ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ✖ ::: 成長 seichō ::: CHANKAI FT.EXO

    ลำดับตอนที่ #9 : 果報 Kahō :: CHAPTER 08

    • อัปเดตล่าสุด 22 ธ.ค. 57





     

    果報 Kahō

    ค่อยอ่านนะ ตัวหนังสือมันเยอะ..
     

     








     

     

    ทำไมหนังตาขวามันกระตุกไม่หยุดยังงี้วะะะะ

    คริสยกมือตะปบตาข้างขวาตัวเองไม่เบา เสียงเพี้ยะดังลั่นจนนักเรียนที่เดินข้างๆหันมามอง แต่ก็ช่างมันเถอะ เขาไม่ได้สนใจอะไรมันนักหรอก คนหล่อถึงไม่ใช่พระเอกแต่ทำอะไรก็ไม่ผิด คริสหล่อนะครับ บอกต่อด้วย

     

    เอาเถอะข้ามประเด็นไปไกลแล้ว ตอนนี้คริสกำลังเดินเอ้อระเหยลอยชายในโรงเรียนไปมาแบบไม่มีแก่นสารในชีวิตสุดๆ ถามว่าทำไมไม่ไปเรียนต่อ คำตอบก็คือ ปาร์คชานยอล ใช่ ปาร์คชานยอล ก็ในเมื่อคุณชายคนเล็กตระกูลปาร์คยังไม่คิดที่จะไปเรียนต่อ เขาเองก็ไม่มีเหตุผลจะต้องไปเหมือนกัน กวาดสายตาไปจนทั่วก็ไม่พบอะไรที่น่าสนใจ ถามว่าตอนนี้ชานยอลมันหายหัวไปไหน ก็น่าจะไปเฝ้าเด็กมันที่โรงพยาบาล เห็นว่าไม่สบายไข้ขึ้น เชื่อคริสเถอะไม่มีใครบ้าให้คนป่วยเป็นไข้ธรรมดาไปนอนโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของประเทศแบบปาร์คชานยอลหรอก

     

     

     

    แต่ก็นะ *ยักไหล่* ว่าอะไรมันไม่ได้ เด็กมันนี่

     

     

     

     

    ปึ่ก

     

    ใครเดินชนกูวะ???

     

    คริสจุกไม่น้อยเลยที่อยู่ๆมีคนเดินพุ่งเข้ามากระแทกอกจนดังอั่ก แต่เขาก็ยังแข็งแรงพอที่จะไม่ล้มลงไปกองกับพื้น แต่อีกคนนี่สิ... สายตาคมมองคนที่ลงไปแอ้งแม้งอย่างนึกขำ ผู้ชายตัวเล็ก ขาวๆ ผมสีน้ำตาลยาวพอประมาณดัดน้อยๆจนมันพองออกมาดูเหมือนร่มเห็ด

     

    "ขะ..ขอโทษครับ"

     

    เห็นอีกคนระล่ำระลักขอโทษคริสก็ได้แต่ขำ คือคนเจ็บน่ะมันอีกฝ่าย เอาล่ะถึงจะไม่เท่เท่าพระเอกแต่คริสก็ยังรู้ตัวว่าเป็นคนนิสัยดีที่หน้าตาดีมาก… คนตัวสูงย่อลงใช้สองมือช่วยประคองคนที่กลิ้งอยู่กับพื้นให้ตั้งหลักดีๆ ยิ่งพอยืนแบบนี้ยิ่งรู้เลยว่าอีกคนตัวเตี้ยแค่อกเขาเอง

     

    “ขอโทษครับรุ่นพี่ ขอโทษครับ”

     

    คงจะเห้นป้ายชื่อที่อกเขา ถึงได้ก้มหัวขอโทษรัวๆแบบนั้น คริสโบกมือยิ้มขำๆบอกว่าไม่เป็นไร ดูคนตัวเล็กจะกลัวคริสเอามากๆ เพราะเจ้าตัวหันซ้ายหันขวา แล้ววิ่งไปเลย คริสยังไม่ทันได้ถามชื่อ ลูกหมาตัวเล็กก็วิ่งหายไปหลังเสาซะแล้ว

