ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ✖ (exo) : Geometry series : Circle | #ฟิควงกลมชานไค CHANKAI FT. EXO

    ลำดับตอนที่ #13 : CHAPTER 12

    • อัปเดตล่าสุด 18 ธ.ค. 58


    Title : Cycle

    Paring : Chanyeol X Kai

    วันเวลาที่ผ่านมาทำให้พวกเราได้พบกัน

    แต่วันเวลาต่อจากนี้ทำให้พวกเราได้เรียนรู้กันมากยิ่งขึ้น



    CHAPTER 12

    ชานยอลไม่เคยรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขนาดนี้ทั้งที่เพิ่งจะล้มตัวนอนไปได้สามชั่วโมงนิดๆ แต่พอหกโมงเช้าร่างกายเขาก็เด้งขึ้นจากเตียงโดยอัติโนมัติแทบจะไม่มีความง่วงงุนอยู่เลยตอนเดินมารอตรงทางแยกที่เคยนัดกันไว้ทุกครั้งและนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ชานยอลมาถึงก่อนเวลาตั้งสามสิบนาทีแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดจะหงุดหงิดหรือเร่งให้เวลาเดินเร็วเลยสักนิดกลับกันเขาอยากให้มันเดินช้าลงจะได้มีเวลาทำใจเพิ่มขึ้นก่อนจะเจอหน้าคิมจงอิน

    แต่เวลามักจะเดินเร็วเสมอในตอนที่เราต้องการให้มันช้าลงครึ่งชั่วโมงที่ชานยอลยืนรอแทบจะกลายเป็นสิบนาที เขายืนล้วงกระเป๋ามองคิมจงอินที่ยืนอยู่อีกฝั่งถนนตอนนี้เขาใจเต้นแรงมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำได้แค่กระพริบตามองจนกระทั่งอีกฝ่ายข้ามมาหยุดอยู่ตรงหน้ากันเท่านั้น

    ว้าว นี่เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่นายมาก่อนเวลา

    ขอบคุณสำหรับคำชม ไว้ครั้งที่สองกูเถียงมึงได้แน่นอน

    จงอินกลั้นหัวเราะเพราะหน้าตาหงิกงอของบัดดี้ตัวสูง ปาร์คชานยอลบ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้งแถมยังหันมามองเขาตาขวางเป็นระยะอีกด้วย พวกเราออกเดินไปโรงเรียนพร้อมกันอีกครั้งร่องรอยจากฝนที่ตกเมื่อช่วงเช้ามืดทำให้อากาศเย็นกว่าปกตินิดหน่อย ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก

    เด็กหนุ่มสองคนเดินไปโรงเรียนด้วยกันเงียบๆหนึ่งคนกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเองอีกหนึ่งกำลังมีรอยยิ้มประดับอยู่บนหน้าเพราะกำลังรู้สึกดีกับอะไรบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น

    ชานยอลหยุดเดินเอาดื้อๆทำให้จงอินที่ไม่ทันตั้งตัวเดินเลยไปนิดหน่อยหยุดตามและหันกลับมามองสีหน้าของเด็กหนุ่มตัวสูงเต็มไปด้วยความสับสนทำเอาอีกฝ่ายถึงกับเลิกคิ้วมองด้วยความประหลาดใจก่อนจะค่อยๆหลุดยิ้มออกมาทีละน้อยและขยับเดินกลับมาหาคนที่ยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน

    เป็นอะไรไปน่ะ ไม่รีบเดินเดี๋ยวก็สาย”  ถามออกไปทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าปาร์คชานยอลเป็นอะไร จงอินแค่อยากฟังจากปากของอีกคนเท่านั้น

    มึงบอกว่าเราควรพูดคุยเรื่องนี้กันต่อหน้าน้ำเสียงของปาร์คชานยอลจริงจังเสียจนจงอินคาดไม่ถึงเขาจะได้ยินเสียงนี้เฉพาะเวลาที่บัดดี้ตัวสูงของตัวเองกำลังวางแผนหรือทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับบาสเกตบอลที่ตัวเองชื่นชอบกูใจร้อนว่ะ ไม่รู้ว่ามึงใจร้อนเหมือนกูหรือเปล่าแต่จะให้เจอหน้ากันแล้วทำตัวปกติไปแบบนี้ความอดทนของกูมันก็ไม่สูงพอ

    ฉันไม่ได้บอกเหรอว่ามันควรจะเป็นเวลาที่เหมาะสมด้วย

    กูอกแตกตายก่อนพอดี”  นั่นคือความรู้สึกจริงๆแค่ในตอนนี้ชานยอลรู้สึกว่าตัวเขาอึดอัดจนแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว เด็กหนุ่มกำหมัดแน่นจ้องมองคิมจงอินด้วยสายตาจริงจังไม่ว่ามึงจะพูดหรือไม่พูดกูก็คิดว่ากูคงทำอะไรไม่ได้ไปทั้งวันอยู่ดี เพราะอย่างนั้นถ้าจะคุยก็คุยกันตอนนี้

    แต่เราจะสายเอาได้นะ ถ้ามัวแต่ยืนคุยกันอย่างนี้

    งั้นก็เดินไปคุยกันไปก็แล้วกัน

    หลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่จงอินคิดว่าเดี๋ยวนี้เขาชักจะเป็นคนที่เก็บอารมณ์ขันได้แย่เสียแล้วยิ่งเห็นว่าคนเอาแต่ใจก็ยังคงเป็นคนเอาแต่ใจอยู่วันยังค่ำมันยิ่งตลกเข้าไปใหญ่พวกเราออกเดินกันอีกครั้งและคราวนี้มันก็ไม่ได้มีเพียงแค่ความเงียบอีกต่อไป

