ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ✖ (exo) : Geometry series : Circle | #ฟิควงกลมชานไค CHANKAI FT. EXO

    ลำดับตอนที่ #4 : CHAPTER 3

    • อัปเดตล่าสุด 14 มิ.ย. 58


    TITLE CYCLE

    PAIRING : CHANYEOL X KAI

    นอกจากเครื่องแบบที่เราใส่แล้ว ข้อเดียวที่ผมเห็นว่าเราเหมือนกัน คือ เราทั้งคู่เป็นผู้ชาย

     

     

     

     

    Chapter 3

     

     

     

    ชานยอลกำลังนั่งขยี้หัวตัวเองอย่างรุนแรง ตอนที่คิมจงอินเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วพูดขึ้นมาหน้าตาเฉยว่าขอดูเพลงในโทรศัพท์ของเขาหน่อย เกือบจะด่าออกไปแล้วถ้าไม่ติดที่นึกขึ้นได้ ว่าเมื่อตอนกลางวันพวกเขาพูดคุยอะไรกัน เด็กหนุ่มตัวสูงเลิกคิ้วมอง ก่อนจะเริ่มสังเกตนิดหน่อยว่าพวกเขาสื่อสารกันผ่านสายตาและการกระทำมากกว่าคำพูดอยู่พอสมควรเลยล่ะ

     

    มานั่งดิ

     

    ได้ยินคำอนุญาตคิมจงอินก็กระโดดขึ้นนั่งทับขาบนเตียงบัดดี้เหมือนเด็ก เส้นผมเปียกน้ำจนมันหยดพราวลงบนเตียงแต่เจ้าตัวไม่ใส่ใจจะเช็ดมันสักเท่าไหร่นัก ยังไงซะก็ผู้ชายคงไม่ป่วยอะไรง่ายๆหรอก ชานยอลหยิบโทรศัพท์ที่นอนโง่ๆอยู่ข้างตัวขึ้นมากดเข้าโปรแกรมเสียงก่อนจะส่งมันให้กับคิมจงอิน

     

    นายฟังเพลงแบบนี้ด้วยหรอ?”

     

    นี่เป็นประโยคแรกที่หลุดออกจากปากของจงอินหลังจากที่สไลด์เพลงในโทรศัพท์ดู ลิสต์เพลงของ Ra.d ที่ปรากฏอยู่เกือบครึ่งจากลิสต์เพลงทั้งหมดประกอบกับการพยักหน้าของปาร์คชานยอลทำเอาตาลุกวาว  การฟังเพลงโคพเวอร์เปียโนแบบนี้บ่งบอกว่าเจ้าตัวคงชอบฟังเสียงพวกนี้เอามากๆ พอเลื่อนลงไปหน่อยก็เป็นเสียงที่คล้ายกับว่าอัดเอาไว้ จงอินเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์พลางยกขึ้นส่งให้เจ้าของมันดูราวกับขออนุญาตกดฟัง

     

    พวกนั้นฉันเล่นเอง นายมะ…”

     

    ชานยอลรู้สึกเหมือนโดนฟาดเข้ากลางหัวล้านด้วยสันโทรศัพท์ของตัวเอง ก็ตอนที่คิมจงอินฟังเขาพูดไม่จบแล้วกดเล่นเพลงที่เขาอัดไว้เองนั่นแหละ อยากจะจับหักคอทิ้งให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย เพราะเด็กอยากรู้อยากเห็นคนนึง พอกดฟังเพลงนึงจบ หมอนี่ก็กดย้ายไปเพลงอื่นต่อ จนชานยอลเริ่มจะอายแล้วเหมือนกัน เพราะมีบางช่วงบางท่อนที่เขาขำเวลาตัวเองเล่นผิดติดมาด้วย ก็ใครจะไปคิดล่ะวะว่าอยู่ๆจะมีคนมานั่งเปิดไล่ฟังแบบนี้

     

    พอ กูไม่ให้ฟังแล้ว

     

     หยิบโทรศัพท์มาถือไว้เอง ใบหูขึ้นสีแดงก่ำจากความเขินอาย จัดการตั้งล็อครหัสหน้าจอเสร็จสรรพแล้วโยนมันไว้บนเตียงเหมือนเดิม จงอินเสียดายนิดหน่อยแต่ที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือบทเพลงหลายเพลงที่ได้ยินจากโทรศัพท์มันทำให้เขาอยากเห็นว่าปาร์คชานยอลตอนเล่นกีต้าร์เป็นยังไง เพราะจงอินจินตนาการภาพนั้นไม่ออกจริงๆ

     

    เช็ดหัวให้แห้งแล้วรีบไปนอนเลยไป

     

    เห็นอีกฝ่ายเสียงแข็งใส่ เขาก็ไม่ได้คิดจะดื้อดึงกวนโมโหให้ทะเลาะกันขึ้นมาจริงๆ จงอินยอมลุกกลับไปนั่งที่เตียงของตัวเองแต่โดยดี แว่นสายตาถูกถอดวางไว้ข้างตัวในขณะที่มือข้างหนึ่งก็จัดการขยี้ผ้าขนหนูลงบนเส้นผมเปียกโชกของตัวเอง ปล่อยความคิดไปเรื่อยเปื่อยโดยที่โฟกัสสายตาของเขาอยู่กับเสื้อยืดใส่นอนป่วยๆที่ไม่ได้มองมันเห็นชัดสักเท่าไหร่นัก

