ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ✖ (exo) : Geometry series : Circle | #ฟิควงกลมชานไค CHANKAI FT. EXO

    ลำดับตอนที่ #7 : CHAPTER 6

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.ค. 58


    TITLE CYCLE

    PAIRING : CHANYEOL X KAI

    เราอาจจะเคยได้ยินคำพูดว่าเหรียญมักจะมีสองด้านเสมอคนเราก็เช่นกัน

    แต่ผมกลับรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เป็นโรงกษาปณ์ที่คอยผลิตเหรียญออกมา

    แล้วผมก็เดาไม่ออกว่ามันจะเป็นเหรียญอะไร

     

     

     

     

    CHAPTER 6

    ปกติช่วงกีฬาสีจงอินก็ไม่ได้มีบทบาทหน้าที่โดดเด่น แต่ไหนแต่ไรเขาจะเป็นพวกใช้รายงานที่เพื่อนในห้องให้ทำอะไรก็ได้ ไอ้เทาก็ไปเล่นเตะฟุตบอล ส่วนเซฮุนก็ถูกจับแต่งตัวไปเดินขบวนพาเหรดอะไรทำนองนั้น แต่ปีนี้มันแปลกประหลาดไปก็ตรงที่

    จงอินช่วยหน่อยได้หรือเปล่า

    ตอนที่ได้ยินประโยคนี้ จงอินสาบานว่าเขามีสติเต็มร้อยไม่ได้พึ่งตื่นหรือกำลังง่วงนอนใดๆทั้งสิ้น อาการพยักหน้าตอบรับนั้นทำเอากลุ่มหนุ่มน้อย(?) พากันกรี๊ดกร๊าดแล้วรีบวิ่งกลับไปยังกลุ่มที่กำลังนั่งปรึกษางาน ประกาศที่บอร์ดเมื่อเช้าบอกว่าปีนี้ห้องพวกเขาอยู่สีชมพู จงอินไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกว่าโรงเรียนชายล้วนจะมีสีชมพูไปเพื่ออะไร

    เขาถูกทิ้งให้นั่งแหง่กอยู่คนเดียว เพราะวันนี้เป็นวันเข้าสีวันแรกและพวกเขาอยู่ม.ปลายปีสุดท้ายกันแล้ว คนที่เคยเป็นนักกีฬาหรือสตาฟต่างก็ต้องแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง เซฮุนก็ต้องไปสอนน้องเดินควงคฑา ส่วนไอ้เทาก็คงไปหานักกีฬาที่จะใช้ลงแข่งปีนี้ โชคดีหน่อยที่เขาไม่ต้องลงไปนั่งร้อนๆบนพื้นเหมือนกับรุ่นน้อง ที่ได้แต่หลบสายตารุ่นพี่ที่กำลังหาตัวคนทำกิจกรรม

    มาทำอะไรตรงนี้วะ

    นั่งรอให้หมาถามว่าทำอะไร

    เพราะจำได้เสียงทุ้มต่ำจากด้านหลังที่เป็นของใคร จงอินเลยเลือกตอบแบบนั้น เขากำลังเบื่อที่ได้แต่ท้าวคางมองนู่นนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยตามภาษาคนที่ไม่ได้เป็นแกนนำกิจกรรมอะไรในปีก่อนๆ

    กวนตีนกูนี่อยากตายสินะ

    ก็ไม่เห็นตายสักทีนี่สุดท้ายเขาก็ต้องหันมาเผชิญหน้ากับคู่สนทนา ปาร์คชานยอลยืนอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ ชายเสื้อนักเรียนกับเนคไทด์สีแดงหลุดลุ่ย สูทสีเทาถูกพาดไว้ลวกๆบนไหล่ซ้าย เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวคงจะร้อนอยู่เอาการ

    มึงตกลงเป็นเชียร์ลีดเดอร์หรอวะ

    ชานยอลถามเรื่องที่เขาได้ยินมาจากแก๊งค์สาวสาวสาวที่ยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่หน้าห้องกิจกรรม ตอนแรกก็ไม่มั่นใจสักเท่าไหร่นักว่าใช่คิมจงอินคนเดียวกับที่เขารู้จักหรือเปล่า แต่เห็นพวกนั้นกรี๊ดกร๊าดสลับกับหันมองเจ้าตัวที่นั่งบื้ออยู่ตรงนี้เขาก็เลยได้ข้อสรุป ที่เดินมาถามเพื่อเอาความมั่นใจเท่านั้น ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนกันที่เขาอยากรู้เรื่องของคนอื่นนอกจากไอ้ลู่หานกับแบคฮยอน

    หือ?” จงอินขมวดคิ้วมองคนถามด้วยประโยคคำถามทางสายตาว่าอะไรเหรอ? ทำเอาชานยอลก็ต้องขมวดคิ้วตามไปด้วย เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ยืนทำหน้าเลียนแบบกันอยู่อย่างงั้น

    มึงตกลงเป็นเชียร์ลีดเดอร์ไปหรือยังไงถอนหายใจขยายความให้กับบัดดี้ของเขาพร้อมกับหาเหตุผลให้ตัวเองด้วยว่าทำไมถึงต้องเดินจากกลุ่มนักกีฬามาหาคิมจงอินเพื่อถามเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ด้วย

    เปล่านี่จงอินตอบออกไปด้วยความมั่นใจ แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังพยายามทบทวนว่าตัวเองเผลอไปตอบรับทีมเชียร์ลีดเดอร์ไปหรือเปล่า มันขนลุกไม่ใช่เล่นเลยถ้าต้องออกไปยืนเต้นแร้งเต้นกาต่อหน้าคนทั้งโรงเรียน

    "เอ้า กูเห็นไอ้พวกนั้นกรี๊ดกร๊าดดีใจยกใหญ่ที่มึงตกลงจะเต้นให้พวกมัน"

    "หาาาาาาา"

