คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : CHAPTER 4
TITLE
CYCLE
PAIRING
: CHANYEOL X KAI
เราอาจจะเคยได้ยินคำพูดว่าเหรียญมักจะมีสองด้านเสมอคนเราก็เช่นกัน
แต่ผมกลับรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เป็นโรงกษาปณ์ที่คอยผลิตเหรียญออกมา
แล้วผมก็เดาไม่ออกว่ามันจะเป็นเหรียญอะไร
Chapter 4
จื่อเทากับเซฮุนแทบจะนั่งไม่ติดที่
หลังจากที่มันเลยเวลาอาหารเย็นมาได้พักใหญ่แล้ว
แต่ว่าเขากลับติดต่อเพื่อนรักของตัวเองไม่ได้สักที
พออาจารย์ที่ปรึกษามาถามก็กลายเป็นต้องแถว่าออกมารอคิมจงอิน
เพราะไอ้เพื่อนตัวดีมีของให้ช่วยถือเข้าห้องพัก ถึงมันจะดูเป็นเหตุผลที่โง่เง่าแต่ก็พอจะขายผ้าเอาหน้ารอดไปได้
เทาอยากรู้ว่าไอ้บัดดี้สุดขั้วมันพากันไปถึงไหน
นี่ถ้าสองทุ่มแล้วยังไม่ถึงที่พักเรื่องมันต้องแดงขึ้นมาแน่ๆ
“เอาไงดีเทา…” เซฮุนหันมามองแฟนตัวเองด้วยความกังวล
อีกสิบนาทีจะสองทุ่มแล้ว แต่เพื่อนสนิทเขาก็ยังไม่มีวี่แววจะกลับมา
ไม่ใช่ว่าโดนปาร์คชานยอลอะไรนั่นฆ่าหมกป่าไปแล้วนะ?
“นายรอสองคนนั้นอยู่นี่…” หันไปมองทางเดินเข้ามายังตัวรีสอร์ทเป็นระยะ
เทากำลังคิดว่าจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี “เดี๋ยวฉันมา
ถ้าสองคนนั้นมาถึงก็ให้รีบโทรฉันทันทีนะรู้มั้ย” เซฮุนพยักหน้ารับ
แล้วมองเทาที่หมุนตัวกลับเข้าไปด้านใน ใจนึงก็โมโห แต่อีกใจนึงก็เป็นห่วง
เทาเดินกลับมาพร้อมด้วยลู่หานกับแบคฮยอน
ตอนนี้ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนกันหมด
เซฮุนเห็นว่าลู่หานกับแบคฮยอนช่วยกันกดโทรศัพท์ไม่หยุดเช่นเดียวกับเทา
แต่ว่าผลลัพธ์จากการโทรศัพท์หาทั้งสองคนเป็นเหมือนกัน
….ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก….
“เอาไงดีวะ? มึงโทรหาไอ้ชานยอลติดมั้ย?”
ลู่หานหันไปถามแบคฮยอนก็ได้แต่ส่ายหน้าพลางก้มหน้ากดโทรศัพท์ต่อไปอีกครั้ง รัวไลน์ไปก็ไม่มีใครอ่าน
กับชานยอลน่ะไม่เท่าไหร่ แต่กับจงอินน่ะเลิกคิดไปได้เลย คนที่อ่านไลน์สี่ชั่วโมงครั้งแบบหมอนั่น
ไม่ต้องไปคิดอะไรถึงเรื่องแบบนี้มากนักหรอก
มองหน้ากันอย่างจนใจว่าจะทำยังไงดี
นี่ก็ใกล้จะสองทุ่มเข้าไปทุกทีแล้ว
จนสุดท้ายเทาถึงได้ตัดสินใจว่าจะเดินเข้าไปบอกอาจารย์ว่าเพื่อนหายไปสองคนยังไม่กลับมา
แต่ก่อนที่ทุกคนจะหมุนตัวเข้าไปในอาคาร เสียงหัวเราะดังลั่นมาจากสุดทางเดินก็ทำให้พวกเขาหันไปมองเป็นตาเดียวกัน
ตอนที่เห็นว่ามันเดินจูงจักรยานคุยกันมาหัวร่อต่อกระซิก
สาบานได้ว่านาทีนั้นจื่อเทาอยากจะวิ่งเข้าไปแล้วกระโดดถีบขาคู่ใส่ให้จักรยานที่มันเดินเข็นมาคู่กันล้มไปข้าง
นี่พวกกูเป็นห่วงอะไรกันอยู่เหรอครับ?
เป็นไงล่ะครับ ใบ้แดกกันครบเซตเลยทีนี้ หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
ส่งคำถามกันทางสายตาว่าเกิดอะไรขึ้นหรอ? แล้วที่พวกกูกระวนกระวายเมื่อกี๊นี้คืออะไรหรอ?
“อ้าว..มายืนทำอะไรกันอยู่ตรงนี้” มึงไม่มีสิทธิ์มาถามด้วยสีหน้าแปลกประหลาดใจขนาดนั้นนะครับคิมจงอิน
กูสิครับต้องถามว่าทำไมพวกมึงถึงกลับกันมาเอาป่านนี้
จื่อเทาคิดว่าถ้าเขากลอกตาจนมันขึ้นรูปได้เขาจะทำเป็นรูปหอไอเฟล ให้ตายเถอะ
“นั่นดิ
แล้วมึงสองคนมายืนกับเพื่อนจงอินได้ไง”
กลายเป็นสาดน้ำมันมะพร้าวเข้ากองเพลิงกันไปใหญ่เมื่อปาร์คชานยอลหันไปถามเพื่อนสนิทของตัวเอง
เป็นบัดดี้กันสองวันที่มีขึ้นเรียกชื่อเฉยๆ เพื่อนสนิทจงอิน
นี่พวกกูสี่คนพลาดอะไรกันไปหรือเปล่า?
อ๋อแน่สิพลาดไปมากแน่ๆ
สองวันกับอีกหนึ่งคืนที่พวกมึงใช้เวลาด้วยกันโดยไม่มีพวกกู นี่มันต้องมีอะไรแน่ๆ
“หายไปไหนมา รู้มั้ยว่ามันดึกแล้ว
ฉันกับจื่อเทาเป็นห่วงนายแทบแย่”
สุดท้ายก็เป็นเซฮุนที่หาเสียงเจอก่อนใครเพื่อน
เขาตรงเข้าไปหาจงอินที่พิงจักรยานไว้กับช่วงสะโพกตัวเอง
ทั้งที่เจ้าตัวก็ยังคงมีสีหน้างุนงงว่าตกลงนี่มันมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า
“ฉันส่งข้อความมาบอกพวกนายแล้วไง”
หืม…?? เล่นเอาค้างกันทั้งหมู่คณะ
จื่อเทาขมวดคิ้วแน่นมองเซฮุนที่หันมาหาเขาอย่างต้องการคำตอบ
จงอินมองเพื่อนที่ยังคงทำหน้าตาบึ้งตึงแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
ลืมไปเหมือนกันว่าเพื่อนของเขาไม่ค่อยเช็คอะไรพวกนี้ ส่วนใหญ่ก็เล่นกันแต่ SNS
เท่านั้น
“ข้อความน่ะ ได้กดเข้าไปดูหรือเปล่า”
ตอบสั้นๆแค่นั้น ทั้งเทาทั้งเซฮุนก็รีบคว้าโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูทันที
แล้วก็ต้องหน้าเจื่อนกันไปทั้งคู่เพราะว่าจงอินส่งมาอย่างที่บอกจริงๆ
แต่ถึงจะอย่างงั้นก็เถอะ
“แล้วทำไมถึงกลับกันมาดึกขนาดนี้วะ
มึงก็แบตหมอหรอชานยอล”
“เออ หมดตั้งแต่บ่าย ของกูใช้ถ่ายรูป”
ลู่หานกับแบคฮยอนเลิกคิ้วมองเพื่อนของตัวเองที่บอกว่ามือถือใช้ถ่ายรูป
ทั้งที่ไหล่ซ้ายมึงยังสะพายกระเป๋ากล้องโปรอยู่น่ะหรอครับเพื่อน?