     

    ชานยอลมองท่าทางเหม่อลอยไปพร้อมๆกับการเช็ดผม มันก็มีบ้างที่เขาเกิดอาการแบบนี้แต่มันก็เป็นเฉพาะตอนที่มีเรื่องให้คิดมาก อย่างเช่นตอนที่จะบอกพ่อยังไงว่าติดศูนย์มารวดเดียว 5 ตัว หรือตอนที่จะขอแฟนคนแรกฟัน แน่ล่ะไอ้เรื่องแบบนั้นมันก็ต้องคิดกันหนักอยู่แล้ว แต่เขาแค่นึกไม่ออกว่าคิมจงอินจะมีเรื่องคิดมากอะไรอยู่ในหัว ทั้งที่เจ้าตัวก็ดูจะเป็นคนสบายๆออกซะขนาดนั้น พอมาคิดอีกทีคนเราอาจจะมีเรื่องคิดมากแตกต่างกันออกไป

     

    ฟึ่บ

     

    เสียงลมกับการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วที่สัมผัสได้เรียกให้จงอินกลับมาสนใจปัจจุบันอีกครั้ง เขารู้สึกว่าเมื่อครู่มีอะไรขยับวูบผ่านตัวเองไป มือซ้ายควานไปตำแหน่งข้างตัวที่วางแว่นทิ้งเอาไว้ก่อนจะต้องขมวดคิ้วจนแน่นเมื่อไม่พบสิ่งที่ต้องการ มันกลายเป็นนิสัยส่วนตัวไปแล้วว่าจะต้องเก็บของใช้ทุกอย่างไว้ใกล้ตัวหรือไม่ก็ที่ประจำเพราะเขาเป็นพวกไม่ชอบใส่แว่นตาสักเท่าไหร่ มิหนำซ้ำสายตายังสั้นเกินกว่าจะมองเห็นได้แม้จะในระยะใกล้ก็ตามที

     

    โอ้โห..สายตานายย่ำแย่ขนาดนี้เลยหรอคิมจงอิน

     

    เสียงทุ้มต่ำของบัดดี้อีกคน ทำเอาจงอินถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ รู้สาเหตุของการที่เขาหาแว่นไม่เจอทั้งที่มั่นใจว่าวางที่เดิมแล้วแท้ๆ ปาร์คชานยอลเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก ไม่รู้หรือว่าไงว่านั้นมันอวัยวะชิ้นที่สามสิบสามของคิมจงอิน

     

    เอาคืนมาเขาเห็นปาร์คชานยอลลางเลือนมาก แล้วแถมมันยังบิดเบี้ยวไปจากภาพจริง  ปกติสายตาสั้นธรรมดาก็ว่าแย่หนักแล้ว แต่คิมจงอินกลับมีสายตาเอียงเพิ่มขึ้นมาให้อีก ถึงแม้ว่าจะผ่าตัดดึงลูกตากลับมาให้เท่ากันดังเดิมแล้ว  แต่ว่าค่าสายตานั้นก็ยังคงมากโขอยู่เมื่อเทียบกับคนที่มีปัญหาทางด้านสายตาทั่วไป

     

    อ้าวเห็นได้ไงว่าฉันอยู่ตรงนี้

     

    มันเป็นคำถามที่โง่เง่ามาก การที่คนเราสายตาสั้น มันไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องหูหนวก น้ำเสียงของปาร์คชานยอลดังชัดอยู่เต็มสองหู แล้วเขาจะไม่รู้ได้ยังไงว่าอีกฝ่ายยืนอยู่ตรงไหน ให้ตายเถอะ ตั้งแต่ประถมสี่ก็ไม่มีใครแกล้งเขาแบบนี้อีกเลย แล้วนี่ผู้ชายคนนี้อายุเท่าไหร่กันวะ

     

    ไหนบอกให้ฉันใจเย็นไง นายก็ต้องใจเย็นรอฉันคืนแว่นให้สิ” 

     

    กลอกตาด้วยความเซ็งสุดขีด ถึงขนาดมองเห็นไม่ชัดยังรู้เลยว่า ปาร์คชานยอลห้องซีที่กวนตีนที่สุดในโรงเรียนมันยิ้มกว้างขนาดไหน จงอินอยากเถียงใจแทบขาดว่าเรื่องแบบนี้ใครมันจะไปเย็นลง แต่ก็เขาก็ไม่รู้ว่าจะเถียงไปทำไม ในเมื่ออีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงสนุกสนานถึงขนาดนั้น ให้ตายเถอะ อีกด้านหนึ่งของผู้ชายอารมณ์ร้อนนี่เขาปัญญาอ่อนกันหรือเปล่า?

     

    คนอย่างนายก็โกรธเป็นด้วยหรอ?”

