คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : CHAPTER 6
TITLE CYCLE
PAIRING : CHANYEOL X KAI
“เราอาจจะเคยได้ยินคำพูดว่าเหรียญมักจะมีสองด้านเสมอคนเราก็เช่นกัน
แต่ผมกลับรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เป็นโรงกษาปณ์ที่คอยผลิตเหรียญออกมา
แล้วผมก็เดาไม่ออกว่ามันจะเป็นเหรียญอะไร”
CHAPTER 6
ปกติช่วงกีฬาสีจงอินก็ไม่ได้มีบทบาทหน้าที่โดดเด่น แต่ไหนแต่ไรเขาจะเป็นพวกใช้รายงานที่เพื่อนในห้องให้ทำอะไรก็ได้
ไอ้เทาก็ไปเล่นเตะฟุตบอล ส่วนเซฮุนก็ถูกจับแต่งตัวไปเดินขบวนพาเหรดอะไรทำนองนั้น แต่ปีนี้มันแปลกประหลาดไปก็ตรงที่…
“จงอินช่วยหน่อยได้หรือเปล่า”
ตอนที่ได้ยินประโยคนี้ จงอินสาบานว่าเขามีสติเต็มร้อยไม่ได้พึ่งตื่นหรือกำลังง่วงนอนใดๆทั้งสิ้น อาการพยักหน้าตอบรับนั้นทำเอากลุ่มหนุ่มน้อย(?) พากันกรี๊ดกร๊าดแล้วรีบวิ่งกลับไปยังกลุ่มที่กำลังนั่งปรึกษางาน ประกาศที่บอร์ดเมื่อเช้าบอกว่าปีนี้ห้องพวกเขาอยู่สีชมพู จงอินไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกว่าโรงเรียนชายล้วนจะมีสีชมพูไปเพื่ออะไร
เขาถูกทิ้งให้นั่งแหง่กอยู่คนเดียว
เพราะวันนี้เป็นวันเข้าสีวันแรกและพวกเขาอยู่ม.ปลายปีสุดท้ายกันแล้ว
คนที่เคยเป็นนักกีฬาหรือสตาฟต่างก็ต้องแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง
เซฮุนก็ต้องไปสอนน้องเดินควงคฑา ส่วนไอ้เทาก็คงไปหานักกีฬาที่จะใช้ลงแข่งปีนี้
โชคดีหน่อยที่เขาไม่ต้องลงไปนั่งร้อนๆบนพื้นเหมือนกับรุ่นน้อง
ที่ได้แต่หลบสายตารุ่นพี่ที่กำลังหาตัวคนทำกิจกรรม
“มาทำอะไรตรงนี้วะ”
“นั่งรอให้หมาถามว่าทำอะไร”
เพราะจำได้เสียงทุ้มต่ำจากด้านหลังที่เป็นของใคร
จงอินเลยเลือกตอบแบบนั้น
เขากำลังเบื่อที่ได้แต่ท้าวคางมองนู่นนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยตามภาษาคนที่ไม่ได้เป็นแกนนำกิจกรรมอะไรในปีก่อนๆ
“กวนตีนกูนี่อยากตายสินะ”
“ก็ไม่เห็นตายสักทีนี่” สุดท้ายเขาก็ต้องหันมาเผชิญหน้ากับคู่สนทนา
ปาร์คชานยอลยืนอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ ชายเสื้อนักเรียนกับเนคไทด์สีแดงหลุดลุ่ย
สูทสีเทาถูกพาดไว้ลวกๆบนไหล่ซ้าย เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวคงจะร้อนอยู่เอาการ
“มึงตกลงเป็นเชียร์ลีดเดอร์หรอวะ”
ชานยอลถามเรื่องที่เขาได้ยินมาจากแก๊งค์สาวสาวสาวที่ยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่หน้าห้องกิจกรรม
ตอนแรกก็ไม่มั่นใจสักเท่าไหร่นักว่าใช่คิมจงอินคนเดียวกับที่เขารู้จักหรือเปล่า
แต่เห็นพวกนั้นกรี๊ดกร๊าดสลับกับหันมองเจ้าตัวที่นั่งบื้ออยู่ตรงนี้เขาก็เลยได้ข้อสรุป
ที่เดินมาถามเพื่อเอาความมั่นใจเท่านั้น
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนกันที่เขาอยากรู้เรื่องของคนอื่นนอกจากไอ้ลู่หานกับแบคฮยอน
“หือ?” จงอินขมวดคิ้วมองคนถามด้วยประโยคคำถามทางสายตาว่าอะไรเหรอ?
ทำเอาชานยอลก็ต้องขมวดคิ้วตามไปด้วย
เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ยืนทำหน้าเลียนแบบกันอยู่อย่างงั้น
“มึงตกลงเป็นเชียร์ลีดเดอร์ไปหรือยังไง” ถอนหายใจขยายความให้กับบัดดี้ของเขาพร้อมกับหาเหตุผลให้ตัวเองด้วยว่าทำไมถึงต้องเดินจากกลุ่มนักกีฬามาหาคิมจงอินเพื่อถามเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ด้วย
“เปล่านี่” จงอินตอบออกไปด้วยความมั่นใจ
แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังพยายามทบทวนว่าตัวเองเผลอไปตอบรับทีมเชียร์ลีดเดอร์ไปหรือเปล่า
มันขนลุกไม่ใช่เล่นเลยถ้าต้องออกไปยืนเต้นแร้งเต้นกาต่อหน้าคนทั้งโรงเรียน
"เอ้า กูเห็นไอ้พวกนั้นกรี๊ดกร๊าดดีใจยกใหญ่ที่มึงตกลงจะเต้นให้พวกมัน"
"หาาาาาาา"
"หาเหี้ยไรล่ะ" ชานยอลมองบัดดี้ของเขาที่ทำหน้าตาเหรอหรา
จงอินตกใจเขาตกใจจริงๆที่อยู่ๆปาร์คชานยอลก็บอกว่าเขากลายเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของสีไปแล้ว
"เดี๋ยวมา ไปปฏิเสธเขาก่อน"
พอได้สติจงอินก็รีบลุกไปยังแก๊งค์สาวๆ(?)ที่ยืนจับกลุ่มคุยอยู่ตรงที่ปาร์คชานยอลบอก ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มยังไงดี
เพราะดันเป็นเรื่องที่รับปากเขาไปแล้วด้วยจงอินไม่ถนัดหรอกนะกับการมาปฏิเสธคนย้อนหลังน่ะ
“เฮ้ยพวกมึงน่ะ...” เสียงของปาร์คชานยอลดังขึ้นจากด้านหลัง
เรียกความสนใจจากทุกคนตรงนั้นได้หมด
แก๊งค์สามสาวมองจงอินทีชานยอลทีแล้วก็แต่แอบจิกมือกันอยู่ข้างหลัง
ก็จะไม่ให้จิกมือได้ยังไง นี่มันคู่จิ้นสุดฟินที่กำลังมาแรงในช่วงนี้เลยนะยะ!
