คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : CHAPTER 10
TITLE : CYCLE
PARING : CHANYEOL X KAI
เวลาที่ผ่านมามันทำให้เราได้พูดคุยกัน
และเวลาต่อจากนี้
มันจะทำให้เราได้รู้จักกันและกันมากขึ้น
CHAPTER 10
จงอินรู้สึกว่าตัวเขาไม่สามารถกลั้นรอยยิ้มตอนนี้ได้เลย
แล้วก็บอกตัวเองในใจเรียบร้อยว่าปาร์คชานยอลจะมาโทษเขาไม่ได้
ในเมื่อคนพลาดคือเจ้าตัวเอง
เขาก็ขอก่อนที่จะหยิบมันออกมาเปิดดูหนำซ้ำหมอนั่นยังเป็นคนอนุญาตเองด้วยนะ
จะมาทำหน้าตาโกรธใส่กันแบบนี้ได้ยังไง
“ไหนนายบอกไม่ได้ถ่ายไว้ไง
แล้วรูปทั้งหมดนี่คืออะไรล่ะ ปาร์คชานยอลนี่นายโกหกฉันหรอ” ชานยอลอยากจะตบหน้าผากตัวเองแรงๆสักที
ให้สมกับความสะเพร่า เขาน่าจะฉุกคิดได้ตั้งแต่ตอนที่หมอนั่นถามเรื่องกล่องแล้ว
พอเห็นรอยยิ้มล้อเลียน เขายิ่งอยากหาอะไรไปปิดหน้าคิมจงอินจะได้ไม่ต้องเห็นรอยยิ้มนั่น
"นี่~
คุณนักกีฬา..." จงอินลุกจากเตียงพร้อมกับหีบสมบัติกัปตันเดินตรงไปทางปาร์คชานยอลที่ดูท่าจะเขินมากแน่ๆ
หูสองข้างแดงก่ำจนมันดูตลกแล้วก็น่ารักไปในเวลาเดียวกัน "คราวหลังอยากถ่ายรูปกันก็พูดดีๆสิ ทำตัวเป็นสโตรกเกอร์แบบนี้มันน่ากลัวนะ"
พูดไม่ออก ทำอะไรก็ไม่ถูก
ชานยอลเลยได้แต่ปล่อยให้คิมจงอินล้อเลียนเขาอยู่แบบนั้น ไม่รู้ควรจะทำอะไรด้วยซ้ำ
ครั้งสุดท้ายที่เป็นแบบนี้มันก็ตอนที่ปาร์คยูราจับได้ว่าเขาแอบชอบเด็กห้องข้างๆตอนอยู่ป.2 ซึ่งมันก็นานมากแล้ว
และที่สำคัญชานยอลไล่เตะพี่สาวตัวเองทันที ซึ่งมันผิดกับตอนนี้ลิบลับเลย
"อ้ะ
อ้ะ ไม่ล้อแล้วก็ได้.." พอเห็นว่าอีกฝ่ายเขินหนักมากแล้วจริงๆ
จงอินก็ยอมหยุดแกล้ง อันที่จริงเขาก็เขินไม่ต่างกันนัก เล่นมีคนมาแอบถ่ายรูปตัวเองขนาดนี้แต่จะไม่บอกออกไปหรอกนะ
ปล่อยให้ปาร์คชานยอลเข้าใจว่าตัวเขินอยู่คนเดียวไปนั่นแหละดีแล้ว
“นี่..ปาร์คชานยอล..นายไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยหรอ”
จะให้กูพูดห่าอะไรล่ะวะ
เขาอยากตอบออกไปแบบนี้
แต่เพราะเสียงที่คิมจงอินใช้มันนุ่มนวลชวนให้อาการเขินมันพุ่งสูงขึ้นไปอีก สาบานได้เลยว่าเขาโคตรจะเกลียดเสียงเรียกแบบนี้ของคิมจงอินชะมัด
มันทำให้ชานยอลไม่เป็นตัวของตัวเองเลยสักนิด
“อะ..เอาเก็บไว้ที่เดิมไป”
สุดท้ายก็ตอบออกไปแบบติดๆขัดๆ เพราะทนสายตาที่มันกันอยู่ไม่ไหว
ตอนนี้เขาพ่ายแพ้คิมจงอินหมดทุกทางเลยให้ตายเถอะ แต่ในความรู้สึกขัดเขินมันก็มีความรู้สึกโล่งอกปะปนเข้ามาด้วย
ทุกครั้งที่เขาเอารูปเข้าไปเก็บในกล่องชานยอลจะต้องถอนหายใจอย่างน้อยหนึ่งรอบ
สาบานกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าคิมจงอินจะไม่มีทางล่วงรู้ความลับนี้
แต่ก็พลาดจนได้
โชคดีหน่อยล่ะนะที่อีกฝ่ายไม่ได้มองเขาเป็นไอ้โรคจิตน่ะ
“รายงานถึงไหนแล้ว
ใกล้จะเสร็จหรือยัง” เก็บของทุกอย่างเข้าที่เรียบร้อย คิมจงอินก็เล่นเดินมาชะโงกหน้าซะใกล้ราวกับจะแกล้งกันยังไงยังงั้น
ชานยอลเหล่มองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
“ช่วยกลับไปนั่งที่เดิมเถอะวะ
กูทำอะไรไม่ถูกหรอกนะ หลังจากที่โดนจับได้คาหนังคาเขาแบบนี้น่ะ”
เห็นอยู่หรอกคิมจงอินกลั้นขำจนตัวสั่น
แต่เขาไม่มีทางเลือกแล้วนอกจากพูดมันออกไปตรงๆ เกลียดมันชะมัดเลยให้ตายเถอะ
เวลาแบบนี้ยังจะคิดแกล้งกันได้ลงคอ และนับว่าเป็นโชคดีที่ไอ้หมีบัดดี้ยอมเดินกลับไปนั่งอ่านการ์ตูนบนเตียงเหมือนเดิม
แลกกับการที่ชานยอลต้องนั่งข่มใจทำเป็นไม่ได้ยินเสียงที่ดังมาเป็นระยะตลอดจนถึงเวลาอาหารเย็น
“ปาร์คชานยอลอา
เลิกเขินได้แล้ว หูนายแดงจนน่ากลัวเกินไปแล้วนะ”
ไหนบอกว่าจะหยุดล้อยังไงล่ะวะ!!!