     

    นายลองใส่แว่นฉันเดินดูสิแล้วจะเข้าใจ

     

    ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดอยู่เอาเรื่อง ชานยอลก็ไม่คิดจะสลดหรอกนะ คิมจงอินหน้างอนี่ก็ตลกดีเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้ทำอย่างที่อีกฝ่ายบอก ถึงจะชอบเล่นอะไรไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่ก็พอจะมีขอบเขตอยู่บ้าง แว่นตาเป็นของเฉพาะคนถ้าเขาใส่  มันอาจจะเกิดการชำรุดเสียหายได้ แล้วคนที่จะเดือดร้อนมันไม่ใช่เขาแต่เป็นคิมจงอินต่างหาก

     

    ฮ่าๆๆๆๆ ฉันแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง อ่ะ เอาคืนไป แล้วก็เลิกทำหน้าตาเหมือนจะฆ่ากันทุกห้าวินาทีได้แล้ว

     

    นั่นมันหน้าตาปกติของนายต่างหากล่ะปาร์คชานยอล

     

    เถียงเอาเถียงเอาอย่างไม่กลัวว่าจะโดนแกล้งต่อไปมากกว่านี้ ชานยอลมองคนที่ขมวดคิ้วแน่นแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างชัดเจนไว้ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด เพราะเป็นนักเรียนเกเรบ่อยครั้งที่เขารวมหัวกับไอ้ลู่หานไปแกล้งใครสักคน พวกนั้นมักจะพูดจาดี แสดงออกว่าเกรงกลัวเขา เพื่อที่จะได้ไม่โดนพวกชานยอลแกล้งหนักมานัก แต่คิมจงอินกลับแปลกไปมากกว่านั้น มันก็เป็นเรื่องแปลกๆดีล่ะนะ

     

    นี่ไม่กลัวกันเลยหรือไง

     

    มองไม่เห็นแล้วจะต้องกลัวอะไรล่ะ

     

    ถ้าเกิดฉันทำแว่นนายแตกนายจะทำยังไง

     

    เอาเศษแว่นที่แตกทิ่มเข้าไปในลูกตานายทั้งสองข้างแก้แค้นล่ะมั้ง

     

    คำตอบที่เต็มไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดนั้นเรียกเสียงหัวเราะดังลั่นจากคนตัวสูง ชานยอลหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งไปหมด เขาล้มลงไปนอนกลิ้งบนเตียงทั้งที่ยังคงหัวเราะเสียงดังน่ารำคาญหู ก็บอกแล้วว่าจงอินเห็นแต่ทุกอย่างเลือนลางเป็นภาพบิดเบี้ยวก็แค่นั้น

     

    โอ้ย ขำจนปวดท้องไปหมด ทำไมนายเป็นคนตลกงี้วะ

     

    มีแต่คนอย่างนายเท่านั้นแหละ ที่เห็นความหงุดหงิดของคนอื่นเป็นเรื่องตลก

     

    ยิ่งเห็นท่าทางโมโห ก็ยิ่งขำเข้าไปใหญ่ จงอินไม่เข้าใจว่ามันจะขำอะไรนักหนา แว่นตาก็ไม่ได้คืน ไอ้การมองอะไรไม่ชัดนานๆนี่มันน่าหงุดหงิดอยู่พอตัวเลยเหมือนกันนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปเอามายังไง เพราะมันไม่ได้เห็นชัดขนาดที่ว่าจะเดินเข้าไปหยิบได้ถูก

     

    ไม่แกล้งละ ไม่แกล้งละ พูดพร้อมกับส่งแว่นคืนให้ถึงตากันเลยทีเดียว ปาร์คชานยอลนึกพิเรนทร์อยากรู้ว่าคิมจงอินจะทำหน้ายังไง เลยจัดการสวมแว่นตาเข้าให้กับมือแล้วยื่นหน้าตัวเองเข้าไปใกล้เสียจนชิดแบบนั้น ชานยอลไม่รู้ว่าคิมจงอินเป็นผู้ชายประเภทไหน แต่อยากรู้ว่าผู้ชายแบบคิมจงอิน นอกจากใจเย็น แล้วก็โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงแบบเมื่อครู่นี้แล้ว จะเขินเป็นหรือเปล่า??

     

    ไง เห็นหน้าฉันชัดแล้วใช่มั้ย?”

     

    “.........”

     

    ใบ้กินสนิท ยอมรับเลยว่าไม่เคยมีใครยื่นหน้ามาจนใกล้ขนาดนี้ มันใกล้จนขนาดที่คิมจงอินมองผ่านเลนส์แว่นตาหนาเตอะของตัวเองออกมาไม่ชัด มันแปลกแปลกมากตกใจนั่นก็ด้วย แต่ไอ้ที่แปลกคือทำไมเขาต้องใจเต้นแรงกับลมหายใจที่อยู่ห่างกันแค่นี้ด้วย

     

    ใกล้ขนาดนี้ เห็นแค่หัวสิวบนแก้มนายเท่านั้นแหละ

     

    จงอินตอบออกไปตามความจริงด้วยน้ำเสียงที่สามารถคุมโทนให้เรียบนิ่งได้เหมือนเดิม  เห็นปาร์คชานยอลดูจะเหวอไปนิดหน่อยเรื่องหัวสิว แต่หลังจากนั้นเจ้าตัวก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ แล้วจงอินก็ไม่อยากรู้ด้วยว่าผู้ชายใจร้อนคนนี้เกิดผีเข้าอะไรขึ้นมาอีก

     