“ชานยอลมีอะไรกับพวกเราหรือเปล่า”
เด็กหนุ่มตัวสูง
ถอนหายใจพรืดใหญ่
ถ้าเลือกได้เขาก็ไม่ค่อยอยากจะสุงสิงกับใครนักหรอกแต่ก็นั่นแหละเขาก็ยังหาเหตุผลที่มาทำตัวยุ่งเรื่องชาวบ้านอยู่แบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน
“จงอินไปเป็นปอมปอมเชียร์กับพวกมึงไม่ได้แล้ว”
“อ้าว!!! จริงหรอจงอิน!!” เสียงอ้าวพร้อมกันสามคนทำเอาเจ้าของเรื่องแสบแก้วหูถึงขั้นเผลอเบ้หน้า
แต่สุดท้ายแล้วจงอินก็กลับมายิ้มอย่างรู้สึกผิดให้กับคนที่มาชวนเขาไปทำกิจกรรม
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากช่วย แต่ไอ้เรื่องที่ให้ช่วยนี่มันเหนือบ่ากว่าแรงเขาไปจริงๆ
“อือ อย่างที่ปาร์คชานยอลบอกนั่นแหละ”
“ได้ไงอ่ะ!! ไม่ได้นะ.. !@#$!#$” เท่านั้นแหละจงอินได้แต่ทำหน้าเหวอ
ตอนที่แก๊งค์สามหนุ่มน้อยพุ่งเข้ามาล้อมเขา
ทั้งแย่งกันพูดทั้งดึงแขนเสื้อสูทจนไม่รู้ว่าจะทำยังไง
มองบัดดี้ตัวสูงที่ยืนอยู่ไม่ห่างอย่างขอความช่วยเหลือ ชานยอลเองมองความวุ่นวายตรงหน้าแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาแรงๆ
เพราะความชุลมุนที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนแถวนั้นต่างก็พากันหันมอง
แล้วยิ่งเห็นว่าเป็นใครก็ยิ่งสนใจกันมากขึ้นไปอีก
เสียงรบเร้ากับสีหน้าลำบากใจของบัดดี้มันยิ่งทำให้เขาหงุดหงิด
เขาไม่ชอบนักหรอกไอ้เรื่องบังคับให้ใครทำนั่นทำนี่
ยิ่งเจ้าตัวเขาออกปากปฏิเสธ(ถึงตอนแรกจะตอบรับก็เถอะ) เด็กหนุ่มก้าวยาวๆ
ไปหยุดยืนอยู่ข้างคิมจงอินเล่นเอาเสียงแว้ดๆที่ดังอยู่ถึงเงียบกริบ
...อันที่จริงต้องเรียกว่าแถวนั้นเงียบกริบชนิดที่ทุกคนตั้งใจฟังว่าปาร์คชานยอลจะพูดอะไร…
“ที่มันไปเป็นเชียร์ลีดเดอร์ให้พวกมึงไม่ได้
ก็เพราะว่ามันตกลงเป็นผู้จัดการทีมบาสให้กูไปแล้ว”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่.. อย่า มา ยุ่ง กับ ผู้ จัด การ ทีม บาส ของ กู”
ประโยคเดียวเล่นเอางับปากฉับกันทั้งหมดทั้งมวล ที่สำคัญคือเทากับเซฮุนที่ปลีกตัวกลับมาหาเพื่อนสนิทดันได้ยินประโยคนี้เข้าพอดิบพอดีเสียด้วย เซฮุนกระตุกแขนเสื้อเทายิกๆ แต่ตอนนี้เทาเองก็ดูเหมือนจะนิ่งไปเหมือนกัน แล้วก็ไม่ทันได้มีใครได้คัดค้านอะไรอีก ปาร์คชานยอลก็จัดการ’จูงมือ’คิมจงอินไปทางกลุ่มนักกีฬาก่อนจะตะโกนเสียงดังจนได้ยินกันทั่ว
“นี่ไงผู้จัดการทีมของพวกมึงที่กูบอก ดูแลให้ดี ใครมายุ่มย่าม กระทืบได้เลย คำสั่งกู”
จงอินได้แต่กลอกตาไปมา
จะเรียกว่าชินกับนิสัยของปาร์คชานยอลมันก็ไม่ถูก
เขาแปลกใจมากเสียด้วยซ้ำที่อีกฝ่ายบอกคนอื่นเรื่องที่เขาเป็นผู้จัดการทีมบาส
จงอินไม่เคยเล่นบาส อย่าว่าแต่บาสเกตบอลเลย นอกจากจักรยานที่ชอบปั่นเล่นกินลม
เป่ากบก็เขายังไม่เคยลงแข่ง แล้วนี่จะให้มาเป็นผู้จัดการดูแลทีมบาสเกตบอลของสีงั้นหรอ
“นี่..ฉันไม่เคยเป็นผู้จัดการทีมให้ใคร”
“ก็เป็นให้กูนี่ไง คนแรกหัดไว้”
แล้วเขาจะต้องหัดการเป็นผู้จัดการทีมไปเพื่ออะไรในเมื่อเขาไม่เคยคิดจะเข้าไปวอแวกับกีฬาชนิดไหนบนโลกเลยทั้งสิ้น
