ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ✖ (exo) : Geometry series : Circle | #ฟิควงกลมชานไค CHANKAI FT. EXO

    ลำดับตอนที่ #15 : CHAPTER 14

    • อัปเดตล่าสุด 18 ม.ค. 59


    TITLE : CYCLE

    Pairing : Chanyeol X Kai

    "เราสองคนไม่เคยมีอะไรเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นเราถึงต้องค่อยๆเรียนรู้กันไป"




    ขอบคุณน้ำหวานนน วาดรูปให้ T____T น่ารักมากกก  

     



    CHAPTER 14

     

    จงอินบิดขี้เกียจหลังจากนั่งอยู่ท่าเดิมมาร่วมชั่วโมง เสียงเพลงเบาๆดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ที่เปิดวีดีโอคอลทิ้งไว้แต่ปลายดูเหมือนจะหลับไปแล้ว ทำเอาเด็กหนุ่มลอบยิ้ม เพราะนี่เป็นคืนวันศุกร์จงอินเลยอนุญาตให้ตัวเองนอนดึกกว่าปกติเพราะอยากใช้เวลาอ่านหนังสือให้มากขึ้น และปาร์คชานยอลก็อนุญาตให้ตัวเองโด้เกมอย่างไม่มีลิมิตได้เช่นเดียวกัน

    เสียงกรนดังลอดสายทำให้จงอินหลุดหัวเราะ ลังเลอยู่ว่าจะอาบน้ำหรือนอนทั้งชุดนักเรียนไปเลยอย่างนี้ดี ไหนๆนี่ก็ตีสามแล้ว เดี๋ยวอีกกี่ไม่กี่ชั่วโมงคงต้องตื่น เขาตัดสินใจคว้าชุดนอนเดินเข้าห้องน้ำ ล้างแขนขาพอให้ไม่เหนียวตัวและจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว

    หยิบโทรศัพท์มาตั้งไว้บนหัวเตียงและเอนตัวลงนอน รู้สึกร่างกายผ่อนคลายเมื่อได้อยู่ใต้ผ้านวมอุ่นๆ แบตเตอรี่เหลืออยู่อีกสามสิบเปอร์เซนต์คงนานพอที่จงอินได้ฟังเสียงกีต้าร์ของปาร์คชานยอลจนเขาหลับและเครื่องก็ดับไปเอง

    โคมไฟสีส้มอ่อนทำให้บรรยากาศในห้องดูสลัวๆ ตัวหนังสือมากมายที่เพิ่งถูกบรรจุเข้าสมองไปเมื่อครู่วิ่งวนช้าๆตามจังหวะเพลงที่ดังคลอ จงอินมักจะทำอย่างนี้เสมอเวลาอ่านหนังสือเสร็จ เขาชอบถามว่าตัวเองรู้อะไรบ้าง มีอะไรอยู่ในหัวบ้าง มันเป็นทริคอย่างหนึ่งที่เอาไว้ใช้ตอนที่ไม่มั่นใจว่าอ่านไปได้มากน้อยแค่ไหน

    ครืด

    กำลังคิดเพลินเกือบเคลิ้มหลับอยู่ๆ โทรศัพท์ก็สั่นขึ้นมาเสียก่อน เด็กหนุ่มเอื้อมไปหยิบมันเอามาดูแจ้งเตือนแล้วก็ต้องกลั้นยิ้ม เพราะมีคนรู้ทันส่งข้อความมาดักคอ

    กัปตันปาร์ค

    อ่านจบแล้วก็นอน ไม่ใช่มาหงายโทรศัพท์ให้กูมองเพดานห้องส้มๆ วางสายด้วย แล้วนอนเลย เอาไปชาร์จแบตด้วย ถ้าปล่อยให้แบตหมดพรุ่งนี้กูจะไปทุบหัวถึงบ้าน

    เหมือนเลี้ยงเซนต์เบอร์นาร์ดไว้เลยแฮะ

    กูได้ยินนะ แล้วกูก็ไม่ใช่เซนต์เบอร์นาร์ดด้วย นั่นมันหมาโง่

    นายต่างหากที่โง่ หมาไม่ได้โง่

    เสียงทุ้มต่ำดังลอดออกมาทำให้จงอินสะดุ้ง เพราะเผลอนินทาปลายสายทั้งที่ยังไม่ได้กดวาง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ลืมที่จะแก้ตัวให้หมาพันธ์ุโปรดของตัวเอง เขายิ้มกว้างทั้งที่ดวงตาปรือลงเรื่อยๆ จงอินเหนื่อยล้ามากสำหรับวันนี้ แม้เสียงโวยวายงึมงำของปาร์คชานยอลจะดังอยู่ไม่ขาด แต่ก็ไม่สามารถทำให้เขารู้สึกง่วงน้อยลงแม้แต่น้อย

    ชานยอลเงียบลงเมื่อเห็นว่าคนในจอหลับไปแล้ว คิมจงอินหลับทั้งที่มือยังจับโทรศัพท์และปล่อยให้เขาพูดคนเดียวอยู่นานสองนาน ขนาดบอกแล้วว่าอย่าปล่อยให้โทรศัพท์แบตหมดแต่อีกฝ่ายก็ไม่คิดจะฟัง ช่วงนี้เด็กม.ปลายปีสุดท้ายไม่จำเป็นต้องไปโรงเรียนดังนั้นวิธีที่จะติดต่อกันได้คงมีแต่ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น  เขาถึงได้ย้ำหนักย้ำหนาแต่คิมจงอินก็ยังลืม