“เอาเถอะ กลับกันมาก็ดีแล้ว
พวกเราเป็นห่วงนายจะแย่อยู่แล้ว” เซฮุนที่เห็นว่าเพื่อนไม่เป็นอะไรก็ไม่คิดจะถามให้มันมากความไปกว่าเดิมนักหรอก
ผิดกับเทาที่ยังคงกอดอกยืนมองด้วยสายตาที่ประเมินไม่ออก
เช่นเดียวกับลู่หานและแบคฮยอนที่มองชานยอลไม่วางตาเหมือนกัน
“งั้นก็เข้าข้างในกันเถอะ” สุดท้ายก็เป็นเทาที่ทิ้งความสงสัยเอาไว้เสียก่อน
เพราะดูท่าเพื่อนของเขาจะเหนื่อยมาก จงอินที่เห็นด้วยก็ได้แต่พยักหน้า
เซฮุนที่เป็นห่วงจงอินไม่แพ้กันเดินมาขนาบข้างช่วยเอากระเป๋าเป้ของจงอินไปถือเอาไว้
“พวกนายกินอะไรกันมาแล้วใช่มั้ย ฉันไม่รู้…”
“พาไปแวะกินมาแล้ว” คำตอบของปาร์คชานยอลเล่นเอาใบ้แดกกันอีกครั้ง
คราวนี้ขาตายกันทั้งคณะ
มีแค่ตัวต้นเรื่องอย่างสองคนนี้ที่ยังคงทำหน้ามึนไม่ได้สนใจโลก
เซฮุนเดินถือกระเป๋าของจงอินแล้วก้าวฉับๆ
มาหาเทาที่เดินนำหน้าอยู่เล็กน้อยอย่างรวดเร็ว
จงอินส่ายหัวมองเพื่อนสนิทที่เดินนำเขาไปแล้วด้วยความไม่เข้าใจ
วันนี้ทั้งเทาทั้งเซฮุนดูแปลกไปมาก ไม่ใช่แค่สองคนนี้
เพื่อนของปาร์คชานยอลที่มาร่วมกลุ่มยืนรอพวกเขาหน้ารีสอร์ทก็เหมือนกัน
พอหันไปส่งสายตาเอาคำตอบจากบัดดี้ของตัวเองก็ได้แต่อาการยักไหล่พร้อมกับหน้าตาไม่สนใจกลับมาก็เท่านั้น
“เดี๋ยวฉันเอาจักรยานไปคืนเอง
นายเอาของไปเก็บที่ห้องเลยก็ได้”
“ไม่เป็นไร ไปพร้อมกันนี่แหละ”
จงอินตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนจะตะโกนบอกให้เซฮุนกับเทายืนรออยู่ตรงนั้นก่อน
หันมามองหน้าบัดดี้ของตัวเองที่ยืนทำหน้าหงิกก็ได้แต่ส่ายหน้า
ไม่รู้ว่าปาร์คชานยอลจะหงุดหงิดอะไรนักหนา
“นายจะเข็นรถไปคืนเขาพร้อมกันสองคนได้ยังไง
ฉันไม่ได้ใจร้ายกับบัดดี้ขนาดอยากจะแกล้งทั้งวันหรอกนะ”
ชานยอลเลิกคิ้วมองคนที่พูดออกมาหน้าตาเฉยว่าแกล้งกันมาทั้งวันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำว่า
อ้อเหรอ? นี่กูต้องขอบคุณมึงมั้ย ที่จิตใจดีไม่แกล้งกูทั้งวัน
ส่วนที่แกล้งให้กูปั่นจักรยานทัวร์รอบเกาะ เดินขึ้นเขา
แล้วยังจะต้องไปนั่งให้ยุงแดกอยู่เร็มทะเลเป็นเพื่อนมึงนี่ กูควรจะดีใจสินะครับ
คิมจงอิน
“เร็วสิครับ เดี๋ยวคืนนี้ก็ไม่ได้เลือกรูปที่จะวาดกันพอดี”
สั่งนัก!
เดี๋ยวก็หักคอทิ้งตรงนี้เลย
โดยปกติแล้วชานยอลไม่ค่อยชอบให้ใครมาออกคำสั่งกับเขาสักเท่าไหร่นักหรอก
แต่ดูเหมือนว่าคิมจงอินจะได้รับสิทธิพิเศษนั้นไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
หลังจากที่พวกเรากลับมาถึงโรงแรม
ท่ามกลางสายตาตื่นตระหนกและเต็มไปด้วยคำถามของเหล่าผองเพื่อนเทเลทับบี้ผู้น่ารัก
จงอินกับชานยอลก็ไม่คิดว่าพวกเขาควรจะไปนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่กลางห้องอาหารเพื่อตอบคำถามของครูอาจารย์อีก
“นายไม่หิวแน่นะ?”