    เห็นบัดดี้ล้มตัวลงนอนชานยอลเองก็ไม่อยากจะแกล้งอะไรอีก แค่ที่แกล้งไปเมื่อกี๊ก็หัวเราะจนปวดท้องไปหมดแล้ว คิมจงอินจะรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำให้คนอย่างเขาหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังได้ขนาดนี้ เพราะนอกจากเพื่อนสนิทสองคนอย่างไอ้ลู่หานกับแบคฮยอน ชานยอลก็ไม่ได้หัวเราะเต็มเสียงแบบนี้มานานมากแล้ว อ้อ ไม่ใช่ว่าเขามีปัญหาอะไรหรอกนะ แต่เพราะเข้ากับคนยาก เลยไม่ค่อยมีเพื่อนที่จะคอยเฮฮาไปด้วยกันได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะได้คิมจงอินมาเพิ่มอีกคนนึงแล้ว

     

     

    ..อ้อ ได้รู้ด้วย ว่าผู้ชายใจเย็นแบบคิมจงอิน ก็เขินเป็นเหมือนกัน เขินแล้วโวยวายด้วยล่ะ..

     

     

     

     

    50 %

     


     

    กิจกรรมสำหรับเช้าวันนี้คือการสำรวจไปรอบเกาะ โชคดีที่วันนี้ปาร์คชานยอลตื่นเช้า และมันทำให้พวกเขาได้นั่งกินข้าวพร้อมคนอื่น ซึ่งมันเป็นเรื่องดีเอามากๆเพราะถ้าเกิดมาช้าแบบเมื่อวาน มีหวังพวกเขาได้เดินไปกินไปแน่

    “นายวาดรูปเก่งหรือเปล่า” ชานยอลหันไปถามบัดดี้ที่นิ่งคิดแล้วพยักหน้าไปเล็กน้อย จงอินไม่มั่นใจคำว่าเก่งที่ปาร์คชานยอลหมายถึงนัก แต่ถ้าเอาอย่างที่ใครหลายคนพูดต่อๆกันมา ฝีมือวาดรูปของเขาก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่นัก

    เพราะวันนี้อาจารย์ให้พวกเราเดินกันเอง เนื้อหาของรายงานเป็นส่วนเกี่ยวกับพื้นที่รอบเกาะ ซึ่งชานยอลคิดว่ามันคงดีกว่าหากเรามีส่วนที่แตกต่างไปจากคนอื่น อย่างเช่นภาพสเก็ต แทรกไปกับการถ่ายรูป

     พวกเราเดินตรงไปยังส่วนประชาสัมพันธ์ของเกาะ เพื่อขอรับแผนที่และจุดแนะนำการท่องเที่ยว ที่จริงมันไม่จำเป็นนักหรอก แต่พอคิมจงอินแย้งมาว่า ถ้านายไม่อยากได้อะไรที่เหมือนคนอื่น ก็ควรไปดูว่าคนอื่นก็เขาทำยังไงเท่านั้นแหละ ชานยอลถึงได้เดินหน้าบึ้งตึงมาขอแผนที่ที่ประชาสัมพันธ์

    “จะไปที่ไหนก่อนดี” กางแผนที่แล้วถึงกับมึนตึ้บ นี่เขาทำสิ่งที่งุนงงแบบนี้นำเสนอคนที่ไม่เคยมางั้นหรอ? อยู่ๆชานยอลก็นึกอยากเป็นคนดีของสังคมเขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวในประเทศขึ้นมายังไงยังงั้น

    “เราเช่าจักรยานจากที่พักแล้วปั่นไปเรื่อยๆดูดีมั้ย?”” จงอินเสนอขึ้น เพราะเขาเองก็ไม่รู้จะไปที่ไหน การเป็นคนเกาหลีแล้วให้มาทำรายงานที่น่าสนใจ มันทำให้ยากเอาพอสมควร เพราะเขาไม่คิดว่าที่นี่มีอะไรน่าสนใจเลยสักนิด

    “ไปเริ่มที่ท่าเรือแล้วกัน ถ้ามาเที่ยวแบบแบคแพคเกอร์ ฉันอยากนั่งเรือมา”

     

     

     

    โชคดีที่ท่าเรือช่วงวันหยุดไม่ค่อยมีผู้คนมากมายสักเท่าไหร่นัก ชานยอลกับจงอินลงความเห็นกันว่าพวกเขาควรทำตัวให้เหมือนคนที่มาเที่ยว จะได้รู้สึกว่าอะไรที่เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์บ้าง แอบได้ยินปาร์คชานยอลบ่นอุบอิบอยุ่เหมือนกันว่านี่มันใช่รายงานที่จะให้เด็กม.ปลายปีสุดท้ายมาทำหรอ? แต่ก็นั่นแหละ จงอินเป็นประเภทที่ไม่มีความเห็นเรื่องอะไรแบบนี้อยู่แล้ว

    “นายคิดว่ามันดีจริงๆหรอกับการปั่นจักรยานกลางแดดร้อนๆแบบนี้”

    “ถ้านายคิดว่าไม่ดีแล้วตอนนั้นทำไมไม่แย้งล่ะ?”