วันนี้โต๊ะอาหารเย็นของครอบครัวปาร์คดูจะคึกคักเป็นพิเศษ
ชานยอลเอาแต่ทำหน้าเซ็งตอนที่ปาร์คยูราแฉเขาให้กับคิมจงอินฟังไม่ได้หยุด
ส่วนหมอนั่นก็ได้แต่นั่งยิ้มจนเขานึกหมั่นไส้ต้องเอาเท้าเตะอยู่หลายครั้งแต่มันก็ไม่ได้สนใจเลยสักนิด
“...แล้วก็นะ ตอนอยู่ป.2..” มาแล้ว
เรื่องน่าอับอายที่สุดในชีวิตของเขา ชานยอลถลึงตาใส่พี่สาวตัวเองว่าให้หยุดพูด
แต่ปาร์คยูราก็เพียงแค่แลบลิ้นให้น้องชายตัวเองแล้วก็หันไปสนใจคู่สนทนาของตัวเองต่อ
“พี่น่ะ จับได้ว่าชานยอลแอบชะ...นี่!! ฉันเป็นพี่แกนะ!!”
จงอินหัวเราะเช่นเดียวกับคุณและคุณนายปาร์ค
ผู้ใหญ่ทั้งสองคนส่ายหัวให้กับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอย่างเป็นประจำ
อยู่ๆปาร์คชานยอลก็เอาตะเกียบทิ่มเข้าไปในปากพี่สาวของตัวเองเพื่อให้หยุดพูด
แต่ปาร์คยูราก็ดูจะไม่ยอมอ่อนข้อให้น้องชายตัวเองเลยแม้แต่น้อย จนทำท่าว่าจะเกิดสงครามขนาดย่อมบนโต๊ะอาหารทำให้คุณนายปาร์คต้องเดินเข้ามาตีแขนลูกชายหญิงของเธอทั้งสองคน
“พวกลูกนี่ยังไง
ไม่อายจงอินกันบ้างหรอ ทะเลาะกันเป็นเด็กไปได้” ส่ายหัวเหนื่อยหน่าย
ก่อนจะหันมาหาจงอินพร้อมด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “จงอินอย่าไปใส่ใจเลยนะ
เด็กเกเรสองคนตีกันน่ะ”
“ผมไม่ใช่เด็กเกเรนะครับ
/ หนูไม่ใช่เด็กเกเรนะคะ”
ประสานเสียงพร้อมกันเสียจนผู้เป็นพ่อที่นั่งดูข่าวถึงกับหลุดขำ
จงอินเองก็ไม่สามารถกลั้นรอยยิ้มไว้ได้เลยสักนิด
เขาหันมองปาร์คชานยอลด้วยสายตาตำหนิเล็กน้อยแต่นั่นก็เพียงพอให้เด็กชายตัวสูงของบ้านยอมสงบปากสงบคำจนพี่สาวแปลกใจ
จนต้องหันไปมองหน้าพ่อกับแม่ที่ก็มองภาพนั้นไม่ต่างกัน
“ขอบคุณมากนะครับ
สำหรับมื้อเย็น คุณน้าทำอาหารอร่อยมากเลยครับ” จงอินโค้งหัวให้คุณนายปาร์คที่ออกมายืนส่งเขาหน้าบ้าน
หลังจากที่ถกเถียงกันอยู่นานว่าให้พ่อของปาร์คชานยอลขับรถไปส่งเพราะนี่มันก็มืดค่ำแล้วจะกลับคนเดียวก็คงจะอันตรายเกินไป
ถึงแม้จะเป็นเด็กผู้ชายก็ตามที
“กลับได้แน่นะลูก
ให้ตาชานยอลไปเป็นเพื่อนดีมั้ย”
“ใช่ เดี๋ยวกูไป..
โอ๊ย..แม่” ร้องเสียงหลงตอนที่แม่หันมาหยิกต้นแขนเขาเต็มแรง
ชานยอลลูบแขนป้อยๆแล้วก็หน้าสลดลงเมื่อเห็นว่ามารดาของเขายังคงทำตาโตใส่
“พูดกับเพื่อนดีๆหน่อยสิ
วันนี้ทั้งวันแม่ยังไม่เห็นจงอินพูดคำหยาบกับลูกเลยนะ” ลูกชายคนเล็กอยากจะบอกแม่เสียเหลือเกินว่าไอ้เด็กมารยาทดีของแม่น่ะ
ไม่พูดคำหยาบหรอก มันถนัดกวนตีนเขามากกว่า
“ไม่เป็นไรครับ
ผมกลับเองได้จริงๆ ขอบคุณมากนะครับ”
เมื่อเพื่อนลูกชายเธอยืนยันหนักแน่นแบบนั้น
คุณนายปาร์คก็เลือกที่จะไม่บังคับ
เธอบอกให้เด็กหนุ่มนิสัยดีเดินทางกลับโดยปลอดภัยแล้วเดินหันหลังกลับเข้าบ้านไป
เหลือไว้แค่ปาร์คชานยอลที่ยังคงยืนจ้องจงอินอยู่อย่างนั้น
“ไม่ให้กูไปส่งจริงหรอวะ”
ปาร์คชานยอลคงกังวลมากจนแสดงออกมาทางสีหน้า
จงอินพยายามอย่างถึงที่สุดแล้วที่จะกลั้นยิ้มเอาไว้
แต่ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะทำมันได้ยากเสียเหลือเกิน
อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกดีๆระหว่างพวกเราที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวันนี้ผสมด้วยก็เป็นได้
“ฉันกลับเองได้
นายก็เข้าบ้านได้แล้ว”
“แต่ว่า...”