“กูไม่เคยบอกหรอวะว่าไม่ชอบคนซ่ำแซะเนี่ย” จิ๊ปากอย่างขัดใจ
ตอนที่บัดดี้ของเขาหันมาถาม ระยะทางจากห้องประชุมถึงห้องพักนั้นค่อนข้างไกลพอสมควร
หลังจากที่เก็บของและจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว พวกเขาต้องเดินกลับมายังห้องประชุมรวมเพื่อรับกำหนดการณ์สำหรับพรุ่งนี้ก่อนจะแยกย้ายกันกลับเข้าที่พักตัวเอง
“ไม่รู้จักคำว่าเป็นห่วงหรอปาร์คชานยอล”
ชานยอลคงคิดว่ามันเป็นประโยคโรแมนติกที่เคยเห็นสาวๆพูดกับแฟนในที่สาธารณะตอนที่งอนง้อกัน
แต่กับคิมจงอินนี่ฝันไปได้เลยว่ามันจะหมายความว่าอะไรทำนองนั้น ไม่รู้จักคำว่าเป็นห่วง
นั่นก็หมายความแบบนั้นจริงๆ ไม่ต้องแปลเกาหลีเป็นเกาหลีอีกรอบให้เข้าใจยากไปใหญ่
“เดินไปเหอะน่า หิวเดี๋ยวกูก็หาอะไรกินเองแหละ”
สุดท้ายก็ได้แต่ตอบออกไปด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ
เพราะดูท่าแล้วคิมจงอินจะไม่ยอมหยุดเซ้าซี้เขาแน่ถ้ายังไม่ได้คำตอบที่ตัวเองพอใจ
เป็นคนแบบไหนกันก็ไม่รู้บัดดี้ของเขาคนนี้
จงอินลอบมองบัดดี้ตัวสูงของเขาที่เดินล้วงกระเป๋ากางเกงวอร์มทำหน้ายักษ์
ราวกับว่ามันเป็นใบหน้าที่หล่อที่สุดในชีวิตแล้วด้วยความไม่เข้าใจ เขาไม่ค่อยเข้าใจปาร์คชานยอลนักหรอก
ทุกอย่างมันเต็มไปด้วยความสงสัย ตั้งแต่คำตอบเรื่องเพลงของเจ้าตัว จนกระทั่งวันนี้ที่พวกเราแวะอ่าวซอพจิโกจิ
ผู้ชายคนนั้นมีมุมที่เงยหน้ามองดาวแล้วทอดอารมณ์ไปกับบรรยากาศของธรรมชาติ
ทั้งที่บอกว่าสุดสัปดาห์มีชีวิตอยู่แค่ บ้าน สนามบาส แล้วก็หน้าคอม
ทันทีที่มาถึงห้องพักจงอินก็กระโดดขึ้นเตียงตัวเองโดยไม่สนใจว่าจะสะบัดรองเท้าจนเกือบจะโดนบัดดี้ของเขาหรือเปล่า
ชานยอลมองคนที่นอนหลับตาพริ้มบนเตียงก็ได้แต่ส่ายหน้าช้าๆ เพราะดูท่าทางแล้วจะเหนื่อยมากถึงได้นอนลงไปทั้งอย่างงั้น
แต่พอดีว่าเขาไม่ใช่คนดีพอซะด้วยสิ
“นายนี่เป็นโรคประสาทหรอ?” น้ำเสียงของจงอินดังขึ้นทั้งที่ยังไม่ลืมตา
เมื่อรู้สึกว่ามีใครสักคนมาขยับแว่นตาบนหน้าเขา ยิ่งแรงกดทับตรงสันดั้งหายไป
ยิ่งไม่ต้องลืมตาก็รู้ได้เลยว่าใครเป็นคนเล่นปัญญาอ่อนแบบนี้
“นายบอกว่าจะเลือกรูปที่จะเอาไปวาดไง”
“เออใช่ เอาแว่นคืนมาก่อนดิ”
คราวนี้ชานยอลส่งแว่นคืนให้อย่างไม่อิดออด
ก่อนที่จะเดินไปคว้ากล้องโปรของตัวเองแล้วเดินกลับมาทรุดตัวลงบนเตียงฝั่งที่หันหน้าเข้าหากัน
มือใหญ่ประคองกล้องไว้อย่างดีพลางกดเข้าโหมดดิสเพลย์สำหรับแสดงรูปภาพ
“นายถ่ายภาพนี้เก่งมาก”
“ตกลงจะเอารูปไหนบ้าง?”
จงอินมองคนที่ถึงเวลาทำงานก็ดูจะเอาจริงเอาจังด้วยสายตาเหลือเชื่อ
เอาเถอะถึงมันจะเป็นแค่สายตาแต่ปาร์คชานยอลก็จับกระแสความรู้สึกของเขาได้อยู่ดี
อาจจะเป็นเพราะเราเป็นพวกชอบแสดงออกมากกว่าพูดคล้ายๆก็ได้
ที่บอกว่าคล้ายก็เพราะจงอินไม่ใช่คนที่มองตาขวางเหมือนกับว่าเกลียดทุกคนบนโลกแบบปาร์คชานยอลไง
“นายเลือกรูปที่เหลือรอฉันแป๊บนึง”
ชานยอลเห็นคิมจงอินผละตัวยังเป้ที่อยู่อีกฝั่งของเตียง
หยิบสมุดปกดำที่ขนาดใหญ่กว่าเอสี่นิดหน่อยขึ้นมาพร้อมกับดินสอไม้หลายขนาดแล้วก็นอนคว่ำอยู่แบบนั้นโดยที่ไม่คิดจะหันกลับมาสนใจอะไรเขาอีกเลย
“ทำอะไรวะ?”
แน่นอนว่าผู้ชายอย่างปาร์คชานยอลไม่ได้เก็บความสงสัยเอาไว้นานอยู่แล้ว
เขาจัดการวางกล้องลงบนเตียงแล้วเดินอ้อมไปอีกฝั่งเพื่อดูว่าคิมจงอินกำลังทำอะไรกันแน่
ก่อนที่จะต้องเลิกคิ้วมองเมื่อพบว่า
บัดดี้ของเขากำลังใช้ดินสอขีดๆเขียนๆลงในกระดาษสีขาวสะอาดอย่างไม่มีการลังเลเลยสักนิด
“จะทำอะไร?”
“วาดภาพไง เห็นว่าเล่นขายของอยู่หรอ?”
เออ เอากับมันสิ นี่คิมจงอินจะตอบดีๆกับเขาหน่อยไม่ได้หรือยังไงกันวะ
ต้องกวนตีนมันตลอดเวลาเลยมั้ย
ชานยอลคิดว่าเขามีความอดทนสูงมากแล้วนะกับคนที่กวนตีนกันทุกจังหวะที่มีโอกาสแบบนี้
แต่ดูเหมือนว่าบัดดี้ของเขาจะไม่ได้คิดเหมือนกันเลยสักนิด
“ไปเอาภาพต้นแบบมาจากไหน”
“ในหัว”
“......”
