คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : CHAPTER 8
TITLE CYCLE
PAIRING : CHANYEOL X KAI
“เวลาที่เราได้รู้จักหรือเรียนรู้ใครสักคน...มันเป็นยังไงกันนะ?”
CHAPTER 8
จงอินพึ่งจะเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำตอนที่เสียงเตือนโทรศัพท์เข้าดับไปพอดี หันมองหน้าจอมอนิเตอร์ก็เห็นว่าตัวเองเผลอเปิดหน้าไลน์บัดดี้ทิ้งเอาไว้ ถอนหายใจนิดหน่อยตอนที่เห็นลางๆว่ามันมีแถบคำพูดสีเทาเด้งขึ้นมากขนาดไหน
ปาร์คชานยอลเป็นโรคอ่านแล้วต้องตอบหรือยังไงกันนะ?
คว้าแว่นสายตาที่วางไว้ข้างเม้าส์ขึ้นสวมใส่ แล้วก็ต้องถอนหายใจอีกครั้ง เมื่อเห็นว่ามันเป็นอย่างที่ตัวเองคิดเอาไว้ไม่มีผิด
พรุ่งนี้กูจะเดินไป 09.13
มึงก็ต้องเดินมานะ 09.13
คิมจงอิน 09.14
คิมจงอินว้อย 09.15
เป็นอะไร 09.15
ทำไมอ่านแล้วไม่ตอบ 09.15
ไอ้จงอิน 09.15
จงอิน 09.16
จงอินอา.. 09.16
เลื่อนอ่านข้อความแล้วก็ได้แต่ยิ้มขำ ไม่ต้องหยิบมาดูก็เดาได้ว่าสายที่ไม่ได้รับเมื่อครู่นี้ของเขาคือใคร จงอินยังคงอมยิ้มตอนที่นิ้วของเขาเลื่อนเมาส์อ่านข้อความที่ปาร์คชานยอลรัวมาไม่หยุดไปพร้อมๆกับโทรศัพท์ที่ดังอยู่ใกล้ๆกัน
ปาร์คชานยอล
จงอินไม่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ได้อีกต่อไป เขาพิงหลังกับพนักเก้าอี้โต๊ะคอมพ์ของตัวเองหัวเราะจนรู้สึกปวดท้องไปหมด เขาเอาแต่หัวเราะลั่นห้องนอนของตัวเองอยู่อย่างนั้นทั้งที่สายตายังคงจับจ้องไปที่หน้าจอคอมพ์ ข้อความในไลน์ถูกส่งมาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ทีดังไม่หยุดหย่อน สุดท้ายแล้วเด็กหนุ่มก็ต้องยอมยกเครื่องมือสื่อสารเจ้าปัญหาขึ้นมากดรับสาย ไม่อยากเดาเลย..
“คิมจงอิน!!...” เจ้าของชื่อแทบจะเอาโทรศัพท์ห่างออกจากหูไม่ทัน เมื่อปาร์คชานยอลแผดเสียงลั่นมาตามสาย “เป็นบ้าอะไรวะ! ไลน์ก็ไม่ตอบ! โทรศัพท์ก็ไม่รับ!”
“ฉันพึ่งรู้ว่าคนปกติเขาตะคอกใส่คนอื่นปาวๆแบบนี้นะ”
พูดด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกกึ่งจริง แต่ก็ทำให้คนที่กำลังโมโห ตวาดลั่นสงบสติลงได้บ้าง เขาได้ยินเสียงบัดดี้ของตัวเองถอนหายใจแรงๆ ซึ่งตั้งแต่รู้จักกันมา จงอินเรียนรู้ว่านี่คือการะงับอารมณ์ของปาร์คชานยอล แต่เดี๋ยวก่อนนะ เขาไม่รู้สึกผิดเรื่องที่หมอนั่นเอามาเป็นเหตุผลตะคอกใส่เขาหรอกนะ
“มึงหายไปไหนมา”
เมื่อรู้สึกว่าหายหงุดหงิดแล้ว ชานยอลก็เลยตัดสินใจถามเรื่องที่เขาอยากรู้ ได้ยินเสียงปลายสายหัวเราะแล้วก็นึกอยากจะหักคอทิ้งแม่งให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็นั่นแหละ เหอะ..จะตีเขายังไม่กล้า นับประสาอะไรกับจะจับคิมจงอินหักคอกัน
“ไปอาบน้ำมา”
“แล้วทำไมไม่บอกก่อน”
“เราก็ไม่ได้คุยกันค้างไว้นี่”
ครับ… รู้สึกเหมือนเหยียบเบรกเท้าแล้วตามด้วยดึงเบรกมือก่อนจะหักพวงมาลัยเข้าไปจอดนิ่งสนิทอยู่ในซองแคบๆ ปาร์คชานยอลได้แต่พูดคำว่าครับ ครับ ครับ แล้วก็ครับ กับตัวเองเป็นรอบที่ล้านครั้ง บอกใจตัวเองให้ชินไม่ได้สักทีกับจงอินเวอร์ชั่นหลอกด่าและกวนตีนกันแบบนี้
“ตกลงพรุ่งจะเจอกันกี่โมง” ชานยอลเงียบไปพักก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุย เขาไม่อยากจะมานั่งโดนกวนตีนให้หงุดหงิดแล้วทำอะไรแบบนี้ไม่ได้
“ซักเจ็ดโมงสิบแล้วกัน” จงอินเคาะนิ้วกับโต๊ะ กะเวลาจากเมื่อเช้า ถ้าเลื่อนจากเดิมอีกนิดหน่อยปาร์คชานยอลน่าจะไม่ต้องรีบร้อนมาหาเขาถึงขนาดนั้น
“อืม”
ชานยอลรับคำ ในหัวสมองพยายามครุ่นคิดหาเรื่องคุย เพราะเขายังไม่วางสายจากบัดดี้ของตัวเอง นึกเกลียดตัวเองที่เป็นคนคุยไม่เก่งเอาก็วันนี้ ปกติเขาเคยทำอะไรแบบนี้ที่ไหนกัน มีแต่จะต้องนอนก่ายหน้าผากมองเพดานคิดว่าจะจบบทสนทนายังไงดี แแต่ตอนนี้กลับต้องมาคิดว่าจะทำยังไงไม่ให้บทสนทนานี้จบลง
จงอินยังคงถือโทรศัพท์ให้ในมือพลางเคาะนิ้วกับแผ่นรองเมาส์ของเขาอย่างใจเย็น พอจะเข้าใจว่าปาร์คชานยอลคงยังไม่อยากวางแต่ไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาคุย ความจริงที่ว่าเราไม่สามารถคุยทุกเรื่องกับทุกคนบนโลกได้น่ะมันใช่ แต่กับคนที่มีกิจวัตรประจำวันร่วมกันมันมีเรื่องตั้งมากมายให้หยิบยกขึ้นมาพูดคุย เขาแค่ต้องการให้บัดดี้ของตัวเองเรียนรู้ที่จะต่อบทสนทนาแม้จะเป็นการสนทนาที่ไม่เห็นหน้ากันก็ตามที
“มึงเคยต้องคิดมั้ยวะ ว่าเราจะชวนคนคนนึงคุยกันยังไงดี”
เขาได้ยินเสียงจงอินหลุดหัวเราะ แต่เพราะสุดท้ายชานยอลก็ไปไม่รอด เขารู้สึกว่าโลกนี้แม่งไม่มีเรื่องห่าอะไรที่จะขุดขึ้นมาคุยกับคิมจงอินได้เลยสักเรื่อง จนต้องขอคำปรึกษาเรื่องที่เขากำลังกลุ้มใจกับคนที่เป็นสาเหตุมันนี่แหละ รู้แบบนี้ตั้งใจฟังตอนที่ผู้หญิงพวกนั้นโทรมาซะก็ดีหรอก