“ถ้ามัวแต่ยืนคุยกันอยู่อย่างนี้
ฉันจะถึงบ้านดึกนะปาร์คชานยอล” ยกเอาเหตุผลมาพูด
ดูท่าแล้วคนที่ดื้อรั้นกว่าคุณนายปาร์คก็คงเป็นลูกชายของเธอนั่นแหละ
จงอินเรียนรู้ตลอดเวลาหลายเดือนที่เริ่มสนิทสนมกัน
จากที่ไม่ค่อยอธิบายความคิดอ่านของตัวเองให้ใครฟังเขากลับต้องยอมพูดมันออกมาเพราะคนดื้อรั้นแบบปาร์คชานยอล
“นายเป็นห่วงฉันที่ต้องกลับบ้านคนเดียวใช่มั้ยล่ะ...”
คิมจงอินยังคงพูดด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิมและชานยอลก็ไม่ปฏิเสธว่าหมอนั่นคิดถูก
เขาพยักหน้ารับและปล่อยให้อีกฝ่ายได้พูดต่อ “แต่นายลองคิดต่อไปอีกสักนิดสิ
ถ้านายออกไปส่งฉัน พ่อกับแม่นายจะเป็นห่วงหรือเปล่า ถึงพวกท่านจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากก็ตามที
ถ้าให้ฉันเดา ตอนที่นายออกไปส่งฉันพวกท่านก็คงนั่งรอจนกว่านายจะกลับมา”
“.......”
“เป็นห่วงคนอื่นได้นะปาร์คชานยอล
แต่นายต้องคิดต่อไปด้วยว่ามีใครคนอื่นห่วงได้อยู่ด้วยหรือเปล่า”
ทั้งหมดคือสิ่งที่จงอินคิด
เพราะไม่อย่างนั้นคุณปาร์คคงไม่อาสาไม่ส่งเขาถึงบ้านเองแทนที่จะบอกให้ปาร์คชานยอลไปส่งเขาตั้งแต่ทีแรก
ถึงหมอนี่จะกลับบ้านค่ำบ่อยก็ตามที
แต่จงอินก็ไม่อยากให้ใครมาทำอะไรให้ตัวเองมากจนเกินไปนัก
จนด้วยเหตุผลจะยกมาอ้าง
ชานยอลเลยได้แต่พยักหน้ารับ และมองรอยยิ้มของคิมจงอินที่ส่งมาให้ มันเป็นแบบนี้อยู่เสมอทุกครั้งที่เราพูดคุยหรือแม้กระทั่งในชีวิตประจำวันเล็กๆน้อยๆ
ความคิดความอ่านของคิมจงอินมันเกินกว่าที่ชานยอลจะหยั่งไปถึง และมันทำให้เขารู้จักคิดถึงคนอื่นมากขึ้น
“ถ้างั้นก็กลับบ้านดีๆล่ะ”
“อือ ไปแล้วนะ”
กล่าวลาสั้นๆ
จงอินเข็นจักรยานไปตามทางเดินที่เขาต้องเข็นมันขึ้นมาเมื่อเช้าด้วยรอยยิ้ม
และทั้งที่ไม่ได้หันกลับไปมอง เขาก็รู้สึกว่าปาร์คชานยอลคงออกมายืนอยู่หน้าประตูบ้านแน่ๆ
ก็นะ...นิสัยของหมอนั่นเป็นคนแบบนั้น
ถึงจะไม่ได้ทำอย่างที่ตัวเองต้องการไปซะหมดแต่ก็ให้ได้ทำสักนิดก็ยังดี
เป็นคนที่หัวดื้อสุดๆไปเลยล่ะ
“นี่!! คิมจงอิน!!”
เสียงตะโกนดังขึ้นตอนที่เขาลงมาได้ครึ่งทาง จงอินหยุดเดินพิงจักรยานไว้ที่ช่วงเอวหันกลับไปมองก็พบว่าปาร์คชานยอลยืนอยู่หน้าบ้านท่าทางลังเลเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง
“แล้วเจอกันพรุ่งนี้”
เกือบจะหัวเราะออกมาอยู่แล้ว จงอินรู้สึกว่าวันนี้กลั้นยิ้มจนปวดแก้มเมื่อยหน้าไปหมด ปาร์คชานยอลในมุมแบบนี้เขาเองก็พึ่งจะเคยได้เห็น มันตลกแล้วก็น่ารักไปในเวลาเดียวกัน เขาส่ายหน้าให้กับความเพี้ยนของบัดดี้ตัวเองแล้วก็เริ่มออกเดินอีกครั้งทั้งที่รอยยิ้มยังคงอยู่ ให้ตายสิปาร์คชานยอลนี่สอนไม่จำเลย พูดแล้วไม่รอฟังคนอื่นตอบแบบนี้ได้ยังไงกัน
“แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ
คุณนักกีฬา”
จงอินกำลังคิดว่าเขาใช้ความสามารถในการกลั้นหัวเราะของตัวเองไปมากเท่าไหร่ นับตั้งแต่วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงวันนี้ ปาร์คชานยอลก็ยังคงแสดงอาการเก้อเขินต่อเขาทุกครั้ง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ยังคงดำเนินกิจวัตรประจำวันไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการมาโรงเรียนในตอนเช้า กินข้าวด้วยกันในตอนกลางวัน หรือแม้แต่กระทั่งรอที่จะไปซ้อมกีฬาสีในตอนเย็น