     

    แกร๊ก

     

    หืม??? เสียงเหมือนเตะโลหะอะไรสักอย่างทำให้คริสก้มลงไปมอง ก่อนจะขมวดคิ้ว มันเป็นป้ายชื่อ แต่ไม่ใช่ของเขาแน่ๆ ร่างสูงก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาดู ป้ายชื่อสีเงิน ที่มีตัวอักษรสีดำเขียนไว้ ดวงตาคมจ้องอ่านอยู่ซักพัก คิ้วเข้มที่ลงทุนไปบากมันมาหนึ่งข้างเพื่อความแบดบอยเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะจุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก

     

    บยอนแบคฮยอน งั้นหรอ??  ไว้จะแกล้งนะลูกหมาแบคฮยอน~

     

    คริสเก็บป้ายชื่อเข้ากระเป๋ากางเกง พอดีกับที่โทรศัพท์มือถือสั่น ครืดคราดอยู่ในกระเป๋ากางเกงอีกข้าง ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้คริสถึงกับขมวดคิ้ว ดวงตาจ้องชื่อบนโทรศัพท์นิ่งค้างให้มั่นใจว่าอ่านไม่ผิด อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก เผื่อสกิลภาษาเกาหลีเขาจะผิดพลาดไปบ้าง

     

    “หัวหน้าแก๊งค์ ปาร์คยูรา”  คริสรวบรวมสติอยู่ซักพัก สายตาก็ยังคงจ้องมองชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอเขม็งราวกับจะภาวนาให้เขาอ่านภาษาเกาหลีผิด แต่สุดท้ายมือใหญ่ก็ตัดสินใจกดรับ

     

    “คะ..ครับ?”

     

    “บ่ายนี้ต้องว่าง มาหาพี่ที่โรงพยาบาลหน่อย”

     

    “ผะ..ผม ผมต้องไปลาเรียนให้รุ่นน้อง!”

     

    “คิมจงอินน่ะหรอ”

     

    ชิบ หาย แล้ววววววววว  ปาร์คชานยอลลลลลลลลล คริสยืนอ้าปากพะงาบพะงาบอยู่กลางทางเดิน จะโกหกก็คิดไม่ออก จะพูดก็พูดไม่ได้ ทำตัวเป็นปลาขาดน้ำอยู่แบบนั้น จนได้ยินเสียงพี่ยูราถามซ้ำอีกครั้ง ถึงได้เรียกสติตัวเองกลับมาได้

     

    “คะ.ครับ ใช่ครับ”

     

    “ไปลาแล้วรีบมา พี่รู้นายว่างทั้งวัน ไม่มา เจอ! ดี! แน่!”

     

    ติ๊ด! ปาร์คยูราวางสายไปแล้ว แต่ทิ้งประโยคเด็ดไว้หลอกหลอนให้คริสต้องรีบกระวีกระวาดไปหา หัวหน้าแก๊งค์ปาร์คยูราร้ายกาจเสมอในความทรงจำ วัยเด็กคริสรู้จักกับชานยอลมาตั้งแต่ประถม  พี่ยูราก็อยู่มัธยมแล้ว ตอนนั้นมีคนมาแกล้งเขากับชานยอลแล้ว ปาร์คยูรามาเห็นเข้าพอดี ใครจะคาดคิดว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ จะล้มผู้ชายตัวใหญ่ไซส์ไททั่นได้แบบสบายๆ ไหนจะท่าทางเคารพพี่สาวแบบไม่กล้าหืออือดื้อด้านของปาร์คชานยอล มันทำให้คริสติดมาด้วย

     

    ถึงเขาจะเป็นผู้ชายไซส์ไททั่น แต่เขาก็ไม่คิดจะโดนคุณหมอคนสวยอย่างปาร์คยูราล้มหรอกนะ.. เสียเชิงชายหมด!