    "หาเหี้ยไรล่ะ" ชานยอลมองบัดดี้ของเขาที่ทำหน้าตาเหรอหรา จงอินตกใจเขาตกใจจริงๆที่อยู่ๆปาร์คชานยอลก็บอกว่าเขากลายเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของสีไปแล้ว

    "เดี๋ยวมา ไปปฏิเสธเขาก่อน"

    พอได้สติจงอินก็รีบลุกไปยังแก๊งค์สาวๆ(?)ที่ยืนจับกลุ่มคุยอยู่ตรงที่ปาร์คชานยอลบอก ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มยังไงดี เพราะดันเป็นเรื่องที่รับปากเขาไปแล้วด้วยจงอินไม่ถนัดหรอกนะกับการมาปฏิเสธคนย้อนหลังน่ะ

    เฮ้ยพวกมึงน่ะ...เสียงของปาร์คชานยอลดังขึ้นจากด้านหลัง เรียกความสนใจจากทุกคนตรงนั้นได้หมด แก๊งค์สามสาวมองจงอินทีชานยอลทีแล้วก็แต่แอบจิกมือกันอยู่ข้างหลัง ก็จะไม่ให้จิกมือได้ยังไง นี่มันคู่จิ้นสุดฟินที่กำลังมาแรงในช่วงนี้เลยนะยะ!

    ชานยอลมีอะไรกับพวกเราหรือเปล่า

    เด็กหนุ่มตัวสูง ถอนหายใจพรืดใหญ่ ถ้าเลือกได้เขาก็ไม่ค่อยอยากจะสุงสิงกับใครนักหรอกแต่ก็นั่นแหละเขาก็ยังหาเหตุผลที่มาทำตัวยุ่งเรื่องชาวบ้านอยู่แบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน

    จงอินไปเป็นปอมปอมเชียร์กับพวกมึงไม่ได้แล้ว

    อ้าว!!! จริงหรอจงอิน!!เสียงอ้าวพร้อมกันสามคนทำเอาเจ้าของเรื่องแสบแก้วหูถึงขั้นเผลอเบ้หน้า แต่สุดท้ายแล้วจงอินก็กลับมายิ้มอย่างรู้สึกผิดให้กับคนที่มาชวนเขาไปทำกิจกรรม ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากช่วย แต่ไอ้เรื่องที่ให้ช่วยนี่มันเหนือบ่ากว่าแรงเขาไปจริงๆ

    อือ อย่างที่ปาร์คชานยอลบอกนั่นแหละ

    ได้ไงอ่ะ!! ไม่ได้นะ.. !@#$!#$” เท่านั้นแหละจงอินได้แต่ทำหน้าเหวอ ตอนที่แก๊งค์สามหนุ่มน้อยพุ่งเข้ามาล้อมเขา ทั้งแย่งกันพูดทั้งดึงแขนเสื้อสูทจนไม่รู้ว่าจะทำยังไง มองบัดดี้ตัวสูงที่ยืนอยู่ไม่ห่างอย่างขอความช่วยเหลือ  ชานยอลเองมองความวุ่นวายตรงหน้าแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาแรงๆ เพราะความชุลมุนที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนแถวนั้นต่างก็พากันหันมอง แล้วยิ่งเห็นว่าเป็นใครก็ยิ่งสนใจกันมากขึ้นไปอีก

    เสียงรบเร้ากับสีหน้าลำบากใจของบัดดี้มันยิ่งทำให้เขาหงุดหงิด เขาไม่ชอบนักหรอกไอ้เรื่องบังคับให้ใครทำนั่นทำนี่ ยิ่งเจ้าตัวเขาออกปากปฏิเสธ(ถึงตอนแรกจะตอบรับก็เถอะ) เด็กหนุ่มก้าวยาวๆ ไปหยุดยืนอยู่ข้างคิมจงอินเล่นเอาเสียงแว้ดๆที่ดังอยู่ถึงเงียบกริบ

    ...อันที่จริงต้องเรียกว่าแถวนั้นเงียบกริบชนิดที่ทุกคนตั้งใจฟังว่าปาร์คชานยอลจะพูดอะไร

    ที่มันไปเป็นเชียร์ลีดเดอร์ให้พวกมึงไม่ได้ ก็เพราะว่ามันตกลงเป็นผู้จัดการทีมบาสให้กูไปแล้ว

    แต่ว่า…”

     

    ไม่มีแต่.. อย่า มา ยุ่ง กับ ผู้ จัด การ ทีม บาส ของ กู

     

    ประโยคเดียวเล่นเอางับปากฉับกันทั้งหมดทั้งมวล ที่สำคัญคือเทากับเซฮุนที่ปลีกตัวกลับมาหาเพื่อนสนิทดันได้ยินประโยคนี้เข้าพอดิบพอดีเสียด้วย เซฮุนกระตุกแขนเสื้อเทายิกๆ แต่ตอนนี้เทาเองก็ดูเหมือนจะนิ่งไปเหมือนกัน แล้วก็ไม่ทันได้มีใครได้คัดค้านอะไรอีก ปาร์คชานยอลก็จัดการจูงมือคิมจงอินไปทางกลุ่มนักกีฬาก่อนจะตะโกนเสียงดังจนได้ยินกันทั่ว

     

     

    นี่ไงผู้จัดการทีมของพวกมึงที่กูบอก ดูแลให้ดี ใครมายุ่มย่าม กระทืบได้เลย คำสั่งกู

     

     

    จงอินได้แต่กลอกตาไปมา จะเรียกว่าชินกับนิสัยของปาร์คชานยอลมันก็ไม่ถูก เขาแปลกใจมากเสียด้วยซ้ำที่อีกฝ่ายบอกคนอื่นเรื่องที่เขาเป็นผู้จัดการทีมบาส จงอินไม่เคยเล่นบาส อย่าว่าแต่บาสเกตบอลเลย นอกจากจักรยานที่ชอบปั่นเล่นกินลม เป่ากบก็เขายังไม่เคยลงแข่ง แล้วนี่จะให้มาเป็นผู้จัดการดูแลทีมบาสเกตบอลของสีงั้นหรอ