    ใบหน้าของคนหลับไม่มีอะไรน่ามองแต่ชานยอลก็ยังทำตัวเป็นคนบ้ายิ้มกับโทรศัพท์ เขาไม่เคยรู้สึกอย่างนี้ ความรู้สึกที่เราชอบใครสักคนและค่อยๆเรียนรู้กันไปมันเพิ่งจะเกิดกับคิมจงอินเป็นคนแรก แต่ก็น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกชอบมันมาก เด็กผู้ชายหน้ามึนๆที่ไม่มีอะไรน่าดึงดูดกลับทำให้ชานยอลใจเย็นและรู้จักคิดถึงคนอื่น ถึงคนอื่นที่ว่าจะจำกัดอยู่แค่คิมจงอินคนเดียวก็ตามที ถึงบางครั้งมันโคตรน่าหงุดหงิดที่โดนหลอกด่าอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีครั้งไหนที่ชานยอลรู้สึกว่าอีกฝ่ายโกรธหรือเกลียดเขา มันมีแต่ความหวังดี ปาร์คชานยอลอาจจะเป็นคนโง่ในสายตาคิมจงอิน แต่เขาก็ไม่ได้โง่ที่จะมองไม่เห็นว่าตัวเองได้รับอะไรจากคนคนนี้มาบ้าง

    กูชอบมึงนะ ชอบมึงมากๆเลย

    ถ้าหากเป็นเวลาปกติเขาคงไม่กล้าพูดมันออกไป แต่ในตอนนี้คิมจงอินกำลังหลับและดูเหมือนว่าจะฝันดีซะด้วย ไม่รู้ว่าชานยอลทำตัวเป็นสาวน้อยเพ้อเป็นบ้าเป็นหลังได้ขนาดนี้ได้ยังไง แต่พอเห็นรอยยิ้มก็เผลอคิดเข้าข้างตัวเองทุกทีว่ามันยิ้มให้เขา เกิดขึ้นเพราะเขา และครั้งนี้ก็เหมือนกัน

    มึงต้องกำลังฝันดีอยู่แน่ๆ เพราะงั้น เพิ่มกูเข้าไปในความฝันด้วยแล้วกัน

     

    ปาร์คชานยอลกำลังถลึงตาใส่ตั้งหนังสือกองสูงท่วมหัวบนโต๊ะในห้องสมุดหลังจากจงอินตามอีกคนมาและบอกให้นั่งเฝ้าของให้หน่อยก่อนจะหายไปสักยี่สิบนาทีและกลับมาพร้อมกับหนังสือทั้งหมดนี้

    อะไรของมึงเนี่ย ยกมาทำห่าอะไร

    เอามาให้นายกินแทนข้าว เผื่อจะได้ฉลาดขึ้นมาบ้าง

    จงอินตีความสายตานั้นได้เป็นประโยคว่ามึงต้องการอะไรจากกูเหรอมันทำให้เขาอยากหัวเราะออกมาดังๆแต่ก็ติดที่ว่ากลัวจะโดนเชิญออกทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

    นักเรียนปีอื่นก็ยังคงต้องมาเรียนตามเดิม ดังนั้นในห้องสมุดตอนนี้จึงมีแต่พวกคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่แล้ว จงอินยิ้มเพื่อนร่วมห้องที่จ้องพวกเขาตาไม่กระพริบผลก็คือพวกนั้นพากันสะดุ้งและหันกลับไปสนใจหนังสือของตัวเองแต่ไม่นานก็หันมามองต่อ

    ชานยอลเองก็รู้สึกได้ว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตา เด็กหนุ่มตัวสูงเริ่มแสดงอาการงุ่นง่านจนจงอินต้องดึงผมหน้าจนอีกฝ่ายร้องโอ๊ยดังลั่นและรีบหุบปากลงเมื่อได้อาจารย์คิมมองมาทางพวกเขาด้วยสายตาตำหนิ  

    ดึงผมกูทำเหี้ยอะไรกระซิบถามเสียงแหบต่ำก้มหน้าลงมาจนเกือบจะแนบโต๊ะทั้งที่ยังใช้มือลูบผมตัวเองป้อยป้อย แต่คิมจงอินก็ดูจะไม่สะทกสะท้านแถมยังยิ้มกว้างหน้าตาเฉยราวกับเมื่อครู่ไม่ได้ทำร้ายเขา

    เรียกเดี๋ยวเสียงดังอยากจะจับมันไปสาบานที่ไหนก็ได้ว่าพูดจริง ชานยอลกลอกตาและยืดตัวขึ้นนั่งพิงพนักเก้าอี้มองคิมจงอินที่ยังคงส่งยิ้มน่าหมั่นไส้มาให้

    แล้วจะสื่อสารกันยังไงล่ะครับ ถ้ามึงไม่พูดกูไม่พูดคงจะคุยกันรู้เรื่องหรอก มองตาแล้วรู้ใจไง้

    นายไม่เลี่ยนตัวเองบ้างเหรอปาร์คชานยอลจงอินทำสีหน้าขยาดใส่ ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มบนสุดจากกองที่อยู่ทางขวามือและส่งให้อีกคนที่เลิกคิ้วมองเขาโดยไม่สนใจสิ่งที่ส่งให้เลยแม้แต่น้อยเปิดอ่านสิ นายคงไม่เก่งขนาดมองตาแล้วรู้ใจหนังสือหรอกนะ

    กวน-ตีน

    ชานยอลขยับปากช้าๆแถมยังดันหนังสือเกี่ยวกับโลกและดาราศาสตร์ออกไปพ้นๆหน้าด้วย พอจะเข้าใจอยู่บ้างแล้วว่าทำไมวันนี้เขาถึงต้องมานั่งอยู่ที่นี่ เรื่องมันเกิดเมื่ออาทิตย์ก่อนที่แม่ชวนคิมจงอินไปบ้านและดันพูดถึงผลการเรียนห่วยแตกในวิชาวิทยาศาสตร์ของเขาขึ้นมาบนโต๊ะอาหาร คิดว่ามันลืมไปแล้วด้วยซ้ำแต่ไอ้ที่กองอยู่ตรงหน้านี่คงยืนยันได้แล้วว่าคิมจงอินไม่ได้ลืม