    ที่มึงบอกเมื่อวานมันหมายความว่ายังไง

    เรียกได้ว่านี่คงเป็นข้อดีของปาร์คชานยอลล่ะมั้งอย่างน้อยก็เป็นคนที่ถามในสิ่งที่ตัวค้างคาใจออกมาตรงๆ ไม่ต้องเสียเวลาพูดอ้อมค้อมจงอินเตะก้อนหินที่บังเอิญอยู่ปลายเท้า มือข้างหนึ่งล้วงในกระเป๋ากางเกงนักเรียนสายตาเหม่อมองออกไปไกล ทั้งที่ปากก็ยังคงดูดนมชอคโกแลตไม่ได้หยุดท่าทางดูสบายใจจนคนใจร้อนนึกหมั่นไส้

    แดกอยู่นั่นล่ะกูขอให้สำลักนมตาย

    ชานยอลเห็นคิมจงอินคาดโทษเขาทางสายตาแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองควรจะขอโทษที่แช่งชักหักกระดูกกันแต่เช้าแบบนี้

    ก็ไม่มีอะไรต้องตีความให้ยุ่งยากนี่ ฉันพูดไม่ชัดเจนเหรอละปากออกจากหลอดมาตอบคำถามและกลับไปดูดนมอีกอึกใหญ่ก่อนจะพูดต่อมีแต่คนซื่อบื้อเท่านั้นแหละที่แปลไม่ออก

    มันใช่เวลามึงมายอกย้อนตอนที่กูจริงจังมั้ยวะ แล้วเดี๋ยวนะนี่ยังหลอกด่ากันด้วย อยากตายจริงๆสินะ

    จงอินหัวเราะออกมาดังลั่นจนเกือบจะสำลักตามที่อีกฝ่ายว่าปาร์คชานยอลนี่เหมาะสมกับคำว่าทื่อมะลื่อจริงๆเลยให้ตายเถอะ

    นายอาจจะรู้สึกว่าฉันกำลังล้อเล่นทั้งที่ความจริงฉันก็จริงจังกับนายอยู่นะ

    จริงจังกับผีน่ะสิ

    ชานยอลปวดขมับจี๊ดทันทีที่อีกฝ่ายบอกว่าจริงจังกับท่าทางทีเล่นทีจริงอย่างนี้และเขาก็ไม่เก่งพอที่จะเข้าใจอะไรก็ตามที่คิมจงอินกำลังทำด้วย

    ถ้าให้กูตีความแบบเข้าข้างตัวเองสุดๆ มันก็หมายความว่ามึงชอบกูนั่นแหละ

    ก็ถูกนี่ ที่นายคิดคือการเข้าข้างตัวเองชานยอลใจหล่นวูบหันมองคิมจงอินที่หันมายิ้มกว้างพร้อมกับดีดนิ้วและชี้มาทางเขาแต่นั่นมันในกรณีที่ฉันไม่รู้สึกอะไรกับนายเลยสักนิด

    จากที่รู้สึกหน่วงอยู่เมื่อครู่ตอนนี้หัวใจของชานยอลกลับเต้นแรงจนส่งผลให้ใบหูทั้งสองข้างแดงก่ำแต่เขาไม่ทีเวลามาโวยวายกับคำล้อเลียนที่อีกฝ่ายกำลังพูดอยู่เพราะก่อนหน้านี้คิมจงอินดันบอกว่า

    แต่นั่นมันในกรณีที่ฉันไม่รู้สึกอะไรกับนายเลยสักนิด”

    งั้นก็หมายความว่า.

    ถ้าจะให้เรียกว่าชอบก็คงจะเร็วเกินไป แต่ฉันจะเรียกมันว่าความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อกัน แบบนี้ก็คงไม่ผิดใช่ไหม?”

    ให้ตายเถอะ...คิมจงอินโคตรจะเป็นไอ้คนนิสัยเสียที่ชอบแกล้งให้ชานยอลหัวปั่น หลังจากนั้นก็ค่อยมาเฉลยทีหลังให้ดีใจ หรือความจริงแล้วอาจจะเป็นเพราะตัวเขาเองยอมที่จะให้มันเป็นอย่างนี้ก็ได้

    มึงเรียกว่าความรู้สึกดีๆงั้นเหรอเขาถามขึ้น พวกเรายังคงเดินไปโรงเรียนด้วยกันเหมือนทุกวัน ชานยอลแทบลืมไปหมดแล้วว่าการวิ่งตาลีตาเหลือกเข้าโรงเรียนให้ทันเป็นอย่างไร เพราะตั้งแต่ตัดสินใจมาโรงเรียนพร้อมกันเขาก็มาเช้าตลอด

    อือ ฉันเรียกมันว่าอย่างนั้น ดูเอาเถอะ ขนาดคำตอบรับมันยังเอื่อยเฉื่อยจนแทบไม่น่าเชื่อ  

    ชานยอลเงียบและทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น เขาหันมองคนที่ยังเดินอยู่ด้านข้างด้วยท่าทางสบายๆ เด็กผู้ชายที่เคยเห็นผ่านตาอยู่บ้างตอนที่เรียนพละหรือในช่วงเวลาเปลี่ยนห้องเพื่อไปเรียนวิชาอื่นๆ คิมจงอินไม่ได้โดดเด่นหรือว่าน่าสนใจ กลับกันทุกครั้งที่เจอ ถ้าไม่ก้มหน้าก้มตาฟังเพลง ก็แค่นั่งทำหน้าง่วงๆ อยู่ในกลุ่มเพื่อนที่โหวกเหวกโวยวาย

    จะว่าไปครั้งแรกที่เจอกันคิมจงอินก็เป็นแบบนั้น

    คนที่หลับคอพับคออ่อนพิงคนไม่รู้จักตลอดเวลาตั้งแต่โรงเรียนไปจนถึงเกาะเชจู คนที่จับพัดจับผลูมาเป็นบัดดี้ทั้งที่ไม่เคยพูดคุยกันเลยสักครั้ง ในสายตาเขาคิมจงอินเป็นคนในประเภทที่ไม่อยากจะใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุด

