คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : CHAPTER 11
Title : Cycle
Paring : Chanyeol X Kai
วันเวลาที่ผ่านมาทำให้พวกเราได้พบกัน
แต่วันเวลาต่อจากนี้ทำให้พวกเราได้เรียนรู้กันมากยิ่งขึ้น
Chapter 11
จงอินกำลังโดนแม่บ่นขรมแต่ถึงอย่านั้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่มก็ยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่แยกกับปาร์คชานยอลตรงหัวมุมถนน
เขาก็รีบตรงกลับบ้านและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที โดยไม่ลืมกินยาดักไข้เอาไว้ด้วย
แต่ดูเหมือนว่าเด็กชายที่ไม่ค่อยจะได้ออกกำลังกายดูจะมีภูมิต้านทานต่ำ
เช้าวันนี้คิมจงอินถึงได้มีไข้และนอนหน้าเซียวอยู่บนเตียงให้ผู้เป็นแม่ดุเอา
“ป่วยง่ายแล้วก็ยังชอบเล่นน้ำฝน
ลูกนี่น่าตีจริง ๆ เลย” คุณนายคิมยังคงบ่นแต่ก็คอยเช็ดตัวและเช็คไข้ลูกชายคนเดียวเป็นระยะ
จงอินส่งยิ้มเนือย ๆ ให้กับผู้เป็นแม่ ตอนนี้เขาปวดเมื่อยไปทั้งตัว ตาก็พร่าไปหมด
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ยังไม่ลืมว่าตัวเองมีนัดทุกเช้ากับใครอีกคน
“แม่ครับ
ผมยังไม่ได้โทรบอกชานยอล”
“เพื่อนลูกคนนั้นน่ะหรอ
นัดกันไว้หรือยังไง”
จงอินพยักหน้ารับ
คิ้วขมวดแน่นพยายามจะคิดหาวิธีติดต่อกับปาร์คชานยอลแต่ก็ดูจะไม่มีทางไหนเลย
โทรศัพท์มือถือก็ถูกอีกฝ่ายจับยัดไว้ในตู้ลอคเกอร์พร้อมกระเป๋านักเรียน
และตอนนี้เขาก็ไม่มีแรงลุกไปเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเข้าโปรแกรมแชทบอกอีกฝ่ายด้วย
เงยหน้ามองแม่ที่ยังคงสาละวนกับการเช็ดเนื้อเช็ดตัวเขาแล้วก็ได้แต่รู้สึกผิด
ทุกครั้งที่ป่วย แม่ก็ต้องเหนื่อยดูแลเขาตลอด
“ตอนนี้กี่โมงแล้วหรอครับ”
“จะเจ็ดโมงครึ่งแล้ว
ลูกนัดเพื่อนไว้กี่โมง” เขาไม่ได้ตอบ
เลยเวลานัดมาครึ่งชั่วโมงแล้วปาร์คชานยอลคงไม่ซื่อบื้อยืนรอ
อย่างมากหมอนั่นก็อาจจะหงุดหงิดนิดหน่อยตอนที่เจอหน้ากันครั้งต่อไป
เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ กระพริบตาปรือปรอยเต็มที ฤทธิ์ของยาแก้ไข
และยาลดน้ำมูกกำลังทำให้จงอินรู้สึกง่วงขึ้นมาอีกครั้ง
ทั้งที่เพิ่งจะตื่นได้ไม่นาน
แต่เสียงออดหน้าทำให้เขาต้องฝืนตาขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง
ได้ยินเสียงแม่พูดอะไรสักอย่างแล้วเดินออกจากห้องนอนไปแต่ก็ไม่นานนัก จงอินปรือตาที่เพิ่งจะปิดลงชั่วครู่ขึ้นอีกครั้ง
แม้จะมองเห็นได้ไม่ชัดแต่ก็พอจะรู้ว่าเงาเลือนลางที่อยู่ปลายเตียงเป็นผู้ชายตัวสูง
ๆ คนนึง
“ไอ้เทาหรอวะ”
ถามออกไปเสียงพร่า รู้สึกหนักหัวจนไม่อยากจะขยับไปไหน
สุดท้ายก็ได้แต่นอนนิ่งรอให้เพื่อนเดินเข้ามานั่งใกล้ ๆ ถึงได้ถามออกไป
"กูไม่ไปนะ เอากระเป๋าในล็อคเกอร์มาให้ด้วย
อ้อฝากบอกปาร์คชานยอลด้วย"
"จะฝากบอกอะไรกูล่ะครับคิมจงอิน"
คนป่วยขมวดคิ้วแน่น
จงอินจำเสียงดุ ๆ ของปาร์คชานยอลได้
แต่ที่สงสัยคือทำไมเจ้าตัวถึงได้มานั่งอยู่ในห้องเขาอย่างนี้
“กูบอกมึงแล้วไงว่าอย่าป่วยน่ะ”
ถึงรูปประโยคจะไม่ได้ฟังรื่นหูสักเท่าไร
แต่จงอินก็ยังจับได้ว่าเสียงของปาร์คชานยอลอ่อนลงมากแค่ไหน
นึกไปถึงว่าคงจะดีไม่น้อยถ้าเขามีแว่นสายตาอยู่จะได้รู้ว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าเป็นอย่างไร
“นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วปาร์คชานยอล”
“อีกยี่สิบจะนาทีจะแปดโมง
ทำไมป่วยแล้วตาบอดด้วยหรือยังไง”
“เปล่า
แต่บังเอิญว่าเมื่อวานมีไอ้โง่สักคนเอากระเป๋าฉันไปเก็บในล็อคเกอร์ที่โรงเรียนโดยไม่ถามสักคำว่าฉันมีของสำคัญอยู่ในนั้นหรือเปล่า”
คนโดนด่าว่าเป็นไอ้โง่ซึ่งหน้าถึงกับอ้าปากค้าง
นี่ขนาดป่วยจนลุกจากเตียงไม่ไหว คิมจงอินก็ยังปากคอเราะร้ายไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
ชานยอลจ้องมองคนป่วยแล้วนึกอยากขยำหัวกดมันให้จมหมอนหายใจไม่ออกตายไปข้าง
แต่การกระทำดันตรงข้ามกับความคิดไปเสียทุกเรื่อง
เด็กหนุ่มจัดการลอกแผ่นเจลลดไข้อันเก่าออก