“ไม่ต้องมองฉันด้วยสายตาเหลือเชื่อประมาณนั้น สมองฉันมีรอยหยัก
แน่นอนว่าสถานที่ที่เคยไปแล้วประทับใจฉันย่อมจำมันได้อยู่แล้ว”
อื้อหือ จะด่าว่ากูไร้รอยหยักในสมองก็พูดมาตรงๆก็ได้ครับ
ไม่ได้ต้องหลอกด่ากันอ้อมโลกแบบนี้ ชานยอลถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่
แล้วก็นั่งมองคนที่ยับขยับดินสอไม่หยุดหย่อน แรกๆก็ว่าน่าเบื่ออยู่หรอก
แต่ทำไปทำมา เขากลับพบว่ามันก็เพลินดีเหมือนกัน
คิมจงอินลงเส้นสายทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว
ราวกับว่าเจ้าตัวนั่งวาดภาพมันอยู่ตรงนั้น
มีบ้างที่ริมฝีปากอิ่มคู่นั้นเผยอออกเมื่อเจ้าตัวเผลอลงเส้นผิดหรือทำอะไรสักอย่างที่มันทำให้รูปภาพมีองค์ประกอบที่บิดเบี้ยว
ชานยอลพึ่งจะเคยเห็นศิลปินสร้างสรรค์ผลงานศิลปะด้วยการนอนวาดอย่างสบายอารมณ์บนเตียงแบบนี้เหมือนกัน
จะว่าไปมันก็เป็นภาพที่แปลกตาดี รู้ตัวอีกทีชานยอลก็มานั่งขัดสมาธิมองคิมจงอินวาดรูปเงียบๆ
อยู่ข้างเตียงไปแล้ว
50 %
ทุกคนมารวมตัวกันอีกครั้งบริเวณลานหน้ารีสอร์ทแน่นอนว่าคู่บัดดี้ที่เป็นขี้ปากชาวบ้านมาตั้งแต่ออกจากโซลก็ยังคงทำตัวเสมอต้นเสมอปลายไม่ได้ทุกข์ร้อนกับใครเขาทั้งสิ้น ชานยอลเป็นจอมมาสายประจำห้องอยู่แล้วเลยไม่มีใครแปลกใจเท่าไหร่นักผิดกับจงอินที่ปกติจะมาตรงเวลา แต่วันนี้คนทั้งคู่กับพากันวิ่งกระหืดกระหอบมาเข้าแถวเป็นคู่สุดท้าย ผ้าผูกแขนสีส้มดูจะไร้ความหมายไปเลยตอนที่ทุกคนเห็นว่าทั้งคู่วิ่งมาหยุดอยู่ข้างกันพร้อมด้วยผ้าที่ถูกแบ่งเป็นสองผืนผูกเอาไว้ที่มือ
'เหยดดดดดดด แฟนคลับขอจิ้น เขามีผ้าผูกข้อมือคู่'
จื่อเทามองเพื่อนสนิทตัวเองตาแทบไม่กระพริบตอนที่ทั้งคู่พากันเดินผ่านด้วยสีหน้ามึนๆ กับจงอินน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ปาร์คชานยอลนี่ก็เป็นไปกับเขาด้วยอีกคนหรือไง? ท่าทางเหมือนอดหลับอดนอนทั้งคู่ยิ่งทำให้เพื่อนนักเรียนคนอื่นต่างพากันมองอย่างสงสัย ทุกคนซุบซิบกันอย่างไม่เกรงใจ แต่ก็นะ เจ้าตัวดูจะไม่สนใจสักเท่าไหร่นักหรอก ลำพังตอนนี้แค่ให้ยืนโดยไม่เผลอล้มลงไปยังจะลำบากเลย
“จงอิน…” แรงกระตุกที่ข้อมือปลุกให้คนที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นรู้สึกตัว เจ้าของชื่อมองคนที่เดินจับข้อมือเขาพาเดินไปตามกลุ่มคน พอหันมองไปรอบๆถึงได้รู้ว่าพวกเขามาถึงท่าเรือและกำลังทยอยขึ้นเรือกันแล้ว เมื่อครู่นี้ลงจากรถมาได้ก็เพราะจับกระเป๋าเป้ของชานยอลเอาไว้ ตอนนี้ก็ยังต้องอาศัยมือบัดดี้ตัวเองอีก แต่เขาไม่ไหวแล้วจริงๆ โคตรง่วงเลยให้ตายเถอะ
“ให้จงอินมานั่งกับพวกเราก็ได้"
จื่อเทาเป็นฝ่ายเข้ามาบอก ซึ่งทุกคนก็แอบลุ้นกันอยู่ว่าปาร์คชานยอลจะว่ายังไง แต่ก็ต้องผิดคาดตอนที่ชานยอลพยักหน้าแล้วเป็นฝ่ายเขย่าแขนบัดดี้ที่นั่งโงนเงนอยู่ให้ลุกไปกับเพื่อน เทาสอดแขนเข้าควงก่อนจะกึ่งเดินกึ่งลากคนที่แทบจะไม่ลืมตาขึ้นมามองทางให้ไปหาที่หลบมุมนอนดี ๆ
“ไปอดหลับอดนอนมาจากที่ไหนเนี่ย” เซฮุนอดมองคนที่พอได้ที่นั่งปุ๊บก็เอนพิงหลับปั๊บโดยไม่สนใจว่ามันจะอยู่ตรงไหนยังไง ปกติจงอินก็เป็นคนง่วงๆตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่นี่มันก็ดูจะผิดปกติไปหน่อยล่ะมั้ง?
“ดูนั่นดิ ปาร์คชานยอลก็ไม่ต่างกันเลย” เทาพยักหน้าไปทางด้านหลัง เซฮุนที่นั่งหันหน้าไปทางด้านนั้นอยู่แล้วก็ได้แต่มองข้ามไหล่แฟนของตัวเองไปแล้วก็พบว่าบัดดี้ของเพื่อนเขาก็กำลังเอนหัวพิงผนังหลับแบบที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนเหมือนกัน
“เมื่อคืนมันต้องมีอะไรแน่ๆเลยอ่ะเทา”
“ตั้งแต่ตอนกลับกันมาซะค่ำมืดดึกดื่นนั่นแล้วต่างหาก”
จื่อเทากับเซฮุนกอดอกจ้องจงอินที่ยังคงหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ยังไงซะถ้าถึงโซลแล้วก็คงต้องถามกันให้รู้เรื่องว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
พอได้นอนพักตลอดสี่ชั่วโมงครึ่งบนเรือ จงอินก็ดูจะมีสติลุกขึ้นมามองคนนั้นคนนี้เล่นกันบ้าง ผิดกับปาร์คชานยอลที่ต้องกลับมานั่งข้างกันเพราะอาจารย์จะได้สะดวกต่อการเช็คชื่อ หมอนั่นยังคงหลับคอพับคออ่อน ชนิดที่ว่ามีสองสามครั้งที่โคลงจนหัวมากระแทกกันหมอนี่ก็ยังไม่มีท่าทางจะตื่น
จงอินหยิบกล้องโปรที่ชานยอลวางไว้บนที่ว่างระหว่างเบาะขึ้นมาเปิดดูรูปที่ถ่ายกันเล่นๆ เมื่อวานถือว่าเป็นวันที่ใช้พลังงานมากที่สุดวันนึงเลยก็ว่าได้ ขนาดจงอินที่มาเที่ยวแบบนี้บ่อยยังรู้สึกว่าร่างกายเขาก็อ่อนเพลียอยู่เหมือนกัน รูปที่ ชุงชานซงอิลบง เรียกรอยยิ้มจากจงอินได้เป็นอย่างดี พระอาทิตย์ตกดินเป็นภาพที่ปาร์คชานยอลถ่ายมาได้อย่างที่เขาต้องการ ทั้งแสงและมุมภาพนั้นยังดูลงตัวกันอย่างน่าประหลาด
มันเป็นรูปที่เห็นเพียงแค่ผืนน้ำที่ทอสีทองกับพระอาทิตย์ที่จมลงไปครึ่งดวง และภาพเบลอๆของใครสักคนที่ปรากฏเพียงแค่เสี้ยวหน้าด้านข้างแต่จงอินก็ยังจำได้ดีว่ามันเป็นตัวเขาเอง แทบจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเผลอมองพระอาทิตย์ตกดินด้วยแววตาลึกซึ้งขนาดนี้ ที่สำคัญชานยอลถ่ายรูปเก่งมากเสียจนไม่ติดใครอื่นเข้ามาในเฟรมภาพเลย