จงอินอยากเป็นอยากวาดภาพ เขาใฝ่ฝันว่าจะเป็นจิตรกร มัณฑนากรหรือไม่ก็สถาปนิกที่ได้คิดอะไรไปเรื่อยๆ
แล้วร่างมันออกให้ทุกคนได้เห็น จงอินไม่ได้อยากไปเป็นโค้ชนักกีฬาทีมชาติไหนทั้งนั้น
บางทีปาร์คชานยอลคงจะเข้าใจอะไรผิดไปแล้ว
"ไม่ได้อยากหัด"
"หัดไว้เถอะน่า เผื่อมีแฟนเป็นนักบาส มึงจะได้ดูแลเขาได้ไง"
เสียงเป่าปากแซวดังต่อกันเป็นทอดๆจากนักกีฬาตัวแสบประจำสี
หลายคนเป็นนักกีฬาโรงเรียนอยู่กับชานยอล
จงอินได้แต่ขมวดคิ้วมองกลุ่มคนที่กำลังส่งเสียงหัวเราะดังลั่น
ไม่เข้าใจว่ามันมีเรื่องอะไรให้ต้องขำนักหนา
"ฉันไม่อยากมีแฟนนักกีฬา ยิ่งโดยเฉพาะแบบนาย มันดูเหมือนพวกชอบใช้กำลัง”
นอคดาวน์...
ประโยคเดียวของคิมจงอินเล่นเอาหน้าสั่นกันทั้งหมู่คณะ เสียงหัวเราะหยุดกึกลงทันที
นักกีฬาบาสเกตบอลต่างมองไปที่กัปตันทีมของตัวเองอย่างหวาดหวั่น
ใครๆก็รู้ว่าพี่ชานยอลอารมณ์ร้อนแค่ไหน
ความจริงก็คือมันเป็นอย่างที่คิมจงอินพูดนั่นแหละ ว่าพี่ชานยอลชอบใช้กำลังมากกว่าสมอง
"มึงนี่ไม่ด่ากูสักวันไม่ได้ใช่มั้ย" เดินกอดอกเข้ามายืนตรงหน้าบัดดี้ของตัวเอง
ชานยอลไม่ได้หงุดหงิดแบบที่อยากจะต่อย โกรธ หรืออะไรทำนองนั้น
เขาแค่หงุดหงิดที่ทำไมระหว่างเราถึงไม่มีการคุยกันดีๆบ้าง
การกวนอารมณ์โมโหของเขาเป็นงานอดิเรกของคิมจงอินหรือยังไงกัน
ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายกลั้นหัวเราะจนตัวสั่นมันก็ยิ่งหงุดหงิด
"อยากให้เป็นก็พูดกันดีๆสิ ฉันเคยบอกนายไปแล้วไง"
คิมจงอินยิ้มให้กับปาร์คชานยอลที่ยืนอยู่หน้าหงิกงออยู่ตรงหน้า
เขาไม่ได้คิดจะลืมหรอกว่าอีกฝ่ายช่วยเขาไว้ แต่จากประโยคที่ชานยอลพูดกับรุ่นน้องมันทำให้จงอินรู้ว่าบัดดี้ตัวสูงก็กำลังจะมาขอให้เขาช่วยเป็นผู้จัดการทีมด้วยเหมือนกัน
“กูไปช่วยมึงมาก็ตอบแทนกันบ้างสิวะ”
“.....”
ชานยอลรู้สึกจนแต้มเมื่อคิมจงอินยังคงยืมล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วยิ้มให้เขาอยู่อย่างนั้น
หงุดหงิดตัวเองเหมือนกันที่ดันหลุดปากพูดให้อีกฝ่ายได้ยินว่าเขาจะไปชวนคนคนนึงมาเป็นผู้จัดการทีม
“เร็วดิ ปาร์คชานยอล ไม่งั้นฉันปฏิเสธนะ” เอากะมันดิ
ชานยอลเบื่อคิมจงอินที่โคตรรู้ทันคนนี้ชะมัด
แล้วมันทำให้อะไรอะไรน่าหงุดหงิดมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัวเลยเหอะ
“มึงจะมากไปละนะคิมจงอิน”
“งั้นฉันไปแล้วนะ”
จงอินหมุนตัวหันหลังกลั้นยิ้มเต็มกำลัง เขาพยายามอย่างมากที่จะไม่ให้ตัวสั่นแล้วเดินออกไปจากตรงนี้ แต่ก็ได้แค่สามก้าวเท่านั้นแหละ เสียงของปาร์คชานยอลก็ดังลั่นขึ้นมาเลย
“ช่วยเป็นผู้จัดการทีมบาสให้กูหน่อยดิ”
จงอินหัวเราะกับตัวเอง เขาเห็นเซฮุนกับเทายืนอยู่ไม่ไกล
ไม่เข้าใจนักหรอกว่าทำไมถึงทำท่าทางเหวอๆขนาดนั้น แต่ก็ช่างเถอะ
เดี๋ยวพวกมันก็เข้ามาถามเองนั่นแหละว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างโปร่งหมุนตัวกลับมามองใบหน้าหงิกงอของปาร์คชานยอลด้วยรอยยิ้ม
“ก็แค่นั้น ฉันตกลง…” เว้นระยะ