ก่อนจะแปะอันใหม่ทับลงไปโดยจงใจออกแรงกดจนคนป่วยหน้านิ่วแล้วปิดท้ายด้วยการเคาะลงไปกลางหน้าผากแรง
ๆ อีกหนึ่งที
"นายมาทำไม
ไม่ต้องไปโรงเรียนหรือไง" จงอินมึนหัวนิดหน่อย
ปาร์คชานยอลเล่นกดเจลลดไข้ลงมาจนหัวโยก จะไม่ให้มึนได้ยังไงกัน
"พูดมากจังวะ"
เพราะได้ยินแต่เสียงจงอินเลยไม่เห็นว่าน้ำเสียงติดรำคาญนั่นมันขัดกับหน้าตาเป็นห่วงของชานยอลมากแค่ไหน
เมื่อคืนก็คุยกันแค่นิดเดียวเพราะจงอินออนไลน์ในคอมเพื่อทักมาบอกว่าโทรศัพท์อยู่ในกระเป๋า
แล้วก็หายจ้อยไปเลย
ตอนเช้าก็ไม่ได้ไปตามนัดยิ่งทำให้ชานยอลกระวนกระวายจนสุดท้ายเลือกที่จะข้ามถนนแล้วตรงมายังบ้านของบัดดี้แทนที่จะเป็นโรงเรียน
"กูบอกแล้วไงว่าอย่าป่วยน่ะ"
พอเห็นหน้าตาเซื่องซึมกับดวงตาปรือปรอย
คำบ่นที่คิดไว้ก็กลืนหายลงท้องไปหมด สารภาพเลยก็ได้
ว่าเห็นสภาพนี้แล้วบ่นไม่ลงเลยจริง ๆ
"อืออ
ก็มันป่วยไปแล้ว"
เสียงแหบพร่า
กับใบหน้าเหนื่อยอ่อนทำให้ชานยอลกลืนคำบ่นลงคอไปหมด
เด็กหนุ่มนั่งนิ่งมองคิมจงอินที่ตาปรือจนแทบจะปิดแล้วก็ต้องถอยหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่
"ง่วงก็นอน
กูจะไปโรงเรียนแล้ว เดี๋ยวตอนเย็นจะแวะมาหาอีกทีแล้วกัน"
"เจอกันพรุ่งนี้เลยก็ได้"
"ไม่ดื้อสักวันมันจะตายหรือยังไงวะ"
จงอินพยักหน้ารับแกน ๆ
เพราะเหนื่อยหน่ายจะเถียงกับคนเอาแต่ใจ
คอยดูเถอะรอให้หายดีก่อนปาร์คชานยอลต้องโดนเอาคืนทั้งเรื่องที่โดดเรียนมานั่งอยู่ในห้องเขาและเรื่องที่พูดจาไม่ดีใส่กันอีกด้วย
ทั้งห้องเงียบสนิทเมื่อคนป่วยผล็อยหลับไปแล้วจากฤทธิ์ยาและพิษไข้
ชานยอลถอนหายใจเป็นรอบที่สามอย่างไม่รู้จะอย่างไร
ไอ้เรื่องเข้าเรียนสายมันก็สายแน่นอนอยู่แล้วช่างมันเถอะ
แต่ไอ้คนป่วยที่น่าหงุดหงิดตรงนี้ต่างหาก
คอยดูเถอะมึงหายป่วยคราวนี้อย่าฝันไปเลยว่าจะได้เล่นน้ำฝนอีกน่ะ
ใช้เวลามองคนป่วยอยู่สักพักก่อนจะแน่ใจว่าอีกฝ่ายหลับสนิทไปแล้ว
ชานยอลเองก็ถึงเวลาที่จะต้องไปเรียนบ้างสักที
เด็กหนุ่มลุกขึ้นทำทุกอย่างให้เงียบที่สุด
เดินลงมาชั้นล่างก็พบว่าคุณนายคิมอยู่ในส่วนของห้องนั่งเล่น “ขอโทษที่มารบกวนตั้งแต่เช้าครับ”
โค้งหัวให้กับคุณนายคิมที่กำลังทำความสะอาดบ้าน รู้สึกกระอั่กกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก
ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาอธิบายถึงเรื่องที่มากดออดหน้าบ้านคนอื่นแต่เช้าอย่างนี้
“จงอินคงฝากเอาการบ้านไปส่งสินะ
รบกวนด้วยนะชานยอล”
“มะ..ไม่เป็นไรครับ
เดี๋ยวช่วงเย็นผมจะแวะเอาการบ้านของวันนี้มาให้จงอินเองนะครับ” โค้งหัวอีกครั้ง กล่าวลาคุณนายคิมและรีบออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว
กลัวว่าเธอจะจับผิดท่าทางแปลกประหลาดของตัวเองได้เสียก่อน
เด็กหนุ่มเดินเตะฝุ่นไปเรื่อย
ๆ อย่างไม่รีบร้อนสักเท่าไหร่นัก กว่าคาบแรกจะเริ่มกินเวลาอีกเกือบสี่สิบนาที
ชานยอลโดดโฮมรูมไปแล้วและไม่คิดจะโผล่หน้าไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาหรือสารวัตรนักเรียนที่ไม่ค่อยจะถูกกันเอาเรื่องแก้แค้นเล่นหรอก
สองมือล้วงกระเป๋าเดินเตะกระป๋องไปเรื่อยเปื่อย นึกเบื่อขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ทั้งที่เมื่อก่อนถ้าหากเป็นช่วงกีฬาสีชานยอลจะกระตือรือร้นมากกว่าใครที่จะไปโรงเรียน
เขาไม่เคยหลับสักคาบแต่ก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนสักเท่าไหร่
ใจมันลอยไปถึงชั่วโมงสุดท้ายที่จะได้ลงไปเล่นกีฬาสุดโปรดต่างหากแต่ตอนนี้มันตรงข้ามไปเสียหมด
เพราะคิมจงอินนั่นแหละ บอกแล้วว่าอย่าป่วยฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือยังไง
กว่าจะมาถึงรั้วโรงเรียนก็เกือบสามสิบนาทีเข้าไปแล้ว
ชานยอลเดินอ้อมไปด้านหลัง มองกำแพงที่เจาะรูไว้สำหรับเด็กนักเรียนที่ชอบโดดเรียนหรือมาสาย
วันนี้เขาคงต้องใช้บริการมันอีกครั้ง
เด็กหนุ่มปีนป่ายอย่างคล่องแคล่วและลงมายืนบนพื้นได้อย่างสวัสดิภาพ
แต่ก็ต้องตกใจจนเผลอทำกระเป๋าหลุดมือ
“มึงมาสาย!!