    อ่านซะ ปาร์คชานยอล

    กลัวตายห่าล่ะ

    ไม่ได้บังคับเพราะคิดว่าจะกลัว แต่บังคับเพราะห่วงอนาคตของนาย

    เจอคำนี้ร้อยทั้งร้อยก็ตายด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่ปาร์คชานยอลก็ไม่เว้น ไม่อยากเชื่อว่านี่จะเป็นคนเดียวกับที่เขาเคยได้ยินมาผ่านๆ ไม่แน่ใจว่าใช่คิมจงอินคนเดียวกันกับที่ใครต่อใครพูดว่าวันๆ ไม่ทำอะไร ไม่สนใจใครนอกจากนอนหรือเปล่า ทำไมอะไรอะไรที่มันทำถึงได้ดูตรงข้ามไปซะหมด

    วิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่ชานยอลไม่ชอบ โคตรจะไม่ชอบไม่ว่าจะแขนงไหน เขาไม่เคยมีความอยากรู้กับสิ่งที่อยู่ในหนังสือเรียนพวกนี้เลยแม้แต่น้อย เพราะเขาคงไม่สามารถเอามันไปประยุกต์ในชีวิตประจำวันได้แน่ๆ

    ใครจะมามัวนั่งคิดวะว่าตอนต่อยคนมันจะมีรีแอคชั่นกลับมาที่มือเท่าไหร่ ต่อยก็คือต่อย รู้แต่ว่าตอนต่อยก็ต้องซัดมันให้สลบเท่านั้นแหละ

    อ่านเล่มนั้นก่อนก็ได้ ถึงนายจะมีโควต้านักกีฬาแต่ยังไงพวกนี้นายก็ต้องสอบ อย่างน้อยมหาวิทยาลัยที่รับนายเข้าไปจะได้ไม่ลังเลตอนที่เห็นคะแนนเด็กทุนของพวกเขา

    กูไม่ชอบห้องสมุด ยืมกลับไปอ่านที่บ้านได้มั้ยล่ะ

    จงอินเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือที่เต็มไปด้วยตัวเลขของตัวเองก่อนจะพยักหน้ารับข้อตกลงถ้านายไม่วางทิ้งมันไว้มุมห้อง หรือหลับคาโต๊ะตอนอ่านมันน่ะนะ

    เถอะน่า กูไม่หลับหรอกพูดไปทั้งที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำได้หรือเปล่า เขาเป็นไม้เบื่อไม้เมากับมันมานานแล้ว

    งั้นก็เลือกเอาแค่เล่มที่จะอ่านไปก่อนแล้วกัน

    ชานยอลพยักหน้า หยิบหนังสือออกมาสองสามเล่มจากที่กองอยู่ เขาไม่มั่นใจว่าจะอ่านมันได้จริงๆ ให้ไปแข่งบาสห้าต่อหนึ่งยังดูเป็นเรื่องง่ายซะกว่า พวกเขาช่วยกันยกหนังสือไปเก็บที่และชานยอลเห็นว่าคิมจงอินหยิบของตัวเองมาอีกสองสามเล่ม

    ความถนัดทางด้านสถาปัตยกรรม

    หน้าปกมันเขียนไว้ว่าอย่างนั้น ทำเอาชานยอลเลิกคิ้วมอง เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าจงอินคิดจะเรียนสถาปัตย์ฯ อันที่จริงอีกฝ่ายไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับตัวเองเลยด้วยซ้ำ ถ้าไม่สังเกตหรือถามเอาตรงๆ ชานยอลคิดว่าเขารู้เรื่องของจงอินน้อยมาก

    หนังสือทั้งหมดถูกยืมโดยใช้บัตรนักเรียนของคิมจงอิน เพราะปาร์คชานยอลซึ่งอยู่โรงเรียนมาตั้งแต่ช่วงม.ต้นไม่เคยเฉียดร่างเข้ามาใกล้ทำให้ต้องเสียเวลาสมัครกันใหม่ มันน่าเหลือเชื่อจนแม้แต่อาจารย์คิมถึงกับจ้องเด็กหนุ่มผ่านแว่นตาของเธออยู่เกือบครึ่งนาทีก่อนจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย

    ทั้งคู่เดินออกจากโรงเรียนในตอนเกือบจะสิบโมง แน่นอนว่าหนังสือทั้งหมดกัปตันปาร์ครวบไปถือไว้คนเดียว  คิมจงอินถึงได้เดินตัวปลิวก้มหน้าก้มตาแกะสายหูฟังที่พันกันจนยุ่งเหยิงอย่างสบายใจ ชานยอลเกือบจะทุ่มหนังสือใส่หัวไปแล้วถ้าไม่ติดว่าจงอินรู้ทันและยัดหูฟังเขาหูของเขาเสียก่อน  มันเป็นเพลงโปรดที่ช่วงนี้เขาได้ฟังบ่อยเพราะคิมจงอินชอบมันมากถึงขนาดเอ่ยปากขอให้เขาไปแกะมาเล่นให้ฟัง

    ชานยอลฟังเพลงนี้เป็นรอบที่สิบตอนที่พวกเราเดินมาถึงทางแยกที่ต้องกลับบ้าน คิมจงอินเอื้อมมือดึงหูฟังออกแต่เขากลับเบี่ยงตัวหนี

    “กลับบ้านไปอ่านหนังสือได้แล้วครับคุณนักกีฬา ผมก็จะได้อ่านของเหมือนกัน”

    จงอินพูดเสียงอ่อน ปาร์คชานยอลโหมดกำลังงอแง กวนตีน หรือเรียกร้องอะไรสักอย่างทำให้เขารู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาหน่อยๆ อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้โหมอ่านหนังสือหนักทำให้เขาไม่สามารถรับมือคุณนักกีฬาคนนี้ได้ดีเท่าที่เคยเป็น

    “ไปอ่านหนังสือที่บ้านกูกัน”

    “ห้ะ?”