    นี่..ฉันไม่เคยเป็นผู้จัดการทีมให้ใคร

    ก็เป็นให้กูนี่ไง คนแรกหัดไว้

    แล้วเขาจะต้องหัดการเป็นผู้จัดการทีมไปเพื่ออะไรในเมื่อเขาไม่เคยคิดจะเข้าไปวอแวกับกีฬาชนิดไหนบนโลกเลยทั้งสิ้น จงอินอยากเป็นอยากวาดภาพ เขาใฝ่ฝันว่าจะเป็นจิตรกร มัณฑนากรหรือไม่ก็สถาปนิกที่ได้คิดอะไรไปเรื่อยๆ แล้วร่างมันออกให้ทุกคนได้เห็น  จงอินไม่ได้อยากไปเป็นโค้ชนักกีฬาทีมชาติไหนทั้งนั้น บางทีปาร์คชานยอลคงจะเข้าใจอะไรผิดไปแล้ว

    "ไม่ได้อยากหัด"

    "หัดไว้เถอะน่า เผื่อมีแฟนเป็นนักบาส มึงจะได้ดูแลเขาได้ไง"

    เสียงเป่าปากแซวดังต่อกันเป็นทอดๆจากนักกีฬาตัวแสบประจำสี หลายคนเป็นนักกีฬาโรงเรียนอยู่กับชานยอล จงอินได้แต่ขมวดคิ้วมองกลุ่มคนที่กำลังส่งเสียงหัวเราะดังลั่น ไม่เข้าใจว่ามันมีเรื่องอะไรให้ต้องขำนักหนา

    "ฉันไม่อยากมีแฟนนักกีฬา ยิ่งโดยเฉพาะแบบนาย มันดูเหมือนพวกชอบใช้กำลัง

    นอคดาวน์... ประโยคเดียวของคิมจงอินเล่นเอาหน้าสั่นกันทั้งหมู่คณะ เสียงหัวเราะหยุดกึกลงทันที นักกีฬาบาสเกตบอลต่างมองไปที่กัปตันทีมของตัวเองอย่างหวาดหวั่น ใครๆก็รู้ว่าพี่ชานยอลอารมณ์ร้อนแค่ไหน ความจริงก็คือมันเป็นอย่างที่คิมจงอินพูดนั่นแหละ ว่าพี่ชานยอลชอบใช้กำลังมากกว่าสมอง

    "มึงนี่ไม่ด่ากูสักวันไม่ได้ใช่มั้ย" เดินกอดอกเข้ามายืนตรงหน้าบัดดี้ของตัวเอง ชานยอลไม่ได้หงุดหงิดแบบที่อยากจะต่อย โกรธ หรืออะไรทำนองนั้น เขาแค่หงุดหงิดที่ทำไมระหว่างเราถึงไม่มีการคุยกันดีๆบ้าง การกวนอารมณ์โมโหของเขาเป็นงานอดิเรกของคิมจงอินหรือยังไงกัน ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายกลั้นหัวเราะจนตัวสั่นมันก็ยิ่งหงุดหงิด

    "อยากให้เป็นก็พูดกันดีๆสิ ฉันเคยบอกนายไปแล้วไง"

    คิมจงอินยิ้มให้กับปาร์คชานยอลที่ยืนอยู่หน้าหงิกงออยู่ตรงหน้า เขาไม่ได้คิดจะลืมหรอกว่าอีกฝ่ายช่วยเขาไว้ แต่จากประโยคที่ชานยอลพูดกับรุ่นน้องมันทำให้จงอินรู้ว่าบัดดี้ตัวสูงก็กำลังจะมาขอให้เขาช่วยเป็นผู้จัดการทีมด้วยเหมือนกัน

    กูไปช่วยมึงมาก็ตอบแทนกันบ้างสิวะ

    “.....”

    ชานยอลรู้สึกจนแต้มเมื่อคิมจงอินยังคงยืมล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วยิ้มให้เขาอยู่อย่างนั้น หงุดหงิดตัวเองเหมือนกันที่ดันหลุดปากพูดให้อีกฝ่ายได้ยินว่าเขาจะไปชวนคนคนนึงมาเป็นผู้จัดการทีม

    เร็วดิ ปาร์คชานยอล ไม่งั้นฉันปฏิเสธนะเอากะมันดิ ชานยอลเบื่อคิมจงอินที่โคตรรู้ทันคนนี้ชะมัด แล้วมันทำให้อะไรอะไรน่าหงุดหงิดมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัวเลยเหอะ

    มึงจะมากไปละนะคิมจงอิน

    งั้นฉันไปแล้วนะ

    จงอินหมุนตัวหันหลังกลั้นยิ้มเต็มกำลัง เขาพยายามอย่างมากที่จะไม่ให้ตัวสั่นแล้วเดินออกไปจากตรงนี้ แต่ก็ได้แค่สามก้าวเท่านั้นแหละ เสียงของปาร์คชานยอลก็ดังลั่นขึ้นมาเลย

     

    ช่วยเป็นผู้จัดการทีมบาสให้กูหน่อยดิ

     

    จงอินหัวเราะกับตัวเอง เขาเห็นเซฮุนกับเทายืนอยู่ไม่ไกล ไม่เข้าใจนักหรอกว่าทำไมถึงทำท่าทางเหวอๆขนาดนั้น แต่ก็ช่างเถอะ เดี๋ยวพวกมันก็เข้ามาถามเองนั่นแหละว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างโปร่งหมุนตัวกลับมามองใบหน้าหงิกงอของปาร์คชานยอลด้วยรอยยิ้ม