คิมจงอินก็ไม่มา!! บอกกูมานะ! ว่าไปไหนมา!!”
ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
ก็พอรู้อยู่หรอกว่าทั้งเขาทั้งคิมจงอินกำลังถูกทั้งโรงเรียนจับตามอง
แต่ก็ไม่คิดว่าเพื่อนสนิทของตัวเองจะเป็นกับคนอื่นเขาด้วย เชื่อมันเลยจริง ๆ
“ไม่ได้ไปไหนทั้งนั้นล่ะ
กูตื่นสาย!! หลีก! เดี๋ยวไปเรียนฟิสิกส์ไม่ทัน!”
“เชื่อมึงก็ออกลูกเป็นลิงแล้ว
ปาร์คชานยอล!!”
ไม่ได้สนใจเสียงตะโกนของแบคฮยอนเลยสักนิด
ชานยอลยกมือขึ้นโบกลาทั้งที่ยังหันหลังแล้วมุ่งตรงไปยังอาคารเรียน
ลู่หานเองก็ได้แต่ส่ายหน้าหันมองเพื่อนข้าง ๆ กับอีกหนึ่งคนที่เดินไปไกลนู่นแล้ว
“มึงก็อย่าไปเซ้าซี้มันเลยน่า”
ลู่หานหันไปบอกแบคฮยอนที่ยังคงตะโกนเสียงดังด้วยหน้าตาหงุดหงิดขั้นสุด
“กูอยากรู้นี่!
หรือมึงไม่อยากรู้”
“อยากดิวะ…
เป็นเพื่อนกันมันก็ดีอยู่หรอก เสือกได้ไม่มีข้อจำกัด
แต่กูว่าครั้งนี้เรารู้ไปพร้อมคนอื่นก็ดูจะฟินไปอีกแบบ”
นี่เป็นครั้งที่สองของวันที่ชานยอลกดออดบ้านคิม
แต่คราวนี้คนที่มาเปิดประตูกลับกลายเป็นคนป่วยที่นอนนิ่งอยู่เมื่อเช้า
สีหน้าดีขึ้นกว่าที่เจอแต่ก็ยังซีดเซียวอยู่นิดหน่อย
“อ่ะ
กูเอามาให้ ไม่เป็นไอ้โง่แล้ว”
จงอินมองกระเป๋าเป้ที่เด็กชายตัวสูงยื่นมาให้
และรับไว้พร้อมกับกล่าวขอบคุณเสียงเบา สายตามองปาร์คชานยอลที่ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน
ทั้งที่กระเป๋าก็ให้แล้ว ไม่น่าจะมีธุระอีก
“ขอบคุณกูสักคำน่ะมีมั้ย”
“มันเป็นสิ่งที่นายต้องทำอยู่แล้วไม่ใช่หรอ”
ตอบกลับไปยิ้ม ๆ แต่เล่นเอาคนฟังถึงกับคิ้วกระตุก
นับหนึ่งถึงสิบในใจอย่างที่จะไม่จับหัวคนป่วยโขกกำแพงให้มันขาดเรียนเล่นอีกสักวัน
พอดีเข้าหน่อยคิมจงอินก็กลับมากวนส้นตีนเขาเหมือนเดิม มันน่าหงุดหงิดชะมัดเลย
“แล้วนี่มึงหายดีแล้วหรือยังไง”
“อือ
เป็นไข้หวัดนิดหน่อย นอนพักมาทั้งวัน พรุ่งนี้ก็ไปโรงเรียนได้แล้ว”
จงอินสังเกตสีหน้าของบัดดี้ตัวสูง
คิ้วที่ขมวดแน่นนั่นคลายออกนิดหน่อย แต่ก็ยังทำหน้าบึ้งตึงอยู่ดี ส่ายหน้าน้อย ๆ
ให้กับคนที่ไม่ว่าเมื่อไรก็แสดงอารมณ์ทุกอย่างออกมาทางสีหน้าจนหมดเกลี้ยง
แล้วแบบนี้พอตัวเขาดักทางได้ปาร์คชานยอลก็จะมาหงุดหงิดอีก
“ขอบใจนะ”
“มันเป็นหน้าที่ของกูไม่ใช่หรือไงครับคุณผู้จัดการทีม
ไม่ต้องขอบคุณหรอก”
จงอินยิ้มกว้างกับน้ำเสียงประชดประชัน
แต่ก็นะนี่มันปาร์คชานยอลจะเอาอะไรกับคนที่พูดก็ไม่เก่งแสดงออกก็ไม่ถูก
ถึงจะเสหน้าออกไปทางอื่นแต่เขาก็เห็นอยู่ดีนั่นแหละ
ว่าหมอนั่นน่ะแอบยิ้มอยู่เหมือนกัน
นายต้องได้ยิ้มจนปวดแก้มไปทั้งคืนแน่ปาร์คชานยอล
“ฉันหมายถึงเรื่องที่นายเป็นห่วงต่างหาก
คราวหลังรู้สึกอะไรก็พูดออกมารู้มั้ย ไม่ใช่มาทำเก๊กตะโกนใส่คนอื่นเขาปาว ๆ
อยู่อย่างนี้ มันไม่คูลเลยครับ คุณกัปตันทีม”
คนโดนจับได้ถึงกับพูดไม่ออก
ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด
ลืมไปเสียสนิทว่าคิมจงอินน่ะเก่งเรื่องอย่างนี้ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ชานยอลรู้สึกอะไรอีกฝ่ายก็จะจับทางได้หมด
เป็นคนที่ทำให้รู้สึกว่าแพ้จนหมดท่าไม่ว่าจะทางคำพูดหรือการกระทำเลยให้ตายเถอะ
“การซื่อตรงต่อความรู้สึกน่ะ
มันไม่ใช่เรื่องร้ายแรงหรอกนะ ยิ่งความรู้สึกของนายเป็นสิ่งดี
การเป็นห่วงเป็นใยคนอื่น การใส่ใจคนอื่น
ไม่ว่าใครที่ได้รับสิ่งนี้ก็ต้องรู้สึกดีด้วยกันทั้งนั้น” จงอินพูดออกมาด้วยท่าทีผ่อนคลาย
เอนหลังพิงกับเสาประตูบ้านมองกัปตันทีมตัวสูงที่ยังไม่ยอมหันมามองหน้ากัน “นายแค่แสดงออกมาไม่เก่ง กับฉันที่รู้จักกันมาจนถึงวันนี้
มันไม่ร้ายแรงหรอก แต่กับคนอื่นที่เขาไม่รู้จะมองว่านายเป็นคนหยาบคายเอาได้นะ”
“กูก็ไม่ได้สนคนอื่นนี่”
เกือบจะกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ทัน
พอโดนดักทางเข้าหน่อยก็เป็นเสียอย่างนี้ ขอให้ได้เถียงไว้ก่อนนั่นแหละ
“นายไม่สนคนทั้งโลกไม่ได้หรอก
ในอนาคตพวกเราก็ยังมีสังคมใหม่ ๆ ให้เขาไปใช้ชีวิต
การที่นายเป็นตัวของตัวเองมันก็ดีอยู่หรอก แต่มันก็มีผลเสียเหมือนกัน
ถ้ามัวแต่คิดว่า กูก็เป็นของกูอย่างนี้ นายจะมีปัญหาเอาได้นะ”
“ทำเหมือนเป็นเรื่องใหญ่จังนะ
เรื่องแค่นี้”
ปกติแล้วชานยอลไม่ใช่คนที่จะมายืนฟังใครพูด
บ่น หรือสอนได้เกินสองประโยค แต่กับคิมจงอินมันผิดไปถนัดตา
ตั้งแต่รู้จักกันมาอีกฝ่ายบ่นเขาเป็นสิบเรื่อง พูดอะไรที่น่ารำคาญใจเป็นสิบ ๆ รอบ
แต่เขาก็ยังคงยืนฟัง อาจจะเพราะความห่วงใยที่แฝงมาในรูปประโยคเหล่านั้นก็เป็นได้
“ทีกับเรื่องฉันป่วย
นายยังทำเหมือนใหญ่โต จนต้องมาหาที่บ้านตอนเช้าเลยนี่”
“มันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะวะ”
“แล้วมันต่างกันยังไงล่ะ”
ชานยอลชะงัก
คำตอบน่ะเขามีอยู่แล้ว แต่ที่ไม่พูดออกไปเพราะไม่รู้ว่าจะพูดยังไงต่างหาก
หนำซ้ำตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนกำลังโดนคิมจงอินตอนอยู่ยังไงยังงั้น ไอ้คำถามธรรมดา ๆ
กับรอยยิ้มซื่อ ๆ นั่นน่ะไว้ใจไม่ได้เลยสักนิด
“เห็นมั้ย
นายยังตอบไม่ได้เลยว่ามันต่างกันยังไง เรื่องของคนที่ชอบน่ะ
อะไรมันก็ดูเป็นเรื่องใหญ่ทั้งนั้นแหละ ใช่มั้ยล่ะ”
50 PERCENT
“ว่าไงนะ?”
ชานยอลมองคิมจงอินที่ยืนพิงประตูรั้วและส่งยิ้มให้กันราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้พูดประโยคชวนน่าตกใจออกมา
รอยยิ้มแบบนั้นมันทำให้เขารู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ยังไงชอบกลก็ไม่รู้
“อะไรกัน
หูตึงชะมัดเลยแฮะ” จงอินยักไหล่ไม่ยี่หระกับท่าทางตื่นตกใจของปาร์คชานยอล
เขารู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินแต่ที่ถามออกมาแบบนั้นมันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองขั้นแรกของมนุษย์เวลาได้ยินอะไรที่ตัวเองไม่คาดคิด
“มะ..เมื่อกี๊มึงพูดว่าอะไระนะ?