     

     

     

     

     

     

     

     

    จงอินเบื่อ เบื่อมาก เบื่อมากมาก

    เขาต้องนอนโรงพยาบาลต่ออีกหนึ่งวัน ด้วยเหตุผลว่าไข้ไม่ลด คุณหมอคนสวยพี่สาวชานยอลเข้ามาตรวจเมื่อเช้าแล้วก็สงสัยเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น ปกติคนเป็นไข้เพราะแผลอักเสบ อย่างช้าก็สองวันไข้จะเริ่มลดแล้ว แต่คิมจงอินยังคงรักษาอุณหภูมิไว้ได้เป็นอย่างดี หันไปถามคนเฝ้าไข้ก็ไม่ได้คำตอบ จะถามคนป่วยว่าทำอะไรบ้างก็เกรงจะไปกระเทือนแผลบนใบหน้า

     

    “หิวรึยัง?”

     

    “อยากกลับบ้านแล้ว”

     

    โทรศัพท์ปาร์คชานยอลกลายเป็นเครื่องมือสารกันไปชั่วคราว เพราะกลัวจะเจ็บที่ต้องอ้าปากพูด และกลัวคนป่วยจะเบื่อที่ต้องนอนแหม่บไปเสียก่อน ชานยอลเลยจัดการวางโทรศัพท์ของตัวเองไว้บนโต๊ะหัวเตียงคนป่วย อนุญาตให้ใช้ได้ทุกอย่าง ชานยอลมองคนที่นั่งหน้าตาปูดอยู่บนเตียง ถึงมันจะดีขึ้นมาหน่อยแต่ก็ยังดูแย่สำหรับเขาอยู่ดี

     

    “ยังปวดอยู่มั้ย”

     

    “ผมอยากกลับ”

     

    “กินอะไรรึยัง?”

     

    “กลับ”

     

    อุวะ!!  คิมจงอินนี่มันยังไง หมอ(ปาร์คชานยอล)บอกว่ากลับไม่ได้ ก็ยังจะเอาแต่รั้นจะกลับ คนป่วยนี่ดื้อแบบนี้ทุกคนเลยป่าววะ ดีที่วันนี้พอจะกินข้าวต้มได้แล้ว เลยไม่ต้องให้น้ำเกลือ  แต่ก็ยังมีไข้อยู่เท่าเดิม ชานยอลก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมไข้ไอ้เด็กดื้อนี่ไม่ลดลงไปสักที แต่ถามอะไรไปก็บอกแต่จะกลับ

     

    “กินข้าวต้มไปกี่คำ”

     

    “สิบคำ กลับบ้าน”

     

    “กินให้หมด”

     

    คราวนี้ดื้อหนัก จนชานยอลนึกอยากจับล็อคคอแล้วเอาชามข้าวต้มกรอกให้มันรู้แล้วรู้รอด ไอ้เด็กนี่จะดื้อไปให้มันได้อะไรขึ้นมา ชานยอลมองคนป่วยที่นั่งนิ่ง ในมือยังมีโทรศัพท์ของเขาแต่นั่งหันหน้าหนีไปอีกทางไม่ยอมมองหน้ากัน บอกชัดเจนว่าไม่อยากสนทนาด้วยก็ได้แต่ถอนหายใจแรงๆ เฝ้าไข้กันมาสามวัน บอกตรงๆเลย คิมจงอินโคตรของโคตรเด็กดื้อ!

     

    คืนแรก

     

    “นอนลงไป”

     

    “นอนไม่หลับ นอนมาทั้งวัน”

     

    “หลับตาเดี๋ยวก็หลับ”

     

    ชานยอลพูดตัดบทไปแค่นั้น เขาเองก็โคตรของโคตรง่วง แต่กลับเป็นคนป่วยเสียอีกที่ไม่หลับไม่นอน นี่ก็ปาเข้าไปเกือบตีสองแล้ว แต่ไอ้คนป่วยไข้ขึ้นหน้าปูด ยังมาเถียงเขาหัวชนฝาอยู่แบบนี้  ชานยอลกรอกตาเพดานห้องพัก พยายามอย่างหนักที่จะไม่ทุบหัวคนป่วยให้สลบ

     

    “ไม่นอนใช่มั้ย?”

     

    “ก็ไม่ง่วง”

     

    “คิมจงอิน ต้องให้จูบราตรีสวัสดิ์ก่อนรึยังไง?!”

     

    “ไม่ต้อง!”