    ชานยอลถอนหายใจ เขาเอื้อมมือมาดึงหูฟังออกและก้มหน้าลงมาหาก่อนที่จะ..

    ไป-อ่าน-หนัง-สือ-ที่-บ้าน-กู!!

    จงอินสะดุ้งโหยงแทบทำโทรศัพท์หลุดมือ ถอยหลังไปสองสามก้าวมองปาร์คชานยอลด้วยสายตาคาดโทษ จะให้ไปก็ชวนดีๆไม่ได้หรือไง มาตะโกนกรอกหูกันแบบนี้มันน่าไปด้วยไหมล่ะ!!!


    50 PERCENT 

     

    จงอินโค้งหัวทักทายคุณนายปาร์คที่เดินออกมาต้อนรับพร้อมกับบอกให้นั่งรออยู่ด้านล่างในขณะที่ไล่ลูกชายคนเล็กขึ้นไปจัดการห้องหับของตัวเองให้เรียบร้อย เขากวาดตามองไปรอบบ้านที่แม้จะเคยมาแล้วหลายครั้งแต่ก็ทุกอย่างก็ยังคงถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบราวกับว่ามันไม่เคยเคลื่อนที่เลย ผิดกับห้องของปาร์คชานยอลลิบลับ

    กินขนมรอก่อนนะจงอิน คงอีกสักพักเลยล่ะ”  เธอยังคงมีรอยยิ้มกว้างและดูแลจงอินอย่างดีเสมอ เด็กหนุ่มลุกขึ้นโค้งขอบคุณพลางรับขนมและน้ำที่คุณนายปาร์คยกมาให้ด้วยสีหน้าที่ติดจะเกรงใจ

    อันที่จริงผมขึ้นไปเลยก็ได้นะครับ

    ได้ยังไงล่ะ ฝุ่นฟุ้งขนาดนั้น เราน่ะเพิ่งจะหายตาอักเสบไม่ใช่เหรอไม่ว่าเปล่า เธอยังจับตัวเขาให้นั่งลงกับโซฟารับแขกนิ่งๆ พร้อมทั้งเอ่ยเสียงดุจนจงอินยอมนั่งรออย่างที่เธอบอก อดจะแปลกใจไม่ได้ว่าคุณนายปาร์ครู้ได้อย่างไรว่าเขาเพิ่งจะดีขึ้นจากอาการตาอักเสบที่อยู่ๆก็มาพร้อมกับภูมิแพ้และฤดูหนาว

    ตาชานยอลบ่นไม่หยุดเลยรู้ไหม เด็กคนนั้นขี้บ่นเป็นประจำ แต่แม่เห็นเขาบ่นจงอินจนแปลกใจเลยล่ะ มีการมาถามแม่ด้วยนะว่าทำยังไงให้ตาหายอักเสบเร็วขึ้น

    เสียงบอกเล่าของคุณนายปาร์คทำเอาจงอินเกือบกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ เป็นเพราะว่าช่วงก่อนอากาศเย็นมาก จงอินโหมอ่านหนังสือและไม่ค่อยมีเวลาทำความสะอาดห้องตัวเองสักเท่าไรนัก ผลมันก็เลยมาลงที่คนเป็นโรคภูมิแพ้อย่างเขานี่ไง ถึงตอนนี้ก็ยังต้องใส่แว่นไปไหนมาไหนพร้อมกับอาการตาปูดที่ปาร์คชานยอลมักจะล้อเลียนว่าเขาชอบทำวิ้งค์อยู่ตลอดเวลา

    ผมโดนแกล้งด้วยนะครับคุณป้าปกติคิมจงอินก็ไม่ใช่คนขี้ฟ้อง แต่ในเมื่อตอนนี้มีคนลงโทษปาร์คชานยอลให้เขาได้ ก็ไม่จำเป็นต้องลงมือเองชานยอลเอาแว่นผมไปซ่อนแทบจะวันละสามเวลาเลยครับ

    ตายจริง เด็กคนนี้นี่ ทำไมทำกับเพื่อนอย่างนี้นะจงอินยิ้มกว้าง คุณนายปาร์คบอกว่าเธอจะจัดการให้และเดินตรงขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านทันที เด็กหนุ่มมองตามแล้วเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาอยู่แล้วตอนได้ยินเสียงปาร์คชานยอลแหกปากลั่น จงอินคิดว่าเขากำลังมีเขาแหลมๆงอกอยู่บนหัวพร้อมถือคฑาสามง่ามอยู่แน่ๆ

     

    หลังจากนั้นอีกเกือบครึ่งชั่วโมงปาร์คชานยอลก็เดินตึงตังลงมาตามเขาที่นั่งยิ้มกว้างกินขนมนมเนยอยู่ตรงห้องนั่งเล่นให้ขึ้นไปชั้นบน กัปตันคนเก่งไม่พูดอะไรแต่เขาก็แอบเห็นว่าใบหูข้างขวาแดงก่ำจนน่าตกใจแต่มันดูตลกมากกว่าจะน่าสงสารเสียอีกในสายตาของจงอิน

    มึงมันขี้ฟ้องนั่นไงปิดประตูห้องได้ยังไม่ทันจะนั่งก็เริ่มเลยเห็นไหมเนี่ย หูกูแดงขนาดนี้ ตอนนั้นบอกไม่โกรธไงวะ

    ก็ไม่ได้โกรธ ไม่ได้ฟ้องด้วยนะ

    จงอินทิ้งตัวนั่งบนเตียงนอนที่เขายึดเป็นเจ้าของทุกครั้งที่มาห้องนี้ ส่วนปาร์คชานยอลก็ระเห็จตัวเองไปนั่งบนเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์ ห้องนอนรกๆวันนี้ดูจะมีระเบียบขึ้นมาหน่อยไม่เหมือนกับที่เห็นเมื่อคืน แถมตรงปลายเตียงยังมีโต๊ะญี่ปุ่นตั้งอยู่พร้อมด้วยหนังสือสามสี่เล่มกับจานผลไม้และกระปุกน้ำพร้อมสรรพ