ภาพต่อไปก็เป็นภาพที่พวกเรากำลังปั่นจักรยานไปตามเส้นทางรอบเกาะ มันไม่ใช่ระยะทางใกล้ๆเลยสักนิด แต่ปาร์คชานยอลก็ยังสามารถแวะเก็บรายละเอียดได้ตลอด โดยที่บางครั้งคิมจงอินก็ไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิตธรรมดาที่ผู้คนบนเกาะนี้ใช้กัน สถานที่สำคัญที่นักท่องเที่ยวหนาแน่น ชานยอลก็ถ่ายมันออกมาได้อย่างสวยงาม เลื่อนย้อนดูมาจนถึงที่พิพิธภัณฑ์เท็ดดี้แบร์ ก็ต้องรู้สึกทึ่งขึ้นไปอีก
มันเหมือนการถ่ายภาพลงนิตยสารท่องเที่ยวที่จงอินเคยอ่าน โดยมีเขาเป็นนายแบบ นึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่ารายงายนำเสนอเกาะเชจูของพวกเราจะออกมาเป็นแบบไหน เลื่อนดูภาพเพลินๆก็พอจะนึกออกว่าเขาอยากวาดภาพไหนใส่ลงไป หรืออยากจะเลือกภาพถ่ายไหนใส่ลงไป
ชานยอลสะดุ้งขึ้นมาตอนที่ใครสักคนบิดหูเขาเต็มแรง แหกปากร้องดังลั่นชนิดที่ตาสว่างแบบไม่ต้องรีรอเหมือนทุกที ได้ยินเสียงหัวเราะดังแว่วๆก็รู้เลลยว่าไอ้หน่วยกล้าตายที่บิดหูเขาอยู่นี่เป็นใคร
"หูกูใช่ของเล่นหรอครับสัด"
อ้าปากออกมาได้ก็เอาเรื่องเลยทันที ลู่หานกับแบคฮยอนยิ้มขำพลางส่ายหน้าเหมือนกับบอกว่าตัวเองไม่ได้ตั้งใจจจะปิดหูเพื่อยระกเลยจริงๆนะครับ
"ฉันให้เพื่อนนายปลุกแบบนี้เอง" น้ำเสียงเซ็งๆดังมาจากด้านในเบาะ ทำเอาชานยอลตวัดมองตาขวาง พอจะอ้าปากด่า คิมจงอินก็เถียงกลับมาต่อทันที “บังเอิญว่าตอนนี้พ่อกับแม่ฉันรออยู่ข้างล่างแล้วนายก็เรียกไม่ยอมตื่น มันเลยต้องปลุกกันด้วยวิธีนี้”
“ก็สะกิดกันดีๆกูก็ตื่นแล้วมั้ยครับ”
โอ้โห ปาร์คชานยอลกล้าพูดมากว่าสะกิดกันดีๆก็ตื่นแล้ว นี่แทบจะเขย่าหัวแล้วยังไม่ตื่นเลย จงอินขี้เกียจจะเถียงกับบัดดี้ของตัวเอง พ่อแม่ของเขามารอนานมากแล้วและถ้าให้รอนานกว่านี้ เชื่อได้เลยว่าพวกเขาจะทิ้งลูกชายคนเล็กของบ้านไว้ที่โรงเรียนโดยให้หาทางกลับบ้านเอาเอง ซึ่งจงอินไม่ชอบใจกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่นัก
“ตื่นแล้วก็หลบ อย่ามาเกะกะ จะกลับบ้าน”
อ้าว..วอนแล้วไง ชานยอลที่นั่งคลำหูของตัวเองเพราะยังเจ็บอยู่ไม่น้อย ตวัดตามองบัดดี้ที่เริ่มกลับมาพูดจากวนตีนหาเรื่องกันอีกครั้ง อะไรกันวะ นี่อยู่รอดปลอดภัยมาสามสี่วัน มึงจะเอาอีกแล้วหรอครับคิมจงอิน มาเปิดศึกอะไรกันนาทีสุดท้ายแบบนี้ ลู่หานที่เห็นอาการไม่ดีก็รีบเข้าไปไกล่เกลี่ยก่อนที่จะมีใครสักคนตาย
พอลงมาจากรถบัสได้จงอินก็ตั้งใจจะหอบหิ้วกระเป๋าเป้ของตัวเองตรงไปหาพ่อกับแม่ที่นั่งรอลูกชายของพวกเขาอยู่ไม่ไกล แต่จังหวะที่เขาพึ่งจะก้าวไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงท้วงของปาร์คชานยอลก็เรียกเขาเอาไว้เสียก่อน
“เฮ้! คิมจงอิน ขอเบอร์หน่อยดิวะ!!”
เล่นเอาก้าวขาแทบไม่ออก นักเรียนไม่กี่คนที่ยังคงจับกลุ่มรอผู้ปกครองอยู่แถวนั้นต่างก็หันมาทางคู่บัดดี้ที่เป็นที่จับตามองมาตลอดหลายวันเป็นตาเดียว เอาล่ะเว้ยย แม่มึงเอ้ย เขาขอเบอร์กันต่อหน้าธารกำนัลแบบนี้ เอาล่ะเว้ย นี่ถ้าจื่อเทาอยู่ คงไม่พ้นอาการฟันธงจนออกนอกหน้า ว่าเป็นไงล่ะ พ่อหมอบอกแล้วว่ามันต้องสปาร์คอะไรทำนองนั้น
“จะเอาไปทำอะไร?”
ขอไปซื้อหวยมั้งครับไอ้นี่ ชานยอลถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลู่หานมองเพื่อนตัวเองกับคิมจงอินด้วยสายตาที่ต้องการจะสื่อให้รู้ว่าบางทีพวกมันสองคนก็ควรจะสนใจอย่างอื่นรอบตัวบ้าง อาทิเช่นตอนนี้ทุกคนกำลังมองการขอเบอร์ที่ฮาร์ดคอร์ที่สุดในรอบปีด้วยความสนอกสนใจ
“เดี๋ยวก็ต้องติดต่อทำงาน”
มันคงเป็นเรื่องแปลกไม่ใช่น้อยที่อยู่ๆก็มีผู้ชายมาขอเบอร์กันแบบนี้ ที่จริงมันก็ไม่แปลกหรอกนะในสายตาคนทั่วไป แต่สำหรับคนสองคนที่ดูจะมีอะไรในกอไผ่มันยิ่งทำให้เป็นที่น่าสนใจสำหรับคนที่เหลือมากขึ้นไปอีก ยิ่งตอนที่จงอินยื่นมือมาขอโทรศัพท์แล้วปาร์คชานยอลวางแปะให้ เสียงหือหาดังขึ้นมาเป็นระลอก
โชคดีที่คุณและคุณนายคิมนั่งอยู่ห่างไปไกลพอสมควร เลยไม่ได้เห็นเรื่องราวแปลกประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ ลู่หานรู้สึกโล่งใจแทนจงอินอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน แต่มันก็นิดเดียวเท่านั้นแหละ เชื่อได้เลยว่าหลังจากหมดช่วงลองวีคเอนด์ของสัปดาห์ไปแล้ว ข่าวซุบซิบของปาร์คชานยอลและคิมจงอินมันต้องสะพัดไปทั่วโรงเรียนเหมือนไฟลามทุ่งแน่
“ได้ยัง?” ชานยอลกดโทรออกเมื่อได้รับโทรศัพท์คืนมาจากบัดดี้ของเขา “นั่นเบอร์ฉัน” เขาบอกและกดตัดสายทันที เมื่ออีกฝ่ายยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู
“อือ ไปได้ยัง?” นึกสงสัยว่าหมอนี่มันโตมาได้ยังไงกวนตีนขนาดนี้ ชานยอลเลิกคิ้วมองบัดดี้ของเขาที่ยืนทำหน้าซังกะตาย เอาเถอะรีบคุยธุระให้เสร็จแล้วเขาก็จะได้กลับบ้านไปนอนพักผ่อนเหมือนกัน
“เดี๋ยวค่อยนัดวันทำรายงานกันอีกทีก็แล้วกัน”
“โอเค ไว้เดี๋ยวเจอกัน”
“อืม. เดี๋ยวเจอกัน”
ถึงแม้จะเป็นการแยกทางที่ดูจะไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่ แต่ทุกคนในนั้นล้วนได้ยินชัดเจนดีว่าเดี๋ยวเขาก็จะนัดเจอกันอีก…
ย้ำอีกครั้งว่า ….นัดเจอกันอีก!!!