“จงอิน แฟนมึงมารับแล้ว เร็วสิ!” เสียงของเพื่อนจากหน้าร้องเรียกให้จงอินที่กำลังนั่งอ่านการ์ตูนที่ยืมใครอีกคนมาเมื่อวันก่อนเงยหน้าขึ้นมาสนใจ เด็กหนุ่มหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าปาร์คชานยอลทำหน้าตาแบบไหนใส่เพื่อนร่วมชั้นเรียนของตนเอง
นึกไปถึงครั้งแรกที่มัวแต่เอื่อยเฉื่อยจนลงไปเข้าสีช้าจนมีรุ่นน้องในทีมบาสคนนึงวิ่งขึ้นมาตามหน้าตาตื่น จงอินได้แต่คิดว่าปาร์คชานยอลนี่ก็เป็นคนรักษาคำพูดอยู่เหมือนกัน เพราะวันนี้เขาแค่สายไปสิบห้านาที คุณนักกีฬาก็ขึ้นมาลากผู้จัดการทีมด้วยตัวเองถึงหน้าห้องเรียน
“กูบอกว่าไง นี่มึงมะ…” เด็กชายตัวสูงหยุดพูดไปกะทันหัน คำพูดทุกอย่างหายไปหมดเมื่อจงอินยื่นกระเป๋าเป้มาใส่หน้าพร้อมด้วยรอยยิ้มน่ารัก ตั้งแต่จับได้ว่าปาร์คชานยอลแพ้รอยยิ้มแบบนี้มากขนาดไหน จงอินก็มักจะงัดขึ้นมาใช้ประจำเวลาที่อีกฝ่ายกำลังพูดหรือเริ่มต้นจะบ่นอะไรสักอย่างไม่หยุด
ส่งกระเป๋าให้เรียบร้อยก็เดินตัวปลิวออกจากห้องไป ทิ้งปาร์คชานยอลไว้กับเสียงอู้วเบา ๆ จากคนรอบตัว แน่นอนเมื่อทั้งคู่กำลังถูกจับตามองเหตุการณ์เมื่อครู่จึงแพร่ขยายไปในสังคมออนไลน์อย่างรวดเร็ว
[ข่าวด่วน] กัปตันทีมบาสสุดหล่อของโรงเรียนขึ้นมารับหวานใจถึงหน้าห้องเพราะลงไปให้กำลังใจช้า!!! ท่าทางตอนที่คิมจงอินยื่นกระเป๋าให้ปาร์คชานยอลถือน่ารักมาก!! สายข่าวยืนยัน!! *แนบรูปประกอบ*
ใช้เวลาเพียงแค่สิบนาทีจงอินก็เดินมาหยุดอยู่หน้าประตูโรงยิม ไม่ต้องเสียเวลาหามากสักเท่าไหร่ว่าสีของตัวเองซ้อมอยู่ตรงไหนเพราะปาร์คชานยอลดันสั่งรุ่นน้องคนอื่นให้ใส่เสื้อสีชมพูมาซ้อมทุกวัน ถึงจะคิดว่ามันดูจะเผด็จการไปสักนิด แต่ก็เป็นประโยชน์เพราะจะได้รู้ว่าใครอยู่สีของเราบ้าง
ปุ
“ลงมาช้าแล้วยังเดินไม่รอกูอีก ความผิดมึงหลายกระทงแล้วนะคิมจงอิน” เสียงทุ้มต่ำพร้อมแรงกดบนศีรษะและสายกระเป๋าที่ตกลงมาบังหน้า ไม่ต้องเห็นจงอินก็รู้ว่าใครเป็นคนทำแบบนี้ ก็มีอยู่แค่คนเดียวเท่านั้นแหละ
“ถ้าอยากให้รอก็ต้องบอกสิ” คว้ากระเป๋าที่วางอยู่บนหัวมาถือเอาไว้เองและเดินตรงมายังกลุ่มนักกีฬาที่กำลังนั่งยืดกล้ามเนื้อกันอยุ่บนพื้น จงอินยิ้มทักทายจงซอกที่สนิทสนมกันดีเพราะโดนใช้เป็นเจเนอรัลเบ๊ด้วยกันบ่อยๆ ชานยอลที่ตามเข้ามาทีหลังได้แต่เบ้หน้าด้วยความหมั่นไส้
“มาช้า ไปซื้อเกลือแร่มารอเลยไป”
“วันหลังอยากให้มาเร็ว ก็ขึ้นไปรับเร็ว ๆ หน่อยสิ คุณนักกีฬา”
เสียงหัวเราะผสมปนเปกับเสียงเป่าปากแซวเล่นเอาหัวหน้าทีมมาดเข้มเขินจนหูแดง ชานยอลผลักหัวคิมจงอินแล้วรีบไล่ให้ออกไปซื้อน้ำมาเพราะพวกเขาจะเริ่มซ้อมแล้ว ก่อนจะหันมาถลึงตาใส่รุ่นน้องแต่ยังคงส่งเสียงแซวเขาไม่เลิกไม่เว้นแม้แต่ไอ้จงซอกที่เคยกลัวกันหัวหดก็ยังเอากับเขาด้วย
“ไปเลย มึงน่ะไปช่วยจงอินถือน้ำเลยไป”
“โห่ววว ดูคนเรา เขินก็เขิน แต่ยังไม่วายห่วง..แฟน”
ปาร์คชานยอลแทบจะวิ่งไล่เตะจงซอกที่ไหวตัวทันออกวิ่งนำไปก่อนทันทีที่พูดจบ จงอินหัวเราะลั่นแล้วก็ยอมเดินออกไปแต่โดยดี เห็นว่ามีคนอื่นแกล้งแล้วหรอกนะ เขาถึงได้ยอมใจดีกับบัดดี้ตัวสูงหนึ่งวัน
ร้านขายน้ำอยู่เยื้องไปทางด้านหลังของโรงยิมเล็กน้อย ช่วงกีฬาสีก็ดูจะขายดีมากกว่าปกติ เพราะทุกคนต่างก็แห่มาที่นี่ จงอินกับจงซอกต่อแถวกันอย่างนี้ทุกวันจนชิน ระหว่างยืนรอก็พูดคุยกันเพื่อไม่ให้เงียบเกินไปจนกลายเป็นว่าทั้งคู่เริ่มสนิทสนมกันพอสมควร