     

     

     

    คืนที่สอง

     

    “หิว”

     

    ชานยอลหันมองคนป่วยที่นั่งพิงพนักเตียงดูทีวีอยู่ส่งเสียงออกมาเบาๆ มองนาฬิกาที่แขวนบนผนังห้อง ก็พบว่ามันสามทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว คิ้วเข้มขมวดแน่นมองคนป่วยบนเตียงที่นั่งนิ่งๆ เมื่อเย็นคิมจงอินกินข้าวเข้าไปเหมือนแมวดม ไม่แปลกหรอกที่จะหิว แต่ปาร์คชานยอลผู้ซึ่งไม่เคยดูแลคนป่วยไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ร่างสูงเดินกลับมาที่เตียง ก้มมองคนป่วยที่เงยหน้ามองเขาเช่นเดียวกัน

     

    “หิว”

     

    “โทรศัพท์”

     

    “หิว..”

     

    เออ รู้แล้วว่าหิว =_= ปาร์คชานยอลจิ๊ปาก มือหนาจัดการเคาะหน้าผากคนป่วยไปเบาๆ แต่จงอินก็ยังทำหน้าเอ๋อ กดเข้ารายชื่อผู้ติดต่อที่บันทึกไว้เป็นรายการโปรด แล้วกดโทรออก รอไม่นานเสียงรอสัญญาณก็เปลี่ยนเป็นเสียงตอบรับจากพี่สาวคนสวย

     

    “พี่ครับ คนป่วยถ้าหิวให้ทำยังไง”

     

    “กินไงชานยอล”

     

    “กินตอนนี้ได้หรอครับ?”

     

    ปาร์คยูราหันไปมองหน้าแม่ที่นั่งอยู่ด้วยกัน เธอรู้อยู่แล้วล่ะ ว่าเจ้าน้องชายโทรมาเวลานี้คงมีเรื่องเดียว ผู้เป็นแม่ที่เห็นลูกชายกระตือรือร้นจะดูแลคนอื่นก็ตาโต ยิ่งฟังลูกสาวเล่าก็ยิ่งอยากรู้จักเด็กคิมจงอินนี่เหลือเกิน

     

    “พี่ยูรา…”

     

    “ไม่ได้ๆ   หิว ปาร์คชานยอล หิว”

     

    ติ๊ด! สายตัดไปแล้ว แต่ยูรากับแม่ก็ได้ยินเสียงคนป่วยลอดเข้ามาตามสายได้ชัด ดูท่าชานยอลน่าจะกำลังเจองานหนักรับมือคนป่วยที่งอแงเป็นเด็กๆอยู่แน่ๆ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี คุณนายปาร์คเห็นลูกชายเรียนรู้ที่เอาใจใส่ใครสักคนก็ยิ้มออก ชานยอลกลายเป็นเด็กเย็นชาตั้งแต่ทะเลาะกับพ่อเขาเมื่อตอนอายุสิบสอง

     

    “ยูรา พรุ่งนี้แม่ต้องไปเยี่ยมเด็กคนนี้ให้ได้เลย”  คุณนายปาร์คพูดกับลูกสาว ก่อนที่จะพากันกลับมาสนใจละครหลังข่าวต่อ จากปากคำของคริสที่ยูราเรียกมาถามเมื่อตอนกลางวัน ไหนจะยังอาการเป็นห่วงเป็นใยของลูกชายที่ได้รับรู้เองกับหู ยิ่งทำให้เธออยากเจอเด็กชายคนนี้เสียเหลือเกิน

     

     

     

    กลับมาที่ห้องผู้ป่วยที่กำลังรบราฆ่าฟันกันที่ประเด็นหิว ปาร์คชานยอลส่งโทรศัพท์คืนให้จงอินหลังจากวางสายกับพี่สาวแล้วกลับไปลงที่เดิม โดยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆทั้งสิ้นกับคำว่าหิวของเขา จงอินทำหน้าเหม็นเบื่อก่อนจะเริ่มพูดซ้ำๆ ด้วยเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ จนคนที่ดูทีวีอยู่แทบจะขว้างรีโมตทิ้ง

     

    “ถ้ายังไม่เงียบ จะป้อนจูบให้เดี๋ยวนี้แหละ”

     

     

     

     

     

    เงียบกริบ….