เช้าวันหยุดหลังกลับมาจากการทัศนศึกษาที่ยาวนาน แน่ล่ะว่าการนอนนั้นคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของใครหลายคน แต่ปาร์คชานยอลดูเหมือนจะเป็นข้อยกเว้นสำหรับวันนี้ เด็กหนุ่มออกจากบ้านตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า เส้นผมสีดำที่เคยเซตตั้งถูกปล่อยลู่ลงกับกรอบหน้า บนหลังมีกระเป๋าเป้สะพายพาด ร่างสูงวาดขาผ่านจักรยานคันใหญ่ที่ไม่ได้ปั่นมันมานานมากแล้ว ที่แฮนด์รถข้างขวาก็ห้อยถุงรองเท้ากีฬาคู่ใจ
“ไปแล้วนะครับ”
คุณและคุณนายปาร์คมองตามลูกชายที่ปั่นจักรยานออกจากบ้านไปพร้อมกับอุปกรณ์ซ้อมกีฬาด้วยสีหน้าแปลกใจ ถ้าปกติลูกชายของเธอคงหมกตัวอยู่กับวีดีโอเกมส์หรือไม่ก็ออกไปเที่ยวกับเพื่อนฝูง ถึงชานยอลจะชอบกีฬา แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ที่ลูกชายของพวกเข้าหอบหิ้วรองเท้าบาสเกตบอลไปพร้อมกับจักรยาน
จุดหมายของวันนี้คือสนามบาส ชานยอลไม่ได้เล่นมันมาสักพักนับตั้งแต่ช่วงกีฬาสานสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนจบไปเมื่อปีกลาย เด็กหนุ่มจอดจักรยานไว้ด้านหน้าโรงยิมก่อนจะยิ้มให้กับภารโรงที่มองเขาอย่างแปลกใจ ก็แน่ล่ะในเมื่อปกตินอกจากเสียงโวยวายกับกลุ่มเพื่อนนักบาสด้วยกันแล้ว ชานยอลก็มีแต่สร้างเรื่องเดือดร้อนให้ลุงต้องทำความสะอาดโรงยิมหนักขึ้นเท่านั้น
เสียงเดาะลูกบาสดังขึ้น และในไม่ช้ามันผสมรวมกับเสียงรองเท้าเสียดสีกับพื้นปาร์เก้ ชานยอลออกวิ่งเต็มกำลัง เขารู้สึกว่าไม่ได้ใช้เวลาในสนามแบบนี้มาสักพักนึงแล้ว ความรู้สึกสนุกวนกลับมาอีกครั้งทั้งตอนที่เขาวิ่งส่งลูกบาสไปมากับเพื่อน ตอนที่เขาปัดทิปลูกบาสออกจากมือของเพื่อน หรือแม้กระทั่งตอนที่เขาโหนตัวขึ้นไปดั้งแป้นบาสจนเสียงเฮดังลั่นโรงยิม
กินเวลาเกือบสองชั่วโมงที่เขาวิ่งวนไปวนมา ชู้ตลูกบาสลงแป้นอยู่อย่างนั้น ถึงจะเหนื่อยจนล้าไปหมดแต่เขาก็รู้สึกว่าร่างกายกำลังผ่อนคลายอยู่เต็มที่ แต่อยู่ๆ ภาพของหลังคาโรงยิมก็เปลี่ยนเป็นใครสักคนที่ชานยอลมองไม่ชัดเพราะว่าอีกฝ่ายใช้ตัวบังแสงไฟเอาไว้หมด
“ไม่นึกว่าคนอย่างนายจะมาโรงเรียนในวันหยุดแบบนี้ด้วย”
ชานยอลเลิกคิ้วก่อนยันตัวลุกขึ้นนั่งเมื่อจำได้ว่าใครเป็นเจ้าของเสียงนั้น ก็ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ ในเมื่อเขาพึ่งแยกจากกันไปเมื่อสัปดาห์ก่อน
“มาทำอะไรที่โรงเรียน”
“ไม่ยักรู้ว่าโรงเรียนนี้นายมาได้คนเดียว” -_- เอากะมันดิ นี่ขนาดถามกันดีๆ ก็ไม่ยังไม่วายโดนกวนตีนกลับมา คิมจงอินนี่มันควรจะรู้ว่าตัวเองกวนตีนคนอื่นแบบไม่รู้ตัว
“ตกลงว่าจะกวนตีนกันให้ได้?”
ท่าทางที่เริ่มจะเอาเรื่องขึ้นมาของปาร์คชานยอลนั้นตทำเอาจงอินต้องกลั้นขำเอาไว้พอสมควร ก็ไม่ตั้งใจจะกวนตีนหรอก แต่ว่าพอเห็นหมอนั่นถามคำถามออกมามันก็อดไม่ได้จริงๆ หลายคนก็เคยบอกเหมือนกันว่าบางครั้งจงอินก็ดูกวนประสาทจนเกือบจะประเคนตีนให้หลายรอบ
“ฉันแค่ล้อเล่นเองน่า เอ้า จะนอนคุยกันแบบนี้หรือไง”
“แล้วทำไมฉันต้องลุกขึ้นไปนั่งคุยกับนายด้วย”
อ้าว...ปาร์คชานยอล ไหงอยู่ดีๆมากวนตีนกันแบบนี้?? คนที่นอนอยู่บนพื้นกลั้นขำเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ขยับออกไปแล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะกวนตีนหรอกนะ แต่ชานยอลอยากเอาคืนคิมจงอินบ้างก็เท่านั้นแหละ
ตุบ
เสียงทิ้งกระเป๋าเฉียดข้างหัวไปนิดหน่อยทำเอาชานยอลเอียงคอมอง แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว เมื่อเห็นกระเป๋าเป้สีดำวางอยู่และวินาทีที่ตามด้วยหัวของคิมจงอินที่วางแปะอยู่บนนั้นโดยที่หันขาไปคนละทิศทางกับเขา
“อะไร?”