“พี่จงอินรู้ป่ะ พี่ชานยอลโคตรหงุดหงิดอ่ะ ตอนที่สี่โมงครึ่งแล้วพี่ยังไม่ลงมา” เลิกคิ้วกับประโยคบอกเล่าของรุ่นน้อง แต่ก็เชื่อได้ไม่ยากสักเท่าไหร่นัก คนเอาแต่ใจขี้โมโหแบบนั้นพอมีอะไรขัดใจเข้าหน่อยก็เป็นเรื่องแล้ว
“หมอนั่นหงุดหงิดแบบนี้บ่อยหรอ พี่หมายถึงก่อนหน้านี้น่ะ” ใช่ จงอินอยากรู้ว่าก่อนที่พวกเขาจะรู้จักกัน ปาร์คชานยอลเป็นยังไง
“ไม่หรอกครับ ถึงจะดูเจ้าอารมณ์ไปหน่อย แต่กับเวลาที่ซ้อมทีมไปแข่งระดับเขตงี้ พี่เขาไม่ใช้อารมณ์เลย แต่จะจริงจังมากเวลาอยู่ในสนาม โคตรเท่ไปเลยเถอะ สาวโรงเรียนข้างๆ นี่กรี๊ดกันยิมจะแตก” จงอินหัวเราะเมื่อจงซอกยกนิ้วโป้งขึ้นมาประกอบความเท่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าขยาด ตอนที่พูดถึงเสียงกรี๊ดดังสนั่นที่ปาร์คชานยอลได้รับ
“ผมยังแปลกใจที่พี่ไม่โดนจับหักคอไปแล้ว” เจ้าของชื่อหัวเราะทันทีที่จงซอกพูดจบ ก็จริงอยู่ที่ปาร์คชานยอลน่ะดุเสียยิ่งกว่าอะไร แต่สำหรับจงอินกลับไม่รู้สึกว่าน่ากลัวอะไรขนาดนั้น ก็ออกจะเป็นคนใจดี เรียกว่าใจดีก็ได้นั่นล่ะนะ
“ไปซื้อน้ำแค่นี้ทำไมนานจังวะ” ชานยอลบ่นขรมในขณะที่เพื่อนคนอื่นต่างพากันกลั้นขำ แล้วคนพาลก็ยังคงเป็นคนพาลอยู่วันยังค่ำ ตวัดตามองไปยังเพื่อนแต่ก็ดูจะไม่มีใครสะทกสะท้านกับสายตาแบบนั้นสักคน พอเห็นว่าไม่มีประโยชน์จะไปห้ามคนเหล่านั้น เด็กหนุ่มตัวสูงก็หันกลับมาสนใจประตูทางเข้าของโรงยิมอีกครั้ง
“หวงขนาดนั้นทำไมมึงไม่ไปเองเลยวะ” เสียงเพื่อนสักคนตะโกนมา ชานยอลหันไปแยกเขี้ยวให้แล้วก็กลับมานั่งหงุดหงิดอยู่กับตัวเอง ไม่ได้ตอบโต้อะไรมากไปกว่านี้ แค่นี้ก็โดนจับตามอง โดนล้อจนน่าหงุดหงิดจะแย่อยู่แล้ว
“ชานยอลลลลลลลลลลล” จากที่หงุดหงิดเพราะเพื่อนแซวตอนนี้ชานยอลรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้าไปแล้วแทน เสียงหวีดแหลมที่ดังมาจากทางด้านหลังทำให้เขาอยากจะกัดลิ้นตายให้มันรู้แล้วรู้แล้ว แก๊งค์กระเทยโรงเรียนมันน่ากลัวจริงๆเว้ย!
“จูโน่เอามาให้ ชานยอลทานสิๆๆๆ เอ๊ะ! ผู้จัดการสีนี้หายไปไหนเนี้ยยย ปล่อยให้ชานยอลของเจ๊เหนื่อยยังไงกัน” ประโยคหลังหันไปแว้ดกับคนที่อยู่โดยรอบ ทำเอาเด็ก ๆ ในทีมที่นั่งรอกินน้ำจากจงอินอยู่พากันถอยหนีออกไปหมด
“หนวกหูจังวะ หุบปากดิ๊!”
“ชานยอล ทำไมขึ้นเสียงกับเจ๊แบบนี้ล่ะคะ!”
แทบจะกรอกตาม้วนขึ้นเป็นเลขแปดไทย ชานยอลไม่เคยรังเกียจเพศที่สามแต่จะรำคาญหรือเปล่านั่นก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของอีกฝ่าย อย่างในกรณีบอกได้เลยว่าโคตรจะรำคาญมาก เด็ก ๆ ที่เล่นเป็นนักกีฬาโรงเรียนกับเพื่อนสนิทที่เล่นบาสด้วยกันเห็นสีหน้าชานยอลก็เริ่มรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่รู้มันว่าจะระเบิดแล้วด่าออกมาเมื่อไหร่ แต่ที่แน่ ๆ บุคคลที่ยืนอยู่ตรงนี้เอาปาร์คชานยอลไม่อยู่สักคน
“น่ารำคาญจังวะ! แล้วนี่ไอ้จงซอกกับจงอินไปซื้อน้ำถึงไหน! ไปตามมาดิ๊ กูหิวแล้ว!”
ไม่ต้องรอให้บอกซ้ำสองต่างคนต่างก็รีบกุลีกุจอกระโดดลุกจากพื้นเตรียมจะออกไปตามหา แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้ก้าวไปไหน คิมจงอินก็โผล่หน้ามาพร้อมกับกระติกน้ำได้ทันเวลาพอดี
“ชักช้าจังวะ! มึงไปซื้อน้ำที่ดาวอังคารหรือยังไง!”