“เลิกขำกูแล้วตอบคำถามดิ”
“โอเคๆ ไม่ขำแล้วก็ได้”
“กูไม่ได้หูหนวกคิมจงอิน และยังได้ยินเสียงมึงหัวเราะคิกคักอยู่ชัดเจน” ตอนนี้เขาผุดลุกขึ้นนั่งมองทีวีที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์อย่างเซ็งๆ ภาพกราฟฟิคของเกมส์ที่ยังไม่จบตามาพร้อมกับคำด่าของเพื่อนฝูงในทีม ข้างๆกันมีหน้าต่างไลน์ของคิมจงอินเปิดค้างไว้อยู่
“ว้าว แปลกใจชะมัด ปาร์คชานยอลไม่ได้หูหนวกได้ยินเสียงหัวเราะ แต่ดันไม่มีเซ้นส์ชวนคนอื่นคุย”
“ด่ากูอีกแล้วนะ”
จงอินวางโทรศัพท์ลงข้างตัวหลังจากที่ต่อมันเข้ากับหูฟัง ไม่แน่ใจว่าปาร์คชานยอลได้ยินเสียงหัวเราะเขาด้วยหรือเปล่าเพราะมันเป็นช่วงจังหวะเปลี่ยนมาใส่หูฟังพอดี เขาไม่ค่อยชอบคุยโทรศัพท์สักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่คิดที่จะบอกปาร์คชานยอลไปตรงๆ อย่างน้อยการหาทางบอกคงเป็นเรื่องที่ดีกว่าในเมื่ออีกฝ่ายแสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยากคุยโทรศัพท์กันถึงขนาดนี้
“เรื่องบนโลกที่จะชวนคุยมีเยอะ แต่ถ้านายไม่รู้จะหยิบเรื่องไหนมาคุย ฉันคิดว่าก็น่าจะเริ่มจากเรื่องใกล้ตัวที่นายคิดว่าอีกฝ่ายจะสามารถคุยกับนายได้”
ชานยอลนิ่งคิดไปตามคำพูดของคิมจงอิน หลังจากที่นั่งเซ็งโดนอีกฝ่ายหัวเราะเยาะอยู่เป็นนาที ความเงียบไม่ได้น่าอึดอัดสักเท่าไหร่นัก เมื่อเขายังได้ยินเสียงเพลงดังคลอมาตามสาย ถ้าให้เดาหมอนั่นคงกำลังปล่อยให้เพลงเล่นไปเรื่อยๆอย่างที่ไม่ใส่ใจ แค่เป็นเพลงที่ชอบก็พอ
อา...ใช่สิ…
“เพลงที่เล่นอยู่นั่นเพลงของใคร”
จงอินเลิกคิ้วพลางเลื่อนเม้าส์ไปคลิก itune ของตัวเอง ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเขาเปิดเพลงเอาไว้เพราะมัวแต่ขำปาร์คชานยอลนั่นแหละ รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้ามากขึ้นตอนที่ได้ยินปลายสายย้ำคำถามมาอีกครั้ง
“I’m in love ของ narsha ใช่มั้ย?” เห็นอีกฝ่ายเงียบไปชานยอลก็ชักจะไม่แน่ใจ แต่จังหวะสบายๆ ของทำนองกีต้าร์ที่ได้ยินอยู่ มันคล้ายกันมาก
“อือ ใช่ นายรู้ได้ยังไง มันเป็นแค่เสียงโน้ตกีต้าร์นี่”
“กูเคยแกะเพลงนี้เหมือนกัน มึงก็เคยฟังไม่ใช่หรอ”
จงอินพยายามเค้นว่าเขาเคยฟังเพลงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ มันเป็นหนึ่งในเพลงที่เขาชอบมาก ชอบชนิดที่ว่าพยายามหาหลายเวอร์ชั่นมาฟังก็ยังไม่เบื่อ ลำดับความคิดตั้งแต่เริ่มรู้จักกับปาร์คชานยอลจนถึงวันนี้ แล้วก็ต้องร้องอ๋อเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเป็นตอนไหน
“เล่นให้ฟังอีกครั้งนึงสิ”
“อาทิตย์นี้นัดทำรายงานกันอีกมั้ยล่ะ”?”
“อือ ได้ บ้านฉันเหมือนเดิม เวลาเดิมนั่นแหละ”
จงอินพยักหน้า แล้วก็ปล่อยให้คนที่พึ่งจะหัดชวนคุยเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยๆ รอยยิ้มยังคงปรากฏถึงแม้ว่าจะฟังรู้เรื่องไม่รู้เรื่องบ้างก็ตามที พอมองนาฬิกาที่มุมจอคอมพ์ก็ต้องนึกโทษว่าเพราะปาร์คชานยอลนั่นแหละเขาถึงได้ไม่มีเวลาดูหนังที่เลือกไว้สำหรับคืนนี้ เด็กหนุ่มปิดเครื่งอคอมพิวเตอร์ จัดหนังสือเข้ากระเป๋าให้เรียบร้อยทั้งที่สองหูก็ยังคงฟังบัดดี้ตัวเองพูด
“มึงง่วงแล้วหรือยัง?” ชานยอลเอ่ยถามตอนที่รู้สึกว่าเขาคงจะชวนคิมจงอินคุยเพลินจนเกินเหตุ ยิ่งพอมองนาฬิกาก็ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่
“นิดหน่อย ปกติก็นอนเวลานี้ นายล่ะ?” จงอินตอบออกไปตามจริง ถึงอีกฝ่ายจะอยากคุยกันมากแค่ไหนก็ตามที แต่นี่มันก็ดูจะเกินเวลานอนไปเสียหน่อย
ชานยอลกำลังคิดว่าเขาควรจะตอบยังไง แต่ดูท่าจงอินคงจะเดาได้ เขาได้ยินหมอนั่นพูดอะไรสักอย่างที่ฟังแทบไม่รู้เรื่องก่อนที่สัญญาโทรศัพท์จะตัดไป
“อะไรของมันวะ กูยังไม่ทันได้ตอบ” โวยวายกับตัวเองแล้วโยนโทรศัพท์ลงไปที่ว่างข้างเตียงอย่างไม่นึกสนใจ ขยับตัวลงนั่งประจำที่เตรียมตัวลงวอร์ใหม่ แต่ยังไม่ทันที่จะได้พิมพ์บอกเพื่อนฝูงว่ากลับมาแล้ว แถบสีส้มที่กระพริบจากโปรแกรมไลน์ก็ขัดสายตาเอาไว้เสียก่อน
อย่ามัวแต่หวดเกมส์จนนอนดึกตื่นสายล่ะครับ คุณนักกีฬา
นั่งยิ้มเป็นบ้าเป็นหลังแล้วก็ต้องโวยวายเสียงลั่นเมื่อเสียงเตือนการต่อสู้ดังออกจากลำโพงเซอร์ราวด์ ชานยอลกร่นด่าทีมที่ไม่รอตัวเองก่นอจะคลิกเม้าส์แล้วบุกตามไปอีกครั้ง ตั้งใจไว้ว่าลงวอร์จบเกมส์นี้ก็จะเข้านอนทันทีตามที่คิมจงอินบอก สาบานตรงนี้เลยครับว่ามันเป็นคืนแรกที่ชานยอลเลิกเล่นเกมส์เร็วแต่นอนดึกกว่าวันอื่นๆไปอีกสองสามชั่วโมง