“อะไรล่ะ ก็นายไม่ลุกมาคุยฉันก็ต้องนอนลงมาคุยกันสิ”
ให้ตายเถอะ นี่มันจะมากไปแล้วนะคิมจงอิน ชานยอลถอนหายใจหน่ายๆ แล้วเปลี่ยนสายตากลับไปมองหลังคาโรงยิมเหมือนเดิม บรรยากาศเงียบๆมีแค่เสียงลมหายใจแต่มันก็ไม่ได้ดูน่าอึดอัดสักเท่าไหร่ แล้วก็เป็นครั้งแรกที่มีใครสักคนมาทำแบบนี้กับชานยอล ใครสักคนที่ไม่ใช่ไอ้พวกเวรที่ซ้อมบาสเก็ตบอลด้วยกันน่ะนะ
“ฉันพึ่งรู้ว่านายเป็นพวกชอบนอนหายใจทิ้ง”
“ฉันก็พึ่งรู้ว่านายชอบมานอนหายใจทิ้งนอกบ้าน”
เอากะมันสิ.. ชานยอลหมดปัญญายอมใจเลย ไม่อยากจะมานั่งทะเลาะกับคิมจงอินหรอก เขาเริ่มรู้แล้วว่าการเอาชนะบัดดี้หน้ามึนของเขาเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากพอสมควร ถ้าต้องการชนะชานยอลจะต้องแข็งแกร่งมากขึ้นกว่านี้..
“ตกลงนายมาทำอะไรที่โรงเรียนวันหยุด” สุดท้ายชานยอลก็ต้องยอมถามบัดดี้ของเขาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้น พอเห็นอีกฝ่ายหัวเราะออกมาเบาๆ ก็ได้แต่ขมวดคิ้วสงสัย ก่อนที่จะได้รับคำตอบที่ทำให้เขาถึงกับไปไม่เป็น
“มาเรียนเสริมน่ะ…” เว้นจังหวะไปเล็กน้อยหันไปสบตาคู่สนทนาก่อนจะกลับมามองเพดานเหมือนเดิม “ ถ้านายถามฉันดีๆแบบนี้ตั้งแต่แรก ฉันก็ไม่กวนประสาทนายแล้วล่ะชานยอล”
“แล้วที่กูถามมันไม่ดีตรงไหนวะ” เริ่มจะหงุดหงิดขึ้นนิดหน่อยแล้วแฮะ คิมจงอินนี่อะไรของมันวะ
“น้ำเสียงที่ใช้ถามไง” จงอินยกมือแขนขึ้นรองใต้หัวในขณะที่พูด เขาไม่ได้หันไปมองหรอกว่าปาร์คชานยอลทำหน้ายังไง จงอินยังคงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า “ถ้านายถามฉันด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ต่อให้รูปประโยคนายจะโคตรหาเรื่องมันก็ออกมาเป็นมิตร”
“แล้วนั่นมันสำคัญยังไง?”
“ไม่รู้สิ มันก็ไม่ได้สำคัญสำหรับฉันหรอก”
“นี่จะต้องกวนตีนตลอดเลยมั้ย”
“เปล่า..ตอบจริงๆ มันสำคัญสำหรับตัวนายต่างหาก” จงอินหันมามองหน้าบัดดี้ของตัวเองที่นอนหน้าหงิกหันมองมาทางเขาเช่นกัน คิมจงอินมักจะมีมุมแปลกประหลาดมาให้ชานยอลรู้สึกแปลกใจเสมอรวมถึงตอนนี้ด้วย
“นายจะหงุดหงิดทุกครั้งเวลาที่มีคนอื่นตอบคำถามนายแบบกวนประสาท แต่นายไม่ลองคิดกลับกันดูบ้างล่ะ ว่าทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตัวนายปฏิบัติกับเขา”
ชานยอลมองคิมจงอินที่ยิ้มออกมามันทำให้ใบหน้าง่วงๆนั่นกลายเป็นหมี ที่ดูไร้พิษภัยขึ้นไปใหญ่ ต่างจากคนหน้ามึนที่กวนตีนเขาหน้าตายไปลิบลับ ค่อยๆครุ่นคิดถึงสิ่งที่หมอนั่นพูดแล้วก็เริ่มตระหนักได้ว่ามันเป็นความจริง
“เอาล่ะ.. ได้เวลาที่ฉันจะต้องกลับบ้านแล้ว” ชานยอลมองตามร่างของคิมจงอินดันตัวลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง แล้วครั้งนี้เขาลุกตามขึ้นอย่างไม่ลังเล รวบกองเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแบบลวก แล้วรีบวิ่งตามคนที่เดินตรงไปยังประตูโรงยิม
“เฮ้!! คิมจงอิน! คิมจงอิน! รอก่อนดิ!” ส่งเสียงเรียกพลางก้าวขาวิ่งตามอย่างรวดเร็ว แต่แทนที่ไอ้หมอนั่นมันจะหยุดรอ ชานยอลกลับต้องถลึงตามองเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหันมายิ้มทะเล้นให้เขาก่อนจะออกวิ่งอย่างรวดเร็ว
ไอ้ห่าเอ๊ย กูบอกให้รอก่อน!! ไม่ได้บอกให้มึงวิ่งหนี!!
พออีกฝ่ายวิ่ง ชานยอลก็เริ่มวิ่งบ้างเหมือนกัน ช่วงขายาวสับก้าวอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังต้องทึ่งเมื่อเห็นว่าเขาจะตามคิมจงอินเกือบไม่ทัน จนหมอนั่นหยุดอยู่ที่หน้าโรงยิมนั่นแหละ เขาถึงได้ยืนหอบแล้วทำหน้าตาเหมือนจะฆ่าคนได้
ก็ใครมันจะไม่เหนื่อยล่ะวะ อยู่ดีๆ กูต้องมาวิ่งเต็มกำลังแบบนี้เนี่ย!
“กูบอกให้รอ หูแตกหรือไง!”
“หูไม่แตก แต่นายอิดออดเดินช้า ฉันเลยวิ่งให้นายรีบตามมาเร็วๆ”
“มึงบอกกูดีๆก็ได้!!” ตะโกนกลับไปด้วยอารมณ์กรุ่นๆ เรื่องแค่นี้บอกกันดีๆ เขาก็เดินตามมาเร็วๆแล้วมั้ยวะ แต่คิมจงอินดูจะไม่สลดกับการทำบัดดี้ตัวเองหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แล้วพยักเพยิดไปทางบลุงภารโรงที่ยืนรออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“ลุงเขาต้องกลับบ้าน แต่ไปไม่ได้ เพราะต้องรอนายใช้โรงยิมเสร็จ” ชานยอลขมวดคิ้วมองตามด้วยความไม่เข้าใจ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่มันวิ่งหนีเขากัน?