พร้อมกับยิ้มกว้างให้กว่าเก่าเมื่อเห็นว่าบัดดี้ตัวสูงของเขาถอนหายใจดังแค่ไหน
“แล้วก็...ขอบคุณครับที่ช่วยกันเมื่อกี๊นี้”
ชานยอลนิ่งค้างไปแล้ว
อันที่จริงต้องบอกว่าทุกคนแถวนั้นยิ้มค้างไปด้วย
สิ่งเดียวที่ทุกคนรู้สึกตอนนี้คืออาการร้อนวูบวาบที่หน้า
ไม่รู้ว่าอากาศมันร้อนหรือว่าบทสนทนาของคนที่ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนกันแน่
แม้กระทั่งแก๊งค์สาวสาวสาวที่เดินตามมากะจะเกลี้ยกล่อมจงอินอีกครั้งยังได้แต่ปิดหน้าปิดตาหันไปกรี๊ดกรี๊ดใส่กันเอง
“มึงแม่ง…” ไม่รู้ว่าควรจะสบถคำไหนออกมา
เพราะตอนนี้ชานยอลกำลังร้อนไปหมด หน้าเขาก็ร้อน ตัวเขาก็ร้อน อากาศก็โคตรร้อน
มันยิ่งทำให้เหมือนตอนนี้ตัวเขาแดงก่ำไปหมด
กันไปมองพวกกลุ่มๆเด็กที่ไปคัดตัวมาก็ได้แต่แยกเขี้ยวใส่สายตาและรอยยิ้มล้อเลียนที่ส่งมา
พอหันกลับมาก็พบว่าคิมจงอินกำลังเดินออกไปจากตรงนี้แล้ว
“จะไปไหนวะ?” ถามเสร็จก็ตวัดตาหันไปมองกลุ่มแก๊งค์หนุ่มน้อยที่ยืนกรี๊ดๆกันอยู่ตรงนั้นด้วยสายตาหงุดหงิด ไม่รู้ว่าจะกรี๊ดอะไรกันนักหนา ไม่รู้หรือไงว่าเสียงพวกแม่งน่ารำคาญบาดหูแค่ไหน ยัง..ยังจะยืนอยู่ไม่ไปไหนอีก มองอย่างขุ่นเคืองแล้วก็หันกลับมาสนใจผู้จัดการทีมบาสสีชมพูของเขา อ่ะ.. เดินไปนู่นแล้ว
ไอ้ที่ให้อยู่ไม่อยู่ ไอ้ที่ไม่ควรอยู่ก็ยืนอยู่กันจังเลย เดี๋ยวเตะตุ๊ดอวดคนทั้งโรงเรียนเลยนี่
“กูถามว่าจะไปไหน หูแตกหรือไงวะ มึงนี่ต้อง…” จงอินไม่ได้ตอบเป็นคำพูด
เขาแค่ชี้ไปทางโต๊ะม้าหินอ่อนที่มีกระเป๋านักเรียนของเขาวางอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยหวงจื่อเทาและโอเซฮุน
“อ้อ…” ปล่อยมือออกแล้วยกขึ้นเกาท้ายทอยอย่างแก้เก้อ
จงอินส่ายหน้าให้กับคนขี้หงุดหงิดแล้วก็ใจร้อน ปาร์คชานยอลนี่พูดกี่ทีก็ไม่เคยจำ
ถ้าหมอนี่รู้จักใจเย็นแล้วยืนดูสักนิด ก็จะรู้ว่าเขาแค่เดินไปที่โต๊ะเพื่อนหยิบของและพูดคุยกับเพื่อนสนิทเท่านั้น
“นายแค่ต้องรู้จักใจเย็นบ้างนะ” คิมจงอินพูดประโยคกับเขาแล้วเดินตรงไปยังโต๊ะที่ตัวเองนั่งอยู่ตอนแรก
ชานยอลรู้สึกว่าเขากำลังแพ้ทางคนคนนี้ บัดดี้ของเขาเป็นคนประเภทที่เขาไม่เคยเจอ
มันไม่ใช่ตุ๊ดน้อย หรือคนที่เขาจะรุกได้ มันไม่ใช่สาวน้อยที่ตัวเล็กน่ารัก
แต่คิมจงอินมีอย่างอื่นที่ทำให้ชานยอลต้องอยากเข้าหาทั้งที่ตัวเองต้องมายืนหงุดหงิดเพราะโดนหลอกด่าอยู่แบบนี้
“เกิดอะไรขึ้นน่ะจงอิน?” เซฮุนเอ่ยถามทันทีที่เพื่อนสนิทเดินตรงเข้ามาถึง
หน้าตาดูจะเป็นกังวลเพราะก่อนหน้านี้มีรุ่นน้องเดินไปบอกทั้งเขาและเทาว่าปาร์คชานยอลพึ่งจะลากจงอินไปตรงส่วนนักกีฬา
“ไม่มีอะไรหรอก”
“แล้วนายตกลงเป็นผู้จัดการทีมบาสให้หมอนั่นจริงหรอ” หันไปพยักหน้าให้คำตอบแก่เทา จนทั้งคู่แต่ได้ถอนหายใจ
ลองได้ตัดสินใจรับปากแล้วพวกเขาจะไปพูดอะไรได้ล่ะ ถ้ามันไม่เหนือบ่ากว่าแรงจงอินก็คงไม่ปฏิเสธ
ยกเว้นไอ้เรื่องปอมปอมเชียร์ที่เขาเห็นเหตุการณ์ชุลมุนมาตั้งแต่ไกลๆ
นั่นไว้อย่างนึงแล้วกัน
“ทำได้หรอ? นายไม่ชอบอะไรพวกนี้ไม่ใช่หรอ?”