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เออ เงียบได้สักที!!!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “คิมจงอิน จะดื้อทำไมวะ!”

     

    “รุ่นพี่เป็นหมอหรือยังไงล่ะครับ”

     

    เสียงตะโกนที่ดังลอดจากห้องพัก ทำให้คนไข้หลายห้องเดินไปร้องเรียนที่วอร์ดกลางของชั้น พยาบาลหลายคนก็เดินมาดู แต่ก็ต้องส่ายหน้าระอา เพราะเป็นห้องพักของเพื่อนลูกชายเจ้าของโรงพยาบาล ฟังๆดูแล้วก็อดห่วงไม่ได้ พวกเธอไม่แน่ใจนักว่าจะมีใครตายหรือเปล่า เพราะเสียงคุณชายชานยอลกดต่ำจนน่ากลัว

     

    “นอนลงไป!”

     

    “ไม่ครับ ผมจะกลับบ้าน”

     

    ปาร์คยูรา และ อีชายอง ที่เดินเลี้ยวเข้ามายังส่วนห้องพักขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยินเสียงของชานยอล ทั้งสองคนหันมองหน้ากันแล้วรีบก้าวยาว ๆ ไปยังหน้าห้องพักผู้ป่วยที่ดูจะชุลมุน และเมื่อเปิดประตูภาพที่เห็นคือ ปาร์คชานยอลกำลังเอามือข้างซ้ายกดหัว เอามือข้างขวากดไหล่คนป่วยให้นั่งนิ่งๆอยู่บนเตียง โดยที่คนป่วยอย่างคิมจงอินดูจะไม่ให้ความร่วมมือแม้แต่น้อย ใบหน้าที่บวมช้ำหงิกงอ ไหนจะมือที่พยายามจะจับมือที่กดร่างตัวเองออก ดีที่พยาบาลมาถอดเข็มน้ำเกลือออกไปให้ตั้งแต่เช้า ไม่งั้นคงได้เลือดบ้างล่ะคนป่วย

     

    ยูรารีบตรงเข้าไปบิดหูน้องชายตัวสูงของเธอแรงๆ ส่วนอีชายองก็รุดเข้ามาดูเด็กหนุ่มที่แม้จะตัวไม่ร้อนแล้ว ก็ยังมีร่องรอยช้ำบนใบหน้าที่ชัดเจน  จงอินมองผู้หญิงสูงวัยที่ยังคงความสวยไว้อย่างหมดจดด้วยความงุนงงว่าคนนี้เป็นใคร จงอินจะหันไปหาคำตอบจากปาร์คชานยอลก็พบว่า ร่างสูงโดนคุณหมอคนสวย ทั้งบิดหูทั้งตีแขน จนชุลมุนไปเสียหมด ผู้หญิงที่ดูท่าทางใจดีที่จงอินไม่รู้จักลูบแขนลูบหัวแล้วช่วยจัดผมเผ้าจงอินให้เข้าที่

     

    “ฉันเป็นแม่ของตาชานยอลน่ะ เห็นว่ายูราบอกว่ารุ่นน้องชานยอลไม่สบาย”

     

    “สะ...สวัสดีครับ”

     

    จงอินสตั๊นท์กับคำว่าแม่ไปสามวินาทีถ้วน ก่อนที่จะรู้ตัวว่าต้องก้มหัวให้กับผู้ใหญ่ อีชายองมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความเอ็นดู มันเป็นความรู้สึกถูกชะตาที่เกิดขึ้น อาจจะเพราะเรื่องราวของคิมจงอินที่ได้ฟังมาจากคริส เพื่อนสนิทคนเดียวของลูกชาย หรืออาจจะเพราะกริยาของลูกชายที่เธอเห็นเองกับตาเมื่อครู่ เธอเลี้ยงชานยอลมากับมือ ทำไมจะไม่รู้จักลูกชายตัวเอง

     