    แต่พอเอาเข้าจริงกลายเป็นชานยอลเสียเองที่อยากรู้จักคนคนนี้มากขึ้น การพูดคุยในแต่ละครั้งทำให้เขารู้สึกว่าคิมจงอินที่ไม่ได้สนใจคนอื่นเป็นเพียงเปลือกนอก แต่ในความจริงทุกการกระทำของคนคนนี้ผ่านกระบวนความคิดที่ซับซ้อนจนชานยอลนึกทึ่งว่าคนคนหนึ่งจะคิดอะไรอยู่ตลอดเวลาได้ขนาดนี้

    การแสดงออกที่คิดอยู่เสมอว่าคนได้รับจะรู้สึกอย่างไรไม่ได้สนใจว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบตัวเองสนใจอยู่แค่เพียงว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันจะส่งผลอย่างไรกับคนอื่นผิดกับตัวเขาที่พอไม่พอใจอะไรก็ด่า ไม่ชอบใจก็จะเข้าไปหาเรื่อง แม้กระทั่งในเรื่องเล็กน้อยอย่างคำพูดบางคำหรือการกระทำบางอย่าง ชานยอลก็ไม่เคยคิดถึงผิดกับคิมจงอินที่คิดและพูดออกมาเพื่อสอนเขา

    เพราะอย่างนี้ก็ได้ชานยอลถึงได้ยอมนิ่งฟังทุกครั้งที่คิมจงอินพูดอะไรสักอย่างที่ยากเกินกว่าจะเข้าใจ การกระทำบางอย่างเขาไม่คิดซับซ้อนเผื่อแผ่ไปถึงคนอื่นขนาดนั้น จริงอยู่ที่เคยสงสัยว่าอีกฝ่ายไม่อึดอัดบ้างเหรอที่จะทำอะไรก็เอาแต่คิดถึงคนอื่นอยู่ตลอดเวลา แต่หมอนี่กลับแสดงให้เห็นว่า คนอื่น หมายถึงคนสำคัญที่อยู่รอบตัว

    “มึงจะพูดดีๆ ตั้งแต่แรกมันจะตายเลยใช่ไหม”  อดจะสงสัยไม่ได้ ถ้าหากว่าพวกเราพูดคุยกันตั้งแต่เมื่อคืนชานยอลอาจจะไม่ต้องรู้สึกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

    “นายคิดว่าไงล่ะ ถ้าเมื่อคืนฉันพูดแบบนี้ กับตอนนี้ที่ฉันพูด แล้วนายได้เห็นหน้าของฉัน”

    พวกเราหยุดเดินและหันมองหน้ากัน ดวงตาของคิมจงอินไม่เคยมีแววโกหก ถึงจะชอบแกล้งกันแต่ทุกครั้งที่ชานยอลมองกลับรู้สึกว่ามีแต่ความจริงใจส่งให้กันเสมอ คิดย้อนกลับไปก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า ถ้ามันพูดประโยคนี้เมื่อคืนเขาเองก็คงจะนอนไม่หลับเหมือนเดิมนั่นแหละ

    “นี่ไม่ได้กำลังจะแกล้งกูแล้วพูดอะไรให้ดีใจอีกใช่ไหม”

    ชานยอลเริ่มไม่ไว้ใจท่าทางแบบนี้ เขาพบเจอมันมาตลอดจนเรียกได้ว่าหวาดระแวง แต่อีกใจลึกๆ ก็เริ่มจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง อาจจะเพราะเป็นผู้ชายเหมือนกันเขาเลยเริ่มรู้สึกลางๆ ว่านี่เป็นสัญชาตญาณของเด็กผู้ชายหรือเปล่า

    ยิ่งชอบก็ยิ่งแกล้ง

    “ไม่มีใครเขามาแกล้งคนที่ตัวเองรู้สึกดีด้วยหรอกนะ”

    อยากจะเถียงออกไปเหลือเกินว่ามึงนั่นแหละตัวดีเลย แต่คำว่ารู้สึกดีที่คิมจงอินพูดมันออกมาเต็มปากเต็มคำ และยังสายตาที่บอกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความจริงนั่นอีกมันทำให้ชานยอลถึงกับพูดไม่ออก เขากลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้ง รู้สึกว่าเช้าวันนี้พวกเราเดินๆ หยุดๆ กันหลายต่อหลายรอบ ทำให้กว่าจะถึงประตูโรงเรียนก็กินเวลาไปมากกว่าปกติผู้คนเริ่มทยอยเดินเข้าโรงเรียนกันหนาตากว่าทุกวัน

    ชานยอลหยุดยืนนิ่งก้มหน้ามองปลายรองเท้าผ้าใบของตัวเองที่มันเขรอะไปด้วยคราบน้ำฝนที่พวกเขาพากันวิ่งเล่นไปเมื่อสองวันก่อน อยู่ๆ ก็นึกอยากยิ้มขึ้นมาซะอย่างนั้น จะว่าไปแล้วตั้งแต่รู้จักกันมาอะไรหลายๆ อย่างในตัวเขาก็เปลี่ยนไปมาก จากที่ไม่เคยตื่นเช้าก็ตื่นเพื่อที่จะได้มาโรงเรียนพร้อมกัน จากที่ไม่เคยใจเย็นฟังคำอธิบายของใคร ชานยอลก็ยอมเปิดใจรับฟังคนอื่นมากขึ้น จากที่เคยเกลียดฝน เขากลับรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้แย่สักเท่าไรนัก

    ทุกอย่างเป็นเพราะคิมจงอิน

    และในที่สุดเขาก็ได้คำตอบให้กับตัวเอง สิ่งที่คิมจงอินพูดตั้งแต่เมี่อคืนจนถึงตอนนี้ชานยอลโง่จริงๆ อย่างที่อีกฝ่ายว่านั่นแหละ

    “ก็ถ้ามึงเรียกมันว่าความรู้สึกดีๆ กูเองก็คงรู้สึกดีๆ กับมึงเหมือนกัน”