    ก็แค่นั้น ฉันตกลง…” เว้นระยะ พร้อมกับยิ้มกว้างให้กว่าเก่าเมื่อเห็นว่าบัดดี้ตัวสูงของเขาถอนหายใจดังแค่ไหนแล้วก็...ขอบคุณครับที่ช่วยกันเมื่อกี๊นี้

    ชานยอลนิ่งค้างไปแล้ว อันที่จริงต้องบอกว่าทุกคนแถวนั้นยิ้มค้างไปด้วย สิ่งเดียวที่ทุกคนรู้สึกตอนนี้คืออาการร้อนวูบวาบที่หน้า ไม่รู้ว่าอากาศมันร้อนหรือว่าบทสนทนาของคนที่ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนกันแน่ แม้กระทั่งแก๊งค์สาวสาวสาวที่เดินตามมากะจะเกลี้ยกล่อมจงอินอีกครั้งยังได้แต่ปิดหน้าปิดตาหันไปกรี๊ดกรี๊ดใส่กันเอง

    มึงแม่ง…” ไม่รู้ว่าควรจะสบถคำไหนออกมา เพราะตอนนี้ชานยอลกำลังร้อนไปหมด หน้าเขาก็ร้อน ตัวเขาก็ร้อน อากาศก็โคตรร้อน มันยิ่งทำให้เหมือนตอนนี้ตัวเขาแดงก่ำไปหมด กันไปมองพวกกลุ่มๆเด็กที่ไปคัดตัวมาก็ได้แต่แยกเขี้ยวใส่สายตาและรอยยิ้มล้อเลียนที่ส่งมา พอหันกลับมาก็พบว่าคิมจงอินกำลังเดินออกไปจากตรงนี้แล้ว

    จะไปไหนวะ?” ถามเสร็จก็ตวัดตาหันไปมองกลุ่มแก๊งค์หนุ่มน้อยที่ยืนกรี๊ดๆกันอยู่ตรงนั้นด้วยสายตาหงุดหงิด ไม่รู้ว่าจะกรี๊ดอะไรกันนักหนา ไม่รู้หรือไงว่าเสียงพวกแม่งน่ารำคาญบาดหูแค่ไหน ยัง..ยังจะยืนอยู่ไม่ไปไหนอีก มองอย่างขุ่นเคืองแล้วก็หันกลับมาสนใจผู้จัดการทีมบาสสีชมพูของเขา อ่ะ.. เดินไปนู่นแล้ว

     

    ไอ้ที่ให้อยู่ไม่อยู่ ไอ้ที่ไม่ควรอยู่ก็ยืนอยู่กันจังเลย เดี๋ยวเตะตุ๊ดอวดคนทั้งโรงเรียนเลยนี่

     

    กูถามว่าจะไปไหน หูแตกหรือไงวะ มึงนี่ต้อง…” จงอินไม่ได้ตอบเป็นคำพูด เขาแค่ชี้ไปทางโต๊ะม้าหินอ่อนที่มีกระเป๋านักเรียนของเขาวางอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยหวงจื่อเทาและโอเซฮุน

    อ้อ…” ปล่อยมือออกแล้วยกขึ้นเกาท้ายทอยอย่างแก้เก้อ จงอินส่ายหน้าให้กับคนขี้หงุดหงิดแล้วก็ใจร้อน ปาร์คชานยอลนี่พูดกี่ทีก็ไม่เคยจำ ถ้าหมอนี่รู้จักใจเย็นแล้วยืนดูสักนิด ก็จะรู้ว่าเขาแค่เดินไปที่โต๊ะเพื่อนหยิบของและพูดคุยกับเพื่อนสนิทเท่านั้น

    นายแค่ต้องรู้จักใจเย็นบ้างนะคิมจงอินพูดประโยคกับเขาแล้วเดินตรงไปยังโต๊ะที่ตัวเองนั่งอยู่ตอนแรก ชานยอลรู้สึกว่าเขากำลังแพ้ทางคนคนนี้ บัดดี้ของเขาเป็นคนประเภทที่เขาไม่เคยเจอ มันไม่ใช่ตุ๊ดน้อย หรือคนที่เขาจะรุกได้ มันไม่ใช่สาวน้อยที่ตัวเล็กน่ารัก แต่คิมจงอินมีอย่างอื่นที่ทำให้ชานยอลต้องอยากเข้าหาทั้งที่ตัวเองต้องมายืนหงุดหงิดเพราะโดนหลอกด่าอยู่แบบนี้

    เกิดอะไรขึ้นน่ะจงอิน?”  เซฮุนเอ่ยถามทันทีที่เพื่อนสนิทเดินตรงเข้ามาถึง หน้าตาดูจะเป็นกังวลเพราะก่อนหน้านี้มีรุ่นน้องเดินไปบอกทั้งเขาและเทาว่าปาร์คชานยอลพึ่งจะลากจงอินไปตรงส่วนนักกีฬา

    ไม่มีอะไรหรอก

    แล้วนายตกลงเป็นผู้จัดการทีมบาสให้หมอนั่นจริงหรอ”  หันไปพยักหน้าให้คำตอบแก่เทา จนทั้งคู่แต่ได้ถอนหายใจ ลองได้ตัดสินใจรับปากแล้วพวกเขาจะไปพูดอะไรได้ล่ะ ถ้ามันไม่เหนือบ่ากว่าแรงจงอินก็คงไม่ปฏิเสธ ยกเว้นไอ้เรื่องปอมปอมเชียร์ที่เขาเห็นเหตุการณ์ชุลมุนมาตั้งแต่ไกลๆ นั่นไว้อย่างนึงแล้วกัน

    ทำได้หรอ? นายไม่ชอบอะไรพวกนี้ไม่ใช่หรอ?”