ถ้ากูตื่นสาย มันเป็นความผิดของมึงคนเดียว คิมจงอิน
จงอินพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หัวเราะออกมาเสียงดังตอนที่เห็นว่าบัดดี้ของเขาเดินมาเรียนสภาพแบบไหน ถ้าให้เดาคือปาร์คชานยอลนั่งหวดเกมส์จนเกือบเช้าแล้วต้องรีบตื่นมาให้ทันเวลานัด
“ก็บอกแล้วว่าอย่าหวดเกมส์ยันเช้า” มองคนที่หน้ามุ่ยหัวยุ่ง เสื้อนักเรียนตัวในสีขาวหลุดออกมานอกกางเกง จงอินคิดว่าเขาจะเป็นคนดีมีน้ำใจต่อบัดดี้ของเขาก็แล้วกัน
“เอาไปดิ”
สาบานได้ว่าชานยอลยังเมาขี้ตามากจนขนาดตั้งสติไม่ได้ อาการง่วงงุนของคนที่พึ่งเผลอหลับไปตอนเกือบจะตีสี่แล้วสะดุ้งตื่นมาหกโมงกว่า มันทำให้เขากลายเป็นคนไร้ประสิทธิภาพในการประมวลผลขนาดนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนชานยอลคงนอนจนสายไปเลย แต่วันนี้เขานัดคิมจงอินเอาไว้และไม่อยากให้อีกฝ่ายรอเก้อ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่อันธพาลปาร์คชานยอลเริ่มเรียนรู้ที่จะใส่ใจคนอื่น
“คุณนักกีฬาครับ รับไปสิครับ”
เสียงของคิมจงอินดังย้ำอีกครั้ง ชานยอลถึงได้ลืมตามามองชัดๆ แล้วก็พบว่าคิมจงอินยื่นนมกล้วยให้เขาพร้อมด้วยรอยยิ้มประจำตัว
“อะ..อะไรวะ”
“นมไง เฮ้ นี่นายได้เอาตามาจากบ้านหรือเปล่า?” คำถามของจงอินเล่นเอาชานยอลเซ็งแต่เช้า แม่งจะถามโดยที่ไม่หลอกด่ากูสักครั้งจะได้มั้ยวะ ดูมัน ยังมีหน้ากลั้นขำกู เหอะ หมั่นไส้ชะมัด
ปึ่ก
จงอินเลิกคิ้วมองคนที่เอาขวดนมมากระแทกหัวกัน ปาร์คชานยอลนี่นอกจากจะไม่รู้จักขอบคุณแล้วยังจะมาทำแบบนี้อีก เจ้าของนมกล้วยยื่นมื้อไปคว้าขวดนมเจ้าปัญหามาไว้ในมือทำเอาคนที่กำลังจะกินมองด้วยสายตาไม่เข้าใจ
“ขอยึดคืน”
“เอ้า อะไรของมึงวะ” เออ..อะไรของมัน ให้แล้วมาเอาคืนได้ไง ชานยอลกำลังจะเปิดกินเลย แล้วทำไมมึงมาทำงี้กับกูวะคิมจงอิน!
“มีคนให้ของ ขอบคุณสักคำยังไม่มี มันน่ายึดคืนชะมัด”
“เออๆ กูลืม กูง่วง กูตกใจ เอามาให้กูได้ยั้ง” สาบานเลยว่าชานยอลหงุดหงิดใจมากตอนที่คิมจงอินมันยังส่ายหน้าแล้วทำท่าจะเอานมขวดนั้นไปเทให้หมากิน คนก็จะกิน มันเห็นหมาดีกว่ากูได้ยังไงกันวะ
“คำขอบคุณล่ะ?” จงอินยังคงลีลา ไม่ยอมให้แล้วทำท่าจะเทนมในขวดนี้ทิ้งจริงๆ แต่เขารู้ว่ายังไงซะปาร์คชานยอลก็จะต้องได้กินนมขวดนี้ ไอ้ที่ทำอยู่นี่ก็เพราะอย่างเดียวเท่านั้นแหละ
"ขอบคุณที่ซื้อนมมาฝาก” ไอ้นี่ยังไงล่ะ...
จงอินยิ้มแล้วยื่นขวดนมที่เปิดแล้วพร้อมหลอดดูดเรียบร้อยส่งให้บัดดี้ตัวสูงที่ยืนหน้าหงิกบอกบุญไม่รับ พวกเรากำลังจะสายแล้วถ้ายังมัวยืนทะเลาะกันอยู่ตรงนี้น่ะนะ
“ฉันก็แค่อยากให้นายพูดมันให้ติดปากไว้ สวัสดี ขอบคุณ ขอโทษ มันทำให้นายเข้าสังคมง่ายขึ้น”
ชานยอลเหลือบมองบัดดี้ของตัวเองที่เดินล้วงกระเป๋ากางเกงข้างหนึ่งพูดขึ้นทั้งที่ตามันยังมองตรงไปข้างหน้า พึ่งจะสังเกตว่าคิมจงอินก็มีขวดนมอยู่ในมือต่างกันที่คนละรสชาติกับเขาเท่านั้น
“อือ...” ชานยอลครางรับ เขากินนมอีกอึ่กใหญ่ ทั้งที่สมองยังคงทำงานหนักตั้งแต่เช้าแบบนี้ “แล้วก็... อรุณสวัสดิ์ว่ะ ผู้จัดการทีม”
จงอินยิ้ม เขารู้ว่าตัวเองเป็นคนยิ้มเก่ง แต่ไม่รู้ว่าที่ยิ้มอยู่ตอนนี้มันเกิดจากมนุษยสัมพันธ์ที่ดี หรือสิ่งที่ปาร์คชานยอลพูดกับเขาในเช้าวันนี้กันแน่ สิ่งที่จงอินตั้งใจเพิกเฉย เพื่อดูปฏิกิริยาของบัดดี้ตัวสูงว่าจะเป็นอย่างไร
พวกเราเดินไปโรงเรียนด้วยกัน อากาศดีๆยามเช้า นมพาสเจอร์ไรซ์ เสียงเพลงที่ดังอยู่ในหูฟังข้างหนึ่งของคิมจงอิน และคำว่าอรุณสวัสดิ์ของปาร์คชานยอล
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณนักกีฬา”
50 %
เส้นทางไปโรงเรียนยังคงเป็นเส้นทางเดิมๆ
เพียงแต่นี่เป็นวันที่สองที่จงอินมีเพื่อนร่วมทาง
ปกติแล้วเขามาโรงเรียนเร็วกว่าเทากับเซฮุน
การเดินทอดอารมณ์ไปกับอากาศเย็นสบายทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่ามันเป็นการเริ่มต้นวันที่ดี
พวกเราเดินย่ำเท้าไปบนพื้นฟุตบาทที่ยังคงมีน้ำขังเป็นหย่อมๆ จงอินได้ยินเสียงปาร์คชานยอลบ่นงึมงำอะไรสักอย่างเรื่องที่รองเท้าเปื้อน
แอบเห็นทางหางตาว่าบัดดี้ของเขาพยายามก้าวหลบน้ำทุกแอ่งที่ขังอยู่
เขากลั้นขำจนเกือบจะสำลักนมรสกล้วยของตัวเองเลยล่ะ
“ยิ่งทำแบบนั้นมันยิ่งจะเปื้อนหรือเปล่า”
จงอินถามตอนที่กำลังโยนขวดนมที่หมดแล้วลงถังขยะ
พวกเราไม่ได้ก้าวเดินต่อเพราะปาร์คชานยอลกำลังดูดนมอึกสุดท้ายลงคอก่อนจะส่งเจ้าขวดพลาสติกลงไปนอนรอเวลารีไซเคิลอยู่ในถังสีเขียวใบเดียวกัน
“แบบไหน?”