“ก็หัดไว้...” จงอินสะพายกระเป๋าพาดไว้บนไหล่ข้างหนึ่ง เอี้ยวตัวกลับไปมองก็พบว่าปาร์คชานยอลหันหลังกลับไปคุยกับเด็กๆที่สมัครเข้ามาแล้ว เขาได้แต่ยิ้มให้กับเรื่องตลกของบัดดี้ที่ตัวเขาเองก็สัมผัสได้
“เอาไว้เผื่อดูแลนักกีฬาของตัวเองน่ะ”
“สวัสดี
พี่ชื่อจงอินครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ” จงอินยิ้มแล้วก็แนะนำตัวต่อหน้ารุ่นน้องที่กำลังนั่งหน้าสลอนอยู่เกือบยี่สิบคน
ทุกคนต่างกระพริบตาปริบๆ มองแฟน(?)กัปตันด้วยความสงสัย
แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา
ส่วนไอ้เพื่อนในสายชั้นเดียวกันก็ได้แต่กลั้นขำกันจนตัวสั่น
เรื่องของปาร์คชานยอลกับคิมจงอินที่ดังไปจนเขารู้กันหมดเลยนะว่าตอนไปทัศนศึกษามันหวานแหววกันขนาดไหน
“เดี๋ยววันนี้มาลงชื่อ แล้วก็ตำแหน่งที่อยากเล่น เหลืออีกสองเดือน
เราจะซ้อมกันทุกเย็นสองอาทิตย์แล้วค่อยมาคัดตัวกัน”
“ครับ!!!”
จงอินมองเด็กทุกคนที่ขานรับกันชานยอลด้วยสายตาทึ่งไม่น้อย
อีกมุมหนึ่งของผู้ชายใจร้อนก็ดูจะมีความเป็นผู้นำอยู่มากโข
เพื่อนทุกคนถึงได้ปล่อยให้ชานยอลเป็นคนพูดกับรุ่นน้อง
“ไอ้จงซอก!...” จงอินสะดุ้งไปตามเสียงชานยอลตวาดเรียกรุ่นน้องม.ปลายปีสองที่ยืนโบกกระดาษพั่บๆอยู่ท้ายแถว
เขาเห็นเด็กนั่นชี้ตัวเองก่อนจะเดินบ่นไม่หยุดมาหาลูกพี่ตัวเอง
ขนาดอยู่ตรงหน้าจงอิน เด็กนี่ยังไม่หยุดบ่นเลย
“ลงชื่อกับตำแหน่งที่ไอ้หน้าลิงนี่ เสร็จแล้วแยกย้ายได้
เจอกันพรุ่งนี้เตรียมตัวมาให้พร้อม”
อ้าว
จงอินกับจงซอกมองปาร์คชานยอลที่ยืนเต๊ะท่าล้วงกระเป๋าสั่งรวดเดียวจบ
ทั้งคู่ต่างเกิดคำถามเดียวกัน
... แล้วเอาคิมจงอินมาเป็นผู้จัดการทีมทำไม ...
“เอ้า! เร็วดิเฮ้ย! กูโหดนะครับ! ยิ่งร้อนๆอยู่!” ตะคอกเสียงดังจนเด็กๆต่างพากันสะดุ้งโหยงรีบต่อแถวเข้าเซนต์ชื่อ
กลุ่มเพื่อนที่เล่นกีฬาด้วยกันได้แต่ส่ายหน้าให้กับความบ้าบอของหัวหน้าทีม
ไม่รู้ว่าปีนี้มันจะออกมาอีหรอบไหนเหมือนกัน
“กลับ”
จงอินขมวดคิ้วมองปาร์คชานยอลที่วันนี้ทำท่าเป็นอันธพาลมากกว่าทุกวัน
นอกจากจะพูดไม่ดี หมอนี่ยังลากเขาไปไหนมาไหนตามใจตัวเองมากเกินไปแล้ว
เด็กหนุ่มขืนเอาไว้ไม่ได้ปล่อยตัวไปตามแรงดึง แน่นอนว่าเขาก็เป็นผู้ชายนี่
เพราะฉะนั้นตอนนี้ปาร์คชานยอลเลยหยุดออกแรง แล้วหันมาจ้องหน้าเขาแทน
“ไม่กลับ”
“แล้วจะอยู่ทำอะไรวะ”
"ทำตัวให้เป็นประโยชน์ไง"
เดี๋ยวนะ...ชานยอลทำหน้าเซ็งใส่คิมจงอินเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ในช่วงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา
เขารู้สึกว่ากำลังโดนท้าทายด้วยการเหยียบอยู่บนแนวสั้นดั้ง จะทุบก็ทุบไม่ลง
"นายบอกว่าฉันเปฺนผู้จัดการทีม หน้าที่นี้ก็ควรให้ฉันทำ"
"แล้วมึงรู้หรือไงว่ามันมีตำแหน่งอะไรบ้าง” ชานยอลถอนหายใจออกมาแรงๆ
ที่เขาไม่ให้คิมจงอินทำก็เพราะเห็นว่าหมอนี่ยังไม่รู้เรื่องอะไร
“คนไม่รู้ไม่ได้หมายความว่าจะต้องโง่นี่ เหมือนที่นายวาดรูปไม่เป็น ฉันยังไม่เคยว่านายโง่
“มึงไม่ต้องทำหน้าราวกับจะบอกกูว่า‘แต่ในใจฉันคิด’ ก็ได้”
“อ้าว เผลอทำหน้าแบบนั้นไปหรอ” ยิ่งเห็นว่าปาร์คชานยอลหัวเสียจงอินก็ยิ่งสนุก
ตลอดหนึ่งเดือนที่มีอีกฝ่ายวนเวียนอยู่ใกล้ๆ
หรือแม้กระทั่งในช่วงเวลาที่พูดคุยกันบ้างทางโทรศัพท์
เขาสังเกตมาโดยตลอดว่าเวลาหัวเสียจะเป็นช่วงเวลาที่บัดดี้ของเขาตลกที่สุด
จงอินกลั้นขำเอาไว้แทบไม่ไหวตอนที่ได้ยินผู้ชายขี้บ่นสบถเรื่องเขากวนตีนตลอดเวลา
“ช่วยกันสิครับคุณกัปตันทีม
มันเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอที่นายจะใส่ใจคัดกรองตั้งแต่ขั้นแรกด้วยตัวเอง”
จงอินพอจะมองออกว่าทำไมปาร์คชานยอลถึงให้จงซอกเป็นคนจัดการเรื่องนี้เสียก่อนทั้งที่ปกติแล้วมันคงเป็นหน้าที่ของผู้จัดการทีมหรืออีกตำแหน่งมันก็เจเนอรัลเบ๊นั่นแหละ
แต่เขาไม่เห็นด้วยที่ชานยอลจะหนีกลับบ้านตั้งแต่ตอนนี้
ดูเหมือนว่าคุณกัปตันและแฟน(?)กัปตันจะลืมไปว่าตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในส่วนของการจัดหานักกีฬาของสี