    ก็หัดไว้...จงอินสะพายกระเป๋าพาดไว้บนไหล่ข้างหนึ่ง เอี้ยวตัวกลับไปมองก็พบว่าปาร์คชานยอลหันหลังกลับไปคุยกับเด็กๆที่สมัครเข้ามาแล้ว เขาได้แต่ยิ้มให้กับเรื่องตลกของบัดดี้ที่ตัวเขาเองก็สัมผัสได้

     

    เอาไว้เผื่อดูแลนักกีฬาของตัวเองน่ะ

     

     

     



     

     

     

    สวัสดี พี่ชื่อจงอินครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ”  จงอินยิ้มแล้วก็แนะนำตัวต่อหน้ารุ่นน้องที่กำลังนั่งหน้าสลอนอยู่เกือบยี่สิบคน ทุกคนต่างกระพริบตาปริบๆ มองแฟน(?)กัปตันด้วยความสงสัย แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา ส่วนไอ้เพื่อนในสายชั้นเดียวกันก็ได้แต่กลั้นขำกันจนตัวสั่น เรื่องของปาร์คชานยอลกับคิมจงอินที่ดังไปจนเขารู้กันหมดเลยนะว่าตอนไปทัศนศึกษามันหวานแหววกันขนาดไหน

    เดี๋ยววันนี้มาลงชื่อ แล้วก็ตำแหน่งที่อยากเล่น เหลืออีกสองเดือน เราจะซ้อมกันทุกเย็นสองอาทิตย์แล้วค่อยมาคัดตัวกัน

    ครับ!!!

    จงอินมองเด็กทุกคนที่ขานรับกันชานยอลด้วยสายตาทึ่งไม่น้อย อีกมุมหนึ่งของผู้ชายใจร้อนก็ดูจะมีความเป็นผู้นำอยู่มากโข เพื่อนทุกคนถึงได้ปล่อยให้ชานยอลเป็นคนพูดกับรุ่นน้อง

    ไอ้จงซอก!...จงอินสะดุ้งไปตามเสียงชานยอลตวาดเรียกรุ่นน้องม.ปลายปีสองที่ยืนโบกกระดาษพั่บๆอยู่ท้ายแถว เขาเห็นเด็กนั่นชี้ตัวเองก่อนจะเดินบ่นไม่หยุดมาหาลูกพี่ตัวเอง ขนาดอยู่ตรงหน้าจงอิน เด็กนี่ยังไม่หยุดบ่นเลย

    ลงชื่อกับตำแหน่งที่ไอ้หน้าลิงนี่ เสร็จแล้วแยกย้ายได้ เจอกันพรุ่งนี้เตรียมตัวมาให้พร้อม

    อ้าว  จงอินกับจงซอกมองปาร์คชานยอลที่ยืนเต๊ะท่าล้วงกระเป๋าสั่งรวดเดียวจบ ทั้งคู่ต่างเกิดคำถามเดียวกัน

    ... แล้วเอาคิมจงอินมาเป็นผู้จัดการทีมทำไม ...

    เอ้า! เร็วดิเฮ้ย! กูโหดนะครับ! ยิ่งร้อนๆอยู่! ตะคอกเสียงดังจนเด็กๆต่างพากันสะดุ้งโหยงรีบต่อแถวเข้าเซนต์ชื่อ กลุ่มเพื่อนที่เล่นกีฬาด้วยกันได้แต่ส่ายหน้าให้กับความบ้าบอของหัวหน้าทีม ไม่รู้ว่าปีนี้มันจะออกมาอีหรอบไหนเหมือนกัน

    กลับ

    จงอินขมวดคิ้วมองปาร์คชานยอลที่วันนี้ทำท่าเป็นอันธพาลมากกว่าทุกวัน นอกจากจะพูดไม่ดี หมอนี่ยังลากเขาไปไหนมาไหนตามใจตัวเองมากเกินไปแล้ว เด็กหนุ่มขืนเอาไว้ไม่ได้ปล่อยตัวไปตามแรงดึง แน่นอนว่าเขาก็เป็นผู้ชายนี่ เพราะฉะนั้นตอนนี้ปาร์คชานยอลเลยหยุดออกแรง แล้วหันมาจ้องหน้าเขาแทน

    ไม่กลับ

    แล้วจะอยู่ทำอะไรวะ

    "ทำตัวให้เป็นประโยชน์ไง"

    เดี๋ยวนะ...ชานยอลทำหน้าเซ็งใส่คิมจงอินเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ในช่วงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา เขารู้สึกว่ากำลังโดนท้าทายด้วยการเหยียบอยู่บนแนวสั้นดั้ง จะทุบก็ทุบไม่ลง

    "นายบอกว่าฉันเปฺนผู้จัดการทีม หน้าที่นี้ก็ควรให้ฉันทำ"

    "แล้วมึงรู้หรือไงว่ามันมีตำแหน่งอะไรบ้างชานยอลถอนหายใจออกมาแรงๆ ที่เขาไม่ให้คิมจงอินทำก็เพราะเห็นว่าหมอนี่ยังไม่รู้เรื่องอะไร

    คนไม่รู้ไม่ได้หมายความว่าจะต้องโง่นี่ เหมือนที่นายวาดรูปไม่เป็น ฉันยังไม่เคยว่านายโง่

    มึงไม่ต้องทำหน้าราวกับจะบอกกูว่าแต่ในใจฉันคิดก็ได้

    อ้าว เผลอทำหน้าแบบนั้นไปหรอยิ่งเห็นว่าปาร์คชานยอลหัวเสียจงอินก็ยิ่งสนุก ตลอดหนึ่งเดือนที่มีอีกฝ่ายวนเวียนอยู่ใกล้ๆ หรือแม้กระทั่งในช่วงเวลาที่พูดคุยกันบ้างทางโทรศัพท์ เขาสังเกตมาโดยตลอดว่าเวลาหัวเสียจะเป็นช่วงเวลาที่บัดดี้ของเขาตลกที่สุด จงอินกลั้นขำเอาไว้แทบไม่ไหวตอนที่ได้ยินผู้ชายขี้บ่นสบถเรื่องเขากวนตีนตลอดเวลา