ระ..เรื่อง เรื่องของคนที่ชอบ” อยากจะชกหัวตัวเองเรียกสติกลับมาแต่ก็ดูจะคล้ายคนบ้าไปสักหน่อยอะไรกันวะปาร์คชานยอล
พูดชัดตลอดมายี่สิบปีดันมาตกม้าตายเอาวันนี้
จงอินมองท่าทางชวนตลกนั้นจนกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว
ให้ตายเถอะปาร์คชานยอลนี่ปาร์คชานยอลจริง ๆ เลย
เด็กหนุ่มขยับเออกจากเสาประตูบ้านที่พิงอยู่เข้าไปใกล้และเพราะว่าปาร์คชานยอลยืนบนพื้นถนนที่ต่ำกว่าทำให้จงอินอยู่สูงกว่าขึ้นมาเล็กน้อยเขาย่อตัวลงนิดหน่อยให้ระดับสายตาเราอยู่เท่ากัน
ยิ่งมองใกล้ ๆ
หน้าตาปาร์คชานยอลนี่ตลกชะมัดเลยให้ตายเถอะ
“ฉันพูดว่า
เรื่องของคนที่ชอบน่ะ อะไรก็ดูเป็นเรื่องใหญ่ทั้งนั้นหรือนายว่ามันไม่จริง”
เสี้ยววินาทีนั้นชานยอลรู้สึกว่าเขากลายเป็นเด็กสาวที่โดนผู้ชายที่ชอบจับได้หน้าเห่อร้อนไปหมด
รู้สึกว่าผมที่ตกพุ่มอยู่ ๆก็ชี้ตั้งราวกับการ์ตูนญี่ปุ่นที่ชอบดู
ไอสีชมพูฟุ้งพร้อมลูกโป่งใส ๆไปรอบตัวพวกเราทั้งสองคน
ก่อนที่ทุกอย่างจะหายวับไปในพริบตา
“อ๋อ ลืมไป
ผู้ชายทื่อมะลื่ออย่างนายคงไม่เข้าใจความรู้สึกแบบนี้หรอกมั้ง”
คิมจงอินนี่มันเป็นยังไงวะชอบลูบหลังแล้วตบหัวคนอืนแบบนี้ประจำเหรอ
ไม่ใช่สิตั้งแต่รู้จักกันมาก็เห็นว่ามันเอาแต่ด่า ด่า และด่า
เขาอยู่คนเดียวชานยอลรู้สึกเหมือนมีหินหนัก ๆ ร่วงลงมาทับหัวจนหน้าเบี้ยว
รอยยิ้มสดใสของอีกฝ่ายที่เขาชอบมองก็ดูจะไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าไหร่หลังจากที่โดนว่าว่าเป็นผู้ชายทื่อมะลื่อ
คุณผู้จัดการทีมคนเก่งกลั้นหัวเราะจนปวดแก้มไปหมดมองนักกีฬาในความปกครองของตัวเอง(?) แสดงความรู้สึกทุกอย่างผ่านทางสีหน้าและแววตา
ให้ตายเถอะปาร์คชานยอลนี่อย่าไปโกหกใครที่ไหนนะ ขายขี้หน้าเขาแย่เลย โดนจับได้ตั้งแต่อ้าปากแล้ว
“หน้าตาแบบนี้ตลกชะมัดเลยจริง
ๆ”
“อะไรวะ!
นี่แกล้งกูเหรอ! มึงนี่มัน!!!”
พอได้ยินประโยคนั้นคนโดนแกล้งถึงกับตะโกนกับเสียงดังใบหน้ามึนงงเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นโมโหอย่างฉับพลัน
แต่ถึงแบบนั้นคนช่างยั่วโมโหก็ไม่ได้คิดจะเกรงกลัวจงอินมีวิธีรับมือกับอารมณ์ร้อน
ๆ ของปาร์คชานยอลมาตลอดนั่นแหละ
“หรือนายจะบอกว่านายเข้าใจล่ะ”
ใบ้แดก...เถียงไม่ออกไงครับชานยอลปิดปากแน่นไม่กล้าจะพูดอะไรออกมา
ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจ เขาเข้าใจทุกอย่างที่คิมจงอินพูด
เข้าใจดีด้วยซ้ำแต่ถ้าพูดออกไปว่าเข้าใจแล้วอีกฝ่ายถามกลับมาตัวเขานี่แหละนี่ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรสุดท้ายพอหาคำตอบที่ไม่ฆ่าตัวตายไม่ได้ก็มาลงเอยที่การเขี่ยก้อนหินเล่น
จงอินยังคงยิ้มยิ้ม
และยิ้ม ให้ตายเถอะ ปาร์คชานยอลนี่ปากแข็งชะมัดเลยจริง ๆ
ก็เพิ่งจะบอกไปไม่ใช่หรือไงว่ารู้สึกอะไรก็ให้พูดออกมาแล้วนี่อะไรยังไม่ทันจะขยับไปไหนอีกฝ่ายก็ลืมเสียแล้วเด็กหนุ่มมองบัดดี้ตัวสูงของตัวเองเขี่ยก้อนหินเล่นเหมือนเด็กสาวที่กำลังเหนียมอายแล้วอยากจะบอกว่ามันโคตรจะไม่เข้ากันสุดๆ แต่ก็กลัวจะทำร้ายจิตใจกันเกินไป เอาเถอะนะ
จะปล่อยไปสักวันก็ได้จงอินเองก็จะคิดเสียว่าไอ้ที่รู้สึกอยู่ระหว่างเราตอนนี้มันยังไม่เป็นทางการก็แล้วกัน
“ซื่อบื้อจริง
ๆ เลยคุณนักกีฬา…” จงอินยืดตัวขึ้นยืนท่าเดิมพร้อมกับที่ปาร์คชานยอลเงยหน้าขึ้นมามองคู่สนทนาของตัวเองรอยยิ้มของอีกฝ่ายยังคงปรากฏอยู่เช่นเดิมทำให้คนโดนด่าว่าซื่อบื้อไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไร
“กลับบ้านได้แล้วมืดแล้ว ฉันเคยบอกนายแล้วไง ว่า…”
“เป็นห่วงคนอื่นน่ะห่วงได้
แต่อย่าทำให้คนที่เป็นห่วงนายเดือดร้อน กูจำได้”
“ว้าว..น่าแปลกใจจัง
โอ๊ยยย” จงอินร้องลั่น