อ้าว… จงอินถึงกับทำหน้าเหรอหราเพราะเพิ่งจะกลับมาก็โดนตะโกนใส่แบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พยายามส่งสายตาขอคำตอบจากคนอื่นก็เห็นพากันบุ้ยใบ้ไปทางผู้ชายคนนึงที่ยืนทำหน้าสีหน้าเบื่อหน่ายอยู่ไม่ไกลนัก ก่อนจะวกสายตากลับมาที่ปาร์คชานยอลทีทำหน้าเหมือนกำลังจะฆ่าคนได้ใส่กันอยู่แบบนี้ สอนไม่จำเลยจริงๆ ให้ตายเถอะ
“ชานยอลขา! หิวน้ำก็กินน้ำเจ๊ก็ได้จ้า เจ๊มีน้ำให้หนูกินเยอะแยะเลยนะคะ!” เลิกคิ้วมองคนมาใหม่ที่คล้องแขนชานยอลอย่างถือวิสาสะ แม้จะยังไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้เด็กหนุ่มตัวสูงโมโหแต่ก็พอจะจับทางได้บ้าง จงอินพรูลมหายใจ หยิบน้ำและผ้าเย็นออกมาจากกระติก ก่อนจะพยักหน้าให้จงซอกเดินเอาน้ำไปแจกจ่ายให้คนอื่น ส่วนตัวก็ยืนนิ่งมองหน้าคนขี้หงุดหงิดอยู่อย่างนั้น
มันเป็นสถานการณ์ที่อิหลักอิเหลื่อจนกลายเป็นที่จับตามอง ทุกคนเริ่มหยุดการกระทำและหันมาสนใจว่าตอนนี้ที่อัฒจรรย์ฝั่งของสีแดงกำลังเกิดอะไรขึ้น ปาร์คชานยอลที่กำลังมีข่าวเดท(?)กับคิมจงอินไหงมายืนทำหน้าจะกินเลือดกินเนื้อใส่กันแบบนี้
“ฉันรู้ว่านายเหนื่อย แต่นายจะเอาความเหนื่อย ความหิวมาระบายกับคนอื่นเขาไม่ได้หรอกนะ” จงอินเริ่มต้นพูด และมันยิ่งทำให้อีกฝ่ายมีสีหน้าเครียดขึงหนักกว่าเก่า แต่ก่อนที่อะไร ๆ มันจะแย่ลง ทุกคนที่เฝ้ามองต่างก็รู้อู้ววออกมาพร้อมกัน
“อ่ะ ดื่มสิ…” ขวดน้ำที่หยิบมาเมื่อครู่ถูกเปิดพร้อมเสียบหลอดแล้วส่งให้ เล่นเอาทั้งโรงยิมพากันอ้าปากค้างมองตะลึง แต่นั่นมันยังไม่เท่ากับที่…
“แล้วก็ยืนดี ๆ จะเช็ดหน้าให้”
นาทีนั้นทุกคนในโรงยิมต่างแข็งเป็นหิน เมื่อจงอินแกะผ้าเย็นออกจากซอง แล้วค่อยๆซับมันลงไปบนใบหน้าของชานยอล เล่นเอาใบ้กินกันทั้งหมดทั้งมวล รวมถึงเจ้าตัวและคนที่เรียกตัวเองว่าเจ๊นั่นด้วยก็เช่นกัน คิมจงอินยังคงลากผ้าเย็นไปจนทั่วใบหน้าถึงแม้จะรู้ว่าใครต่อใครต่างก็พากันมองพวกเขาอยู่ก็ตามที
จูโน่ค่อย ๆ ปล่อยแขนออกจากชานยอลด้วยความรู้สึกกระอั่กกระอ่วน ก่อนจะค่อย ๆ หลบฉากออกมา จงอินมองตามแล้วก็ได้แต่ยิ้มทั้งที่มือยังคงเช็ดหน้าให้นักกีฬาขี้หงุดหงิดของเขาไปด้วย
“นายนี่นะ หงุดหงิดใครก็ลงที่คนนั้นสิ ฉันบอกไม่เคยจำเลยหรือยังไง” พูดด้วยน้ำเสียงตำหนิแต่ใบหน้าก็ยังคงมีรอยยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่ชานยอลรู้สึกพ่ายแพ้ทุกครั้งและครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ผ้าเย็นเริ่มทำหน้าที่ของมันได้แย่ลงเมื่ออุณหภูมิบนใบหน้าเริ่มขึ้นสูง
“นี่นายเขินหรอ ปาร์คชานยอลนี่นายเขินหรอ” จงอินหลุดหัวเราะเมื่อเห็นว่าใบหูสองข้างของปาร์คชานยอลแดงก่ำ และมันอดไม่ได้เลยที่จะล้อเลียนท่าทางแบบนี้
“พูดมากน่า มึงยังมีความผิดที่ไปซื้อน้ำนานอยู่นะ”
“ก็คนมันเยอะ” พูดไปตามความเป็นจริง ก่อนจะตบท้ายด้วยรอยยิ้มเหมือนอย่างทุกครั้ง “ไว้พรุ่งนี้ฉันแวะซื้อทุกอย่างแล้วค่อยมาที่นี่ก็แล้วกัน”
ท่าทางอึกอักทำอะไรไม่ถูกตอนเขินของปาร์คชานยอลยังคงทำให้จงอินตลกทุกครั้ง ถึงแม้จะเป็นคนที่ดูขี้หงุดหงิดขี้โมโห แต่ก็มีมุมน่ารักกุ๊กกิ๊กอะไรแบบนี้อยู่บ้างเหมือนกัน
พอเห็นว่าเหตุการณ์เริ่มสงบลงแล้ว ทุกคนต่างก็กลับไปทำกิจกรรมของตัวเองต่อ แน่นอนล่ะว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ถูกถ่ายทอดลงในสังคมออนไลน์เรียบร้อยแล้ว จงอินไม่ใช่คนที่จะติดตามอะไรพวกนี้มากมายนักหรอก แต่ฟังจากคำบอกเล่าของเทากับเซฮุนเอาซะมากกว่า
“ไปซ้อมได้แล้วครับคุณนักกีฬา” ออกปากไล่เมื่อเห็นคนอื่นเริ่มมองมาทางพวกเขา จงอินพยักหน้าไปทางด้านหลัง แต่พอชานยอลหันไปมองกลุ่มที่ดูอยู่ก็แตกฮือ เล่นเอาผู้จัดการเริ่มจะเหนื่อยใจเพราะคุณกัปตันดูจะเอาแต่ใจจนเกินเหตุ ได้คืบจะเอาศอกจริง ๆ เลยสินะ
“ไปซ้อมไป ทุกคนรออยู่”
“มันไม่ได้จริงจังขนาดนั้นน่า”