    ช่วยกันสิครับคุณกัปตันทีม มันเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอที่นายจะใส่ใจคัดกรองตั้งแต่ขั้นแรกด้วยตัวเอง

    จงอินพอจะมองออกว่าทำไมปาร์คชานยอลถึงให้จงซอกเป็นคนจัดการเรื่องนี้เสียก่อนทั้งที่ปกติแล้วมันคงเป็นหน้าที่ของผู้จัดการทีมหรืออีกตำแหน่งมันก็เจเนอรัลเบ๊นั่นแหละ แต่เขาไม่เห็นด้วยที่ชานยอลจะหนีกลับบ้านตั้งแต่ตอนนี้

    ดูเหมือนว่าคุณกัปตันและแฟน(?)กัปตันจะลืมไปว่าตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในส่วนของการจัดหานักกีฬาของสี ดังนั้นทุกคนต่างก็เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจนรวมถึงประโยคโต้ตอบที่ไม่เคยมีใครได้ยิน ทุกคนเบิกตากว้างมากเมื่อคิมจงอินยังอยู่รอดปลอดภัยหลังจากกวนตีนปาร์คชานยอลอยู่นานสองนาน แถมยังเล่นเอาเด็กชายตัวสูงพูดอะไรไม่ออกอีกด้วย

    มึงถนัดกับการทำอะไรอ้อมค้อมหรือไงวะ

    ชานยอลยืนขมวดคิ้วมองไอ้คนที่ทำตัวกวนตีนแต่ก็มีเหตุผลตลอดเวลาอยู่นานสองนาน เขาไม่เคยเข้าใจหรือตามคิมจงอินทันเลยสักครั้ง พอคิดว่ามันจะคิดแบบนี้ไอ้หมอนี่ดันคิดออกไปอีกแบบหนึ่ง มันไม่ใช่การคิดที่แปลกประหลาดแต่ว่ามันเป็นความคิดที่คนมักจะคิดไม่ถึงเสียมากกว่า

    “ฉันไม่เคยทำอะไรอ้อมค้อม แค่นายใจร้อนเองต่างหาก”

    สุดท้ายชานยอลก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้เพราะขี้คร้านจะเถียงแล้วก็พากันเดินกลับไปบริเวณที่กำลังลงชื่อ จงซอกกับรุ่นน้องคนอื่นสะดุ้งโหยง มีแค่เพื่อนนักกีฬาด้วยกันเท่านั้นแหละที่ได้แต่ยิ้ม เมื่อรู้สึกว่าปาร์คชานยอลดูจะหัวอ่อนกับผู้จัดการทีมคนนี้เหลือเกิน

    ทุกคนต่างหันไปเอาคำตอบกับลู่หานและแบคฮยอนที่ได้ยืนส่ายหน้าอย่างไม่มีคำตอบให้  พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงเหมือนกัน ไม่รู้ว่าช่วงเวลาหนึ่งเดือนนับตั้งแต่ไปทัศนศึกษากันมา ไอ้สองคนนี้มันสนิทสนมกันไปถึงขั้นไหนแล้วเหมือนกัน

     

     เพราะนี่พึ่งเป็นวันแรกที่ประกาศรวมสี โรงเรียนตอนหกโมงเย็นไม่ค่อยมีคนเหลือสักเท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกเด็กที่เล่นกีฬาเสียส่วนใหญ่ ซึ่งนั่นนับว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ไอ้ที่ทุกคนกำลังจับตามองอยู่ตอนนี้คือคู่จิ้นที่ตอนนี้มันกลายเป็นไฟลามทุ่งไปแล้วจากเหตุการณ์เมื่อช่วงตอนเข้าสี

    “ไม่เห็นจะต้องมองแบบนั้น” จงอินละสายตาออกจากกระดาษรายชื่อที่พวกเขาพึ่งจะลงทะเบียนเสร็จไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่จะไม่ให้ชานยอลแปลกใจได้ยังไง ในเมื่อบัดดี้ของเขาสามารถเลือกคนได้ค่อนข้างเหมาะสม

    “ฉันควรจะต้องแปลกใจไม่ใช่หรือไง..” ชานยอลยังคงพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ “กับคนที่บอกว่าไม่ชอบ ไม่รู้แต่ดันสามารถเลือกนักกีฬาได้ดีระดับหนึ่งขนาดนี้”  มองบัดดี้ของเขาที่หันหน้าออกมองนู่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย พวกเรานั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนตัวเดิมที่ใช้ลงชื่อนั่นแหละ

    “นี่..ปาร์คชานยอล” จงอินหันกลับมามองบัดดี้ของเขาที่ยังคงส่งสายตาไม่เข้าใจมาให้อย่างไม่ปิดบัง “ก็บอกแล้วไง ไม่ชอบ ไม่รู้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันโง่”

    ชานยอลสาบานว่าเขาทำหน้าเซ็งโลกใส่มันทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้น บางทีการตามคำพูดของคิมจงอินให้ทัน คือการคิดอะไรให้ครอบคลุมคำพูด ไม่ชอบ ไม่รู้ แต่มันไม่ได้บอกว่าไม่รู้อะไร งี้งั้นดิ โคตรหงุดหงิดเวลาต้องมาคุยกับคนที่พูดอะไรไม่เคลียร์ชะมัด ละเป็นไงกูโดนหลอกด่าซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่เนี่ย

    “ฉันรู้แค่ผิวเผิน ไม่ได้รู้ลึก ถ้านายไม่ได้ความจำสั้นจนเกินไป เมื่อเทอมสองของปีที่แล้วพวกเราพึ่งเรียนกีฬาบาสไปนะปาร์คชานยอล”