เพราะทันทีที่เด็กหนุ่มพูดประโยคกวนประสาทจบมือของปาร์คชานยอลก็ตรงเข้าดึงหูซ้ายของเขาเล่นเอาตัวเอียงไปตามแรงดึงนั่นเลยเถอะ
“พูดมาก
สมน้ำหน้า” ไม่ได้รำคาญอะไรหรอ
ชานยอลหมั่นเขี้ยวถึงได้ดึงไปแบบนั้น เห็นคิมจงอินทำหน้ามุ่ยลูบหูตัวเองป้อย ๆ
ก็รู้สึกว่ามันเป็นชัยชนะของตัวเองถึงแม้มันจะเล็กน้อยก็ตามที
“นี่นายชอบใช้กำลังแบบนี้ตลอดเลยหรือยังไงกัน”
“ใช่...ยิ่งโดยเฉพาะเรื่องของมึงน่ะ”
“ว้าว
เก่งอย่างน่าเหลือเชื่อ”
เอาไงดี? เล่นมันเลยดีมั้ย? ชานยอลมองคนที่เปลี่ยนเป็นยืนกอดอกยักคิ้วให้ด้วยท่าทางที่น่าหมั่นไส้ขึ้นอีกสิบเท่า
แต่ก็เคยพูดไปแล้วว่ามันเป็นคนเดียวที่เขาจะไม่กระทืบต่อให้กวนตีนกันขนาดไหน
ไอ้ที่ถามว่าเล่นมันเลยมั้ยนี่ก็ทำเก่งอวดไปอย่างนั้นแหละ
“กลับละ
คุยกับมึงมีแต่เรื่องปวดหัว”
จงอินยิ้มให้คนปากแข็งอีกครั้ง
ถ้ามีแต่เรื่องปวดหัวจริงคงไม่มีใครยืนคุยกันได้นานสองนานแบบนี้หรอก
ปาร์คชานยอลนี่ปากแข็งยิ่งกว่าหินจริง ๆ เลย
สงสัยต้องหาอะไรมาง้างถึงได้พูดออกมาได้
เด็กหนุ่มมองบัดดี้วาดขาขึ้นคร่อมจักรยานของตัวเองที่ดูจะเต็มไปด้วยสัมภาระ
ถุงรองเท้ากีฬาอยู่ที่แฮนด์ด้านซ้าย กระเป๋าเป้อยู่บนหลัง
และที่ด้านขวาก็มีถุงอะไรสักอย่างแขวนอยู่ จงอินยิ้มกว้างจนกลายเป็นหัวเราะออกมา
"ฉันอยากกินข้าวต้ม
ซื้อมาแล้วก็เอาให้มาสิ"
เด็กหนุ่มตัวสูงถึงกับชะงัก
ดวงตาเบิกกว้าง ท่าทางลุกลี้ลุกลนเหมือนคนทำผิดที่โดนจับได้
ใบหูแดงก่ำจนน่ากลัวว่าเลือดทั้งตัวจะไปกระจุกอยู่ตรงส่วนนั้นหมด
"อะไรมึง
นี่ข้าวต้มแม่กู"
"อ๋อ
นึกว่านายซื้อมาฝากแต่เขินจนลืมให้เสียอีก"
"นับวันยิ่งพูดมากนะมึง"
รูปประโยคต่อว่าไม่ได้เข้ากันกับหน้าตาเลิ่กลั่กที่แสดงออกมาสักนิด
จากที่รู้จักกันมาได้สักพักก็พอจะรู้อยู่ว่าอาการอย่างนี้คีความได้ว่าอย่างไร
และจงอินก็ต้องยิ้มกว้างขึ้นเมื่อถุงข้าวต้มที่แขวนอยู่ถูกยื่นมาให้จนแทบจะกระแทกหน้า
เกือบจะรับเอาไว้ไม่ทันเพราะปาร์คชานยอลปล่อยมันทันทีที่และปั่นจักรยานหนีหายไปในความมืดโดยไม่หันหลังกลับมามองกันเลยสักนิด
‘เอาไว้คืนนี้ค่อยโทรไปขอบคุณก็ได้’
ชานยอลนอนไม่มีอารมณ์ทำการบ้าน
ไม่มีอารมณ์วางแผนซ้อมบาส
ไม่มีแม้กระทั่งอารมณ์จะเล่นเกมถึงเพื่อนกำลังจะโดนป้อมยิงต่อหน้าต่อตาก็ตามที
เด็กหนุ่มเอาแต่นอนก่ายหน้าผากมองเพดานห้องโล่ง ๆ
แต่ในหัวกลับวนเวียนไปด้วยประโยคนั้นของคิมจงอิน
“เรื่องของคนที่ชอบน่ะ
อะไรก็ดูเป็นเรื่องใหญ่ทั้งนั้นนั่นแหละ ว่ามั้ย”
ถ้ายกขาขึ้นมาก่ายหน้าผากได้ก็คงทำไปแล้วนั่นแหละ
จะตีความว่าอีกฝ่ายหมายถึงที่คอยตักเตือนทำเหมือนเป็นเรื่องใหญ่เพราะชอบเขาก็ดูจะมั่นใจจนเกินเหตุ
แต่ถ้าคิดอีกแง่มันก็หมายความได้ว่าที่เขาทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่แสดงว่าเขาชอบมัน
นั่นแหละ..ถ้าเป็นในกรณีหลังก็น่ากลัว
ชานยอลรู้ตัวดี
ถึงจะไม่มากเท่าที่พ่อกับแม่รู้จัก แต่อย่างน้อยความรู้สึกก็เป็นเรื่องที่จะให้คนอื่นมารู้ดีมากกว่าตัวเองไม่ได้
ดังนั้นที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างตัวเองและคิมจงอินมันแน่ชัดอยู่แล้วว่าคือชอบ
ตอนแรกมันเป็นความรู้สึกสนใจ แปลกใจ ไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่าย คิด พูด ทำ
ไม่เข้าใจมันสักอย่าง แต่ยิ่งได้รู้จัก ได้เรียนรู้ ชานยอลกลับกลายเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่เคยเป็น
ความเปลี่ยนแปลงในตัวเองจากระยะเวลาสองสามเดือนมานี้มันน่ากลัวเพราะรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายมีอิทธิพลแค่ไหนแต่ก็ยังไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้คล้อยตามได้เลย
ถ้าเกิดอีกคนรู้ว่าเขาชอบแล้วที่ผ่านมาการกระทำทุกอย่าง
คำพูดทุกคำ คิมจงอินทำไปเพราะอะไร