    จงอินมองผู้ใหญ่ที่มองเขาด้วยสายตาอบอุ่นอย่างแปลกใจ ไหนจะยังสัมผัสที่ยังคงลูบผมของเขาไปมาอยู่แบบนั้น ระหว่างนั้นก็มีเสียงดุว่าของปาร์คยูรา ที่กำลังสั่งสอนน้องชายที่ริอาจทำร้ายคนไข้ของเธอ จงอินมองไปที่ชานยอลและมองกลับมาที่เธออีกครั้ง เธอก็ยังส่งยิ้มให้เขาเหมือนเดิม ไม่รู้ทำไม แต่จงอินกลับรู้สึกอบอุ่น เหมือนได้อยู่กับแม่อีกครั้ง

     

    กว่าสองพี่น้องจะสั่งสอนกันเสร็จ ก็พักใหญ่ ชานยอลดูจะเขียวช้ำไปทั้งตัว หัวยุ่งไปหมด ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟานิ่งมองคนป่วยที่ถูกแม่กับพี่สาวเขาล้อมหน้าล้อมหลัง บ่อยครั้งที่จงอินหันมาสบตาเขา แต่เขาก็ไม่ก้าวเข้าไป รู้ว่าที่แม่มาหาเพราะพี่ยูราต้องเล่าให้ฟังแน่ แต่ถ้าให้ถามความสัมพันธ์กับคิมจงอินตอนนี้ก็คงจะเป็นแค่นายจ้างกับลูกจ้างเท่านั้น

     

    “แล้วนี่พักที่ไหน?”

     

    “คอนโดรุ่นพี่ครับ รุ่นพี่จ้างผมให้ช่วยดูแล”

     

    ชิบหายแล้ว ชานยอลกลืนน้ำลายลงคอทันทีที่ได้ยินคิมจงอินตอบ ทั้งแม่และพี่สาวมองเขาเป็นตาเดียว ก่อนที่ปาร์คยูราจะยิ้มอย่างรู้ทันเจ้าน้องชายคนเดียว ชานยอลเองที่เห็นพี่สาวยิ้มแบบนั้นก็ได้แต่เสตาหลบ

     

     

    เบื่อชะมัดเวลาโดนรู้ทัน *กลอกตา*

     

     

    อีชายองมองคนที่ทำให้ลูกชายเปลี่ยนไปด้วยแววตาที่หลากหลายความรู้สึก เด็กหนุ่มคนนี้ผ่านเข้ามาในชีวิตลูกชายของเธอ ค่อยๆแต้มสีสันโทนร้อนลงในโลกที่เย็นเยียบของชานยอล ทั้งที่ตัวเองก็มีน่าจะมีเรื่องราวในใจ ชายองเห็นโทรศัพท์เครื่องสีขาวของลูกชายอยู่ในมือคนป่วยแล้วก็ต้องยิ้ม คงจะไว้ใช้สื่อสารกันตอนที่อีกคนเจ็บจนไม่อยากพูด ชานยอลเป็นคนขี้หวงมาตั้งแต่เด็ก ของของเจ้าตัวไม่เคยมีใครได้จับ ไหนจะยังคอนโดที่ให้พัก เด็กคนนี้ทำให้ชานยอลยอมเรียนต่อ เพียงเพื่ออยากจะย้ายออกมาอยู่คอนโด

     

     

     

    อีชายองรู้สึกได้เห็นลูกชายของเธออีกครั้ง ชานยอลที่เป็นชานยอล ไม่ใช่ปาร์คชานยอล

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ในที่สุดก็ได้ออกจากโรงพยาบาล

    หลังจากยืนยันหนักแน่นกับคุณหมอปาร์คยูราว่าสบายดีแล้ว คนป่วยก็ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล จงอินเดินเข้าคอนโดอย่างระโหยโรยแรง ตามมาด้วยปาร์คชานยอลที่ถือเดินตามเข้ามา ร่างโปร่งกำลังจะเดินเลี้ยวเข้าห้องนอนของตัวเอง แต่ก็โดนเรียกไว้ซะก่อน

     

    "ต้องกินยา"

     

    "นอนก่อน เดี๋ยวกิน"

     

    "กิน แล้วค่อยนอน"

     