“แบบนี้ไง”
ชานยอลมองคิมจงอินที่เขย่งมากระโดดไปมาข้ามแอ่งน้ำเล็กๆที่อยู่เลยพวกเราไปนิดหน่อย
แล้วหมอนั่นก็หันมามองเขาทั้งที่รองเท้าผ้าใบของตัวเองจุ่มอยู่ในแอ่งน้ำนั้น
“ทำบ้าอะไรของมึงวะ
แล้วนั่นไม่เปียกหรือยังไง” ก้าวเร็วๆดึงกระเป๋าไอ้คนที่เล่นซนเป็นเด็กให้เดินไปโรงเรียนต่อได้แล้ว
แต่คิมจงอินก็ยังคงกระโดดล้อเลียนท่าทางของเขาอยู่นั่นแหละ มึงนี่มีปัญหากับท่ากระโดดของกูเหลือเกินนะไอ้ผู้จัดการ
“ฮ่าๆ
หน้าตายตลกชะมัด”
ยิ่งเห็นว่าโดนทำหน้าเซ็งใส่
จงอินยิ่งหัวเราะเข้าไปใหญ่
พวกเราเดินได้ช้ากว่าเมื่อวานเพราะเขามัวแต่ล้อเลียนปาร์คชานยอลไปด้วยนี่แหละ
แต่มันอดไม่ไหวจริงๆ ที่เห็นผู้ชายตัวโย่งๆกระโดดหยองแหยงไปมาหลบน้ำแอ่งนั้นแอ่งนี้
“กวนตีนกูแต่เช้านี่ได้ไรถามจริง”
“ได้ความสุขไง
นี่ตอบจริง” ไปไม่เป็นเลยครับทีนี้..
ยิ่งเห็นคิมจงอินยืนล้วงกระเป๋ากระดิกปลายเท้าตามจังหวะเพลงในหูฟังที่ใส่ไว้ข้างเดียว
ชานยอลยิ่งรู้สึกว่าเขากลายเป็นไอ้โง่ตัวสองเมตรให้มนุษย์โลกแกล้งยังไงยังงั้น
“ยิ่งนายกระโดดน้ำมันก็ยิ่งจะกระเซ็นเปื้อนขากางเกง
เปื้อนตัวนายไปด้วย แต่ถ้านายค่อยๆเดินข้ามไปเรื่อยๆ หลบบ้าง พลาดบ้าง
จะมีแค่พื้นรองเท้านายที่เปื้อนนะ”
ชานยอลรู้สึกว่าตัวเองเกลียดรอยยิ้มแบบนี้ของคิมจงอินที่สุด
เพราะมันทำให้เขารู้สึกพ่ายแพ้ เรื่องเล็กๆน้อยๆที่หมอนั่นคิดเขากลับไม่เคยคิด
ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีหรอกนะ
แต่มันทำให้หัวใจเต้นเร็วจนเหนื่อยเหมือนแข่งบาสมาทั้งเช้ายังไงยังงั้น
ทั้งที่แค่ออกแรงเดินมากับมันไม่ถึงกิโล
มัวแต่เล่นกันมาตลอดทางเลยทำให้มาถึงโรงเรียนเกือบได้เวลาเข้าเรียน
โชคดีที่พวกเขามีนมคนละขวดรองเท้ากันมาแล้ว
ตอนนี้พวกเขาหยุดอยู่ตรงระเบียงทางเดินที่ไม่ค่อยมีคนมากนัก
แต่ก็มีไม่น้อยที่หันมามองคู่บัดดี้ที่เดี๋ยวนี้ดูจะตัวติดกันมากกว่าแต่ก่อน
ชานยอลเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มอย่างที่ชอบทำเวลาใช้ความคิดอะไรสักอย่าง
หางตาก็เหล่มองพวกเด็กห้องอื่นที่ค่อยๆพากันชะโงกหัวออกมาจากประตูห้อง
ไม่รู้จะอยากรู้อยากเห็นอะไรนักหนา
“ตอนเที่ยง…”
ชานยอลสนใจแค่บัดดี้ของเขาที่ยืนลังเลล้วงกระเป๋ารออยู่หน้าห้อง
“กูรออยู่หน้าตึกละกัน” พยายามกระซิบให้ดังพอที่จะได้ยินกันสองคน
และโชคดีที่พวกเขายืนใกล้กันมากมันเลยไม่เป็นอุปสรรคสักเท่าไหร่
แถมไอ้พวกสอดรู้สอดเห็นก็ไม่ได้ยินด้วย
พอจงอินพยักหน้ารับ
ปาร์คชานยอลก็เดินไปเข้าห้องเรียนของตัวเองที่อยู่เลยไปสามห้อง
ทันทีที่คุณนักกีฬานักเลงประจำโรงเรียนตวัดสายตามอง เหล่าบรรดาแฟนคลับ(?)ที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างลับๆ(?)ก็พากันสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว
แต่ตัวต้นเรื่องอย่างสองคนที่คนนึงไม่สนใจโซเชี่ยล
อีกคนนึงก็มีไว้แต่ไม่ค่อยได้เล่น
ไม่มีทางรู้เลยว่าตอนนี้ข่าวมันแพร่กระจายไปไกลเป็นไฟลามทุ่งไปแล้ว
[ข่าวด่วน!!!]
วันนี้พ่อนักกีฬาตัวดีกับคุณผู้จัดการทีมมือใหม่มาโรงเรียนพร้อมกันอีกแล้วจ้า!!!!
มีภาพยืนยันด้วยนะ *แนบรูป*
เซฮุนนี่เลื่อนทามไลน์ทวิตเตอร์เล่นรอเวลาอาจารย์เข้า
รีบสะกิดแขนเทายิกๆ ให้มาดูรูปที่แนบกันผ่านมาบนหน้าทามไลน์
ทั้งสองคนชะเง้อหน้ามองผ่านหน้าต่างห้องที่ถูกเปิดทิ้งไว้แต่ก็ไม่ได้เห็นอะไรอย่างที่ในทวิตเตอร์บอก
พอดีกับที่คิมจงอินเดินใส่หูฟังเข้ามาในห้องเรียนพอดี
“จงอิน!”