“ยิ่งนายออกมาเร็วเท่าไหร่ ลุงเขาก็จะได้รีบไปธุระเร็วเท่านั้นไง”
เด็กหนุ่มบอกยิ้มๆ แล้วก็หมุนตัวออกเดินด้วยจังหวะปกติ ความจริงจงอินเป็นคนอาสาเข้าไปตามคนที่อยู่ข้างในนั้นออกมาให้ เพราะลุงภารโรงเกรงใจ แต่สำหรับเขาการเป็นนักเรียนเหมือนกันมันคงคุยกันไม่ยากเท่าไหร่ แต่พอเห็นว่าใครที่นอนแผ่หราอยู่บนพื้น ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันกลายเป็นเรื่องง่ายไปใหญ่
“เฮ้ บอกให้รอกูด้วยไงวะ” ชานยอลตะโกนตามไล่หลัง รีบเดินไปเอาจักรยานที่จอดไว้แล้วรีบเข็นตามคนที่เดินนำเขาไปไกลพอสมควรแล้ว
“ฉันเห็นว่านายมีจักรยาน แต่ก็ไม่คิดว่าจะโง่ ไม่ปั่นมันตามฉันมานะ”
=___= โคตรจะเซ็ง นี่กูจะต้องโดนมันหลอกด่าตลอดทุกประโยคที่คุยกันเลยมั้ย? เชื่อเถอะว่าตอนนี้ชานยอลกำลังทำหน้าอยากฆ่าคนใส่บัดดี้ของเขาที่ยังคงเดินยิ้มไปเรื่อยๆ
“ตกลงว่าให้ฉันรอมีเรื่องอะไรงั้นหรอ?”
เออ...นั่นดิ ที่ให้มันรอเพราะมีเรื่องอะไรชานยอลก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน เขาแค่คิดว่าตัวเองกำลังจะกลับบ้านแล้วเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะกลับพอดีเลยคิดจะเรียกให้รอด้วยเท่านั้น
“ไม่มีว่ะ กูลืมไปแล้วว่ากูเรียกมึงให้รอทำไม”
“งั้นก็เดินกลับบ้านเป็นเพื่อนหน่อยแล้วกัน” คิมจงอินทำให้เรื่องมันง่าย ด้วยการชวนกลับพร้อมกันโดยไม่ถามว่าบ้านพวกเขาอยู่ทางเดียวกันหรือไม่ แต่มันก็เป็นเรื่องแปลกที่ชานยอลก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธหรือโต้เถียงเหมือนทุกที พวกเขาเดินตามกันไปเงียบๆ จนถึงหน้าประตู
พอเดินเลี้ยวซ้ายออกมาจากโรงเรียนพร้อมกัน ก็เริ่มตกเป็นเป้าสายตาของเด็กที่รออยู่ที่ป้ายรถเมล์ ทุกคนต่างก็เริ่มซุบซิบเพราะจำได้ว่าสองคนนั้นเป็นใคร แต่คิมจงอินก็ยังคงทำตัวตามสบายอย่างไม่ค่อยจะสนใจใยดีอะไรสักเท่าไหร่นัก
“เราจะเริ่มต้นทำรายงานกันเมื่อไหร่ดี?”
“อาทิตย์หน้าเป็นไง ฉันกำลังทยอยวาดภาพ”
เป็นอีกครั้งที่ชานยอลแปลกใจ แทนที่คิมจงอินจะใช้เวลาวันหยุดไปกับการพักผ่อน แต่หมอนี่กลับหมดไปกับการวาดภาพทำรายงานแบบนั้นน่ะหรอ? แล้วดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ถึงความคิดเขาถึงได้ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงสบายๆเหมือนเดิมจนชานยอลนึกอิจฉาอยู่นิดหน่อย
“ฉันชอบวาดภาพ เวลาว่างส่วนใหญ่ถ้าไม่นอน ก็วาดภาพ อ่านหนังสือไปเรื่อยๆ ก็แค่เปลี่ยนจากวาดรูปเรื่อยเปื่อย มาเป็นรูปงานที่ต้องใช้ก็เท่านั้น”
เรื่องเหลือเชื่อ.. ชานยอลมีเรื่องเหลือเชื่อกับบัดดี้เขามากเกินไปแล้ว ชายหนุ่มหยุดเมื่อถึงทางแยกที่เขาต้องเลี้ยวเพื่อเดินทางกลับบ้าน แต่คิมจงอินดูท่าแล้วว่าจะต้องข้ามถนนแล้วเดินตรงไป พวกเขาหยุดอยู่บนฟุตบาทหัวมุม
“อาทิตย์หน้า เดี๋ยวเราค่อยนัดเวลากันอีกทีแล้วกัน”
“อืม… แล้วเจอกัน”
“อย่าลืมที่เคยบอกฉันเอาไว้ล่ะ แล้วเจอกัน”
ชานยอลมองคิมจงอินที่เดินข้ามถนนไปหยุดอยู่อีกฝั่งแล้วหันมายิ้มให้เขาก่อนจะหมุนตัวเดินตรงไปตามทางเดิน ความรู้สึกสบายใจแปลกๆที่ลอยวนอยู่รอบตัวเมื่อครู่นี้มันคืออะไรเขาก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเขาไม่ได้รู้สึกแย่กับมัน แล้วที่สำคัญ หมอนั่นยังจำคำพูดที่เขาพูดเอาไว้ได้
"ไว้กลับไปที่โซล ถ้าว่างจากตอนทำรายงานจะเล่นให้ฟังก็แล้วกัน"
สงสัยต้องหอบกีต้าร์ไปทำรายงานแล้วด้วยล่ะมั้ง
#ฟิควงกลมชานไค
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยย เขาให้ช่วยกันทำรายงาน ไม่ได้ให้มาจีบกัน
ปล.มาแก้คำผิด + เติมประโยคนิดหน่อย 22/6/2558 เวลา 20:24
อิ้___อิ้ มันปริ่มตามมาจากเมื่อวาน คิมจงอินในสายตาเรามันมีแค่ภูมิใจที่ให้เขาจริงๆ เมื่อวานนี้ มันเต็มอิ่มอยู่กับเราอีกนานมาก 55555 ทัศนคติของจงอินในเรื่องนี้เป็นทัศนคติที่จงอินทำให้เรารู้สึกว่าเขาเป็นคนมองโลกแบบนี้อ่ะะะ ไปคอนมา ก็ไปเก็บความสุขเอามาไว้กับตัว เอามาแชร์กัน เอามาอะไรกัน เมื่อวานรอโมเม้นต์มาทั้งคอน ฮื่ออออ รอจนจบคอนกว่าเขาจะสาดน้ำใส่กัน เท่านั้นล่ะจ้า พาริมกรี๊ดจนคอจะแตก ถึงจะดมยาดมอยู่ก็ตามที
55555+ ขอบคุณทุกคนมากนะคะที่ยังแวะเวียนเข้ามาอ่านกัน ขอบคุณที่คอยติชม ขนาดพิมพ์ผิดบ้างถูกบ้าง ยังอ่านยังอินกันด้วยยย ขอบคุณจริงๆนะคะ แล้วเจอกันคืนนี้อีกหนึ่งเรื่องง ยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไร เลิ้บบบบบบ ขอพาริมบำรุงร่างกายแป๊บ เสียงหายแบบพังมาก
ความคิดเห็น