    เป็นคำเฉลยทั้งหมดได้ดี ทำไมชานยอลจะจำไม่ได้ว่าพวกเขาเรียนอะไรกันไปเมื่อปีที่แล้วมันเป็นครั้งแรกที่เขาไม่ต้องพยายามอ่านหนังสือเพื่อนสอบให้ผ่านวิชาพละศึกษา เพราะขนาดในการสอบข้อเขียน ชานยอลก็ยังทำมันได้ดี

    จงอินไม่ได้หยุดสายตาเอาไว้ที่ปาร์คชานยอล เขายังคงมองไปรอบโรงเรียนอย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไร อยู่ๆก็รู้สึกใจหายขึ้นมาชอบกลเมื่อรู้สึกว่าอีกไม่กี่เดือนเขาก็ต้องจากโรงเรียนนี้ไปแล้ว ถึงเขาจะมีสังคมเพื่อนไม่เยอะสักเท่าไหร่ก็เถอะ แต่เด็กหนุ่มก็ถือว่าเพื่อนที่เขามีเป็นคนดี ร่วมถึงเพื่อนที่พึ่งรู้จักกันหมาดๆ หนึ่งเดือนอย่างปาร์คชานยอลด้วย

     “กูสงสัย...” เสียงของปาร์คชานยอลเรียกสายตาเขากลับมาอีกคน แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าบัดดี้ของเขามีสีหน้าจริงจัง มันไม่ใช่สีหน้าเหมือนตอนหงุดหงิด แต่ปาร์คชานยอลกำลังจริงจัง

    “พูดเพราะๆสิเดี๋ยวจะตอบ”

    -_____- ขนาดทำหน้าเครียดชานยอลก็ยังไม่วายโดนมันกวนอารมณ์เข้าให้ ไม่รู้จะทำยังไงกับคิมจงอินแล้วจริงๆให้ตายเถอะ

    “นายเป็นคนใจเย็นแบบนี้ทุกเรื่องเลยหรือไง” จงอินเลิกคิ้วมองด้วยความแปลกใจกับสรรพนามที่สุภาพขึ้นเพียงเพราะต้องการคำตอบทั้งที่มันไม่ใช่คำถามที่น่าจริงจังสักเท่าไหร่นัก  

    “ฉันไม่ได้ใจเย็น สโลว์ไลฟ์ นายรู้จักมั้ย? ฉันแค่ไม่ชอบเร่งรีบ”  แล้วมันต่างกับใจเย็นยังไงวะ? และเหมือนว่า สีหน้าของเขาจะเต็มไปด้วยคำถามจนเกินไปจนอินถึงได้พูดต่อ “คนใจเย็นสำหรับฉันคือคนที่สามารถจัดการกับอารมณ์ของตัวเองแม้ในคณะที่กำลังโกรธหรือไม่พอใจ ซึ่งตัวฉันไม่ได้เป็นคนแบบนั้น”

    “อ้าว..กูนึกว่ามึงเป็นคนแบบนี้มาตลอด”

    จงอินหลุดหัวเราะออกมาเพราะปาร์คชานยอลพูดแบบนั้น ใครต่อใครหลายคนชอบพูดว่าเป็นจงอินนี่ใจเย็นจังเลย หรือไม่ก็จงอินเป็นคนใจเย็น อะไรทำนองนั้น แต่ความจริงแล้วเขาเปล่าเลย

    “ฉันก็แค่ปล่อยให้ทุกอย่างมันไหลผ่านไปด้วยความเอื่อยเฉื่อย ไม่ได้เก็บอะไรมาใส่ใจ แต่ถามว่าหงุดหงิดมั้ยก็ใช่ แต่ก็มีวิธีระบายออกในรูปแบบของตัวเอง”

    อึ้งไปเลย... ชานยอลไม่เคยคิดว่ามาก่อนว่าจะมีคนที่ดูจะเข้าใจยากบนความเรียบง่ายของเจ้าตัวอยู่แบบนี้บนโลกด้วย คิมจงอินเปิดโลกของเขามากจริงๆ มันเหมือนจะเข้าใจแล้วก็ดูสับสนในบุคลิกของเจ้าตัวไปพร้อมๆกัน

    “วิธีระบายความหงุดหงิดของนายนี่ยังไง?” ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีเจ้าหนูจำไมให้เขาได้ตอบคำถาม แต่จงอินก็ไม่ได้เบื่อหรอกนะ ถ้าอยากจะตอบเขาก็จะตอบให้ เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเองที่เขารู้ดีที่สุด

    “กวนตีนนายไง”

    ซึ้งดีมั้ยล่ะแหม... รู้จักกันเดือนเดียวกลายเป็นที่ระบายความเครียดให้เขาไปแล้ว นี่กูจะดีใจดีมั้ยล่ะ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายหัวเราะเสียงดังก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ คิมจงอินนี่มันเป็นห่าอะไรกับการชอบกวนตีนกูนักวะ เดี๋ยวก่อนมึง เดี๋ยวมึงไม่ได้ตายดี

    “ฮ่าๆๆ ไม่เห็นต้องทำหน้าอยากฆ่ากันขนาดนั้นเลย”

    “ยังมึงยัง ยังไม่หยุดตลก”

    “ฉันล้อเล่นน่า... โอ้ย หัวเราะจนปวดท้องละเนี่ย” ถึงจะพูดแบบนั้นก็ตามที แต่จงอินก็ยังขำอยู่ดี จนเห็นว่าปาร์คชานยอลง้างมือขึ้นเตรียมจะทุบลงบนหัวเขานั่นแหละถึงได้ยอมหยุดหัวเราะ “ถ้าปกติก็แค่นั่งฟังเพลงไปเรื่อยๆ แล้วก็วาดรูป หรือไม่ก็บ่นให้ใครสักคนฟัง”

    “อย่างมึงเนี่ยหรอเป็นคนขี้บ่น”