    ไม่ได้ฟ้องห่าอะไร แม่ขึ้นมาบิดหูกูแทบขาด แถมยังใช้ให้เก็บห้องจนเกลี้ยงด้วยท่าทางพูดไปเอามือลูบหูไปมันตลกจนต้องหลุดหัวเราะออกมาแต่พอเห็นปาร์คชานยอลมองเขาด้วยสายตาขู่เอาเรื่องจงอินก็ยกมือขึ้นสองข้างทำท่ายอมแพ้แล้วกลับมานั่งขัดสมาธิจ้องอีกคนตาแป๋วแทน

    อะไร มองกูงี้หมายความว่าไงปาร์คชานยอลทำท่าผวาเมื่อเห็นว่าเขาทำท่าแปลกๆ จงอินยังคงนั่งกระพริบตาปริบๆมองเด็กหนุ่มตัวสูงหยิบกองซากกระดาษทิชชู่ข้างโน๊ตบุ๊คหย่อนลงถังขยะใต้โต๊ะ เพิ่งสังเกตว่าห้องนี้เป็นระเบียบกว่าทุกครั้งเมื่อซีพียูและคีย์บอร์ดถูกกวาดไปกองไว้ข้างทีวี

    เพิ่งรู้ว่านายทำแบบนั้นตรงหน้าโน๊ตบุ๊คด้วย

    จงอินตั้งใจเน้นคำว่า ทำแบบนั้น พร้อมกับส่งสายตาไปยังถังขยะที่คุณกัปตันตัวสูงเพิ่งจะยัดกระดาษทิชชู่กองใหญ่ลงไป ซึ่งนั่นทำเอาปาร์คชานยอลถึงกับหน้าแดงก่ำลามไปทั้งหูทั้งคอ

    หุบ-ปาก-ไป-เลย คิม จง อิน!!!

    เขาระเบิดหัวเราะจนลงไปนอนกุมท้องกับเตียงผิดปาร์คชานยอลที่เดินปึงปังมากระแทกตัวนั่งตรงโต๊ะญี่ปุ่นแถมยังหันหลังให้กันอีกด้วย จงอินหัวเราะจนปวดท้องไปหมดแต่เขาไม่สามารถกลั้นมันไว้ได้จริงๆ เวลาเห็นอาการเขินจนแดงไปทั้งตัวแบบนี้

    เด็กหนุ่มตัวผอมขยับเลื้อยตัวเปลี่ยนหันหัวลงมาทางปลายเตียงที่เจ้าของหันหลังพิงอยู่ จงอินชะโงกออกไปดูแล้วพบว่าหน้าตาของปาร์คชานยอลตอนนี้มันตลกมากจริงๆ และกว่าที่พวกเราจะได้เริ่มอ่านหนังสือกันจริงจังเขาก็ต้องเสียเวลาออกแรงง้อกัปตันปาร์คอยู่อีกครึ่งชั่วโมงเลย

    เสียงแกรกกากสลับกับเสียงเปิดหน้ากระดาษดังเป็นระยะเมื่อต่างฝ่ายต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง จงอินขยับลงมานั่งบนพื้นข้างๆกับชานยอล หยิบหนังสือความถนัดสถาปัตย์ฯที่อ่านทิ้งไว้มาเปิดแล้วเริ่มวาดอะไรสักอย่างลงในที่ว่างใต้โจทย์ข้อนั้น ส่วนเด็กหนุ่มตัวสูงก็จมอยู่กับประวัติศาสตร์เกาหลีอันแสนน่าเบื่อซึ่งทำให้เจ้าตัวเกือบจะวูบหลับอยู่หลายรอบ ถ้าไม่ติดที่

    ป๊อก

    กูเจ็บ

    ก็อย่าหลับสิ

    ชานยอลลูบหัวตรงที่โดนดินสอเหล็กเคาะเมื่อครู่แล้วขยับปากบ่นมุบมิบฟังไม่ได้ศัพท์ บทสนทนาตลอดสองชั่วโมงที่ผ่านมามีแค่นั้น เพราะถ้าเขาทำท่าจะหลับ คิมจงอินที่ไม่รู้ว่ามีตาทิพย์หรืออะไรก็เงยหน้าขึ้นมาเคาะกลางกระหม่อมกันพอดีเป๊ะ

    ปกติแล้วชานยอลเป็นพวกกลับถึงบ้านก็อาบน้ำอาบท่าแล้วมานั่งโด้เกมจนดึกดื่นเฝ้าคิมจงอินอ่านหนังสือ ง่วงก็นอน เบื่อก็หาอย่างอื่นทำรออะไรประมาณนั้น แต่การมานั่งอ่านหนังสือด้วยกันอย่างนี้บอกตามตรงว่ามันเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรกที่เขาไม่ชินเลยสักนิด ถึงจะเคยทำรายงานด้วยกันมาแล้ว แต่เขาก็ไม่ต้องมานั่งอยู่กับตัวหนังสือเป็นพรืดเห็นแล้วชวนให้ง่วงอย่างนี้ 

    เด็กหนุ่มตัวสูงขยับเหยียดขาเอนหลังพิงของเตียงแหงนคอขึ้นพาดคลายความเมื่อยขบจากการเป็นเวลานาน ชานยอลเพิ่งจะค้นพบว่าการอ่านหนังสือมันทำให้คนเราเหนื่อยกว่าการวิ่งอยู่ในสนามบาสยี่สิบนาทีติดเสียอีก หลับตาพักอยู่ครู่หนึ่งแต่หูก็ยังได้ยินเสียงดินสอขีดเขียนบนกระดาษไม่หยุดจนต้องหรี่ตามอง

