิมจงอินหยิบของตัวเองมาอีกสองสามเล่ม
ความถนัดทางด้านสถาปัตยกรรม
หน้าปกมันเขียนไว้ว่าอย่างนั้น
ทำเอาชานยอลเลิกคิ้วมอง เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าจงอินคิดจะเรียนสถาปัตย์ฯ
อันที่จริงอีกฝ่ายไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับตัวเองเลยด้วยซ้ำ
ถ้าไม่สังเกตหรือถามเอาตรงๆ ชานยอลคิดว่าเขารู้เรื่องของจงอินน้อยมาก
หนังสือทั้งหมดถูกยืมโดยใช้บัตรนักเรียนของคิมจงอิน
เพราะปาร์คชานยอลซึ่งอยู่โรงเรียนมาตั้งแต่ช่วงม.ต้นไม่เคยเฉียดร่างเข้ามาใกล้ทำให้ต้องเสียเวลาสมัครกันใหม่
มันน่าเหลือเชื่อจนแม้แต่อาจารย์คิมถึงกับจ้องเด็กหนุ่มผ่านแว่นตาของเธออยู่เกือบครึ่งนาทีก่อนจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย
ทั้งคู่เดินออกจากโรงเรียนในตอนเกือบจะสิบโมง
แน่นอนว่าหนังสือทั้งหมดกัปตันปาร์ครวบไปถือไว้คนเดียว คิมจงอินถึงได้เดินตัวปลิวก้มหน้าก้มตาแกะสายหูฟังที่พันกันจนยุ่งเหยิงอย่างสบายใจ
ชานยอลเกือบจะทุ่มหนังสือใส่หัวไปแล้วถ้าไม่ติดว่าจงอินรู้ทันและยัดหูฟังเขาหูของเขาเสียก่อน
มันเป็นเพลงโปรดที่ช่วงนี้เขาได้ฟังบ่อยเพราะคิมจงอินชอบมันมากถึงขนาดเอ่ยปากขอให้เขาไปแกะมาเล่นให้ฟัง
ชานยอลฟังเพลงนี้เป็นรอบที่สิบตอนที่พวกเราเดินมาถึงทางแยกที่ต้องกลับบ้าน
คิมจงอินเอื้อมมือดึงหูฟังออกแต่เขากลับเบี่ยงตัวหนี
“กลับบ้านไปอ่านหนังสือได้แล้วครับคุณนักกีฬา
ผมก็จะได้อ่านของเหมือนกัน”
จงอินพูดเสียงอ่อน
ปาร์คชานยอลโหมดกำลังงอแง กวนตีน
หรือเรียกร้องอะไรสักอย่างทำให้เขารู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาหน่อยๆ
อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้โหมอ่านหนังสือหนักทำให้เขาไม่สามารถรับมือคุณนักกีฬาคนนี้ได้ดีเท่าที่เคยเป็น
“ไปอ่านหนังสือที่บ้านกูกัน”
“ห้ะ?”
ชานยอลถอนหายใจ
เขาเอื้อมมือมาดึงหูฟังออกและก้มหน้าลงมาหาก่อนที่จะ..
“ไป-อ่าน-หนัง-สือ-ที่-บ้าน-กู!!”
จงอินสะดุ้งโหยงแทบทำโทรศัพท์หลุดมือ ถอยหลังไปสองสามก้าวมองปาร์คชานยอลด้วยสายตาคาดโทษ จะให้ไปก็ชวนดีๆไม่ได้หรือไง มาตะโกนกรอกหูกันแบบนี้มันน่าไปด้วยไหมล่ะ!!!