    “เปล่าฉันไม่ใช่คนขี้บ่น อย่างฉันเขาเรียกระบายความในใจ...แต่อย่างนาย...” จงอินชี้มือไปที่บัดดี้ของเขาที่เลิกคิ้วมองแล้วชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “อย่างนายน่ะ เขาเรียกผู้ชายขี้บ่น”

    “ละมึงเป็นบ้าอะไรจะต้องหลอกด่ากูทุกประโยคเนี่ย”

    จงอินยิ้มกับบัดดี้ของเขาที่ยังคงนั่งหน้าหงิก นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเรานั่งคุยกันจริงๆจังๆแบบนี้  พวกเรานั่งคุยกันมากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว และเขาก็คิดว่ามันถึงเวลาที่สมควรจะกลับบ้านเสียที

    “กลับกันเถอะ แม่ฉันคงไม่ดีใจที่ลูกชายกลับบ้านช้าแน่ๆ”

    “อะไรวะ หลอกด่ากูแล้วก็กลับงี้หรอ” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ชานยอลก็ลุกขึ้นยืนเหมือนกัน เขายืนรอคิมจงอินที่หน้าประตูเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าต้องเดินไปเอาจักรยาน แค่ครู่เดียวบัดดี้ที่เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการทีมบาสก็เดินเข็นจักรยานออกมาจนถึงหน้าโรงเรียน

    วันนี้คิมจงอินไม่ได้ขึ้นไปนั่งอยู่บนนั้น แต่หมอนั่นค่อยๆเข็นมันไปพร้อมกับเดินกลับบ้านพร้อมกัน ผู้คนหน้าโรงเรียนแทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว จงอินหยุดยืนบริเวณป้ายรถเมล์ที่อยู่เลยโรงเรียนมาหน่อย แล้วหันไปถามคนที่เดินมาด้วยกัน

    “ปกตินายกลับบ้านยังไง?”

    ชานยอลไม่ได้ตอบในทันที เพราะปกติแล้วถ้าเขาอยู่โรงเรียนจนเย็นแบบนี้ก็คงจะไปหาอะไรกินที่ร้านก๋วยเตี๋ยวกับเพื่อนที่เล่นบาสแล้วเดินกลับบ้านทางเดียวกัน  แต่วันนี้คนที่อยู่กับเขาดันเป็นคิมจงอินที่มีจักรยานแล้วบ้านก็อยู่คนละทางด้วย

    “เดินกลับ”

    สุดท้ายก็เลือกจะตอบออกมาแบบนั้น จงอินแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรแล้วเขาก็เริ่มออกเดินต่อ พวกเขาเดินข้างกันมาเงียบ ๆ ชานยอลก็ยังคงแต่งตัวไม่เรียบร้อย เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวดำหลุดลุ่ยออกมาจากกางเกงครบถ้วน เสื้อสูทถูกกำไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง พร้อมกับอีกค้างที่จับสายสะพายกระเป๋าเป้เอาไว้ข้างเดียว ผิดกับคิมจงอินที่ยังคงแต่งตัวเรียบร้อย แม้จะหมดเวลาเรียนมาตั้งแต่บ่ายสามโมงเย็นแล้วก็ตามที

    เกือบยี่สิบนาทีที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา  พวกเราเดินมาถึงทางแยกที่คิมจงอินต้องข้ามทางม้าลายเพื่อกลับบ้าน ส่วนชานยอลต้องเลี้ยวซ้ายเพื่อกลับบ้านตัวเองเช่นเดียวกัน จงอินหันมายิ้มให้กับบัดดี้ของเขา เกือบจะเข็นจักรยานข้ามถนนไปแล้วตอนที่สัญญาณไฟเปลี่ยน แต่ก็ติดที่ว่าปาร์คชานยอลดึงท้ายจักรยานเอาไว้เสียก่อน จนเขาต้องหันไปมอง

    “พรุ่งนี้...”

    “พรุ่งนี้?”

     

     

     

    “เดี๋ยวกูรอตรงนี้ แล้วไปโรงเรียนพร้อมกัน”

     

     

     

    จงอินกระพริบตาปริบมองคนที่ชวนเขามาโรงเรียนเสร็จแล้วก็หมุนตัวเดินลิ่วๆจากไปทันที ปาร์คชานยอลควรรอฟังคำตอบหรือไม่ก็ควรจะนัดกันให้ดีเสียก่อนที่จะเดินจากไปแบบนั้นไม่ใช่หรือยังไง?หรือเขาควรจะเคยชินกับการที่หมอนั่นเอาแต่ใจแบบนี้ดี? เอาเถอะ เดี๋ยวคืนนี้ค่อยโทรไปนัดกันให้ดีอีกทีนึงก็ได้

     

     

     

     






     

    #ฟิควงกลมชานไค

    โอ๊ยยยยยยยยอยากมีคนชวนไปโรงเรียนพร้อมกันบ้างอ่ะ

    55555555555555555555555555555555 ขำยาววววยาววววววว นี่ทำตัวหนาแท็กไอ้พระเอกฟิคเลยนะคะ นางโวยวายหาแท็กฟิคไม่เจออ่ะ ทั้งที่เราเป็นคนใส่แท็กฟิคไว้ท้ายเรื่องทุกตอนแท้แท้

    อิ้_________________อิ้ ขอบคุณทุกคนมากนะคะที่แวะเข้ามาอ่าน แวะเข้ามาติชม แวะเข้าไปสกรีมในแท็กด้วยยย เราจำคนอ่านของเราได้นะ ทั้งคนเม้นท์แล้วก็คนสกรีมในฟิค อยากพูดคุยกันก็ไปคุยกันได้เลยยยยยย ในอาคส์ก็ได้น้า เรามีอาคส์ หรือไม่ก็ในแท็กนั่นแหละ หรือไม่ก็เมนชั่นไปติชมได้เลยยยย

    ขอบคุณอีกครั้งน้า วันนี้ไปแล้ว สวัสดีคับ

         CR.SQW

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×