    นี่กูโดนกวนตีนอีกแล้วหรอ? ชานยอลถามตัวเองแบบนั้น ก่อนที่เขาจะต้องพยายามข่มใจไม่ให้ยกตีนไปถีบจักรยานของคิมจงอินที่ปั่นนำหน้าเขาอยู่นิดหน่อยให้คว่ำจนเจ้าของมันกลิ้งลงไปนอนกับพื้น อาการตอนนี้ วันนี้ เดี๋ยวนี้ โคตรจะไม่เหมาะกับการมาขี่จักรยานดูนกชมไม้แบบไม่มีจุดหมายอะไรเลยสักนิด

    เข้าใจมั้ยว่าร้อน! โคตรร้อน! ร้อนโคตรพ่อโคตรแม่จะร้อน! ร้อนจนหัวกูร้อน อารมณ์กูก็ร้อนไปด้วยแล้วเนี่ย!!

    กำเบรกแทบมิดจนเกือบคว่ำแถมยังใช้สองขาช่วยหยุดไอ้สองล้อที่กำลังถีบนี่ด้วย ก็จะอะไรซะอีกล่ะถ้าไม่ใช่ว่าอยู่ๆ คิมจงอินก็เบรกรถมันเอาดื้อๆแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยก่อนจะเอื้อมเอาแผนที่ที่เหน็บไว้ด้านหลังขึ้นมากางดูอย่างใช้ความคิด

    “อะไรอีกล่ะ”

    “อย่าหงุดหงิดนักเลยน่า”

    “ถ้านายยังไม่เลิกกวนตีน ฉันอาจจะระบายความหงุดหงิดด้วยการชกเข้าที่หัวนายซักทีสองทีเลยก็ได้”

    ถ่อยจังเลย.. เดี๋ยวก่อน แค่คิดหรอกไม่ได้พูดออกไป จงอินส่ายหัวน้อยๆให้กับความเลือดร้อนที่พุ่งตามอากาศของปาร์คชานยอล ราวกับว่าไอ้อารมณ์นี่มันแปรผันกับอุณหภูมิยังไงยังงั้น พอจะรู้วิธีอยู่บ้างแล้วว่าทำยังไง หมอนี่ถึงได้จะทำตัวเป็นผึ้งแตกรังเจออะไรก็ต่อยอยู่แบบนี้

    “ฉันรู้แล้วว่าเราจะไปไหนดี”

    “เออไปไหนก็ไป ไปที่ไหนก็ได้ที่กูไม่ต้องมาร้อนอยู่แบบนี้”

    “ไปซงซานอิลซุนบงกัน”

     

     

    ซงซานอิลซุนบงบ้านมึงเย็นหรอวะคิมจงอิน!! นึกอยากจะยิงหัวซ้ำแล้วซ้ำอีก ให้หัวกระจุยเหมือนในเกมส์ที่เคยเล่น แต่ชานยอลก็รู้ว่าเขาทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นทางออกเดียวของอารมณ์เดือดทะลุร้อยองศาแบบนี้ก็คงจะมีแต่การทำหน้าตาบอกบุญไม่รับ แล้วพร้อมจะเหยียบใครก็ตามที่เดินมาเหยียบเงาหัวเขานั่นแหละ

    “พากูมาที่นี่เนี่ยนะ กูบอกว่ายังไงนะ ไม่ต้องมาร้อน”

    เสียงบ่นอุบอิบของปาร์คชานยนอลยังคงดังแทรกมาทุกครั้ง แต่จงอินก็ไม่คิดว่าเขาทำอะไรผิดหรอก คนอย่างหมอนั่นต้องไม่เคยมาที่แบบนี้แน่ๆ เพราะดูจากท่าทางแล้ว นอกจากเกมส์เซนเตอร์ กับห้างสรรพสินค้า ปาร์คชานยอลคงไม่ใช่ผู้ชายที่พอสุดสัปดาห์แล้วจะออกต่างจางหวัดไปเที่ยวกับครอบครัวหรอก

    “นี่พูดกูมึงกันได้ใช่มั้ย มานายๆฉันตอนหงุดหงิดแล้วมันยิ่งหงุดหงิดเป็นเท่าตัว”  อยากจะขำเหลือเกินกับคำถามนั้น ปาร์คชานยอลตอนโมโหที่ทำอะไรที่ดูโง่ๆแล้วก็ตลกๆเป็นเหมือนกันแฮะ จงอินพยักหน้ารับคำขอนั้น แล้วก็ได้เสียงถอนหายใจฟึดฟัดกลับมาอีกหนึ่งทีเป็นคำตอบ

    “เขามุงดูอะไรกันวะ แล้วมึงไม่ไปดูหรอ?”

    “เราจะขึ้นไปบนยอดเขาก่อน”

    “โอ้โห ชิบหายแล้ว ขึ้นเขาตอนนี้ กูจะตายมั้ยครับคิมจงอิน”

    พอได้รับอนุญาตให้พูดก็พูดใหญ่ จนเจ้าของชื่อได้แต่ยิ้มกว้างกับประโยคแบบนั้น เขาได้แต่เดินขึ้นไปเรื่อยๆอย่างไม่คิดจะตอบโต้อะไร จักรยานที่เช่ามาจอดฝากไว้ที่จุดพักเรียบร้อยแล้ว ขืนเข็นจักรยานกันขึ้นมาด้วย ได้มีตายกันบ้างล่ะงานนี้ อ๋อ แต่คนตายไม่ใช่คิมจงอินหรอกนะ

    “มันไม่ไกลหรอก ถ้านายไม่เดินไปบ่นไป มันอาจจะไม่เหนื่อยเท่านี้ก็ได้”

    เดี๋ยวนะ..เดี๋ยวก่อน นี่กูกำลังโดนด่าว่าพูดมากอยู่หรือเปล่า? ชานยอลขมวดคิ้ว แล้วก็เริ่มสงบปากสงบค่ำเดินตามที่บัดดี้ของเขาบอก ผ้าสีส้มที่ผูกข้อมือถูกแกะเออกไปมัดแฮนด์จับจักรยานเข้าด้วยกันไปเรียบร้อยแล้ว เพราะถึงจะมีโซ่คล้องไว้แล้วก็เถอะ มันก็มีสิทธิ์หายได้อยู่ดีไม่ใช่หรือไง?