“อ้าวเหรอ ฉันนึกว่านายกำลังซ้อมไปแข่งกีฬาสีระดับโลกเสียอีก” ชานยอลทำหน้าเซ็งใส่เมื่อคิมจงอินเริ่มกลับมากวนตีนอีกครั้ง คำพูดจิกกัดเบา ๆ ทำให้นึกอยากเอากำปั้นขยี้หัวนั่นแรง ๆ ดูสักที ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงยิ้มให้ก็ยิ่งนึกหมั่นไส้จนต้องหันไปตะโกนสั่งให้วิ่งรอบสนามบาสอีกสิบรอบ เล่นเอาทุกคนหน้าตาตื่นเพราะพึ่งจะวิ่งกันเสร็จก่อนจงอินกลับมาครู่เดียว
ผู้จัดการทีมจำเป็นได้แต่ยิ้มพร้อมกับส่ายหัวอย่างนึกสงสารเด็ก ๆ คนอื่น ที่ต้องมาคอยรองรับอารมณ์โมโห แต่ก็ช่่วยไม่ได้ล่ะนะ ปาร์คชานยอลดันทำตัวน่าหงุดหงิดให้คนอื่นควงแขนเองนี่ มันก็ต้องมีการเอาคืนกันบ้าง
อะไรสักอย่างแปะลงมาโดนหัวตอนที่จงอินกำลังนั่งอยู่บนม้าหินอ่อนใต้ชายคาของอาคารเรียนระหว่างรอที่ฝนหยุดตก พอเงยหน้าไปมองก็พบว่าปาร์คชานยอลวางเสื้อสูทลงบนหัว บัดดี้ตัวสูงไม่ได้พูดอะไรนอกจากทรุดลงนั่งบนเก้าอี้อีกตัวที่ไม่เปียกฝน
“ไม่หนาวหรือไง มานั่งเหม่อเป็นพระเอกเอ็มวีอยู่ได้”
“แล้วนายล่ะ คิดว่าเท่หรือไงวิ่งฝ่าฝนมาจากโรงยิมน่ะ”
สภาพเปียกม่อล่อม่อแล่กทำให้ชานยอลไม่สามารถปฏิเสธได้อีก จงอินยิ้มเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าแบบไหน ก่อนจะบอกให้อีกฝ่ายรออยู่ที่นี่และเดินหายกลับเข้าไปตึก ชานยอลชะเง้อคอมองตามแต่ก็ยอมที่จะนั่งรอตามที่จงอินบอก ไม่นานเด็กหนุ่มตัวผอมก็กลับมาผอมผ้าขนหนูสีน้ำตาลอ่อนหนึ่งผืนและโปะมันลงบนหัวปาร์คชานยอล
“เช็ดซะสิ ฝนตก อากาศเย็น เดี๋ยวนายจะป่วย”
ชานยอลจับผ้าที่วางบนหัวก่อนจะเริ่มใช้มันเช็ดเส้นผมที่เปียกชุ่ม ก่อนหน้านี้คิมจงอินบอกกับเขาว่าลืมการบ้านที่ต้องทำไว้ในลอคเกอร์เลยจะกลับมาเอา แต่พอคล้อยหลังได้ไม่ถึงสิบนาที ฝนก็ตกโครมลงมาเสียก่อน ถึงจะไม่ค่อยแน่ใจว่าอีกฝ่ายอยู่ตรงไหน แต่ที่แน่ๆ คือเราต้องกลับบ้านพร้อมกัน
“มึงมีร่มไม่ใช่หรอวะ”
“อยากเดินเล่นน้ำฝนมากกว่า”
ชานยอลขมวดคิ้วมองคนที่นั่งเท้าคางมองฝนที่เริ่มเบาลง เขายังคงยืนยันคำเดิมว่าไม่ชอบ ความเหนอะหนะ ความเปียกชื้น ไหนจะยังอีกหลายร้อยสิ่งน่ารำคาญที่จะตามมา เคยคิดมาตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็จะไม่ยอมออกไปเดินตากฝนให้เปียกชุ่มโชกไปถึงกางเกงในแต่คิมจงอินกลับทำให้เขาต้องเดินฝ่าฝนมาแบบนี้ มันน่าโมโหชะมัด
“ไปกันเถอะ”
“ไปไหน” จงอินเงยหน้ามองบัดดี้ตัวสูงที่อยู่ ๆ ก็ลุกขึ้นยืน ด้วยสายตาไม่เข้าใจ ฝนก็ยังตกอยู่ ปาร์คชานยอลประสาทกลับอะไรขึ้นมาอีกล่ะเนี่ย
“กลับบ้านไง”
ดูจะเป็นคำตอบที่โง่เง่าอีกหนึ่งคำตอบ จงอินมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจสักเท่าไหร่นัก ปาร์คชานยอลไม่ชอบฝนนั่นคือสิ่งที่เขารู้ดีถึงได้เลือกที่จะรอให้มันหยุดก่อนจะเดินกลับไปหาที่โรงยิมแล้วค่อยกลับบ้านพร้อมกัน แต่วันนี้ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติ
“มาเถอะน่า เอาของมานี่ เดี๋ยวกูเอาไปเก็บไว้ในห้องชมรม” ไม่ได้รอให้อีกฝ่ายตอบ ชานยอลก็จัดการคว้ากระเป๋าเป้ของจงอินแล้วเดินลิ่วหายเข้าไปทางด้านหลังตึกอยากจะตะโกนเรียกไว้ก่อนแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ทันหมอนั่นขายาวแล้วก็เดินเร็วชะมัด ตอนนี้พวกเราตัวเปล่าเรียบร้อย เพราะโทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์จงอินยัดทั้งหมดนั่นไว้ในเป้ของตัวเอง
“มึงอยากเล่นน้ำฝนไม่ใช่หรือไง ไหนๆ กูก็เปียกแล้ว ไปดิ ไปเล่นด้วยกัน”
พอเห็นคิมจงอินยิ้มกว้างชานยอลก็เริ่มจะทำอะไรไม่ถูก เขาออกเดินนำไปก่อนโดยที่ไม่หันกลับมามองใบหน้านั้นสักนิด ก็จะให้ทนมองอยู่ได้ยังไงวะ ขืนมองนานกว่าอีกแป๊บเดียวเขาได้โดนมันล้อเรื่องหูแดงเป็นรอบที่สองของวันแน่
จงอินยิ้มกว้างกับตัวเองเมื่อเห็นว่าปาร์คชานยอลจ้ำอ้าวออกไปโดยที่ไม่รอเขา สีหน้าตกตะลึงก่อนที่ใบหูทั้งสองข้างจะเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำบ่งบอกได้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกแบบไหน จงอินคาดโทษเด็กตัวสูงเอาไว้ในใจ อะไรกันก็เคยบอกไปแล้วไงว่าอย่าเดินหนีกันน่ะ!!