ความคิดสะระตะล้านแปดวนเวียนขึ้นในหัวชนิดที่ว่าถ้าลู่หานรู้เข้าคงได้ด่าว่าเขากลายเป็นตุ๊ดยักษ์ที่ช่างคิดเล็กคิดน้อยเรื่องเหล่านี้เหมือนผู้หญิงตั้งแต่เมื่อไหร่
สำหรับชานยอลจะด่าว่า
จะเกลียดกันแค่ไหนก็ไม่เคยสะทกสะท้าน บ่อยครั้งที่โดนเด็กผู้ชายโรงเรียนอิจฉาก็มีเรื่องมานักต่อนัก
เขาสู้ตลอด แต่กับเรื่องนี้ ถ้าคิมจงอินเล่นกับความรู้สึกของเขามัน
ชานยอลเองก็คงรู้สึกว่าตัวเองเสียศูนย์ไปมากพอสมควร
ครืดด ครืดดด ครืดดด
ครืดดด
แรงสั่นบนโต๊ะหนังสือดึงเด็กหนุ่มออกมาจากความคิดติดลบที่วนเวียนอยู่ในหัว
ชานยอลเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียง
ลากขาไปยังโต๊ะหนังสือที่อยู่ไม่ไกลด้วยความหมดอาลัยตายอยากก่อนจะเบิกตากว้าง
ท่าทางตกใจจนเกือบเผลอทำโทรศัพท์หล่นจากมือทันทีที่เห็นว่าใครเป็นคนโทรมา
ผู้จัดการทีมส่วนตัว
ชานยอลจ้องโทรศัพท์ที่สั่นอยู่บนฝ่ามือ
รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสาวน้อยที่กำลังโดนหนุ่มที่แอบชอบกลั่นแกล้งยังไงยังงั้น
สูดลมหายใจเฮือกใหญ่เรียกกำลังความมั่นใจของตัวเองที่หล่นหายอยู่ทั่วห้องกลับคืนมาแล้วกดรับสาย
“เออ ว่าไง”
(จะโทรมาบอกว่าขอบคุณ)
คิมจงอินมักจะเป็นมนุษย์ที่อยู่เหนือความคาดเดาเสมอ
บางทีหมอนั่นอาจจะเป็นคนจากอีกโลกหนึ่งก็เป็นได้ชานยอลถึงไม่เคยตามทันเลยสักครั้งเดียว
(นายยังอยู่หรือเปล่าเนี่ย
เฮ้ ปาร์คชานยอล)
“เออ ฟังอยู่”
(นึกว่าช็อคตายไปแล้ว)
แหนะ เหมือนรู้ดี
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ
เพราะปกติคิมจงอินจะพูดธุระของตัวเองให้เสร็จเรียบร้อยแล้วก็วางสายไป แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายดูจะยังมีเรื่องต้องพูดอยู่แต่เหมือนกำลังรออะไรสักอย่าง
ชานยอลก็ไม่รู้ว่าเขาต้องพูดอะไรเหมือนกัน
เรื่องที่เคยคุยกันในทุกคืนก็เป็นเรื่องที่โรงเรียน ปรึกษาเรื่องทีมบาส
แต่วันนี้ทุกอย่างมันว่างไปหมด
(นี่นายกำลังคิดมากเพราะสิ่งที่ฉันพูดไปเมื่อเย็นหรือเปล่าปาร์คชานยอล)
มาถึงขนาดนี้แล้ว
ชานยอลก็คิดว่าควรจะถามมันให้รู้เรื่องไปเลย
เพราะถ้าอะไรอะไรมันแย่อย่างที่คิดก็จะได้หักใจตัวเองเสียตั้งแต่ตอนนี้
“ที่มึงพูดเรื่องคนที่ชอบน่ะ
หมายความว่ายังไง”
ชานยอลกำหมัดแน่นเผลอกลั้นหายใจทันทีที่จบประโยคคำถาม
ได้ยินเสียงคิมจงอินทำอะไรกอกแกกมาจากปลายสายแต่ก็ยังไม่ยอมพูดอะไร เกือบจะขาดใจตายไปอยู่แล้วกว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมา
(ก่อนอื่นฉันถามนายก่อนอย่างนึง
ถ้าเกิดฉันตอบอะไรไปสักอย่างที่อาจจะทำให้ได้ดีใจ หรืออาจจะทำให้นายเสียใจ
นายจะรู้หรือเปล่าว่าสีหน้าฉันเป็นแบบไหน)
เด็กหนุ่มนิ่งงัน
สิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นสิ่งที่ตัวเองลืมคิดถึงไปเลยจริง ๆ
(นายคงกำลังคิดมาก
คิดเท่าไรก็หาคำตอบไม่ได้ ฉันเดาว่ามันคงไม่พ้นเรื่องที่ฉันพูดไปด้วยความรู้สึกอย่างไร
ใช่ไหม)
“อืม ก็อย่างนั้นแหละ”
(แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น
ทำไมนายถึงไม่เลือกจะพูดเรื่องนี้กันต่อหน้า) เหตุผลที่ชานยอลไม่พูดต่อหน้า.. (คงกำลังคิดว่าฉันอาจจะโกหกหรือแกล้งนายเหมือนอย่างทุกครั้งใช่ไหม)
คิมจงอินจะเก่งเกินคนไปแล้วล่ะมั้ง
หรืออาจจะเป็นเพราะว่าชานยอลเดาทางออกได้ไม่ยากเองด้วย
(นี่ ปาร์คชานยอล
ฉันพอจะเดาได้เรื่องที่นายกำลังคิดอยู่ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น
ตลอดเวลาที่นายรู้จักฉันมาถึงจะไม่นาน ฉันก็ไม่ใช่คนโกหกเก่งอะไรหรอกนะ)
รู้สึกเหมือนมีอะไรใครสักคนดึงขึ้นมาจากความรู้สึกย่ำแย่
ทุกอย่างที่อีกฝ่ายพูดมานั้นถูกหมด แต่ถึงอย่างนั้นคิมจงอินที่ชานยอลรู้จักไม่เคยโกหกเลยแม้แต่ครั้งเดียว