50 PERCENT
จงอินโค้งหัวทักทายคุณนายปาร์คที่เดินออกมาต้อนรับพร้อมกับบอกให้นั่งรออยู่ด้านล่างในขณะที่ไล่ลูกชายคนเล็กขึ้นไปจัดการห้องหับของตัวเองให้เรียบร้อย
เขากวาดตามองไปรอบบ้านที่แม้จะเคยมาแล้วหลายครั้งแต่ก็ทุกอย่างก็ยังคงถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบราวกับว่ามันไม่เคยเคลื่อนที่เลย
ผิดกับห้องของปาร์คชานยอลลิบลับ
“กินขนมรอก่อนนะจงอิน
คงอีกสักพักเลยล่ะ” เธอยังคงมีรอยยิ้มกว้างและดูแลจงอินอย่างดีเสมอ
เด็กหนุ่มลุกขึ้นโค้งขอบคุณพลางรับขนมและน้ำที่คุณนายปาร์คยกมาให้ด้วยสีหน้าที่ติดจะเกรงใจ
“อันที่จริงผมขึ้นไปเลยก็ได้นะครับ”
“ได้ยังไงล่ะ
ฝุ่นฟุ้งขนาดนั้น เราน่ะเพิ่งจะหายตาอักเสบไม่ใช่เหรอ” ไม่ว่าเปล่า
เธอยังจับตัวเขาให้นั่งลงกับโซฟารับแขกนิ่งๆ พร้อมทั้งเอ่ยเสียงดุจนจงอินยอมนั่งรออย่างที่เธอบอก
อดจะแปลกใจไม่ได้ว่าคุณนายปาร์ครู้ได้อย่างไรว่าเขาเพิ่งจะดีขึ้นจากอาการตาอักเสบที่อยู่ๆก็มาพร้อมกับภูมิแพ้และฤดูหนาว
“ตาชานยอลบ่นไม่หยุดเลยรู้ไหม
เด็กคนนั้นขี้บ่นเป็นประจำ แต่แม่เห็นเขาบ่นจงอินจนแปลกใจเลยล่ะ
มีการมาถามแม่ด้วยนะว่าทำยังไงให้ตาหายอักเสบเร็วขึ้น”
เสียงบอกเล่าของคุณนายปาร์คทำเอาจงอินเกือบกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่
เป็นเพราะว่าช่วงก่อนอากาศเย็นมาก
จงอินโหมอ่านหนังสือและไม่ค่อยมีเวลาทำความสะอาดห้องตัวเองสักเท่าไรนัก
ผลมันก็เลยมาลงที่คนเป็นโรคภูมิแพ้อย่างเขานี่ไง
ถึงตอนนี้ก็ยังต้องใส่แว่นไปไหนมาไหนพร้อมกับอาการตาปูดที่ปาร์คชานยอลมักจะล้อเลียนว่าเขาชอบทำวิ้งค์อยู่ตลอดเวลา
“ผมโดนแกล้งด้วยนะครับคุณป้า”
ปกติคิมจงอินก็ไม่ใช่คนขี้ฟ้อง
แต่ในเมื่อตอนนี้มีคนลงโทษปาร์คชานยอลให้เขาได้ ก็ไม่จำเป็นต้องลงมือเอง “ชานยอลเอาแว่นผมไปซ่อนแทบจะวันละสามเวลาเลยครับ”
“ตายจริง เด็กคนนี้นี่
ทำไมทำกับเพื่อนอย่างนี้นะ” จงอินยิ้มกว้าง
คุณนายปาร์คบอกว่าเธอจะจัดการให้และเดินตรงขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านทันที
เด็กหนุ่มมองตามแล้วเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาอยู่แล้วตอนได้ยินเสียงปาร์คชานยอลแหกปากลั่น
จงอินคิดว่าเขากำลังมีเขาแหลมๆงอกอยู่บนหัวพร้อมถือคฑาสามง่ามอยู่แน่ๆ
หลังจากนั้นอีกเกือบครึ่งชั่วโมงปาร์คชานยอลก็เดินตึงตังลงมาตามเขาที่นั่งยิ้มกว้างกินขนมนมเนยอยู่ตรงห้องนั่งเล่นให้ขึ้นไปชั้นบน