เจ้าของชื่อเลิกคิ้วมองเพื่อนสนิทที่แหกปากเรียกตั้งแต่เขายังเดินไม่ถึงโต๊ะ
จงอินไม่ได้รีบร้อนไปตามท่าทางของเซฮุนเลยสักนิด เจ้าตัวยังคงเดินเอื่อยๆ มาตามทาง
เลี้ยวอ้อมโต๊ะแถวที่สองแล้วค่อยเดินตัดผ่านตรงมายังโต๊ะตัวริมหน้าต่างของตัวเอง
“จงอิน
จงอิน ไม่ต้องมาทำง่วง” เซฮุนดึงกระเป๋าเป้ที่แขวนห้อยกับพนักเก้าอี้จนจงอินเกือบจะหงายหลัง
“เมื่อเช้าก็มาโรงเรียนกับปาร์คชานยอลอีกแล้วหรอ”
“อือออ”
จงอินไม่ได้สนประโยคคำถามยาวเหยียดอะไรต่อจากนั้น
อากาศฤดูฝนมันน่านอนมากเกินกว่าจะมานั่งใส่ใจคำถามอะไรมากมาย เขาชอบมัน
ชอบอากาศเย็นสบายแบบนี้ จงอินอยากนอนหลับอยู่บนเตียงอุ่นๆ
ดูน้ำที่ไหลจากชายคาลงมาเป็นสาย ฟังเสียงฝนตกกระทบหลังคาห้องนอน
ฤดูฝนนี่เป็นศัตรูตัวฉกาจกับการตั้งใจเรียนของเขาเลยจริงๆให้ตายเถอะ
“คิมจงอิน
หันมาคุยกันให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้เลย”
เสียงของเซฮุนยังง้องแง้งอยู่ข้างหู
จงอินไม่ได้ใส่ใจนักหรอก เพราะเดี๋ยวเหนื่อยเซฮุนก็คงจะหยุดไปเอง
มันเป็นเรื่องที่เขาเคยชินตั้งแต่เป็นเพื่อนกับหมอนี่มาได้หนึ่งเดือน
เซฮุนนา..ฉันก็แค่เดินมาเรียนพร้อมกับปาร์คชานยอลเท่านั้นเอง
เด็กหนุ่มตัวสูงยกมือขึ้นสะบัดเสื้อพอให้ลมมันโกรกผ่านเสื้อนักเรียนสีขาวเข้าไปบรรเทาความร้อนได้บ้าง นี่มันอะไรกันวะทั้งที่เมื่อเช้าอาหารยังดูครึ้มฟ้าครึ้มฝน เหนียวเหนอะหนะแต่มันก็เย็นสบายอยู่แท้ๆ แต่ตอนนี้อากาศมันถึงได้กลับตลาปัตรเป็นคนละเรื่องกันแบบนี้ วันนี้ห้องของชานยอลเรียนศิลปะ แน่นอนว่าเขาที่มีสกิลวาดภาพขั้นเซียน(?) ส่งงานอาจารย์ที่สั่งให้วาดภาพเหมือนไปตั้งแต่สิบนาทีแรกแล้วก็ออกมาลอยชายอยู่หน้าอาคารเรียนกว่าครึ่งชั่วโมงเพื่อรอคิมจงอิน คราวนี้เขาจะไม่พลาดเผลอหงุดหงิดใส่ให้หมอนั่นหลอกด่าเขาได้อีกเป็นอันขาด
ชานยอลยองตัวนั่งบนขอบฟุตบาทที่อยู่เยื้องประตูเข้าตึกไปทางซ้ายนิดหน่อย
เขาเลือกที่จะใช้กระถางต้นไม้เตี้ยๆที่สูงพอๆกันตอนเขานั่ง
บังสายตาผู้คนตอนที่สัญญาณเตือนพักเที่ยงดัง
เด็กหนุ่มไม่อยากให้อารมณ์ที่เกือบจะดี(ไม่ดีตรงอากาศร้อน)เสียไปเพราะคนอื่น
เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังขึ้นภายในไม่ถึงห้านาที
ชานยอลหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาสไลด์หน้าจอออกก็ปรากฏหน้าแชทไลน์ของคิมจงอินที่เปิดค้างไว้ทันที
อยู่ไหน กูรออยู่หน้าตึก 12 : 00
ตรงข้างกระถางต้นไม้ 12 : 00
กดส่งไปทั้งที่ประโยคสุดท้ายในหน้าแชทจะเป็นของเขาเองที่รัวถามว่ามันหายไปไหนเมื่อคืนก็ตามที
พาดสองแขนไว้บนเข่าคนละข้าง
ในมือก็ควงโทรศัพท์พลางใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มรออย่างใจเย็น
เสียงนักเรียนพูดคุยกันสัพเพเหระจับใจความไม่ได้
ชานยอลคิดว่านี่ขนาดโรงเรียนชายล้วน แม่งยังจะขนาดนี้
คิดไม่ออกเลยว่าถ้าเขาเรียนโรงเรียนสหฯมันจะขนาดไหนกัน มองนาฬิกาเป็นระยะเพราะเห็นว่าคนที่ทยอยลงจากตึกซาลงไปบ้างแล้วแต่ไอ้คนที่นัดกันไว้ยังไม่เห็นหัว
ชานยอลขมวดคิ้วเพราะนี่มันก็จะสิบห้านาทีแล้วแต่คิมจงอินก็ยังไม่ลงมา
มึงลืมป่ะวะ อ่านไลน์สิวะ
12:16
คิมจงอิน
กูรออยู่ข้างๆตรงกระถางต้นไม้ 12:16
จงอินยืนกลั้นขำค้ำหัวปาร์คชานยอลมองอีกคนรัวข้อความไลน์มาหา
เขาลงมาได้สักพักแล้ว แต่รอให้คนมันซาลงก่อนถึงได้เดินออกมาหา
ไม่ได้ตั้งใจจะให้หมอนี่รอนานหรอก แต่หลายครั้งที่ตกเป็นเป้าสายตามากๆเข้า
บัดดี้ของเขามักจะหงุดหงิดง่าย ซึ่งจงอินคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่
แต่ตอนนี้ดูท่าแล้วก็คงจะไม่ต่างล่ะมั้ง
"อยู่ไหนของแม่งวะ!"
ชานยอลผุดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกือบจะชนคนที่ยืนเงียบอยู่ข้างหลัง
จงอินส่ายหัว มองโทรศัพท์ที่กระพริบไฟเตือนในมือ ปาร์คชานยอลหมดความอดทนแล้วแฮะ
"ไม่รับโทรศัพท์กูอีก
อยู่ไหนวะ คิมจงอิน"
จงอินสไลด์หน้าจอกดรับทั้งที่ยังยืนล้วงกระเป๋ามองคนที่หัวเสียบ่นถึงเขาอยู่ตรงหน้า
มาทายกันดีกว่าว่าปาร์คชานยอลจะมีสีหน้ายังไง
"อยู่ข้างหลังนายไง
ปาร์คชานยอล"
ตั้งแต่รู้จักมันตอนโรงเรียนพาไปทัศนศึกษาที่เชจู
จนถึงตอนนี้ก็เกือบจะสามเดือน (ที่จริงสองเดือนกับอีกสิบสี่วัน)
ชานยอลไม่รู้ว่าเขารู้สึกว่าหน้าแหก หน้าสั่น โดนด่าหรืออะไรก็แล้วแต่มากี่ครั้งแล้วเพราะคิมจงอิน
บอกเลยว่าเหนื่อยจะนับ วันนี้ก็เหมือนกัน
เขาโดนหมอนั่นหัวเราะใส่หน้าทันทีที่หันไปทำหน้าเหวอ
หลังจากนั้นพวกเราก็พากันมาโรงอาหารที่คนบางตาเพราะส่วนใหญ่ออกไปเตะบอลหรือขึ้นห้องกันหมดแล้ว
"ฝากเทาไว้แล้วน่ะ"
ตอนแรกเขาก็งง
ไอ้ฝากเทาเอาไว้แล้วมันคืออะไร
ก่อนจะเห็นเดจาวูเป็นไอ้ลู่หานกับแบคฮยอนนั่งอยู่กับเพื่อนของจงอิน
บนโต๊ะมีจานข้าวอยู่หกใบ และสองในหกนั้นยังไม่มีใครแตะต้องมัน
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นของเขาทั้งคู่
“ฉันให้เทาบอกลู่หานไปซื้อมาไว้ให้
นายคงกินได้ล่ะมั้ง”
จงอินบอกก่อนที่จะถึงโต๊ะ
ชานยอลเหวอไปนิดหน่อยเพราะเขาไม่คุ้นกับการกระทำแบบนี้
มันเป็นการเอาใจใส่เล็กๆน้อยๆที่หลายคนมองข้าม จงอินยิ้ม
ก่อนจะพยักหน้าให้นั่งลงข้างกัน โอเคถึงจะมีเสียงซุบซิบไปบ้าง แต่มันก็เป็นเสียงเพื่อนกันเองเพราะฉะนั้นปาร์คชานยอลคงไม่หงุดหงิดสักเท่าไหร่นัก
เขาให้ลู่หานเป็นคนเลือกอาหารเพราะตัวเขาไม่รู้ว่าปาร์คชานยอลกินอะไรได้บ้างไม่ได้บ้าง
อย่างน้อยๆมันก็คงทำให้ผู้ชายคนนี้หงุดหงิดน้อยลง ถ้าได้กินของอะไรอร่อยๆ
จงอินเชื่อแบบนั้น เพราะขนาดเมื่อเช้ายื่นนมสดเจ้าประจำให้
ยังลืมไปเลยว่าโดนเขาหลอกด่าตั้งหลายรอบ
“เย็นนี้มึงไปเอาผ้าขนหนูในห้องลอคเกอร์กับไอ้แบคฮยอน
แล้วค่อยไปที่โรงยิมนะ” จงอินพยักหน้า
“แล้วก็อย่าลืมพวกเกลือแร่
น้ำหวาน แล้วก็ขนม” จงอินก็พยักหน้ารับ
“กูจะรออยู่ที่สนามบาส
อย่าลงมาช้า ไม่งั้นกูจะขึ้นไปลากคอมึง” หันไปเลิกคิ้วมองทั้งที่ปากยังเคี้ยวข้าว..แต่สุดท้ายจงอินก็พยักหน้า
ลู่หาน แบคฮยอน
ขมวดคิ้วหันมองหน้ากันก่อนจะหันไปมองเซฮุนกับเทาที่มีสภาพไม่ต่างกันสักเท่าไหร่นัก
นี่อะไรกันเหรอ?
เคร้ง
ก่อนจะถามให้ได้ใจความ
ช้อนส้อมถูกวางลงแสดงความไม่สบอารมณ์อย่างชัดเจนของชานยอลได้เป็นอย่างดี
เด็กหนุ่มตัวสูงเอียงตัวหันข้างเข้าหาบัดดี้หน้ามึนที่ยังคงนั่งกินข้าวไม่รู้เรื่องรู้ราว
นิสัยตอนใช้ความคิดแล้วต้องเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มนั้นชานยอลเป็นมาตั้งแต่เด็กๆ
แล้วตอนนี้เขาก็กำลังทำมันอยู่ด้วย
เพราะกำลังคิดว่าจะทำยังไงกับไอ้คนกวนตีนหน้ามึนนี่ดี
“นี่มึงตะ…”
ชานยอลพูดไม่ทันจบประโยคก็ต้องตาค้างเพราะโดนยัดข้าวเข้าปากคำเบ้อเริ่ม
อันที่จริงต้องบอกว่าทั้งเทา เซฮุน ลู่หาน แบคฮยอน พากันตาค้างไปเป็นแถบ
ถึงมันจะเป็นการป้อนข้าวที่ดูจะเอ่อ..ฮาร์ดคอร์ไปหน่อย
แต่มันก็เป็น...การตักข้าวเข้าปาก(?) ให้กันนะ
ทั้งสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็วและในระหว่างนั้น
กิจวัตรประจำวันของคิมจงอินและปาร์คชานยอลก็เพิ่มขึ้นมาหลายอย่าง
ทั้งการตื่นเช้าเพื่อมาเจอกันตรงทางแยกร้านก๋วยเตี๋ยวอาแปะ เดินไปโรงเรียนพร้อมนมสดหลากรสชาติ
ที่พึ่งมารู้ที่หลังว่าเป็นเจ้าประจำของทั้งสองบ้าน
ไปกินข้าวกลางวันด้วยกันตอนเที่ยง และเดินกลับบ้านด้วยกันตอนที่ซ้อมกีฬาสีเสร็จ
นอกจากพวกนี้แล้วสิ่งที่ปาร์คชานยอลมีมากกว่าคิมจงอินก็คือบัดดี้ตัวสูงติดวีดีโอคอล
จงอินกำลังเอนตัวพิงหัวเตียงตั้งใจดูหนังเรื่องที่เขาพึ่งจะโหลดมาเมื่อคืนตอนที่โทรศัพท์กำลังส่งเสียเตือนวีดีโอคอลอยู่ตรงไหนสักที่
วางถุงมันฝรั่งทอดลงข้างเตียงก่อนจะโน้มตัวไปควานกองผ้าที่อยู่ปลายเท้าก่อนจะเจอเจ้าตัวต้นเหตุที่ส่งเสียงรบกวนเวลาดูหนังของเขา
“อืออ”
กดรับทั้งที่ตายังไม่ละไปจากเลียม นีลสัน
ที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่ในทีวี “พรุ่งนี้กี่โมงดี”
เลือกที่จะถามธุระออกไปก่อนที่อีกฝ่ายจะได้พูด
จงอินรู้ว่าปาร์คชานยอลคอลมาหาเขาทำไมก่อนหมอนั่นจะเริ่มอ้าปากบ่น
เขาก็ควรจะถามธุระให้เสร็จเสียก่อน
“เออ
กูจะโทรมาบอกว่าพรุ่งนี้มาบ้านกูแล้วกัน”
“แป๊บนึง”
ชานยอลเหล่มองโทรศัพท์ทันทีที่คิมจงอินส่งเสียงมาว่าแป๊บนึง
ให้เดาก็คงกำลังดูหนังอะไรสักเรื่อง
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สังเกตเพราะไม่ค่อยได้คุยกันบ่อยนัก
มีก็แค่โปรแกรมไลน์ที่ชาตินึงคิมจงอินจะเข้ามาตอบเขาเร็วๆสักที
แต่พอช่วงหลังมานี้คอลกันบ่อยขึ้นเขาถึงสังเกตได้ว่ามันเป็นคนชอบดูหนัง
“มาแล้ว”
จงอินกดพอสหนังที่ดูเอาไว้ชั่วคราว คุยธุระให้เสร็จก่อน
ตอนฟังปาร์คชานยอลบ่นเขาค่อยกดเล่นลุงเลียมต่อก็ได้ “เมื่อกี๊นายบอกว่าให้ไปบ้านนาย?”