    ชานยอลไม่ใช่คนที่ชอบมาเที่ยวสถานที่อะไรแบบนี้เลยสักนิด แม้แต่กับพ่อแม่เองก็ตามทีเถอะ เวลาว่างส่วนใหญ่ในช่วงสุดสัปดาห์หมดไปกับการเล่นเอกซ์บอกซ์ ดูหนัง กินข้าว ออกไปซ้อมบาส แล้วก็กลับมาเหงื่อโทรมกายอยู่ที่บ้าน วนอยู่แบบนี้ หรือไม่ก็ถ้าขี้เกียจหน่อย เขาก็นอนโง่ๆ มองเพดานห้องของตัวเองสลับกับลุกมานั่งหวดเกมส์ตั้งแต่ตื่นยันนอน

    “สวยชะมัด..” นั่นคือความรู้สึกของเขาในตอนนี้ ตลอดทางเดินขึ้นมาภาพทิวทัศน์ที่เห็นมันทำให้เขาหายเหนื่อยไปเป็นปลิดทิ้ง จงอินลอบยิ้มเมื่อได้ยินว่าชานยอลพูดแบบนั้น เขาเคยมาที่นี่แล้วกับครอบครัว เลยพอจะรู้ว่าแต่ละสถานที่เป็นยังไง

    “ถ้านายอยากได้ภาพวาด ฉันคงวาดไม่ทัน นายถ่ายรูปเก็บไว้ก่อนได้มั้ย เดี๋ยวกลับห้องฉันจะลองนั่งสเกตซ์ให้”

    ชานยอลพยักหน้ารับแบบไม่รีรอ เขารัวชัดเตอร์ในทุกมุมที่เขาคิดว่ามันจะออกมาดูดี โชคดีที่ว่าเขาพอจะถ่ายรูปเป็นอยู่บ้าง รูปที่ได้ออกมาผ่านการปรับแต่งของกล้องแล้วก็ดูมีสีสันสดใสและสวยงาม รัวไปหลายภาพจนพอใจเกือบจะได้ 360 องศารอบจุดชมวิวตรงนี้ พอจะหันไปเรียกว่าคิมจงอินอยากได้ภาพไหนหรือเปล่าก็ชะงักปากเอาไว้ได้ทัน สองมือยกกล้องขึ้นปรับโฟกัส ก่อนจะกดชัตเตอร์ไปอีกหลายครั้ง จนคนถูกแอบถ่ายรู้สึกตัว

    “มาดูดิว่ารูปที่กูถ่ายใช้ได้หรือเปล่า” ถามออกไปแก้เก้อ ตอนที่เห็นสีหน้าตกใจของจงอิน ชานยอลอุทานคำว่าชิบหายอยู่ในใจเสียงดังมาก เขาตื่นเต้นจนต้องพูดออกไปเสียงดังเรียกคนที่กำลังซึมซับบรรยากาศและทิวทัศน์ของตัวเมืองให้มาดู

    “นายถ่ายตรงนี้ให้ใหม่ได้หรือเปล่า”

    “ได้ แล้วมีตรงไหนอีก”

    พวกเขาสองกดเลือกที่นั่งที่ถูกจัดไว้ให้ ชานยอลเอียงตัวด้านข้างเช่นเดียวกับจงอินเพื่อที่ทั้งคู่จะได้เห็นภาพที่อยู่ในกล้องชัดเจนเหมือนกัน ชานยอลลดกล้องลงจากระดับที่เขาถือเพราะดูคิมจงอินกำลังชะเง้อคอขึ้นมาดู

    “ใช้ได้หมดเลย ฉันจำภาพที่นี่ได้บ้างแล้ว เคยมาหลายครั้งอยู่เหมือนกัน เดี๋ยวตอนขาลงเราค่อยแวะถ่ายตรงที่นายถามเมื่อครู่นี้เอานะ” พูดรวดเดียวจบก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา ไม่อยากจะให้มันดูสาวน้อยไปสักเท่าไหร่หรอก แต่ไอ้ความใกล้ชิดที่มันเกิดขึ้นตอนนี้ อยู่ดีๆ ก็เล่นงานจนเส้นเสียงหายกันไปทั้งคู่

    เกิดหลุมอากาศเกือบสิบวินาที สุดท้ายก็กลายเป็นจงอินที่ลุกขึ้นเดินต่อ ยังมีสถานที่ที่ต้องไปอีกเยอะ เราจะมามัวเสียเวลาอยู่กับที่นี่ที่เดียวไม่ได้ เพราะพรุ่งนี้อาจารย์คงไม่ยอมให้ออกจากที่พักก่อนพวกเขาเดินทางกลับแน่

    “ไปไหนต่อดี?”