ดังนั้นทุกคนต่างก็เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจนรวมถึงประโยคโต้ตอบที่ไม่เคยมีใครได้ยิน
ทุกคนเบิกตากว้างมากเมื่อคิมจงอินยังอยู่รอดปลอดภัยหลังจากกวนตีนปาร์คชานยอลอยู่นานสองนาน
แถมยังเล่นเอาเด็กชายตัวสูงพูดอะไรไม่ออกอีกด้วย
“มึงถนัดกับการทำอะไรอ้อมค้อมหรือไงวะ”
ชานยอลยืนขมวดคิ้วมองไอ้คนที่ทำตัวกวนตีนแต่ก็มีเหตุผลตลอดเวลาอยู่นานสองนาน
เขาไม่เคยเข้าใจหรือตามคิมจงอินทันเลยสักครั้ง พอคิดว่ามันจะคิดแบบนี้ไอ้หมอนี่ดันคิดออกไปอีกแบบหนึ่ง
มันไม่ใช่การคิดที่แปลกประหลาดแต่ว่ามันเป็นความคิดที่คนมักจะคิดไม่ถึงเสียมากกว่า
“ฉันไม่เคยทำอะไรอ้อมค้อม แค่นายใจร้อนเองต่างหาก”
สุดท้ายชานยอลก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้เพราะขี้คร้านจะเถียงแล้วก็พากันเดินกลับไปบริเวณที่กำลังลงชื่อ
จงซอกกับรุ่นน้องคนอื่นสะดุ้งโหยง
มีแค่เพื่อนนักกีฬาด้วยกันเท่านั้นแหละที่ได้แต่ยิ้ม
เมื่อรู้สึกว่าปาร์คชานยอลดูจะหัวอ่อนกับผู้จัดการทีมคนนี้เหลือเกิน
ทุกคนต่างหันไปเอาคำตอบกับลู่หานและแบคฮยอนที่ได้ยืนส่ายหน้าอย่างไม่มีคำตอบให้
พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงเหมือนกัน
ไม่รู้ว่าช่วงเวลาหนึ่งเดือนนับตั้งแต่ไปทัศนศึกษากันมา ไอ้สองคนนี้มันสนิทสนมกันไปถึงขั้นไหนแล้วเหมือนกัน
เพราะนี่พึ่งเป็นวันแรกที่ประกาศรวมสี โรงเรียนตอนหกโมงเย็นไม่ค่อยมีคนเหลือสักเท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกเด็กที่เล่นกีฬาเสียส่วนใหญ่ ซึ่งนั่นนับว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ไอ้ที่ทุกคนกำลังจับตามองอยู่ตอนนี้คือคู่จิ้นที่ตอนนี้มันกลายเป็นไฟลามทุ่งไปแล้วจากเหตุการณ์เมื่อช่วงตอนเข้าสี
“ไม่เห็นจะต้องมองแบบนั้น”
จงอินละสายตาออกจากกระดาษรายชื่อที่พวกเขาพึ่งจะลงทะเบียนเสร็จไปเมื่อไม่นานมานี้
แต่จะไม่ให้ชานยอลแปลกใจได้ยังไง ในเมื่อบัดดี้ของเขาสามารถเลือกคนได้ค่อนข้างเหมาะสม
“ฉันควรจะต้องแปลกใจไม่ใช่หรือไง..” ชานยอลยังคงพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ
“กับคนที่บอกว่าไม่ชอบ ไม่รู้แต่ดันสามารถเลือกนักกีฬาได้ดีระดับหนึ่งขนาดนี้” มองบัดดี้ของเขาที่หันหน้าออกมองนู่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย
พวกเรานั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนตัวเดิมที่ใช้ลงชื่อนั่นแหละ
“นี่..ปาร์คชานยอล” จงอินหันกลับมามองบัดดี้ของเขาที่ยังคงส่งสายตาไม่เข้าใจมาให้อย่างไม่ปิดบัง
“ก็บอกแล้วไง ไม่ชอบ ไม่รู้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันโง่”
ชานยอลสาบานว่าเขาทำหน้าเซ็งโลกใส่มันทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้น
บางทีการตามคำพูดของคิมจงอินให้ทัน คือการคิดอะไรให้ครอบคลุมคำพูด ไม่ชอบ ไม่รู้
แต่มันไม่ได้บอกว่าไม่รู้อะไร งี้งั้นดิ
โคตรหงุดหงิดเวลาต้องมาคุยกับคนที่พูดอะไรไม่เคลียร์ชะมัด ละเป็นไงกูโดนหลอกด่าซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่เนี่ย
“ฉันรู้แค่ผิวเผิน ไม่ได้รู้ลึก ถ้านายไม่ได้ความจำสั้นจนเกินไป
เมื่อเทอมสองของปีที่แล้วพวกเราพึ่งเรียนกีฬาบาสไปนะปาร์คชานยอล”
เป็นคำเฉลยทั้งหมดได้ดี
ทำไมชานยอลจะจำไม่ได้ว่าพวกเขาเรียนอะไรกันไปเมื่อปีที่แล้วมันเป็นครั้งแรกที่เขาไม่ต้องพยายามอ่านหนังสือเพื่อนสอบให้ผ่านวิชาพละศึกษา
เพราะขนาดในการสอบข้อเขียน ชานยอลก็ยังทำมันได้ดี
จงอินไม่ได้หยุดสายตาเอาไว้ที่ปาร์คชานยอล
เขายังคงมองไปรอบโรงเรียนอย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไร
อยู่ๆก็รู้สึกใจหายขึ้นมาชอบกลเมื่อรู้สึกว่าอีกไม่กี่เดือนเขาก็ต้องจากโรงเรียนนี้ไปแล้ว
ถึงเขาจะมีสังคมเพื่อนไม่เยอะสักเท่าไหร่ก็เถอะ
แต่เด็กหนุ่มก็ถือว่าเพื่อนที่เขามีเป็นคนดี ร่วมถึงเพื่อนที่พึ่งรู้จักกันหมาดๆ หนึ่งเดือนอย่างปาร์คชานยอลด้วย
“กูสงสัย...”