กัปตันคนเก่งไม่พูดอะไรแต่เขาก็แอบเห็นว่าใบหูข้างขวาแดงก่ำจนน่าตกใจแต่มันดูตลกมากกว่าจะน่าสงสารเสียอีกในสายตาของจงอิน
“มึงมันขี้ฟ้อง”
นั่นไงปิดประตูห้องได้ยังไม่ทันจะนั่งก็เริ่มเลย “เห็นไหมเนี่ย หูกูแดงขนาดนี้ ตอนนั้นบอกไม่โกรธไงวะ”
“ก็ไม่ได้โกรธ
ไม่ได้ฟ้องด้วยนะ”
จงอินทิ้งตัวนั่งบนเตียงนอนที่เขายึดเป็นเจ้าของทุกครั้งที่มาห้องนี้
ส่วนปาร์คชานยอลก็ระเห็จตัวเองไปนั่งบนเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์
ห้องนอนรกๆวันนี้ดูจะมีระเบียบขึ้นมาหน่อยไม่เหมือนกับที่เห็นเมื่อคืน
แถมตรงปลายเตียงยังมีโต๊ะญี่ปุ่นตั้งอยู่พร้อมด้วยหนังสือสามสี่เล่มกับจานผลไม้และกระปุกน้ำพร้อมสรรพ
“ไม่ได้ฟ้องห่าอะไร
แม่ขึ้นมาบิดหูกูแทบขาด แถมยังใช้ให้เก็บห้องจนเกลี้ยงด้วย” ท่าทางพูดไปเอามือลูบหูไปมันตลกจนต้องหลุดหัวเราะออกมาแต่พอเห็นปาร์คชานยอลมองเขาด้วยสายตาขู่เอาเรื่องจงอินก็ยกมือขึ้นสองข้างทำท่ายอมแพ้แล้วกลับมานั่งขัดสมาธิจ้องอีกคนตาแป๋วแทน
“อะไร
มองกูงี้หมายความว่าไง” ปาร์คชานยอลทำท่าผวาเมื่อเห็นว่าเขาทำท่าแปลกๆ
จงอินยังคงนั่งกระพริบตาปริบๆมองเด็กหนุ่มตัวสูงหยิบกองซากกระดาษทิชชู่ข้างโน๊ตบุ๊คหย่อนลงถังขยะใต้โต๊ะ
เพิ่งสังเกตว่าห้องนี้เป็นระเบียบกว่าทุกครั้งเมื่อซีพียูและคีย์บอร์ดถูกกวาดไปกองไว้ข้างทีวี
“เพิ่งรู้ว่านายทำแบบนั้นตรงหน้าโน๊ตบุ๊คด้วย”
จงอินตั้งใจเน้นคำว่า ทำแบบนั้น
พร้อมกับส่งสายตาไปยังถังขยะที่คุณกัปตันตัวสูงเพิ่งจะยัดกระดาษทิชชู่กองใหญ่ลงไป
ซึ่งนั่นทำเอาปาร์คชานยอลถึงกับหน้าแดงก่ำลามไปทั้งหูทั้งคอ
“หุบ-ปาก-ไป-เลย
คิม จง อิน!!!”
เขาระเบิดหัวเราะจนลงไปนอนกุมท้องกับเตียงผิดปาร์คชานยอลที่เดินปึงปังมากระแทกตัวนั่งตรงโต๊ะญี่ปุ่นแถมยังหันหลังให้กันอีกด้วย
จงอินหัวเราะจนปวดท้องไปหมดแต่เขาไม่สามารถกลั้นมันไว้ได้จริงๆ
เวลาเห็นอาการเขินจนแดงไปทั้งตัวแบบนี้
เด็กหนุ่มตัวผอมขยับเลื้อยตัวเปลี่ยนหันหัวลงมาทางปลายเตียงที่เจ้าของหันหลังพิงอยู่
จงอินชะโงกออกไปดูแล้วพบว่าหน้าตาของปาร์คชานยอลตอนนี้มันตลกมากจริงๆ
และกว่าที่พวกเราจะได้เริ่มอ่านหนังสือกันจริงจังเขาก็ต้องเสียเวลาออกแรงง้อกัปตันปาร์คอยู่อีกครึ่งชั่วโมงเลย
เสียงแกรกกากสลับกับเสียงเปิดหน้ากระดาษดังเป็นระยะเมื่อต่างฝ่ายต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง
จงอินขยับลงมานั่งบนพื้นข้างๆกับชานยอล
หยิบหนังสือความถนัดสถาปัตย์ฯที่อ่านทิ้งไว้มาเปิดแล้วเริ่มวาดอะไรสักอย่างลงในที่ว่างใต้โจทย์ข้อนั้น