    จงอินยิ้มกว้าง เช่นเดียวกับชานยอล เด็กหลายคนที่หันมามองเริ่มแปลกใจนิดหน่อยว่าทั้งสองคนกำลังทำอะไรกันอยู่ แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้สนใจใครทั้งนั้น พวกเขาก้าวเข้าโรงเรียนด้วยรอยยิ้มพร้อมด้วยสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างก็คิดเหมือนกัน

    รู้สึกดี ตอนนี้ก็คงจะประมาณนี้ล่ะนะ



     

    40 percent

     

    เด็กๆในสีที่กำลังนั่งล้อมวงรอกัปตันทีมมองไปทางมสองคนที่เดินตรงมาทางนี้ด้วยสายตาไม่เข้าใจ บรรยากาศโดยรอบทั้งคู่แตกต่างออกไปจากทุกวัน มันจะชมพูก็ไม่ชมพู แต่จะสดใสเหมือนวันก่อนๆ ก็ไม่ใช่ จงซอกหันไปสะกิดถามรุ่นน้องที่นั่งข้างๆ และมีสภาพไม่ต่างกันเพื่อความแน่ใจ

    มึงว่ามันแปลกๆป่ะวะ

    พออีกฝ่ายพยักหน้า เด็กหนุ่มที่มีหน้าที่เจเนอรัลเบ๊ของเจเนอรัลเบ๊อีกทีก็แทบจะตบเข่าฉาดกับความรู้สึกที่ตรงกันเป๊ะ ไม่รู้ทำไมวันนี้บรรยากาศของปาร์คชานยอลและคิมจงอินมันถึงได้ดูเปลี่ยนไปจากทุกวันทั้งที่ระหว่างสองคนก็ไม่ได้ดูมีอะไรแปลกไป

    จงอินเลิกคิ้วมองผิดกับชานยอลที่ขมวดคิ้วจนเป็นปมจ้องไปยังกลุ่มรุ่นน้องที่นั่งกระพริบตาปริบๆ มองหน้ากันอยู่ ผู้จัดการทีมส่ายหัวหน่ายๆหันไปหาเด็กตัวสูงพลางปลดสายกระเป๋าเป้ที่ห้อยอยู่มาถือไว้ ชานยอลเองก็ยอมปล่อยออกง่ายๆ ให้จงอินเดินเลี่ยงเอาไปวางรวมไว้กับของคนอื่น

    น่ะ!!! ปกติมันต้องมีบ่นมีด่ากันบ้างสิ!

    จะนั่งอีกนานไหม วอร์มร่างกายกันหรือยัง

    ยะ..ยังครับ

    ไปวิ่งรอบโรงยิม 10 รอบ!!

    สั่งเสียงดังลั่นให้รุ่นน้องพากันลุกฮือ กุลีกุจอออกวิ่ง จงซอกเองก็เป็นหนึ่งในนั้นแต่พอกำลังจะตามคนอื่นไปกลับโดนชานยอลเรียกไว้ก่อน

    มึงลงไปซื้อน้ำ พาเด็กไปช่วยถือด้วยล่ะ / ป่ะ จงซอกไปซื้อน้ำกัน

    ชานยอลหันกลับไปมองด้านหลัลและเห็นคิมจงอินที่ถอดสูทตัวนอกออกพร้อมพับแขนเสื้อนักเรียนขึ้นไปถึงข้อศอกหยุดยืนมองพวกเขา จงซอกขมวดคิ้วแต่ยังไม่ทันจะเอ่ยถาม การต่อปากต่อคำของคุณกัปตันและผู้จัดการก็เริ่มขึ้นเสียก่อน

    เพิ่งหายป่วยก็นั่งพักไปมึงน่ะ

    งั้นกลับไปนอนพักที่บ้านเลยดีไหม?”

    กวนตีนให้ได้อะไรขึ้นมาวะ

    งั้นจงซอกไปซื้อน้ำกัน

    ชานยอลรู้สึกตัวเองคิ้วกระตุกถี่ยิบ คิมจงอินก็ยังคงกวนประสาทได้หน้ามึนเหมือนเดิมจนเขาทำอะไรไม่ได้ หงุดหงิดเข้าไปใหญ่ตอนที่เห็นว่าอีกฝ่ายตรงเข้าไปลากแขนรุ่นน้องโดยไม่สนใจคำพูดกันเลยสักนิดจนชานยอลต้องวิ่งตามมาคว้าคอเอาไว้

    กูบอกให้นั่งพัก เพิ่งหายป่วย ไข้กลับจะทำไง

    ก็หายแล้วนี่ไง ไม่ตายหรอกแค่ลงไปซื้อน้ำ

    จงซอกยืนหน้าเหรอหราท่ามกลางสองคนที่เริ่มเป็นจุดสนใจแต่ไม่มีใครรู้ตัว เด็กหนุ่มมองพี่ชานยอลที่ยังคงล็อคคอพี่จงอินปากก็ขยับด่ากันไม่หยุด อยากจะตะโกนบอกว่าช่วยไปจีบกันที่อื่นจะได้ไหมคนอื่นเขาอิจฉา แต่ก็ใจไม่กล้าพอ เกิดพี่ชานยอลเปลี่ยนใจอยากหักคอเขาขึ้นมา จงซอกอาจจะได้ตายฟรี

    มึงนี่มันรั้นจริงๆ

    นายนี่มันเวอร์จริงๆ

    ตอนนี้ไม่รู้ว่าใครเป็นอะไรยังไงแล้ว จงซอกค่อยๆ หดตัวออกจากวงสนทนาแล้วเผ่นแผล็วลงมาซื้อน้ำคนเดียวแทน ชานยอลหันมองรุ่นน้องที่วิ่งแน่บออกประตูโรงยิมก่อนจะหันกลับมามองคิมจงอินที่ยังคงจ้องหน้ากันหาเรื่องอยู่ตรงนี้ หลังจากพูดคุยกันเมื่อเช้าบรรยากาศพวกเรามันก็ไม่ค่อยมีอะไรแปลกไปนักหรอก อย่างน้อยชานยอลก็รู้สึกอย่างนั้น

    คิมจงอินยังคงกวนตีนเสมอต้นเสมอปลาย

    เด็กหนุ่มตัวสูงลากตัวผู้จัดการทีมที่ยังทำหน้ายุ่งให้เดินกลับมาที่อัฒจรรย์พร้อมทั้งกดไหล่ลงจนคิมจงอินนั่งลงไปบนขอบปูน พร้อมทั้งชี้นิ้วสั่งอย่างเด็ดขาด

    นั่งดูเฉยๆ รอกูซ้อมเสร็จ เข้าใจ๋?”