    คิมจงอินเปลี่ยนโจทย์ที่ทำอยู่มาแล้วสามข้อ รู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายวาดรูปเก่งแต่ก็ไม่คิดว่าจะเก่งถึงขนาดสร้างสิ่งที่อยู่ในตัวอักษรออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้ ตอนที่เหล่มองครั้งที่แล้วเขาเห็นว่าจงอินกำลังวาดตึกสูงที่มีประตูโค้งๆ ตรงกลางเป็นทางเดินและมีคนขายของอยู่เต็มไปหมด แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าไอ้ที่กำลังขีดเขียนอยู่กลับเป็นอะไรสักอย่าง ดูคล้ายกับฉากในเชอร์ล็อค โฮล์มส์ซึ่งพวกเขาเพิ่งดูด้วยกันไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว

    “พักเหอะ วาดมาตั้งหลายรูปแล้ว” ไม่ว่าเปล่า ชานยอลเอื้อมไปปลดแว่นตามาควงเล่นทำเอาจงอินหยุดมือและเงยหน้าขึ้นมามองคนก่อกวนทันที

    “เพิ่งรูปที่สี่ เอาคืนมาปาร์คชานยอล”

    “ไม่คืน พักได้แล้ว กูหิวไปหาอะไรกินกัน”

    คนใจร้อนฉุดแขนจงอินให้ลุกขึ้นตามโดยไม่ฟังคำประท้วง ชานยอลลากเด็กหนุ่มตัวผอมให้เดินลงบันไดมาด้วยกันทั้งที่แว่นสายตาของจงอินยังอยู่ในมือ เสียงโวยวายทำให้ปาร์คยูราที่เพิ่งกลับมาหันไปสนใจแล้วส่ายหน้าหน่ายๆกับน้องชายทื่อมะลื่อ ไม่รู้จักการแสดงออกต่อแฟนอย่างคนทั่วไป

    “เอาแว่นคืนมา!” จงอินยังคงพูดประโยคแต่คราวนี้ดังกว่าเก่าจนคุณนายปาร์คต้องหันมาจ้องเด็กสองคนซึ่งทำเสียงโวยวายอยู่ตรงโถงบันได เธอลุกพรวดตรงเข้ามาบิดต้นแขนลูกชายคนเล็กให้ปล่อยออกจากคอเพื่อนและปาร์คชานยอลก็ร้องลั่นทันที

    “โอ๊ยยยแม่ ผมเจ็บนะครับ!

    “แกล้งเพื่อนอีกแล้ว เรานี่มันยังไงกัน ต้องให้แม่ไปเอาไม้เรียวในห้องเก็บของมาตีมั้ยชานยอล”

    จงอินฉวยแว่นตัวเองคืนมาจากเด็กหนุ่มตัวสูงพร้อมรีบวิ่งหลบขึ้นชั้นสอง ปล่อยให้ปาร์คชานยอลตกเป็นจำเลยของมารดาอย่างไม่คิดจะช่วยแก้ต่าง โดยมีสายตาขบขันของปาร์คยูรามองภาพตรงหน้าอยู่ไม่ห่าง

    “อยากให้เขาพักแกก็พูดดีๆสิ ไปขโมยแว่นเขามาอย่างนั้น โดนเอาคืนก็สมควรแล้ว” ยูราพูดขึ้นตอนที่น้องชายตัวสูงหย่อนตัวลงนั่งข้างเธอทั้งที่หน้าตายังคงบึ้งตึง เดาได้เลยว่าแขนของชานยอลต้องเขียวแน่ๆ ก็แรงหยิกของแม่น่ะเบาซะเมื่อไหร่กันล่ะ

    “ก็มันเอาแต่อ่านหนังสือ ผมพูดจนปากจะฉีกถึงหูแล้ว”

    “พูดจาหมาไม่แดกอย่างแก ใครเขาจะไปรู้ว่าห่วง” เมื่อโดนพี่สาวตอกหน้าชานยอลก็พูดไม่ออก อาการตอนนี้เรียกว่าน้อยใจอยู่หน่อยๆก็ได้ โคตรสาวน้อยชะมัดเขาก็ไม่อยากรู้สึกอย่างนี้หรอกแต่คิมจงอินมันซื่อบื้อจนอดไม่ได้จริงๆ

    “ก็มันโง่”

    “คนโง่น่ะมันแกต่างหาก” ปาร์คยูราเป็นผู้หญิงที่ชานยอลคิดว่ามีอะไรมาให้เขาแปลกใจได้อยู่เสมอ แม้กระทั่งการด่าน้องชายตัวเองเธอยังสามารถทำได้หน้าตาเฉย “ยังมาทำหน้าโง่ใส่ฉันอีก โอ๊ยนี่แกเก่งแค่เรื่องเล่นบาสเหรอปาร์คชานยอล”

    “อะไรของพี่วะ ด่าผมทำไมเนี่ย ผมเป็นน้องพี่นะ” เถียงไม่ได้ก็ต้องประท้วงกันล่ะ ถึงจะไม่ค่อยได้ผลก็ตามที แต่ไหนแต่ไรเขากับพ่อก็เป็นรองสองสามในบ้านอยู่แล้ว

    “ก็เพราะแกเป็นน้องฉันน่ะสิ เอาอย่างนี้นะ จะยกตัวอย่างให้น้องโง่ๆอย่างแกฟังเผื่อจะฉลาดขึ้นมาบ้าง” คำว่าโง่ของยูราเจ็บจี๊ดเข้าไปถึงผิวหนังแต่ชานยอลก็ยังตั้งใจฟังพี่สาวซึ่งขยับนั่งหันข้างมาหาเขาทั้งตัว “เวลาจงอินบอกให้แกทำอะไรสักอย่างเพื่อตัวแกเอง เขาพูดว่ายังไง”

    “ก็....” นิ่งคิดไปครู่ใหญ่ ที่คิมจงอินพูดน่ะเหรอ... “ก็พูดด้วยดีๆ” ชานยอลคิดว่าอย่างนั้นถึงมันจะเต็มไปด้วยการหลอกด่าทุกครั้งก็ตามที