    พอลงมาถึงที่จอดจักรยานก็เกินคำถามต่อไปทันที ชายอลมองคิมจงอินที่ยืนนิ่งอยู่กับจักรยานตัวเองไม่ต่างกันอย่างใจเย็นพอที่จะรอการตัดสินใจ

    “นายมีที่ไหนที่อยากไปหรือเปล่า”

    “ปกติคนมาเที่ยวที่นี่เขาเที่ยวอะไรกันล่ะ”

    “ถ้าอยากได้อะไรที่แตกต่างก็ควรถามคนไม่ปกติสิถูกมั้ย”

    อ๋อ... นี่กูกำลังโดนคิมจงอินด่าว่าไม่ปกติสินะ.. อ๋อใช่สิ พ่อคนปกติที่สุดในสามโลกทั้งโลกเหนือโลกใต้ โลกกลางเลย นึกค่อนขอดจนจะกลายเป็นตุ๊ดยักษ์ชอบจิกกัดเด็กจนพอใจ ก็หันกลับมาสนใจแผนที่ที่กางเด่นหราอยู่บนแฮนด์จักรยานทั้งสองคัน

    “ไปมันให้หมดนั่นแหละ เรียงไปเลยจากแผนที่น่ะ”

    นายมั่นใจหรอว่าจะปั่นไหว?”

    “เออ กูมั่นใจ”

    จงอินไม่อยากเชื่อคำว่ามั่นใจในน้ำเสียงขอไปทีของปาร์คชานยอลเลยสักนิด แต่ถ้าเราไม่ยอมขยับไปไหนสักทีรายงานวันนี้ต้องล่มไม่เป็นท่าแน่ พวกเขาเริ่มต้นปั่นจักรยานกันอีกครั้ง และผู้ชายตัวสูงที่ดูจะขี้รำคาญทำให้จงอินต้องแปลกใจในรอบวัน

    “นายไม่เหนื่อยจริงๆนะ”

    “เออ ถามอยู่นั่นล่ะวะ บอกว่าไม่เหนื่อยก็ไม่เหนื่อยไง”

    พวกเราปั่นจักรยานรวบๆกันมาหลายกิโลได้แล้ว จอดแวะหลายจุดเพื่อถ่ายรูปเมื่อจงอินและปาร์คชานยอลเห็นตรงกันว่ามันสวย พวกเขาตกลงกันว่าจะปั่นไปเรื่อยให้ได้มากที่สุด เพื่อเก็บภาพบรรยากาศแล้วเอามาเขียนลงรายงาน ส่วนพวกสถานที่สำคัญนั้น จงอินจะใช้รูปที่เขาเคยมาเที่ยวแล้วถ่ายไว้แทน

    “จะไปไหนกันต่ออีก นี่มันก็บ่ายสามกว่าแล้ว”

    “ก็มีแค่หมู่บ้านวัฒนธรรม แต่มันอยู่ไกล พวกเราคงถึงรีสอร์ทเกือบมืด”

    “งั้นก็กลับ”

    “ยังเหลือที่สุดท้ายที่ต้องกลับไป”

    ชานยอลไม่เข้าใจนักหรอกตอนที่ได้ยินคิมจงอินพูดประโยคนั้น ยังเหลือที่สุดท้ายที่ต้องกลับไป แสดงว่ามันต้องเป็นที่ที่พวกเขาเคยไปมาแล้ว พยายามนึกเค้นในหัวว่ามีที่ไหนที่ประทับใจจนต้องกลับไปอีกรอบ ซึ่งเมื่อจุดหมายปลายทางที่คิดไว้ทั้งหมดผ่านไปแล้ว ก็เหลือที่สุดท้ายเพียงเท่านั้น

    ซงซานอิลซุนบง

    ถ้าตะโกนว่าวอทเดอะฟัค หรือไอ้เหี้ย ก็จะกลายเป็นไอ้เหี้ยทันทีอย่างที่ตะโกน ชานยอลเลยได้แต่ส่งสายตาอาฆาตให้กับคนที่เดินนำหน้าเขาอยู่และคนรอบข้างที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็โดนหางเลขไปด้วยโดยปริยาย

    “กูขอถาม เหตุผลที่เราต้องไต่ไอ้บันไดนี่ขึ้นไปบนนั้นอีกรอบ” ดึงแขนของบัดดี้ที่ยังคงทำหน้านิ่ง ราวกับระยะทางที่ไต่ขึ้นไปนั้นมันไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรเลยสักนิด ใช่ อาจจะไม่หนักหนาสาหัสสำหรับคิมจงอิน

    แต่! สำหรับ! กู! มัน! หนัก! หนา! มาก! ห่า! เอ๊ย! นี่! กู! ต้อง! ไต่! ขึ้น! ไป! อีก! รอบ! นึง! เหรอ!!!!!