    แค่ป่วย ไม่ได้ใกล้ตาย ลุกเดินได้น่า

    กูแค่ไม่อยากให้ไข้มันกลับแล้วต้องเดินมาโรงเรียนคนเดียวเท่านั้นแหละ

    จงอินกระพริบตาปริบๆ มองเด็กหนุ่มตัวสูงที่พูดจบก็หันหน้าหนีออกไปทางอื่น แต่ถึงอย่างนั้นปาร์คชานยอลก็ยังคงซ่อนอาการเขินอายของตัวเองไว้ไม่เคยได้ ทำยังไงดีเขากำลังกลั้นยิ้มจนรู้สึกปวดกรามไปหมดแล้ว ถ้ายิ้มกว้างแล้วจะโดนอีกฝ่ายฆ่าทิ้งหรือเปล่า? ไม่หรอก...อย่างปาร์คชานยอลแค่ตีเขายังไม่กล้าเลย

    ขี้เหงานะเราเนี่ย

    นั่งเงียบๆไปเลยมึงน่ะ

    ชานยอลดุเสียงเข้มแล้วหันหลังเดินกลับไปตะโกนสั่งเด็กคนอื่นในสนาม จงอินได้แต่นั่งกลั้นยิ้มอยู่ที่เดิมมองกัปตันทีมตัวสูงโวยวายใส่หน้ารุ่นน้องคนหนึ่งที่วิ่งช้า นึกอยากจะลุกไปต่อว่าอยู่เหมือนกันแต่ก็คิดเอาไว้แล้วว่าเขายังมีเวลาให้ตักเตือนปาร์คชานยอลอีกมากไว้ตอนเดินกลับบ้านค่อยเอาเรื่องนี้ไปแหย่ให้หมอนั่นหงุดหงิดก็ได้ 


     

    พวกเราออกจากโรงเรียนก็ตอนที่เกือบจะหกโมงเย็นเข้าไปแล้ว ชานยอลยังคงอยู่ในชุดกีฬา บนไหล่มีเป้สองใบสะพายอยู่และมือขวาก็ถือกระเป๋าใส่รองเท้าของตัวเองผิดกับอีกคนที่ยังคงใส่ชุดนักเรียนถูกระเบียบเป๊ะๆ แถมยังเดินตัวปลิวอีกต่างหาก

    ทำไมวันนี้เลิกซ้อมเร็วจงอินหันไปถามคุณนักกีฬาตัวสูงที่เดินอยู่ข้างๆ หลังจากการถกเถียงกันครั้งล่าสุดด้วยเรื่องถือกระเป๋าแล้วปาร์คชานยอลเป็นฝ่ายชนะ พวกเราก็ไม่ได้พูดคุยกันอีกเลย

    กูหิว

    ตอบสั้นๆ ก็ว่าทำให้น่าหมั่นไส้แล้วแต่ไอ้ท่าทางยักคิ้วนี่มันเพิ่มระดับความอ้อนตีนของปาร์คชานยอลเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัว  

    อ้อเหรอ ฉันไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมนายถึงลงพุงทั้งที่เล่นบาสเป็นบ้าเป็นหลังขนาดนั้น

    จงอินยังคงเดินล้วงกระเป๋าอย่างผ่อนคลายราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้พูดจาทำร้ายจิตใจปาร์คชานยอล ผิดกับเจ้าตัวที่เบิกตากว้างมือก็ยกลูบหน้าท้องของตัวเองโดยอัติโนมัติ จนคนที่เหลือบมองทางหางตาเกือบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่

    เป็นห่าอะไรมากมั้ยครับ แกล้งกูคงสนุกมากสินะ

    ก็ถือว่าแก้เบื่อไปได้นิดหน่อย แค่ก มันหายใจไม่ออก!จงอินร้องลั่นเมื่ออยู่ๆปาร์คชานยอลก็ล็อคคอเข้ากดไว้แน่น  “ปล่อยดิ เจ็บ!

    โดนซะบ้าง! จะได้เลิกแกล้งกูสักทีชานยอลปล่อยแขนออกจากรอบคอ เด็กหนุ่มตัวสูงมองคิมจงอินที่ตวัดตามองเขาเคืองๆ  ยักไหล่ราวกับว่าที่ล็อคคอกันจนจะขาดใจตายเมื่อครู่นี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่

    คนรู้สึกดีนี่เขาทำกันแบบนี้สินะเพิ่งจะรู้

    จงอินก็ยังคงเป็นจงอินที่ไม่เคยจะยอมแพ้ เขาผิวปากแล้วล้วงมือเข้าในกระเป๋ากางเกงก้อนจะออกเดินอีกครั้ง ทิ้งปาร์คชานยอลให้ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเพราะถูกแซวเอาดื้อๆ แต่ก็แค่ครู่เดียว เด็กหนุ่มตัวสูงก็ตะโกนด่าไล่หลังจนจงอินต้องรีบวิ่งหนีโดยไม่ได้หันกลับไปมองว่าตอนนี้อีกคนหน้าตาตลกแค่ไหน

    คนป่วยบ้านไหนวิ่งเร็วขนาดนี้วะ

    ชานยอลบ่นอุบ พวกเขาทั้งคู่หยุดหอบหายใจอยู่ตรงข้างถนนที่ต้องแยกย้ายกันกลับบ้าน เหงื่อไหลอาบหน้า ย่อตัวลงเท้าเข่าใช้แขนข้างหนึ่งกดหน้าท้องของตัวเองไว้พลางมองคนป่วยที่มีสภาพไม่ต่างกันสักเท่าไรนัก