เสียงของปาร์คชานยอลเรียกสายตาเขากลับมาอีกคน
แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าบัดดี้ของเขามีสีหน้าจริงจัง
มันไม่ใช่สีหน้าเหมือนตอนหงุดหงิด แต่ปาร์คชานยอลกำลังจริงจัง
“พูดเพราะๆสิเดี๋ยวจะตอบ”
-_____-
ขนาดทำหน้าเครียดชานยอลก็ยังไม่วายโดนมันกวนอารมณ์เข้าให้
ไม่รู้จะทำยังไงกับคิมจงอินแล้วจริงๆให้ตายเถอะ
“นายเป็นคนใจเย็นแบบนี้ทุกเรื่องเลยหรือไง” จงอินเลิกคิ้วมองด้วยความแปลกใจกับสรรพนามที่สุภาพขึ้นเพียงเพราะต้องการคำตอบทั้งที่มันไม่ใช่คำถามที่น่าจริงจังสักเท่าไหร่นัก
“ฉันไม่ได้ใจเย็น สโลว์ไลฟ์ นายรู้จักมั้ย? ฉันแค่ไม่ชอบเร่งรีบ” แล้วมันต่างกับใจเย็นยังไงวะ? และเหมือนว่า
สีหน้าของเขาจะเต็มไปด้วยคำถามจนเกินไปจนอินถึงได้พูดต่อ “คนใจเย็นสำหรับฉันคือคนที่สามารถจัดการกับอารมณ์ของตัวเองแม้ในคณะที่กำลังโกรธหรือไม่พอใจ
ซึ่งตัวฉันไม่ได้เป็นคนแบบนั้น”
“อ้าว..กูนึกว่ามึงเป็นคนแบบนี้มาตลอด”
จงอินหลุดหัวเราะออกมาเพราะปาร์คชานยอลพูดแบบนั้น
ใครต่อใครหลายคนชอบพูดว่าเป็นจงอินนี่ใจเย็นจังเลย หรือไม่ก็จงอินเป็นคนใจเย็น
อะไรทำนองนั้น แต่ความจริงแล้วเขาเปล่าเลย
“ฉันก็แค่ปล่อยให้ทุกอย่างมันไหลผ่านไปด้วยความเอื่อยเฉื่อย
ไม่ได้เก็บอะไรมาใส่ใจ แต่ถามว่าหงุดหงิดมั้ยก็ใช่
แต่ก็มีวิธีระบายออกในรูปแบบของตัวเอง”
อึ้งไปเลย...
ชานยอลไม่เคยคิดว่ามาก่อนว่าจะมีคนที่ดูจะเข้าใจยากบนความเรียบง่ายของเจ้าตัวอยู่แบบนี้บนโลกด้วย
คิมจงอินเปิดโลกของเขามากจริงๆ
มันเหมือนจะเข้าใจแล้วก็ดูสับสนในบุคลิกของเจ้าตัวไปพร้อมๆกัน
“วิธีระบายความหงุดหงิดของนายนี่ยังไง?”
ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีเจ้าหนูจำไมให้เขาได้ตอบคำถาม แต่จงอินก็ไม่ได้เบื่อหรอกนะ
ถ้าอยากจะตอบเขาก็จะตอบให้ เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเองที่เขารู้ดีที่สุด
“กวนตีนนายไง”
ซึ้งดีมั้ยล่ะแหม...
รู้จักกันเดือนเดียวกลายเป็นที่ระบายความเครียดให้เขาไปแล้ว นี่กูจะดีใจดีมั้ยล่ะ
ยิ่งเห็นอีกฝ่ายหัวเราะเสียงดังก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ คิมจงอินนี่มันเป็นห่าอะไรกับการชอบกวนตีนกูนักวะ
เดี๋ยวก่อนมึง เดี๋ยวมึงไม่ได้ตายดี
“ฮ่าๆๆ ไม่เห็นต้องทำหน้าอยากฆ่ากันขนาดนั้นเลย”
“ยังมึงยัง ยังไม่หยุดตลก”
“ฉันล้อเล่นน่า... โอ้ย หัวเราะจนปวดท้องละเนี่ย”
ถึงจะพูดแบบนั้นก็ตามที แต่จงอินก็ยังขำอยู่ดี
จนเห็นว่าปาร์คชานยอลง้างมือขึ้นเตรียมจะทุบลงบนหัวเขานั่นแหละถึงได้ยอมหยุดหัวเราะ
“ถ้าปกติก็แค่นั่งฟังเพลงไปเรื่อยๆ แล้วก็วาดรูป หรือไม่ก็บ่นให้ใครสักคนฟัง”
“อย่างมึงเนี่ยหรอเป็นคนขี้บ่น”
“เปล่าฉันไม่ใช่คนขี้บ่น อย่างฉันเขาเรียกระบายความในใจ...แต่อย่างนาย...”