ส่วนเด็กหนุ่มตัวสูงก็จมอยู่กับประวัติศาสตร์เกาหลีอันแสนน่าเบื่อซึ่งทำให้เจ้าตัวเกือบจะวูบหลับอยู่หลายรอบ
ถ้าไม่ติดที่…
ป๊อก
“กูเจ็บ”
“ก็อย่าหลับสิ”
ชานยอลลูบหัวตรงที่โดนดินสอเหล็กเคาะเมื่อครู่แล้วขยับปากบ่นมุบมิบฟังไม่ได้ศัพท์
บทสนทนาตลอดสองชั่วโมงที่ผ่านมามีแค่นั้น เพราะถ้าเขาทำท่าจะหลับ
คิมจงอินที่ไม่รู้ว่ามีตาทิพย์หรืออะไรก็เงยหน้าขึ้นมาเคาะกลางกระหม่อมกันพอดีเป๊ะ
ปกติแล้วชานยอลเป็นพวกกลับถึงบ้านก็อาบน้ำอาบท่าแล้วมานั่งโด้เกมจนดึกดื่นเฝ้าคิมจงอินอ่านหนังสือ
ง่วงก็นอน เบื่อก็หาอย่างอื่นทำรออะไรประมาณนั้น
แต่การมานั่งอ่านหนังสือด้วยกันอย่างนี้บอกตามตรงว่ามันเป็นครั้งแรก
และเป็นครั้งแรกที่เขาไม่ชินเลยสักนิด ถึงจะเคยทำรายงานด้วยกันมาแล้ว
แต่เขาก็ไม่ต้องมานั่งอยู่กับตัวหนังสือเป็นพรืดเห็นแล้วชวนให้ง่วงอย่างนี้
เด็กหนุ่มตัวสูงขยับเหยียดขาเอนหลังพิงของเตียงแหงนคอขึ้นพาดคลายความเมื่อยขบจากการเป็นเวลานาน
ชานยอลเพิ่งจะค้นพบว่าการอ่านหนังสือมันทำให้คนเราเหนื่อยกว่าการวิ่งอยู่ในสนามบาสยี่สิบนาทีติดเสียอีก
หลับตาพักอยู่ครู่หนึ่งแต่หูก็ยังได้ยินเสียงดินสอขีดเขียนบนกระดาษไม่หยุดจนต้องหรี่ตามอง
คิมจงอินเปลี่ยนโจทย์ที่ทำอยู่มาแล้วสามข้อ
รู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายวาดรูปเก่งแต่ก็ไม่คิดว่าจะเก่งถึงขนาดสร้างสิ่งที่อยู่ในตัวอักษรออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้
ตอนที่เหล่มองครั้งที่แล้วเขาเห็นว่าจงอินกำลังวาดตึกสูงที่มีประตูโค้งๆ
ตรงกลางเป็นทางเดินและมีคนขายของอยู่เต็มไปหมด
แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าไอ้ที่กำลังขีดเขียนอยู่กลับเป็นอะไรสักอย่าง
ดูคล้ายกับฉากในเชอร์ล็อค โฮล์มส์ซึ่งพวกเขาเพิ่งดูด้วยกันไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว
“พักเหอะ
วาดมาตั้งหลายรูปแล้ว” ไม่ว่าเปล่า ชานยอลเอื้อมไปปลดแว่นตามาควงเล่นทำเอาจงอินหยุดมือและเงยหน้าขึ้นมามองคนก่อกวนทันที
“เพิ่งรูปที่สี่
เอาคืนมาปาร์คชานยอล”
“ไม่คืน พักได้แล้ว
กูหิวไปหาอะไรกินกัน”
คนใจร้อนฉุดแขนจงอินให้ลุกขึ้นตามโดยไม่ฟังคำประท้วง
ชานยอลลากเด็กหนุ่มตัวผอมให้เดินลงบันไดมาด้วยกันทั้งที่แว่นสายตาของจงอินยังอยู่ในมือ
เสียงโวยวายทำให้ปาร์คยูราที่เพิ่งกลับมาหันไปสนใจแล้วส่ายหน้าหน่ายๆกับน้องชายทื่อมะลื่อ
ไม่รู้จักการแสดงออกต่อแฟนอย่างคนทั่วไป
“เอาแว่นคืนมา!”