    “เออ นั่นแหละ! แกก็รู้จักเอาอย่างเขาซะบ้าง เด็กคนนั้นเอาใจใส่แกมากเลยนะชานยอล”

    ท้ายประโยคปาร์คยูราพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงจนกลายเป็นเอ็นดู เธอสังเกตและเห็นสิ่งที่ทั้งสองคนทำให้กันอยู่เสมอ กับน้องชายแท้ๆเธอรู้ว่าที่ชานยอลทำมันหมายความอะไร แต่กับคิมจงอินนั้นเธอที่ไม่ได้เป็นคนรับยังสัมผัสมันได้

    “รู้แล้วล่ะน่า”

    ชานยอลหยุดยิ้มไม่ได้เมื่อตัวเขาก็รู้สึกอย่างที่พี่สาวพูดออกมา ถึงแม้ประโยคเหล่านั้นจะเต็มไปด้วยการหลอกด่าแต่ไม่มีอันไหนที่ไม่แฝงความหวังดีมาเลยแม้แต่น้อย สงสัยเขาคงต้องหัดเป็นคนพูดดีๆกับคนอื่นบ้าง เผื่อคิมจงอินจะได้ยอมทำอะไรอย่างที่เขาบอกสักที

    “ผมขึ้นห้องละ ขอขนมนี่ด้วยนะ พี่กินจนอ้วนเกินไปแล้ว ยัยหมูตอน”

    ไม่รอการทุบตีจากยูรา ชานยอลเผ่นแผล็วขึ้นชั้นสองด้วยความว่องไวทั้งที่ยังมีเสียงตะโกนด่าของพี่สาวลั่นตามหลัง เด็กหนุ่มตัวสูงก้าวขึ้นบันไดทีละสองขั้นตรงไปยังห้องนอนของตัวเองพร้อมกับจานขนมในมือ คิดไว้ว่าถ้ามันไม่ยอมพักจริงจัง ก็ให้พักไปอ่านไปก็คงดี

    การซื่อตรงต่อความรู้สึกน่ะ มันไม่ใช่เรื่องร้ายแรงหรอกนะ ยิ่งความรู้สึกของนายเป็นสิ่งดี การเป็นห่วงเป็นใยคนอื่น การใส่ใจคนอื่น ไม่ว่าใครที่ได้รับสิ่งนี้ก็ต้องรู้สึกดีด้วยกันทั้งนั้น 

    อยู่ๆ คำพูดของคิมจงอินวันนั้นก็ผ่านเข้ามาในหัว ถึงมันจะดูเก้อเขินไปเสียหน่อยสำหรับคนที่ไม่เคยทำอะไรอย่างนี้ แต่เพราะอีกฝ่ายคือคนที่ห่วงใยและสอนเขาเองว่าถ้าเป็นเรื่องดีก็ให้แสดงมันออกมา ชานยอลเลยยอมสลัดความอายทิ้งไป

    “กูเอา..ขนมมาให้” ท้ายประโยคพูดเสียงเบาเมื่อเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วพบว่าคนที่บอกไม่พักเมื่อครู่กลับฟุบลงกับโต๊ะไปแล้ว ตลกมันก็ใช่แต่แวบนึงที่เห็นชานยอลกลับรู้สึกว่าเขาเอ็นดูคิมจงอินขึ้นมาถนัดตา ถึงจะเคยเห็นตอนหลับอยู่บ่อยๆก็ตาม

    เด็กหนุ่มตัวสูงทำทุกอย่างให้เบาที่สุด เขาเก็บหนังสือของตัวเองที่ยังไม่ได้เปิดลงพื้นและวางขนมลงแทนที หยิบแว่นสายตากับดินสอที่คาอยู่ในมือออกวางไว้ไม่ไกล เขานั่งลงข้างๆคนหลับ เกลี่ยผมที่ทิ่มตาอยู่ออก เห็นได้ชัดว่าตาขวาของคิมจงอินยังคงบวมอยู่ซึ่งเขาไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นักเพราะอีกฝ่ายไม่ดูแลตัวเองเรื่องนี้ นั่งมองคนหลับอยู่ครู่นึงก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบกีต้าร์โปร่งที่เก็บอยู่ซอกตู้ออกมา

    ทำนองเพลงที่เพิ่งจะแกะเสร็จไปเมื่อวันก่อนดังขึ้นเบาๆ ชานยอลเกากีต้าร์ตามจังหวะและตัวโน้ตที่แล่นอยู่ในหัว เขาไม่รู้ว่ามันจะรบกวนคนที่กำลังพักผ่อนอยู่หรือเปล่า แต่ก็เหมารวมเอาเองว่าคิมจงอินคงจะไม่ว่าอะไรเพราะทุกคืนก็ขอให้เขาเล่นไปด้วยอ่านหนังสือไปด้วยอยู่แล้ว

     โดยที่ชานยอลก็ไม่ทันสังเกตว่าคิมจงอินกำลังอมยิ้มทั้งที่ยังหลับตา

     

     

    บันทึกของชานยอล

    ผมกำลังหงุดหงิด หงุดหงิดชนิดที่อยากจะอัดอะไรสักอย่างกับต้นไม้ อะไรสักอย่างเช่นหนังสือเรียนหรือคนที่คิดการสอบเข้ามหาวิทยาลัยบ้าบอคอแตกนี่แหละ  ใครใช้เด็กอายุยี่สิบที่ไม่มีประสบการณ์ห่าอะไรเลยนอกจากการเรียนไปวันๆ มาตัดสินอนาคตตัวเองที่เหลือวะ แต่ก็นะ..โวยวายก็ไม่ใช่ว่าจะมีอะไรดีขึ้น เพราะต้นเหตุที่ทำให้ผมหงุดหงิดจริงๆ คือมนุษย์ที่ชื่อว่า คิมจงอิน ต่างหากล่ะ

    “ฉันจะอ่านหนังสือแล้ว นายวางเลยก็ได้นะ”