    เป็นไงล่ะ ซ่านักพอเริ่มหายใจได้เข้าที่ชานยอลก็ไม่รีรอจะสมน้ำหน้า แต่ก็ยังมีน้ำใจเอื้อมมือไปฉุดอีกคนให้ลุกขึ้นยืนดีๆป่วยขึ้นมาอีกกูจะทุบให้

    ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่จงอินกลับรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้กำลังทำในสิ่งที่โคตรจะน่ารักเลยจริงๆ

    ปาร์คชานยอลกำลังบ่นยาวเหยียดจนจงอินฟังแทบไม่ทันทั้งที่มือก็ควานผ้าขนหนูที่เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายมักจะใช้ซับเหงื่อของตัวเองมาเช็ดให้เขา แรงที่กดมาก็เหมือนกลัวว่าเขาจะเจ็บ ให้ตายเถอะ เป็นผู้ชายที่พูดเท่าไหร่ก็ไม่เคยจำเลย แต่ก็นะ.. มันก็อดจะรู้สึกเขินไม่ได้จริงๆ

    ขอบใจนะ

    ชานยอลชะงักมือเมื่ออยู่ๆคิมจงอินก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ไหนจะยังรอยยิ้มจริงใจที่เห็นกี่ครั้งก็อดใจเต้นแรงไปกับมันไม่ได้

    พูดมากจัง เอาผ้าไปซักให้กูด้วยเลยคนอย่างเขาพอเขินขึ้นมาก็ทำตัวไม่ถูกเลยได้แต่โวยวายกลบเกลื่อนทุกครั้ง อย่าถามว่าทำไมเลย ชานยอลก็ไม่รู้เหมือนกัน กับแค่จะมองหน้ายังเขิน นับประสาอะไรจะให้พูดดีด้วยวะ

    เพราะไม่อยากมองหน้าชานยอลเลยเลือกจะมองไปทางอื่นก่อนจะนึกได้ว่าเขาจะทำอะไรตอนที่ตาหันไปเห็นอาแปะกำลังตั้งร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่อีกฝั่งถนน

    นี่ มึงน่ะ กลับบ้านเย็นได้หรือเปล่า

    ได้ดิ ตั้งแต่นายลากฉันไปเป็นผู้จัดการทีมบาสอะไรนั่น ฉันก็กลับเย็นทุกวันอยู่แล้ว

    หงุดหงิดนิดหน่อยที่โดนยียวน แต่ชานยอลก็ยังไม่คิดจะเขกหัวให้คนเพิ่งหายป่วยเจ็บตัว อีกอย่างเขามีอะไรที่อยากทำมากกว่า

    ถ้างั้น….”

    จงอินมองคุณนักกีฬาตัวสูงอึกอักผิดปกติ ทำเหมือนมีอะไรจะพูดก็ไม่พูด หน้าก็ไม่ยอมมองกัน จนต้องมองตาม ก่อนจะคิดว่าวันนี้ตัวเองต้องยิ้มจนกรามค้างแน่ๆ

    อะไรจะชวนเดทตั้งแต่วันแรกเลยเหรอ

    มึงนี่ให้เวลากูคิดคำพูดหน่อยได้มั้ยวะ

    จงอินคิดว่าตัวเองต้องยิ้มกว้างมากแน่ๆ ปาร์คชานยอลเวลาโกรธปนเขินมันตลกมากเลยจริงๆ แต่เห็นแก่ที่อีกคนกำลังพยายามเขาจะไม่แกล้งก็ได้

    เงียบกันอยู่หลายนาที ตอนนี้จงอินถอดเสื้อสูทพาดไหล่ไปแล้ว และกำลังเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดลงเรื่อยๆ ส่วนชานยอลก็ไม่ยอมมองหน้ากันเลย จนกระทั่ง

    กินข้าวเย็นด้วยกันมั้ย

    มันเป็นประโยคธรรมดาแต่ทำให้คนที่รอฟังยิ้มกว้าง

    จงอินกลับมามองปาร์คชานยอลที่ยังคงอยู่ท่าเดิม นึกไปว่าถ้าพวกเราพูดคุยเรื่องเมื่อเช้าไปตั้งแต่เดือนที่แล้ว เหตุการณ์จะเป็นอย่างนี้หรือเปล่า

    แต่ก็ช่างมันเถอะ

    อื้อ ไปสิ นายเลี้ยงนะ

    ไม่ว่ายังไง เขาก็ตอบตกลงอยู่ดีนั่นแหละ



    วันงานกีฬาสีมีแต่ความวุ่นวายเต็มไปหมด ขนาดจงอินที่ไม่ได้มีหน้าที่อะไรมากยังค้องถ่อมาแต่เช้าเพื่อมาช่วยเพื่อนคนอื่นจัดข้าวของบนสแตนด์ ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก แต่ที่แปลกน่ะ.. มันตอนที่เขาออกจากบ้านต่างหากล่ะ

    หือ?”จงอินหยุดขาเอาไว้ตอนที่เขาหันไปเห็นว่ามีคนยืนพิงกำแพงบ้านของตัวเองอยู่มาทำอะไรแต่เช้าน่ะ

    ถ้าเป็นไอ้เทาหรือเซฮุนเขาจะไม่แปลกใจเลนสักนิด เพราะเมื่อคืนก็นัดแนะกันแล้วว่าจะไปโรงเรียนพร้อมกัน แต่นี่มันปาร์คชานยอล บอกตามตรงว่าเหนือความคาดหมายของเขาไปมากเลยล่ะ

    มาขอส่วนบุญมั้ง ถามแปลกๆ มารับมึงไปโรงเรียนน่ะสิ

    ก็ไอ้มารับนี่แหละที่แปลก

    ดูเหมือนว่าบัดดี้ตัวสูงจะค่อนข้างหงุดหงิดอยู่มาก จงอินเห็นได้จากหน้าตาที่บูดสนิท ก็จะแหกขี้ตาตื่นเช้ามารับเขาทำไมกันล่ะ?