จงอินยังคงพูดประโยคแต่คราวนี้ดังกว่าเก่าจนคุณนายปาร์คต้องหันมาจ้องเด็กสองคนซึ่งทำเสียงโวยวายอยู่ตรงโถงบันได
เธอลุกพรวดตรงเข้ามาบิดต้นแขนลูกชายคนเล็กให้ปล่อยออกจากคอเพื่อนและปาร์คชานยอลก็ร้องลั่นทันที
“โอ๊ยยยแม่ ผมเจ็บนะครับ!”
“แกล้งเพื่อนอีกแล้ว
เรานี่มันยังไงกัน ต้องให้แม่ไปเอาไม้เรียวในห้องเก็บของมาตีมั้ยชานยอล”
จงอินฉวยแว่นตัวเองคืนมาจากเด็กหนุ่มตัวสูงพร้อมรีบวิ่งหลบขึ้นชั้นสอง
ปล่อยให้ปาร์คชานยอลตกเป็นจำเลยของมารดาอย่างไม่คิดจะช่วยแก้ต่าง
โดยมีสายตาขบขันของปาร์คยูรามองภาพตรงหน้าอยู่ไม่ห่าง
“อยากให้เขาพักแกก็พูดดีๆสิ
ไปขโมยแว่นเขามาอย่างนั้น โดนเอาคืนก็สมควรแล้ว”
ยูราพูดขึ้นตอนที่น้องชายตัวสูงหย่อนตัวลงนั่งข้างเธอทั้งที่หน้าตายังคงบึ้งตึง
เดาได้เลยว่าแขนของชานยอลต้องเขียวแน่ๆ ก็แรงหยิกของแม่น่ะเบาซะเมื่อไหร่กันล่ะ
“ก็มันเอาแต่อ่านหนังสือ
ผมพูดจนปากจะฉีกถึงหูแล้ว”
“พูดจาหมาไม่แดกอย่างแก
ใครเขาจะไปรู้ว่าห่วง” เมื่อโดนพี่สาวตอกหน้าชานยอลก็พูดไม่ออก อาการตอนนี้เรียกว่าน้อยใจอยู่หน่อยๆก็ได้
โคตรสาวน้อยชะมัดเขาก็ไม่อยากรู้สึกอย่างนี้หรอกแต่คิมจงอินมันซื่อบื้อจนอดไม่ได้จริงๆ
“ก็มันโง่”
“คนโง่น่ะมันแกต่างหาก”
ปาร์คยูราเป็นผู้หญิงที่ชานยอลคิดว่ามีอะไรมาให้เขาแปลกใจได้อยู่เสมอ
แม้กระทั่งการด่าน้องชายตัวเองเธอยังสามารถทำได้หน้าตาเฉย “ยังมาทำหน้าโง่ใส่ฉันอีก
โอ๊ยนี่แกเก่งแค่เรื่องเล่นบาสเหรอปาร์คชานยอล”
“อะไรของพี่วะ
ด่าผมทำไมเนี่ย ผมเป็นน้องพี่นะ” เถียงไม่ได้ก็ต้องประท้วงกันล่ะ
ถึงจะไม่ค่อยได้ผลก็ตามที แต่ไหนแต่ไรเขากับพ่อก็เป็นรองสองสามในบ้านอยู่แล้ว
“ก็เพราะแกเป็นน้องฉันน่ะสิ
เอาอย่างนี้นะ จะยกตัวอย่างให้น้องโง่ๆอย่างแกฟังเผื่อจะฉลาดขึ้นมาบ้าง”
คำว่าโง่ของยูราเจ็บจี๊ดเข้าไปถึงผิวหนังแต่ชานยอลก็ยังตั้งใจฟังพี่สาวซึ่งขยับนั่งหันข้างมาหาเขาทั้งตัว
“เวลาจงอินบอกให้แกทำอะไรสักอย่างเพื่อตัวแกเอง เขาพูดว่ายังไง”
“ก็....” นิ่งคิดไปครู่ใหญ่
ที่คิมจงอินพูดน่ะเหรอ... “ก็พูดด้วยดีๆ” ชานยอลคิดว่าอย่างนั้นถึงมันจะเต็มไปด้วยการหลอกด่าทุกครั้งก็ตามที
“เออ นั่นแหละ! แกก็รู้จักเอาอย่างเขาซะบ้าง