    จงอินถอนหายใจอย่างจำยอม เขาเดินสะลึมสะลือกึ่งหลับกึ่งตื่น ไปทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้โต๊ะทานอาหาร ชานยอลเห็นคนป่วยว่าง่ายขึ้นมาหน่อยก็เบาใจ คิมจงอินไม่มีทางรู้หรอกว่าที่ขู่ทุกครั้งนี่คิดจริง ชานยอลมองคนป่วยทำท่าจะหลับก็รีบเทโจ๊กที่แวะซื้อก่อนกลับเข้าคอนโดแล้วถือมาวางไว้ตรงหน้า

     

    “กินซะ”

     

    “ครับ”

     

    เห็นคนป่วยรับคำแล้วตักข้าวต้มเข้าปาก ชานยอลก็ได้แต่ลอบยิ้ม เขาเดินเลี่ยงเข้าห้องนอนตัวเองไปเพื่ออาบน้ำให้เรียบร้อยจะได้ออกมาจัดการกับแผลคนป่วยที่ดีขึ้นเล็กน้อย พี่ยูราให้ยามาทาแก้ช้ำ กะว่าอาบน้ำเสร็จเดินออกมาคนป่วยคงกินเสร็จพอดี ที่ไหนได้ ชานยอลไม่อยากนับว่าเขากลอกตาไปมากี่ร้อยรอบเข้าไปแล้วตั้งแต่คิมจงอินไม่สบาย ข้าวต้มที่ยุบไปเพียงเล็กน้อย กับคนป่วยที่หลับคอพับคออ่อนกับพนักเก้าอี้  ชานยอลตัดใจปลุกคนหลับขึ้นมาให้กินยา  โชคดีที่คิมจงอินไม่ใช่เด็กสามขวบที่งอแงจะไม่กินยา จัดการเรื่องกินยาเรียบร้อยต่อมาก็เรื่องที่นอน

     

    “เข้าไปนอนห้องฉัน”

     

    “ผมจะนอนห้องนั้น”

     

    “นอน ห้อง ฉัน”

     

    ชานยอลบอกแค่นั้นก็จัดการลากคนป่วยที่ไม่มีแรงจะทานตัวเข้ามาในห้องของตัวเอง จงอินอยากตะโกนบอกออกไปว่าถ้าจะลากมาแบบนี้จะบอกก่อนทำไม? ร่างโปร่งถูกจับยัดใส่เสื้อไหมพรมตัวใหญ่อีกหนึ่งตัว ชานยอลก้มมองคนป่วยที่นั่งหัวยุ่ง เพราะพึ่งผ่านสงครามใส่เสื้อกันมาหมาดแล้วก็ต้องรู้สึกโดนน็อค ริมฝีปากที่เผยอออก กับตาปรอยๆที่มองเขาอย่างคัดเคืองนี่แม่ง…

     

    คนป่วยอะไรน่าจูบขนาดนี้วะ?!!??   *ลูบหน้าแรงๆ*

     

    มัวแต่มองริมฝีปากที่มันโคตรเซกซี่ จนคนถูกมองเริ่มขมวดคิ้ว จงอินลุกขึ้นไปหยิบหลอดยาแก้ฟกช้ำแล้วเดินไปที่หน้ากระจก กำลังจะเปิดหลอดยาทาก็โดนคว้าไปจากมือแล้วก็ลากมานั่งที่เตียงเสียก่อน ปาร์คชานยอลนี่ยังไง?!

     

    “นั่งนิ่งๆ”

     

    “เดี๋ยวผมทำเอง”

     

    “นั่งนิ่งๆ จะทำให้”

     

    ไม่รู้ว่าใครรั้นกว่าใคร จงอินยอมนั่งนิ่งๆ หันหน้าเข้าหาเจ้าของห้องที่ถือหลอดยาไว้ในมืออย่างเก้ๆกังๆ ประสบการณ์การทำแผลกับชานยอลนั้นจัดได้ว่าอยู่ในขั้นดี แต่เขาไม่เคยบอก คุณต้องเห็นครับว่าผู้ชายตัวสูงเฉียดสองเมตรเวลาทำหน้าเครียดมากๆตอนทำแผลมันตลกขนาดไหน?