    ไปคนเดียวแต่เช้ามันอันตราย

    โห...ถ้าเป็นสาวน้อยป่านนี้จงอินเขินตัวบิดเป็นอินฟินิตี้แล้วเนี่ย

    พูดเป็นเล่น ฉันเป็นผู้ชายนะปาร์คชานยอล

    โจรมันเลือกปล้นเฉพาะผู้หญิงรึไง พูดมากจังวะ จะไปมั้ยโรงเรียนน่ะ

    ไม่ตะคอกให้เสียแรงเปล่าจริงๆ จงอินขมวดคิ้วเมื่ออีกฝ่ายกระชากแขนเขาแล้วลากกันออกมาดื้อๆ นี่ดีนะปิดประตูเรียบร้อยแล้วไม่อย่างนั้น ที่จะโดนปล้นคงเป็นบ้านของเขาแทน

    ถ้านายหงุดหงิดแล้วจะตื่นมารับฉันทำไม เคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าอะไรที่ทำแล้วหงุดหงิดก็อย่าทำ

    เขายังคงโดนลากอยู่ ถึงจะไม่ได้โกรธ แต่ไอ้นิสัยทำไปบ่นไปของปาร์คชานยอลนี่มันก็ไม่ควรจะละเลย เพราะถ้าเผลอไปทำอย่างนี้กับคนอื่นก็จะโดนว่าเอาได้

    ไอ้เรื่องพรรค์นั้นน่ะกูเข้าใจ แต่เพราะกูไม่อยากให้มึงไปคนเดียว ถึงได้มารับ

    จงอินเลิกคิ้ว แต่ก็ปล่อยให้ชานยอลพูดต่อ อยากรู้เหตุผลของชานยอลเหมือนกัน

    กูเป็นคนขี้หงุดหงิด อะไรนิดหน่อยก็หงุดหงิดแล้ว แต่นั่นไม่รวมกับที่กูต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อมึง

    “.....”

    กับมึงกูก็เต็มใจทำให้ทุกเรื่องนั่นล่ะ ครั้งนี้ก็ด้วย แต่ที่หงุดหงิดอยู่นี่เพราะกูไม่ชอบตื่นเช้า ไม่ได้เป็นเพราะต้องตื่นเช้ามารับมึง เข้าใจมั้ย

    ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าอีกคนเต็มใจทำทุกอย่างให้ แต่พอมาได้ยินเองกับหูแบบนี้ มันก็อดเขินไม่ได้ ผู้ชายทื่อมะลื่ออย่างปาร์คชานยอลนี่จริงๆเลย

    อย่าเงียบดิวะ เข้าใจมั้ยเนี่ยว่าเป็นห่วงถึงได้มารับ และกูต้องหงุดหงิดมากกว่านี้แน่ถ้าให้มึงไปโรงเรียนคนเดียว

    จงอินไม่รู้จะตอบว่ายังไงเลย หาคำที่จะพูดออกมาไม่ถูก เพราะว่าปาร์คชานยอลไม่เคยพูดอย่างนี้ แล้วเขาจะไปรู้ได้ยังไงว่าต้องตอบอะไรล่ะ

    สุดท้ายจงอินก็ตอบไปว่าอื้อแล้วทุกอย่างก็กลับมาเงียบสนิท อากาศตอนเช้ามืดค่อนข้างเย็นแต่มือของปาร์คชานยอลอุ่นมาก

    ตอนนี้จงอินรู้สึกแค่นั้นแหละ

    พวกเขาเจอเทากับเซฮุนที่ทางแยก จงอินเห็นว่าทั้งสองคนดูแปลกใจนิดหน่อยที่จงอินมาถึงพร้อมกับปาร์คชานยอลแต่ก็ไม่มีใครถามอะไรออกมา จนกระทั่งถึงโรงเรียน ชานยอลขอตัวไปนอนที่ห้องชมรมก่อนจะปล่อยให้จงอินไปช่วยคนอื่นถึงตอนนี้นั่นแหละ

    นี่จงอิน…” เซฮุนเรียกเขาตอนที่พวกเรากำลังยกของไปเก็บที่ห้องกิจกรรมเมื่อเช้าทำไมมาพร้อมกับปาร์คชานยอลได้ล่ะ

    กะไว้อยู่แล้วว่าต้องถามแบบนี้

    หมอนั่นไปรับที่บ้านน่ะ ตอบออกไปเหมือนเรื่องปกติแต่ทำเอาเซฮุนเกือบทำลังกระดาษหลุดมือ เด็กหนุ่มตัวผอมหันมองเพื่อนสนิทด้วยความตกใจ

    พระเจ้า! สองคนนี้ไปถึงขั้นไหนกันแล้วเนี่ย

    “อย่าบอกนะว่าคบกันแล้วน่ะ” นาทีนี้ไม่คิดจะเก็บความสงสัยเอาไว้อีกแล้ว เซฮุนคิดว่าควรจะถามความสัมพันธ์ของทั้งสองคนสักที และยิ่งเห็นว่าเพื่อนยิ้มเขาก็ยิ่งใจเต้นไม่เป็นจังหวะ คิมจงอินเป็นคนประเภทที่คาดเดายาก ขนาดเป็นเพื่อนกันมาหลายปียังไม่เคยตามความคิดกันทัน ไม่ใช่ว่ามันซับซ้อน แต่มุมมองของคนคนนี้มันแตกต่างจากเพื่อนคนอื่นที่เขาเคยรู้จัก

     “ก็ยังไม่ได้คบกันนะ” ตอบออกไปตามจริง และจงอินก็เห็นว่าจะคบหรือไม่คบมันก็ไม่ได้กระทบสิ่งที่เป็นอยู่ระหว่างพวกเขาในตอนนี้

    “แต่ว่าไปรับนายถึงบ้านเนี่ยนะ”