เด็กคนนั้นเอาใจใส่แกมากเลยนะชานยอล”
ท้ายประโยคปาร์คยูราพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงจนกลายเป็นเอ็นดู
เธอสังเกตและเห็นสิ่งที่ทั้งสองคนทำให้กันอยู่เสมอ กับน้องชายแท้ๆเธอรู้ว่าที่ชานยอลทำมันหมายความอะไร
แต่กับคิมจงอินนั้นเธอที่ไม่ได้เป็นคนรับยังสัมผัสมันได้
“รู้แล้วล่ะน่า”
ชานยอลหยุดยิ้มไม่ได้เมื่อตัวเขาก็รู้สึกอย่างที่พี่สาวพูดออกมา
ถึงแม้ประโยคเหล่านั้นจะเต็มไปด้วยการหลอกด่าแต่ไม่มีอันไหนที่ไม่แฝงความหวังดีมาเลยแม้แต่น้อย
สงสัยเขาคงต้องหัดเป็นคนพูดดีๆกับคนอื่นบ้าง
เผื่อคิมจงอินจะได้ยอมทำอะไรอย่างที่เขาบอกสักที
“ผมขึ้นห้องละ
ขอขนมนี่ด้วยนะ พี่กินจนอ้วนเกินไปแล้ว ยัยหมูตอน”
ไม่รอการทุบตีจากยูรา
ชานยอลเผ่นแผล็วขึ้นชั้นสองด้วยความว่องไวทั้งที่ยังมีเสียงตะโกนด่าของพี่สาวลั่นตามหลัง
เด็กหนุ่มตัวสูงก้าวขึ้นบันไดทีละสองขั้นตรงไปยังห้องนอนของตัวเองพร้อมกับจานขนมในมือ
คิดไว้ว่าถ้ามันไม่ยอมพักจริงจัง ก็ให้พักไปอ่านไปก็คงดี
“การซื่อตรงต่อความรู้สึกน่ะ มันไม่ใช่เรื่องร้ายแรงหรอกนะ
ยิ่งความรู้สึกของนายเป็นสิ่งดี การเป็นห่วงเป็นใยคนอื่น การใส่ใจคนอื่น
ไม่ว่าใครที่ได้รับสิ่งนี้ก็ต้องรู้สึกดีด้วยกันทั้งนั้น”
อยู่ๆ
คำพูดของคิมจงอินวันนั้นก็ผ่านเข้ามาในหัว
ถึงมันจะดูเก้อเขินไปเสียหน่อยสำหรับคนที่ไม่เคยทำอะไรอย่างนี้
แต่เพราะอีกฝ่ายคือคนที่ห่วงใยและสอนเขาเองว่าถ้าเป็นเรื่องดีก็ให้แสดงมันออกมา
ชานยอลเลยยอมสลัดความอายทิ้งไป
“กูเอา..ขนมมาให้” ท้ายประโยคพูดเสียงเบาเมื่อเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วพบว่าคนที่บอกไม่พักเมื่อครู่กลับฟุบลงกับโต๊ะไปแล้ว
ตลกมันก็ใช่แต่แวบนึงที่เห็นชานยอลกลับรู้สึกว่าเขาเอ็นดูคิมจงอินขึ้นมาถนัดตา
ถึงจะเคยเห็นตอนหลับอยู่บ่อยๆก็ตาม
เด็กหนุ่มตัวสูงทำทุกอย่างให้เบาที่สุด
เขาเก็บหนังสือของตัวเองที่ยังไม่ได้เปิดลงพื้นและวางขนมลงแทนที
หยิบแว่นสายตากับดินสอที่คาอยู่ในมือออกวางไว้ไม่ไกล เขานั่งลงข้างๆคนหลับ เกลี่ยผมที่ทิ่มตาอยู่ออก
เห็นได้ชัดว่าตาขวาของคิมจงอินยังคงบวมอยู่ซึ่งเขาไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นักเพราะอีกฝ่ายไม่ดูแลตัวเองเรื่องนี้