จงอินชี้มือไปที่บัดดี้ของเขาที่เลิกคิ้วมองแล้วชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “อย่างนายน่ะ
เขาเรียกผู้ชายขี้บ่น”
“ละมึงเป็นบ้าอะไรจะต้องหลอกด่ากูทุกประโยคเนี่ย”
จงอินยิ้มกับบัดดี้ของเขาที่ยังคงนั่งหน้าหงิก
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเรานั่งคุยกันจริงๆจังๆแบบนี้ พวกเรานั่งคุยกันมากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว
และเขาก็คิดว่ามันถึงเวลาที่สมควรจะกลับบ้านเสียที
“กลับกันเถอะ แม่ฉันคงไม่ดีใจที่ลูกชายกลับบ้านช้าแน่ๆ”
“อะไรวะ หลอกด่ากูแล้วก็กลับงี้หรอ”
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ชานยอลก็ลุกขึ้นยืนเหมือนกัน
เขายืนรอคิมจงอินที่หน้าประตูเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าต้องเดินไปเอาจักรยาน
แค่ครู่เดียวบัดดี้ที่เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการทีมบาสก็เดินเข็นจักรยานออกมาจนถึงหน้าโรงเรียน
วันนี้คิมจงอินไม่ได้ขึ้นไปนั่งอยู่บนนั้น แต่หมอนั่นค่อยๆเข็นมันไปพร้อมกับเดินกลับบ้านพร้อมกัน
ผู้คนหน้าโรงเรียนแทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว
จงอินหยุดยืนบริเวณป้ายรถเมล์ที่อยู่เลยโรงเรียนมาหน่อย
แล้วหันไปถามคนที่เดินมาด้วยกัน
“ปกตินายกลับบ้านยังไง?”
ชานยอลไม่ได้ตอบในทันที เพราะปกติแล้วถ้าเขาอยู่โรงเรียนจนเย็นแบบนี้ก็คงจะไปหาอะไรกินที่ร้านก๋วยเตี๋ยวกับเพื่อนที่เล่นบาสแล้วเดินกลับบ้านทางเดียวกัน
แต่วันนี้คนที่อยู่กับเขาดันเป็นคิมจงอินที่มีจักรยานแล้วบ้านก็อยู่คนละทางด้วย
“เดินกลับ”
สุดท้ายก็เลือกจะตอบออกมาแบบนั้น
จงอินแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรแล้วเขาก็เริ่มออกเดินต่อ
พวกเขาเดินข้างกันมาเงียบ ๆ ชานยอลก็ยังคงแต่งตัวไม่เรียบร้อย
เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวดำหลุดลุ่ยออกมาจากกางเกงครบถ้วน เสื้อสูทถูกกำไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง
พร้อมกับอีกค้างที่จับสายสะพายกระเป๋าเป้เอาไว้ข้างเดียว ผิดกับคิมจงอินที่ยังคงแต่งตัวเรียบร้อย
แม้จะหมดเวลาเรียนมาตั้งแต่บ่ายสามโมงเย็นแล้วก็ตามที
เกือบยี่สิบนาทีที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา พวกเราเดินมาถึงทางแยกที่คิมจงอินต้องข้ามทางม้าลายเพื่อกลับบ้าน
ส่วนชานยอลต้องเลี้ยวซ้ายเพื่อกลับบ้านตัวเองเช่นเดียวกัน
จงอินหันมายิ้มให้กับบัดดี้ของเขา
เกือบจะเข็นจักรยานข้ามถนนไปแล้วตอนที่สัญญาณไฟเปลี่ยน
แต่ก็ติดที่ว่าปาร์คชานยอลดึงท้ายจักรยานเอาไว้เสียก่อน จนเขาต้องหันไปมอง
“พรุ่งนี้?”
“เดี๋ยวกูรอตรงนี้
แล้วไปโรงเรียนพร้อมกัน”
จงอินกระพริบตาปริบมองคนที่ชวนเขามาโรงเรียนเสร็จแล้วก็หมุนตัวเดินลิ่วๆจากไปทันที
ปาร์คชานยอลควรรอฟังคำตอบหรือไม่ก็ควรจะนัดกันให้ดีเสียก่อนที่จะเดินจากไปแบบนั้นไม่ใช่หรือยังไง?หรือเขาควรจะเคยชินกับการที่หมอนั่นเอาแต่ใจแบบนี้ดี?
เอาเถอะ เดี๋ยวคืนนี้ค่อยโทรไปนัดกันให้ดีอีกทีนึงก็ได้
#ฟิควงกลมชานไค
โอ๊ยยยยยยยยอยากมีคนชวนไปโรงเรียนพร้อมกันบ้างอ่ะ
55555555555555555555555555555555 ขำยาววววยาววววววว นี่ทำตัวหนาแท็กไอ้พระเอกฟิคเลยนะคะ
นางโวยวายหาแท็กฟิคไม่เจออ่ะ ทั้งที่เราเป็นคนใส่แท็กฟิคไว้ท้ายเรื่องทุกตอนแท้แท้
อิ้_________________อิ้ ขอบคุณทุกคนมากนะคะที่แวะเข้ามาอ่าน
แวะเข้ามาติชม แวะเข้าไปสกรีมในแท็กด้วยยย เราจำคนอ่านของเราได้นะ
ทั้งคนเม้นท์แล้วก็คนสกรีมในฟิค อยากพูดคุยกันก็ไปคุยกันได้เลยยยยยย
ในอาคส์ก็ได้น้า เรามีอาคส์ หรือไม่ก็ในแท็กนั่นแหละ
หรือไม่ก็เมนชั่นไปติชมได้เลยยยย
ขอบคุณอีกครั้งน้า วันนี้ไปแล้ว สวัสดีคับ
ความคิดเห็น