“เออ
มาบ้านกู แม่กูอยากเจอ” ชานยอลยังคงตั้งใจรัวธนูใส่มอนสฯในเกมส์
เพราะมัวแต่จ้องอยู่จอเลยไม่ได้เห็นว่าสีหน้าของบัดดี้ตัวเองเป็นยังไง
“จงอิน..ไอ้จงอิน
มึงเงียบทำไมวะ” พอไม่ได้ยินเสียงแต่ตาก็ไม่ว่างจะหันไปมอง
ทางเลือกสุดท้ายของชานยอลเลยเป็นการอ้าปากถาม
สองมือยังคงรัวนิ้วลงบนเม้าส์และคีย์บอร์ดจนส่งเสียงดังกึกกัก
ยิ่งโดยเฉพาะมันเป็นคีย์บอร์ดสำหรับเล่นเกมส์ ยิ่งน่ารำคาญหูเข้าไปใหญ่
“กำลังคิดว่าจะหลอกด่านายยังไงดี”
กึก…
เดี๋ยวนะ..
นี่ถ้าเกมส์มันกดพอสได้ชานยอลจะกดพอสแล้วหันไปมองหน้ามันถามให้รู้เรื่องกับประโยคที่ว่ามาเมื่อกี๊? จงอินที่เห็นว่าปาร์คชานยอลขมวดคิ้วทั้งที่ตาก็ยังคงจ้องที่จอคอมเลยหลุดขำออกมา
เท่านั้นแหละอีกฝ่ายถึงได้รู้ตัวว่าเขาโดนแกล้งเอาอีกแล้ว
“อยากให้สนใจก็พูดกับกูดีๆ
ไม่ใช่เอะอะหลอกด่ากูงี้”
“ฉันว่ามันเป็นมารยาทไม่ใช่เหรอที่เราควรจะสนใจคู่สนทนาน่ะ”
เต็มๆสิครับจะเหลืออะไร
เดี๋ยวนี้ไม่ได้หัวช้าอย่างแต่ก่อนที่คิดไม่ทันนี่ตกลงมันหลอกด่าหรือยังไงกันแน่
ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะดังลอดมาจากลำโพงเขาก็รู้แล้วว่าตัวเองทำหน้าแบบไหน
เหอะ..กูไม่ยอมหรอก
“ทีมึงยังเอาแต่ดูหนัง”
“ถ้าใช้หูกางๆของนายให้เป็นประโยชน์
ก็จะรู้ว่าฉันกดพอสหนังไปได้สักสิบนาทีแล้วมั้ง”
จงอินรู้สึกอยากจะหัวเราะดังๆทุกครั้งตอนที่เห็นว่าบัดดี้ของเขาทำหน้าตายังไง
ปาร์คชานยอลชอบเอาชนะ
มันเป็นอีกอย่างที่เขารู้สึกได้เพราะฉะนั้นเด็กหนุ่มถึงชอบไล่ต้อนบัดดี้ของตัวเองนัก
มองลุงเลียม นีลสันที่ยังคงค้างอยู่ในจอ ชั่งใจอยู่ว่าเขาควรจะทำยังไงดี
“ด่ากูไม่พอ
ยังด่าหูกูอีกนะมึง”
บ่นด้วยน้ำเสียงเหี้ยมแล้วเอาอารมณ์ทั้งหมดไปลงกับมอนสเตอร์ในเกมส์
ชานยอลพึ่งจะผ่านเมืองที่เต็มไปด้วยวิญญาณเข้ามาถึงส่วนที่เป็นเหมือง
แมพนี้เขาต้องไล่ฆ่าตั้งแต่หนอนชาเขียวน่ารักยันหมาป่าที่แม่งชอบหมาหมู่
ยิ่งหงุดหงิดที่เฮชพีไม่เหลือพอจะใช้เวทย์โจมตีพร้อมธนู สุดท้ายก็ต้องลงไปว่ายน้ำเล่นรอเวลาเลือดฟ้าเต็มหลอด
“มึงไม่เล่นเกมส์บ้างเลยหรือไง”
หันมองจอโทรศัพท์ได้แล้วเลยพบว่าบัดดี้ของเขานอนเอนหลังกำลังจ้องอะไรอยู่สักอย่าง
ชานยอลไม่ได้ยินเสียงหนังแสดงว่าอีกฝ่ายคงวาดรูปอยู่
“เล่น
แต่ก็ไม่บ่อยเท่าไหร่” ตอบไปตามจริง
เพราะส่วนใหญ่เขามักจะนัดกันไปเล่นที่เกมส์คาเฟ่ซะมากกว่า “ชอบนอนดูหนังมากกว่าน่ะ”
“มึงขี้เกียจล่ะสิ”
“คงพอๆกับนายล่ะมั้ง”
“ฝันดียั้งอ่ะ
ได้ด่ากูแล้วคืนนี้” สาบานเลยว่าชานยอลกำลังประชด
หมั่นไส้มากด้วยตอนที่เห็นมันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับกระดาษโดยไม่หันมามองหน้าเขา
“ไว้พรุ่งนี้จะบอกแล้วกันว่าฝันดีมั้ย”
“นี่มึงมีความสุขกับการด่ากูนักหรอวะห้ะ
เฮ้ยยยย...ไอ้เหี้ย...”
จงอินส่ายหน้าตอนได้ยินเสียงปาร์คชานยอลสบถยาวเหยียดเรื่องคุณดอกไม้น่ารักที่อยู่ๆก็จู่โจม
เขาไม่ได้เล่นเกมส์นี้หรอกแต่เท่าที่หมอนั่นโทรมาทุกวันก็เห็นบ่นอยู่แต่แบบนี้
นั่งพักอยู่ดีๆ โดนมอนสเตอร์น่ารักๆโจมตีตลอด
วันก่อนถามเซฮุนกับเทาที่เป็นเกรียนเกมส์ก็บอกว่ามันภาพสวยน่ารัก
ตอนที่ได้ยินก็อดแปลกใจไม่ได้
ผู้ชายตัวเป็นยักษ์อย่างปาร์คชานยอลนี่ชอบการ์ตูนอะไรน่ารักๆแบบนี้ด้วยหรอ
พอลองนึกดูดีๆ เห็นสติ๊กเกอร์นีโม่ที่แปะอยู่บนโครงจักรยานของเจ้าตัว ท่ามกลางผองเพื่อนสแลมดั๊งแล้วก็ต้องยอมรับว่า
หัวใจมุ้งมิ้งใช่เล่นเลย
ชานยอลที่พอโดนโจมตีจนต้องกลับไปเกิดใหม่
ก็ทิ้งตัวละครไว้ที่เมืองแบบนั้น เห็นคิมจงอินกำลังตั้งอดตั้งใจวาดรูปก็ไม่อยากจะส่งเสียงกวน
เลยเลือกที่จะเปิดเพลงแล้วคลิกสลับหน้าจอเกมส์มาเป็นหน้าจอธรรมดา
ความจริงคืออยากนั่งมองมันวาดรูปเลยด้วยซ้ำ
แต่กลัวเสียฟอร์มเดี๋ยวมันหันมาเห็นเขาได้โดนกัดอีก
เพราะวันนี้เป็นวันศุกร์เลยไม่มีใครรีบนอน
ถึงจะนัดกันในช่วงเช้าก็ตามที
ชานยอลเลยมีเวลาแอบมองบัดดี้ของตัวเองจมอยู่กับโลกส่วนตัวที่มีกระดาษกับดินสอ อยู่ดีๆก็นึกสงสัยขึ้นมาเสียอย่างงั้น
“มึงวาดทุกอย่างให้ออกมาอย่างที่คิดได้ยังไงวะ”
“หือ?”