     

    “เจ็บให้บอก”

     

    “อือออ”

     

    ชานยอลค้นพบว่ามันเป็นเรื่องยากมากที่จะค่อยๆแต้มยาบนใบหน้าของคิมจงอินโดยไม่เผลอมองริมฝีปากคู่นั้น ทุกครั้งที่ป้ายยา สาบานเลยว่าสายตามันชอบเหลือบไปมอง มือหนาป้ายยาอย่างอ้อยอิ่งและเบามือ ใช้เวลาเกือบห้านาทีกว่าเขาจะใส่แผลเสร็จ และยอมปล่อยให้คิมจงอินได้พักผ่อนอย่างที่ควรจะเป็น

     

     

     

    มันเป็นคืนที่แปลกที่สุดเท่าที่ทั้งสองคนเคยพบเจอมา เตียงคิงไซส์หลังใหญ่ที่ชานยอลเคยเป็นเจ้าของแค่คนเดียว ตอนนี้กลับมีใครอีกคนมานอนหลับด้วยกันอยู่ข้างๆ แม้จะไม่นอนชิดกัน แต่ก็ถือได้ว่าใกล้กันมาก คนป่วยน่ะหลับไปแล้วเพราะฤทธิ์ยา แต่เจ้าของห้องที่สบายดีนี่สิ ไม่ว่าจะข่มตายังไงมันก็หลับไม่ลง รู้สึกว่าหัวใจทำงานหนัก มันนิยามความรู้สึกไม่ถูก ชานยอลได้แต่นอนก่ายหน้าผากมองเพดานห้องอยู่แบบนั้น  จนเผลอหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ตัว

     

     

    ฝันดีนะ  คิมจงอิน

     

    ฝันดีนะ ปาร์คชานยอล

     

     

     




     

     

     

     

    แล้วนั่น ก็เป็นคืนแรก ที่ทั้งสองคนแชร์พื้นที่ส่วนตัวด้วยกัน
























     

     

     

    #ฟิคความสุขชานไค

    คือออออออออออออออออออออว่าาาาาาา เราลงหลายรอบมาก หมดแรงทอล์ก หมดสุดๆ...  ได้แค่ขอบคุณทุกๆคนจริงๆ นี่พิมพ์ทอล์กรอบที่สามแล้วมั้ง ีคือมันลงไม่ได้ สักที่ ขอบคุณทุกคนมากๆเลยนะคะ ที่แวะเข้ามาอ่าน แวะเข้มาติชม ไม่ต้องซีเรียสเรื่องอ่านแล้วไม่ได้เม้นนะ เราไม่เครียดดดด แค่แวะเข้ามาอ่านเราก็ดีใจมากแล้ววววววววว


    อ้ออออ เรื่องตัวประกอบอดทน 55555555555555 นางไม่มีคู่นะคะ ตามที่ทุกคนเรียกร้องส่

    ส่วนบยอนแบคฮยอนนั้นโผล่มาทำไม.. ติดตามจ้าติดตามม

    พิมวาางพลอตไว้ประมาณ 15 ตอนไม่เกินนี้อ่ะ 5555 ฟาดไปครึ่งเรื่องแล้วพึ่งได้เจอแม่

    คือสองคนนี้ เขาต่างก็มาเป็นส่วนเติมเต็มให้กัน คนแม่ที่เห็นลูกกลายเป็นคนเอาใจใส่คน

    มีหรือคะจะไม่ชอบน่ะ


    ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมานะคะะะ มีใครอยากได้ฟิคกะโหลกกะลาเก็บไว้เป็นเล่มป่าว

    ถามไว้ก่อน เผื่อออออมีคนอยากได้ 55555555 กี่เล่มก็ไม่ว่ากัน อยากได้บอกนะ บอกไว้ในแท็ก

    บอกไว้ในคอมเม้น บอกได้หมด 5555555


    วันนี้ไปแล้ว งอนเด็กดี ไม่ยอมให้ใส่ธีม ใส่จนเหนื่อยแล้ว! ทอล์คจนเหนื่อยด้วย เลิ้บทุกคนค่า


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×