“เฮ้! ปาร์คชานยอล! รอฉันด้วยสิ! บอกแล้วไงว่าถ้าเขินก็อย่าทำแบบนี้! ปาร์คชานยอล! ปาร์คชานยอล!”
เสียงตะโกนจากด้านหลังไม่ได้ทำให้ชานยอลชะลอจังหวะเดินลงเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มยังคงจ้ำอ้าว จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าที่กระทบพื้นน้ำดังเฉอะแฉะตามมาใกล้ ๆ ถึงได้ก้าวขาให้ช้าลง แต่คิมจงอินกลับวิ่งทะเล่อทะล่าแซงเขาไปเสียอย่างนั้น กำลังจะอ้าปากด่าอยู่แล้วถ้าไม่เห็นท่าทางสนุกสนานและรอยยิ้มกว้างของอีกฝ่ายที่กำลังวิ่งไปตามทางเดิน
“เลิกทำหน้าเครียดแล้ววิ่งตามมาได้แล้วน่าปาร์คชานยอล”
“มึงนั่นแหละ วิ่งทำไม เดี๋ยวก็ล้มหรอก” ตะโกนตอบกลับไป คิมจงอินยังคงหันหน้ามาทางเขาแล้ววิ่งถอยหลังอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่กลัวว่าจะชนอะไรเข้า สุดท้ายชานยอลก็ต้องยอมแพ้แล้วออกวิ่งตามกันไปติด ๆ ไม่ได้สนใจสายตาจากนักเรียนบางกลุ่มที่กำลังหลบฝนแล้วเผลอมองทั้งสองคนที่เล่นกันตลอดทางเดินออกนอกโรงเรียน
พวกเขาวิ่งเล่นกันจนเกือบจะถึงทางที่ต้องแยกกันกลับบ้านฝนก็หยุดลงพอดี ชานยอลลังเลนิดหน่อยตอนที่ยืนมองและเห็นว่าคิมจงอินกำลังทำท่าจะข้ามถนน เขายืนมองอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะตัดสินใจคว้าแขนแล้วดึงให้ข้ามไปด้วยกันในจังหวะที่รถโล่งพอดี
“นายข้ามมาด้ยทำไมจะไปส่งฉันที่บ้านหรือไง”
“เปล่า กูก็แค่พาข้ามมาเท่านั้นแหละ” ชานยอลพูดตามความจริง เขาก็แค่อยากพาคิมจงอินข้ามมาก็เท่านั้น วันฝนตกแบนี้ถนนลื่น เขากลัวว่ารถที่ขับผ่านมาจะไม่ทันสังเกตเห็นคนกำลังข้ามเลยตัดสินใจพาข้ามมาเสียเอง
“ฉันโตแล้ว ข้ามถนนเองเป็นน่า แต่..ยังไงก็ขอบคุณมาก”
“อือ กูไปล่ะ กลับบ้านดี ๆ ถึงแล้วบอกกูด้วย อย่าป่วยล่ะ ไม่งั้นโดนทุบแน่” สั่งยาวเป็นชุดแล้วหมุนตัวเดินข้ามกลับไปยังฝั่งที่ตัวเองต้องใช้กลับทันที จงอินขมวดคิ้วแน่น วันนี้ปาร์คชานยอลทำผิดหลายรอบเกินไปแล้ว และรอบนี้เขาจะไปปล่อยมันผ่านไป
“เฮ้ ปาร์คชานยอล!!!” เสียงตะโกนจากอีกฟากทำให้เจ้าของชื่อต้องหันไปมอง คิมจงอินยังคงยืนอยู่ตรงนั้น มองตรงมาทางเขา
“นายก็อย่าป่วยล่ะ” พูดจบก็หันหลังเดินหนีออกไปทันที จงอินขัดเขินนิดหน่อยที่เป็นฝ่ายทำแบบนี้ นึกเข้าใจความรู้สึกของปาร์คชานยอลขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน
ผิดกับนักกีฬาคนเก่งที่โดนสั่งว่าห้ามป่วยที่ยังยืนอยู่นิ่ง ใจเต้นรัวราวกับจะพุ่งออกมาข้างนอก เขามองตามแผ่นหลังของคิมจงอินที่ไกลออกไปเรื่อย ๆ จนเห็นว่าอีกฝ่ายลับสายตาแล้ว จึงเริ่มออกเดินกลับบ้านของตัวเองบ้าง มันเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ชานยอลยิ้มในวันที่ฝนตกและเขาตัวเปียกโชกขนาดนี้ โคลงหัวเบา ๆ กับสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นแล้วก็ต้องกลั้นยิ้มเอาไว้กับตัวเอง
อา...คิมจงอินจะมาว่าเขาเรื่องที่พูดจบแล้วเดินหนีไม่ได้แล้วนะ
#ฟิควงกลมชานไค
อูยยยยยย…. ขยับเข้ามาได้มั้ยยย ขยับมาใกล้กันนนน ขยับความสัมพันธ์มารักกับฉันนะเธอววววว
หมดแรงพลังล้ามากจ้า..รู้สึกตัน ๆ นึกคำพูดไม่ออก แต่ก็พยายามถ่ายทอดออกมาให้คนอ่านได้อ่านกันนะคะ ถึงเราจะอัพช้าไปบ้างแต่ยังมีคนอ่านตลอด ขอบคุณมาก ๆ เลยที่ไม่ทิ้งกันไปไหน ขอเวลาออกไปตามหาแรงบันดาลใจครั้งที่สามสิบเก้าหน่อยนะคะ แล้วจะกลับมาทอปฟอร์มเหมือนเดิม ขอบคุณทุกคำติชม ขอบคุณทุกคนที่ยังคงแวะเวียนเข้ามาอ่าน ถ้าหากผิดพลาดตรงไหน บอกเราได้เลยนะคะ เราจะได้เอากลับมาปรับปรุงน้า
วันนี้ไปแล้ววว
บรั้ยยยยส์
ความคิดเห็น