จงอินละสายตาออกมามองบัดดี้ของตัวเองที่มาเลิกเล่นเกมส์ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
สายตาสงสัยของปาร์คชานยอลทำให้คุณนักกีฬาดูน่ารักกว่าความเป็นจริงหลายเท่าตัวเลยล่ะ
แต่จงอินจะไม่พูดออกไปหรอกนะ
“กูเห็นมึงวาดรูปได้ทั้งที่ไม่มีแบบ
มึงวาดทุกอย่างให้ออกมาอย่างที่คิดได้ยังไงวะ”
“ไม่รู้สิ
อาจจะเป็นพรสวรรค์ล่ะมั้ง”
จงอินขยับตัววางกระดาษกับดินสอลงบนโต๊ะหนังสือก่อนจะเอี้ยวตัวไปหยิบโทรศัพท์ที่วางพิงกับผนังบนหัวเตียงมาถือไว้อีกครั้ง
เด็กหนุ่มมองเด็กผู้ชายวัยเดียวกันกำลังถลึงตาของตัวเองมองสลับไปมาระหว่างคอมพิวเตอร์กับหน้าจอโทรศัพท์
“วาดแบบนี้ได้ตั้งแต่เด็กเลยหรอวะ”
ตกใจนิดหน่อยที่ปาร์คชานยอลถาม
แต่มันก็น่าดีใจไม่น้อยเลยที่บัดดี้ของเขารู้จักชวนคนอื่นคุยแล้ว
“ไม่ใช่สิ
มันต้องเกิดจากการฝึกฝนด้วย”
“กูก็ฝึก
ไม่เห็นจะได้เรื่อง” หลุดหัวเราะอีกแล้วตอนที่ปาร์คชานยอลเถียงกลับมาแบบนั้น
เอาเถอะเขาจะปลอบใจคุณนักกีฬาคนเก่งสักหน่อยก็แล้วกัน
“มึงนี่จะเอาให้ได้สินะ”
“ล้อเล่นเอง
คุณนักกีฬาคนขี้โมโห” สุดท้ายจงอินก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง
มันก็โอเคล่ะถือเป็นเรื่องแปลกใหม่อย่างนึง เพราะเขาไม่ค่อยชอบคอลชอบคุยอะไรมากขนาดนี้
ปาร์คชานยอลถือว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ทำให้เขาคุยโทรศัพท์ได้
“ไม่มีใครอยู่ดีๆ
ก็เก่งไปซะหมดทุกเรื่องหรอก
ของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับทั้งพรสวรรค์และพรแสวงนายรู้จักมั้ย”
“พรแสวงอะไรของมึงวะ”
“ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายมันก็เรียกว่าความพยายาม”
ขยับตัวนั่งขัดสมาธิถือโทรศัพท์มองปาร์คชานยอลที่กำลังกลายเป็นเด็กน้อยอีกครั้ง “ทุกอย่างมันสำเร็จได้เพราะความพยายามของเราทั้งนั้นแหละ
พรสวรรค์แค่เป็นสิ่งที่ช่วยเราทำให้สำเร็จได้เร็วขึ้นก็เท่านั้นเอง”
“.....”
“อย่างนาย..กว่าจะเล่นบาสได้เก่งถึงขนาดนี้
ต้องซ้อม ต้องเจ็บตัว ต้องเสียเหงื่อ เสียเวลาไปตั้งเท่าไหร่ ทุ่มเทกับมัน
แบบนั้นเขาเรียกว่าพรแสวง ส่วนพรสวรรค์
ก็คงเป็นส่วนที่นายทำให้มันกลายเป็นของง่ายทั้งที่สำหรับคนอื่นมันยาก”
“มันทำได้เองนี่หว่า”
“นั่นแหละ
เหมือนที่นายถาม ฉันแค่มีมือที่ทำงานสัมพันธ์กับความคิด
สามารถถ่ายทอดทุกอย่างออกมาเป็นลายเส้นได้อย่างที่ใจต้องการ อันนั้นเป็นพรสวรรค์
ส่วนที่ว่าทำไมมันถึงออกมาสวยงามเหมือนจริง มันขึ้นอยู่กับการฝึกหัด การเรียนรู้”
ชานยอลครางรับในลำคอ
ทั้งที่เขาไม่เคยต้องมานั่งฟังอะไรแบบนี้ คิมจงอินเป็นเด็กวัยรุ่นอายุ 20
ปีที่ค่อนข้างจะมีทัศนคติแตกต่างไปจากคนส่วนใหญ่ที่ชานยอลรู้จัก
บางทีมันก็ดูโตจนเกินวัย บางทีก็กลายเป็นมุมมองที่ใครหลายคนมองข้าม
บางครั้งคุณผู้จัดการทีมกีฬาสีสุดกวนตีนคนนี้ก็กลายเป็นเด็กหนุ่มธรรมดา
“นี่...” ส่งเสียงเรียกเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป
ชานยอลมองไม่เห็นอะไรนอกจากผ้าห่มสีเขียวขี้ม้าที่เกยมาปิดอยู่ครึ่งกล้องกับไฟเพดานห้องที่สว่างจ้า
เหอะ อะไรวะ พูดอยู่ดีๆ ก็หลับไปเลยหรือไง กูยังไม่หายสงสัยมาหลับใส่กันแบบนี้ได้ยังไงวะ
แต่ก็ช่างเถอะ ยังไงพรุ่งนี้ก็ต้องเจอกันอยู่ดี คืนนี้แค่นี้ก่อนก็ได้
ฝันดีว่ะ..คิมจงอิน
#ฟิควงกลมชานไค
5555555555555555555555555555555555+ โอ๊ยยยยยยยยยยยย อยากมีคนคุยด้วยจนเผลอหลับไปงี้มั่งจังเล้ยยยยยยยยยยยย
อิ้________________อิ้
ผิดพลาดตรงไหนขออภัยด้วยนะคะ ตัวอักษรเยอะไปนิ๊ดดด เรื่องก็เรื่อยๆ แต่เราไม่รู้ว่าจะเร่งเรื่องยังไง 55555 ถือซะว่าเราลงเรือลำเดียงกันแล้วลอยไปตามน้ำด้วยแรงลมแล้วกันนะคะ
ขอบคุณทุกคนมากๆน้าที่แวะเข้ามาอ่าน แวะเข้ามาทักทาย แวะเข้ามาติชม ฮื่อออ หายไปนานมากเลย ขอโทษด้วยน้า แต่งานประจำกำลังรุมเร้าหัวมากมากก ขอบคุณกำลังใจด้วยนะคะ เราโอเคมากๆเลยยย สบายดี ฮี่ๆ หายไปนานคิดถึงแฟนฟิคเหมือนกัน ขอบคุณทุกคำติชมทั้งคอมเม้นต์แล้วก็ในแท็กน้า เราอ่านทุกครั้งเลย
ถ้าเหงาแวะไปคุยกับบอทได้นะคะ @_pcycle @_kaicycle #แอคถูกป่าวไม่แน่ใจอ่ะ
วันนี้ไปแล้วน้าาาา ไว้เจอกันตอนอัพฟิคเรื่องถัดไปคับบบบ เลิ้บบบบบบบบบบ
ความคิดเห็น