นั่งมองคนหลับอยู่ครู่นึงก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบกีต้าร์โปร่งที่เก็บอยู่ซอกตู้ออกมา
ทำนองเพลงที่เพิ่งจะแกะเสร็จไปเมื่อวันก่อนดังขึ้นเบาๆ
ชานยอลเกากีต้าร์ตามจังหวะและตัวโน้ตที่แล่นอยู่ในหัว
เขาไม่รู้ว่ามันจะรบกวนคนที่กำลังพักผ่อนอยู่หรือเปล่า แต่ก็เหมารวมเอาเองว่าคิมจงอินคงจะไม่ว่าอะไรเพราะทุกคืนก็ขอให้เขาเล่นไปด้วยอ่านหนังสือไปด้วยอยู่แล้ว
โดยที่ชานยอลก็ไม่ทันสังเกตว่าคิมจงอินกำลังอมยิ้มทั้งที่ยังหลับตา
บันทึกของชานยอล
ผมกำลังหงุดหงิด
หงุดหงิดชนิดที่อยากจะอัดอะไรสักอย่างกับต้นไม้
อะไรสักอย่างเช่นหนังสือเรียนหรือคนที่คิดการสอบเข้ามหาวิทยาลัยบ้าบอคอแตกนี่แหละ
ใครใช้เด็กอายุยี่สิบที่ไม่มีประสบการณ์ห่าอะไรเลยนอกจากการเรียนไปวันๆ
มาตัดสินอนาคตตัวเองที่เหลือวะ แต่ก็นะ..โวยวายก็ไม่ใช่ว่าจะมีอะไรดีขึ้น
เพราะต้นเหตุที่ทำให้ผมหงุดหงิดจริงๆ คือมนุษย์ที่ชื่อว่า คิมจงอิน
ต่างหากล่ะ
“ฉันจะอ่านหนังสือแล้ว
นายวางเลยก็ได้นะ”
โคตรเซ็งตอนได้ยินประโยคนี้
อันที่จริงผมได้ยินมาเป็นร้อยเป็นพันรอบแล้ว ไม่ได้เพิ่งจะมาเซ็งอะไรหรอก
เซ็งมาตั้งนานแล้วแต่วันนี้เซ็งยิ่งกว่าเพราะไอ้คนพูดมันดันย้ำมากกว่าปกติ
ทั้งที่ผมเองก็บอกมันแล้วเหมือนกัน
“เออ ก็อ่านไปสิวะ
กูก็อ่านของกูเหมือนกัน”
ผมรู้ตัวเลยว่าเสียงผมมันติดรำคาญแค่ไหน
และคิมจงอินก็รู้ด้วยเหมือนกัน หลังจากวันที่มันมาบ้านผมตั้งแต่สองอาทิตย์ที่แล้ว
ผมกับมันก็ไม่ได้เจอกันอีกยกเว้นที่โรงเรียน
แต่ก็นั่นแหละขนาดเวลาพักที่เคยนั่งเล่นด้วยกัน มันยังเอาไปหมกกับหนังสือทั้งหมด
ไม่รู้ว่าจะสนใจอะไรนักหนา ยิ่งพักนี้ตัวติดกับไอ้เทาแล้วก็เซฮุนหนักขึ้นกว่าเก่าด้วย
เฮ้ย...นี่แม่งอะไรกันวะเนี่ย
โอเคผมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะมาหงุดหงิดอะไรหรอก
คนเขาต้องอ่านหนังสือ ก็ต้องให้เวลา อนาคตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ไอ้ลู่หานกรอกประโยคนี้ใส่หูผมเป็นสิบรอบแล้วหลังจากที่ผมแสดงอาการหงุดหงิดงุ่นง่านน่ะนะ
แต่แล้วมันยังไงกันล่ะวะ
“ไม่พอใจอะไรปาร์คชานยอล นายนั่งทำหน้าอย่างนั้นมานานเกินไปแล้วนะ”