    โคตรเซ็งตอนได้ยินประโยคนี้ อันที่จริงผมได้ยินมาเป็นร้อยเป็นพันรอบแล้ว ไม่ได้เพิ่งจะมาเซ็งอะไรหรอก เซ็งมาตั้งนานแล้วแต่วันนี้เซ็งยิ่งกว่าเพราะไอ้คนพูดมันดันย้ำมากกว่าปกติ ทั้งที่ผมเองก็บอกมันแล้วเหมือนกัน

    “เออ ก็อ่านไปสิวะ กูก็อ่านของกูเหมือนกัน”

     ผมรู้ตัวเลยว่าเสียงผมมันติดรำคาญแค่ไหน และคิมจงอินก็รู้ด้วยเหมือนกัน หลังจากวันที่มันมาบ้านผมตั้งแต่สองอาทิตย์ที่แล้ว ผมกับมันก็ไม่ได้เจอกันอีกยกเว้นที่โรงเรียน แต่ก็นั่นแหละขนาดเวลาพักที่เคยนั่งเล่นด้วยกัน มันยังเอาไปหมกกับหนังสือทั้งหมด ไม่รู้ว่าจะสนใจอะไรนักหนา ยิ่งพักนี้ตัวติดกับไอ้เทาแล้วก็เซฮุนหนักขึ้นกว่าเก่าด้วย

    เฮ้ย...นี่แม่งอะไรกันวะเนี่ย

    โอเคผมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะมาหงุดหงิดอะไรหรอก คนเขาต้องอ่านหนังสือ ก็ต้องให้เวลา อนาคตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไอ้ลู่หานกรอกประโยคนี้ใส่หูผมเป็นสิบรอบแล้วหลังจากที่ผมแสดงอาการหงุดหงิดงุ่นง่านน่ะนะ แต่แล้วมันยังไงกันล่ะวะ

    “ไม่พอใจอะไรปาร์คชานยอล นายนั่งทำหน้าอย่างนั้นมานานเกินไปแล้วนะ”

    ผมเงยหน้ามองคนในจอโทรศัพท์ที่วางดินสอแล้วขมวดคิ้วจ้องผม จะให้ตอบว่าหงุดหงิดที่มันเอาแต่สนใจหนังสือก็ดูจะงี่เง่าจนเกินพอดีแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริง สุดท้ายก็บอกปัดและหันกลับมาสนใจวิชากฎหมายที่เป็นจุดอ่อนด้อยที่สุดของตัวเองแทน แต่คิมจงอินกลับไม่ยอมให้ผมไปอ่านหนังสือซะอย่างนั้น

    “นี่ พักก่อนสิ นายอ่านมาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ”

    เหอะ พ่นลมหายใจออกมาเสียงดัง เอาให้รู้ไปเลยว่าหงุดหงิด คนที่อ่านมาตั้งนานนั่นมันมึงต่างหากไม่ใช่กู

    “เสาร์นี้ว่างหรือเปล่า” ผมเลือกถามไปประเด็นอื่น ปรับสีหน้าให้ดูดีขึ้นนิดหน่อย “มึงไม่ได้มีนัดกับใครใช่ไหม”

    ที่ถามออกไปอย่างนั้นเพราะว่าช่วงนี้คิมจงอินเอาแต่หมกตัวอยู่กับเพื่อนฝูง ว่างก็ไปอยู่บ้านเซฮุนไม่ก็ไอ้เทา คลายเครียดก็ไปกับไอ้สองคนนั้น แล้วที่สำคัญก็ติดต่อไม่ค่อยจะได้อีกต่างหาก

    “ยังไม่ได้นัดใคร ทำไมนายมีอะไรเหรอ”

    ยังจะมีหน้ามาถาม มีห่าอะไรล่ะ กูก็คิดถึงมึงบ้างไม่ได้ไง้ ถึงจะวีดีโอคอลกันทุกวันแต่ก็ไม่ได้เจอกันมานานแล้วไม่ใช่เหรอ แต่..ผมไม่ได้พูดออกไปหรอก

    “เออ ไม่ได้นัดใครก็ดี กูจะได้นัด มาติวหนังสือให้กูที”

    ผมเห็นมันทำหน้าประหลาดใจ แต่ก็พยักหน้าตอบตกลงก่อนจะขอตัวกลับไปอ่านหนังสือของมันต่อ ทิ้งผมให้ถอนหายใจเฮือกเฮือก ให้ตายเถอะ กูไม่อยากจะงี่เง่ากับเรื่องไม่เป็นเรื่องจริงๆ

    ปาร์คชานยอลไอ้คนป๊อดเอ๊ย ก็แค่คิดถึงเขาจนอยากเจอตัวเป็นๆเท่านั้นล่ะวะ!

    จบบันทึกของปาร์คชานยอล

     


    #ฟิควงกลมชานไค

    ไอ้คุณกัปตันปาร์คนี่มันงี่เง่าสาวน้อยมากมากเลยจริงๆ...

    55555555555555555555 ขอบคุณทุกๆคนมากเลยนะคะ ที่ยังอ่านอ่ะ เรารู้ตัวว่าฝีมือเราตกมากๆ แต่ทุกคนก็ยังอ่านกัน ขอบคุณมากๆจริงๆค่ะ เราจะพยายามตามเก็บฝีมือที่หล่นตามทางกลับมานะคะ ไม่รู้จะบอกคำไหนเลยนอกจากคำขอบคุณ ทั้งคำติชมในทวิตเตอร์แล้วก็ในคอมเม้นต์เด็กดี ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาอ่านตลอด แวะมาคุยกันตลอด ให้กำลังใจด้วย ขอบคุณมากจริงๆ 

    เอาล่ะ... ไม่มีอะไรจะพูดเรื่องคุณกัปตัน.. ให้ไปลุ้นกันเอาเองตอนหน้า 

    เลิ้บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ 


     

    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×