    จงอินใช้แขนกอดลังกระดาษไว้พร้อมกับพยายามเปิดประตูห้องกิจกรรมจนเซฮุนที่เห็นเพื่อนทุลักทุเลขยับเข้ามาช่วย ทั้งที่ก็ยังรอคำตอบจากเพื่อนอยู่ด้วย

    “ก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน”

    เซฮุนไม่รู้ว่า แปลก ของจงอินมันคืออะไรกันแน่ แต่การที่คนคนนึงจะไปรับเราถึงบ้านในตอนเช้ามืดทั้งที่ตัวเองสามารถนอนต่อได้อีกหน่อย มันคงไม่ใช่เรื่องปกติของคนที่เป็นเพื่อนเฉยๆ เขาทำกันแน่ อย่างน้อยก็ไม่ใช่กับคนปกติทั่วไปอย่างปาร์คชานยอล

    “แต่ถึงอย่างนั้น นายไม่คิดบ้างเหรอว่าหมอนั่นควรจะได้นอนตื่นสายๆ แถมวันนี้ยังต้องแข่งกีฬาอีกนะ”

    “ฉันก็คิดอย่างนั้นแหละ แต่ว่านะ...” จงอินยิ้ม หันออกไปมองนอกหน้าต่างตรงทางเดินของตึกเรียน เขาเห็นว่าเด็กหลายคนกำลังวุ่นวายกับงานกีฬาสีแล้วรู้สึกโชคดีแปลกๆ ที่ตัวเองมีหน้าที่แค่ดูแลคนไม่กี่สิบคน

    “การเอาใจเขามาใส่ใจเรามันเป็นเรื่องดีก็จริงนะเซฮุน แต่ฉันคิดว่าบางครั้งเราก็ควรมองต่อไปอีกนิดว่าสิ่งที่คนอื่นทำให้เขาเต็มใจทำหรือเปล่า อย่างครั้งนี้ปาร์คชานยอลเต็มใจ และหมอนั่นก็หาทางออกของตัวเองไว้แล้ว ถ้าฉันปฏิเสธหรือต่อว่าเขามันก็คงใจร้ายเกินไป นายว่ามั้ย”

     “ก็จริงของนาย”

    “ปฏิเสธสิ่งที่อีกฝ่ายเต็มใจทำให้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับการไม่ใส่ใจคนคนนั้นนั่นแหละ”

    พูดออกไปตามที่รู้สึก เขาไม่เคยคิดอย่างนี้มาก่อนจนเมื่อเช้าได้ยินปาร์คชานยอลพูดออกมาแบบนั้น มันทำให้จงอินรู้สึกว่าการตอบรับน้ำใจของใครสักคนก็ไม่ใช่เรื่องแย่ จริงอยู่ว่าความเกรงใจเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงมี แต่สิ่งที่หลายคนลืมคิดก็คือ คนให้เต็มใจให้และมันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงของเขา การที่เราปฏิเสธใครสักคนเพียงเพราะคำว่าเกรงใจ มันอาจจะเป็นการทำร้ายความรู้สึกอีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจก็ได้

    อา...นี่นายให้บทเรียนฉันครั้งแรกเลยนะเนี่ย ปาร์คชานยอล

    เซฮุนมองจงอินที่ยิ้มอยู่คนเดียวไม่พูดไม่จา อยู่ๆ ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดยิกๆ ก่อนจะยัดมันลงกระเป๋ากางเกงตามเดิน พอหันไปมองแต่ยังไม่อ้าปากถามอีกฝ่ายก็ชิงตอบมาว่าไม่มีอะไรก่อนจะพากันเดินกลับไปยังสแตนด์เพื่อช่วยงานอื่นต่อ

     

    ตื่นแล้วก็ไปหาข้าวกินซะนะครับคุณกัปตันทีม วันนี้อย่าแพ้ล่ะ เดี๋ยวตอนแข่งจะหอบกำลังใจปึกใหญ่ไปให้ถึงที่


    ชานยอลยิ้มให้กับข้อความที่เพิ่งจะได้รับ พิมพ์ตอบกลับไปสั้นๆ แล้วลุกขึ้นบิดขี้เกียจก่อนจะเดินลากขาออกจากห้องชมรมตรงไปยังโรงอาหาร


    ไม่แพ้หรอกน่า ถ้ากำลังใจมาช้ามึงตายแน่

     

     

    #ฟิควงกลมชานไค

    พี่ก็ได้แต่ยิ้มๆ กับเรื่องตอนนี้ 555555555555555555555555555

    เราชอบความเรื่อยๆจริงๆนะ นี่ก็ปาเข้าไปสิบสองตอนแล้ว เขายังอิ๊อ๊างกันแบบเงียบๆ อยู่เลยอ่ะ แล้วมันก็จะเงียบไปอย่างนี้แหละ เป็นความเงียบที่ไม่เงียบ.. เอ๊ะยังไง? 55555555 เอาใจช่วยกันหน่อยเร็ววว ทุกคนอาจจะคิดว่าเฮ้ยย มันไม่มีอุปสรรคอะไรหรอก ก็ดูราบรื่นดี แต่..อย่าลืมนะ ชีวิตเด็กม.ปลายมันไม่ได้สวยหรูอย่างแน่นอน.. อิ้____________อิ้

    เอาล่ะ ขอบคุณทุกๆคนมากเลยนะคะ ที่ยังติดตามฟิคของเราจนถึงทุกวันนี้ ช่วงนี้ภาษาหรือการเล่าเรื่องแปลกไปมากจริงๆ เราหาฟอร์มตัวเองไม่เจออ่ะ แต่กำลังพยายามอยู่หนา ขอบคุณคอมเม้นต์ทั้งในเด็กดีแล้วก็ทวิตเตอร์นะคะ เป็นกำลังใจชั้นเยี่ยมเลยจริงๆ

    วันนี้ไปก่อนน้า ขอให้ทุกคนมีความสุขไปกับการอ่านฟิคนะคะ

    เลิ้บบบบบบบบบบบ 

    QW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×