ผมเงยหน้ามองคนในจอโทรศัพท์ที่วางดินสอแล้วขมวดคิ้วจ้องผม
จะให้ตอบว่าหงุดหงิดที่มันเอาแต่สนใจหนังสือก็ดูจะงี่เง่าจนเกินพอดีแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริง
สุดท้ายก็บอกปัดและหันกลับมาสนใจวิชากฎหมายที่เป็นจุดอ่อนด้อยที่สุดของตัวเองแทน แต่คิมจงอินกลับไม่ยอมให้ผมไปอ่านหนังสือซะอย่างนั้น
“นี่ พักก่อนสิ
นายอ่านมาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ”
เหอะ
พ่นลมหายใจออกมาเสียงดัง เอาให้รู้ไปเลยว่าหงุดหงิด คนที่อ่านมาตั้งนานนั่นมันมึงต่างหากไม่ใช่กู
“เสาร์นี้ว่างหรือเปล่า”
ผมเลือกถามไปประเด็นอื่น ปรับสีหน้าให้ดูดีขึ้นนิดหน่อย “มึงไม่ได้มีนัดกับใครใช่ไหม”
ที่ถามออกไปอย่างนั้นเพราะว่าช่วงนี้คิมจงอินเอาแต่หมกตัวอยู่กับเพื่อนฝูง
ว่างก็ไปอยู่บ้านเซฮุนไม่ก็ไอ้เทา คลายเครียดก็ไปกับไอ้สองคนนั้น
แล้วที่สำคัญก็ติดต่อไม่ค่อยจะได้อีกต่างหาก
“ยังไม่ได้นัดใคร
ทำไมนายมีอะไรเหรอ”
ยังจะมีหน้ามาถาม
มีห่าอะไรล่ะ กูก็คิดถึงมึงบ้างไม่ได้ไง้ ถึงจะวีดีโอคอลกันทุกวันแต่ก็ไม่ได้เจอกันมานานแล้วไม่ใช่เหรอ
แต่..ผมไม่ได้พูดออกไปหรอก
“เออ ไม่ได้นัดใครก็ดี
กูจะได้นัด มาติวหนังสือให้กูที”
ผมเห็นมันทำหน้าประหลาดใจ
แต่ก็พยักหน้าตอบตกลงก่อนจะขอตัวกลับไปอ่านหนังสือของมันต่อ
ทิ้งผมให้ถอนหายใจเฮือกเฮือก ให้ตายเถอะ
กูไม่อยากจะงี่เง่ากับเรื่องไม่เป็นเรื่องจริงๆ
ปาร์คชานยอลไอ้คนป๊อดเอ๊ย
ก็แค่คิดถึงเขาจนอยากเจอตัวเป็นๆเท่านั้นล่ะวะ!
จบบันทึกของปาร์คชานยอล
#ฟิควงกลมชานไค
ไอ้คุณกัปตันปาร์คนี่มันงี่เง่าสาวน้อยมากมากเลยจริงๆ...
55555555555555555555 ขอบคุณทุกๆคนมากเลยนะคะ ที่ยังอ่านอ่ะ เรารู้ตัวว่าฝีมือเราตกมากๆ แต่ทุกคนก็ยังอ่านกัน ขอบคุณมากๆจริงๆค่ะ เราจะพยายามตามเก็บฝีมือที่หล่นตามทางกลับมานะคะ ไม่รู้จะบอกคำไหนเลยนอกจากคำขอบคุณ ทั้งคำติชมในทวิตเตอร์แล้วก็ในคอมเม้นต์เด็กดี ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาอ่านตลอด แวะมาคุยกันตลอด ให้กำลังใจด้วย ขอบคุณมากจริงๆ
เอาล่ะ... ไม่มีอะไรจะพูดเรื่องคุณกัปตัน.. ให้ไปลุ้นกันเอาเองตอนหน้า
เลิ้บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
ความคิดเห็น