    “ครับ”

    โอเค สั้น ห้วน และกวนส้นตีนมาก ชานยอลคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วที่จะต้องไต่ขึ้นไปทั้งที่พวกเขาเหนื่อยกับารปั่นจักรยานมาทั้งวัน และที่สำคัญ ยังต้องไต่ไอ้นี่ขึ้นไปเป็นรอบที่สองอีก

    “กูขอเหตุผล”

    “มันมีอีกอย่างที่เราต้องถ่ายรูปแนบไปในรายงาน”

    จบเห่กันพอดี  จบเห่กันที่เหตุผลมึงนี่แหละครับ กูแย้งห่าอะไรไม่ได้เลยนอกจากจำยอม ถึงเขาจะไม่เหนื่อยกับการปั่นจักรยาน แต่มันคนละเรื่องกับการลากสังขารขึ้นที่สูงแบบนี้ เหนื่อยจนปอดจะฉีกอยู่แล้วห่า! นี่ถ้ามันบอกว่า อ๋อ เมื่อกลางวันเราลืมถ่าย กูสาบานว่าชกจนฟันหน้าแม่งหัก จมูกแม่งยุบเลยคอยดู กูสาบาน

    “มันคุ้มจริงๆนะ กับรูปนี้” พอเห็นหน้าเขาหงิก คิมจงอินก็หันมาพูดกับเขาเป็นระยะ จนชานยอลอยากบอกว่า เออ มึงช่วยหยุดพูดก่อนได้มั้ย กูเหนื่อย และกูขี้รำคาญมาก พูดซ้ำประโยคนี้อีกที กูจะโยนกล้องทิ้งแล้วซิ่งกลับรีสอร์ทคนเดียวแล้ว

    “เออ คุ้มก็คุ้ม คุ้มของมึงกับคุ้มของกูนี่คนละเรื่องกันจริงๆเลย” บ่นกระปอดกระแปดแล้วก็พากันเดินขึ้นมาถึงจุดชมวิวในที่สุด ผู้คนหนาตากว่าตอนกลางวันมากทำให้คิมจงอินขมวดคิ้วมุ่น ส่วนปาร์คชานยอลก็เริ่มเข้าใจอะไรลางๆอยู่บ้างแล้ว

    โรแมนติกไม่เบานี่หว่า พระอาทิตย์ตกดินงั้นหรอ

    “นี่นายชวนมาเดทหรอ” แน่นอนว่าผู้ชายอย่างปาร์คชานยอลไม่คิดที่จะเก็บความสงสัยของตัวเองไว้นานอยู่แล้ว ถึงได้โพล่งถามออกไปตอนที่พวกเขาสองคนเบียดกันเข้าไปยังจุดชมวิวที่สามารถถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกขอบฟ้าที่สุดพื้นน้ำได้  ชานยอลที่ยืนเยื้องไปทางด้านหลังเล็กน้อย โน้มตัวลงไปกระซิบคำถามที่เล่นเอาคิมจงอินเหวอไปชั่วขณะอยู่เหมือนกัน

    “เปล่า ที่ตรงนี้มันสวยดี”

    “แล้วทำไมถึงชวนมาที่นีที่แรกตั้งแต่เช้า” ยังคงใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำ นุ่มนวล ชวนขยี้ใจสาวๆ เข้าลูบ อยากรู้ว่าคิมจงอินจะมีปฏิกิริยายังไง

    “อ๋อ ตอนนั้นนึกถึงที่นี่เป็นที่แรก อยากแกล้งนายด้วย เดินขึ้นเขามันเหนื่อยใช่มั้ยล่ะ”

    ชิบหายหมดเลยความโรแมนติกที่กูพึงหวัง ชานยอลทำหน้าเซ็งหนักแล้วจับหัวบัดดี้ของตัวเองให้หันกลับไปมองภาพตรงหน้าได้แล้ว แสงสีส้มอ่อนทอทั่วท้องฟ้า ชานยอลจับกล้องแล้วถ่ายมันอย่างที่ใจเขาต้องการ ภาพตรงหน้ามันสวยงาม เสียจนเขาลืมความเหนื่อยและเรื่องกวนตีนของคิมจงอินไปได้ชั่ววินาที

    “เอาให้ทันตอนพระอาทิตย์จมลงไปแล้วครึ่งดวงนะชานยอล”

    คิมจงอินพูดกับเขาเสียงเบา แต่มันกลับทำให้มือเขาสั่นจนเกือบทำภาพเสียเรื่อง ตอนนั้นปาร์คชานยอลก็แอบสาบานอยู่ในใจเหมือนกันว่า ถ้ารูปมันเบี้ยว หรือภาพมันไม่ชัด เขาจะโบ้ยให้มันเป็นความผิดของคิมจงอินคนเดียว

     



     

    #ฟิควงกลมชานไค

    5555555555555555555555555555555555555555555555555+ รับสมัครคนไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่แหลมฉบังค่ะ!

    เอออ เรื่องนี้เขียนง่าย เรื่องนี้น่ารัก ไม่มีอะไรมากเลยจริงๆ อ่านเอาขำขัน แก้เขิน แก้ฟินกันไปเรื่อยๆนะคะ นี่เขาจีบกันอยู่หรือเปล่าเราก็ไม่แน่ใจ 555 อยากจะแซวก็แซวใครไม่ถูก โง้ยยยยยยยย  

    ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่าน ขอบคุณทุกคนที่ติชม ทั้งในหน้าเว็บและแท็กทวิตเตอร์นะคะ ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามากดเฟ้บไว้ด้วย ขอให้เก็บรอยยิ้มกลับไปได้เยอะๆน้า วันนี้ไปแล้ววว วว

    ปล. บอกเราที แบบนี้อ่านง่ายมั้ย หรือว่าตัวอักษรบรรทัดมันติดไป จะได้เว้นให้มันมากขึ้นมาหน่อยย

     













     

    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×