หมอนั่นพูดแต่เรื่องจริงเสมอ กวนตีนบ้าง ด่ากันบ้าง
แต่ทุกอย่างที่หมอนั่นทำเขาไม่เคยรู้สึกว่ามันไม่จริงเลยสักนิดเดียว
“กู..ขอโทษว่ะ
ถือว่ากูไม่ได้ถามก็แล้วกัน”
(นายใช้คำนี้ลบล้างสิ่งที่พูดไปแล้วไม่ได้หรอก
ไม่ใช่ว่าฉันโกรธหรืออะไรนะ แต่ในเมื่อนายอยากรู้เราก็ควรคุยกันต่อหน้า
มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดไม่ใช่เหรอ
อย่างน้อยนายก็เห็นว่าฉันพูดด้วยสีหน้ากับแววตาอย่างไร)
“นี่มึงต้องการอะไรวะ”
(นั่นฉันจะนับว่าเป็นพัฒนาการที่ดีแล้วกันนะที่นายบอกความรู้สึกตัวเองออกมาตรง
ๆ ถึงจะผ่านทางน้ำเสียง และมันไม่ใช่ความรู้สึกดี ๆ ก็ตามที)
เอากับมันเถอะครับ
คุยกันจริงจังอยู่ก็ยังจะกวนตีนกันได้แบบนี้อีก
แต่ก็ต้องยอมรับว่าชานยอลผ่อนคลายลงไปมาก
ตอนนี้เขากลับมานอนเอกเขนกอยู่บนเตียงอีกครั้ง
เพดานห้องสีขาวที่เมื่อครู่รู้สึกว่ามันคล้ำก็กลับมาสว่างเหมือนเดิม
เพียงแค่ได้พูดคุยกับคิมจงอิน
(เฮ้ เงียบไปเลย
ทำไมวันนี้นายพูดน้อยขนาดนี้ เป็นเพราะคิดมากอย่างนั้นเหรอ)
“ก็คงใช่ล่ะมั้ง”
ชานยอลตอบออกไปตามจริง และได้ยินเสียงหัวเราะลอดมาทันทีที่ตอบ ขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่พอใจ
มันจะขำอะไรของมันนักหนาวะ กับแค่คนคิดมาก
คิมจงอินนี่ไม่เคยมีความรู้สึกนี้หรืออย่างไรกัน
(สงสัยคงต้องหาเรื่องให้นายคิดมากบ่อย
ๆ จะได้พูดน้อยลงบ้าง)
“มึงนี่เมายาใช่ไหมล่ะ
วันนี้ถึงได้พูดมากกว่าปกติน่ะ”
(ฉันพูดมาก
เพราะคิดว่าฉันต้องพูด ถ้าฉันไม่พูดคืนนี้ก็คงมีคนอกแตกตายล่ะมั้ง)
แม่นราวกับจับวาง
ทั้งหลอกด่า ทั้งเรื่องจริง ตีเข้าแสกหน้าชานยอลเป็นรอบที่ร้อยตั้งแต่รู้จัก
พูดคุย จนถึงสนิทสนมในปัจจุบัน ชานยอลเด้งตัวขึ้นนั่งด้วยความหงุดหงิด
ใช้เท้าเขี่ยคีย์บอร์ดที่เกะกะอยู่ปลายเตียงจนมันหล่นดังแกร๊กลงบนพื้นจากนั้นก็ค้นพบแล้วว่าตัวเองยังคงรู้สึกหงุดหงิดที่เถียงคิมจงอินไม่ได้อยู่เหมือนเดิม
(ฉันอยากให้เราพูดคุยกันเรื่องนี้ต่อหน้า
มันคงดีกว่าการคุยโทรศัพท์แบบนี้ ถึงน้ำเสียงจะหลอกไม่ได้
แต่การเห็นหน้าในขณะที่เราพูดเรื่องสำคัญมันคงดีกว่า)
ตบหัวแล้วลูบหลังแบบนี้ทุกทีเลยให้ตายเถอะ
แล้วชานยอลก็พ่ายแพ้กับลูกไม้แบบนี้ทุกครั้ง จากที่เคยหงุดหงิด กังวลใจ
คิดฟุ้งซ่านเมื่อครู่หายไปหมด
เพียงแค่ได้ยินเสียงนุ่มของคิมจงอินอธิบายเรื่องนี้ออกมา
“กูรู้แล้วหน่า”
(ฉันหมดเรื่องจะพูดแล้ว
แค่นี้นะ)
สายตัดไปแล้วพร้อมกับคำบ่นยาวเหยียดของชานยอลที่เกิดขึ้นเป็นประจำ
เด็กหนุ่มเด้งตัวลุกขึ้นอย่างมีชีวิตชีวา
ตั้งใจว่าคืนนี้จะหวดเกมชดเชยเวลาที่เสียไปกับการคิดมากหลายชั่วโมง คีย์บอร์ดที่ถูกเตะกระเด็นเมื่อครู่ถูกจับวางกับที่อีกครั้ง
ตอนนี้ชานยอลพร้อมแล้วล่ะ
“มาเจอกัน
พี่จะเป็นตีป้อมให้น้องเอง”
#ฟิควงกลมชานไค
ตัดแค่นี้ก่อน
คาดคะเนจากที่วน ๆ อยู่ในหัวแล้วคิดว่ามันคงกลายเป็นสองตอนในหนึ่งตอนแน่ ๆ
ถ้าแต่งต่อ
55555555555555 พาร์ทหลังเหมือนจะเป็นความรู้สึกชานยอลเสียส่วนใหญ่นะคะ
เราเอาตัวเองเข้าไปอยู่ตรงนั้นและคิดว่ามันคงจะรู้สึกแบบนี้ล่ะมั้ง...
เหมือนคนที่ชอบมาเล่นด้วยแล้วก็มาพูดอย่างนี้คงคิดมากแหละ อ้าว รู้แล้วหรอวะ
รู้มาตลอดเหรอ งั้นที่ผ่านมามันจริงจังหรือมันแกล้งกันเล่นวะ อะไรทำนองนี้
แต่ก็นะ... คิมจงอินก็ยังคงเป็นคิมจงอินอยู่วันยังค่ำ
ขอบคุณมากเลยนะคะ
ที่ทุกคนยังแวะเวียนเข้ามาอ่าน ทั้งคนที่อ่านใหม่ แล้วก็คนอ่านเดิมด้วย
ขอบคุณทุกคำติชมทั้งในแท็กและในคอมเม้นต์นะคะ
เราจะพยายามเก็บเอาไปปรับปรุงให้ดีขึ้นน้า
ตรงไหนผิดพลาดก็แนะนำได้ทันทีเลยไม่ว่าจะเรื่องอะไรนะคะ ขอบคุณมากจริง ๆ เอาล่ะ
วันนึ้ดึกมากแล้วว ต้องไปแล้วว เจอกันใหม่ตอนหน้านะ พี่จะกลับมาทอปฟอร์ม!
เลิ้บบบบบบบบบบบบบบบบบบ
ความคิดเห็น