คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : CHAPTER 0 : intro
เสียงยางรองเท้าเสียดสีพื้นปาร์เก้ดังก้องไปทั่วโรงยิม ปนๆไปกับเสียงตะโกนโวยวายของผู้ชายหลายสิบคนที่กำลังวิ่งวู้ฟัดแย่งชิงลูกหนังสีส้มกันอยู่ในสนาม จงอินนั่งเอนหลังเท้าแขนมองอย่างไร้อารมณ์ผิดกับเทาและเซฮุนที่นั่งอยู่ข้างกัน รายนั้นเชียร์เสียงดังลั่นเลยต่างหาก
พวกเขาเรียนโรงเรียนชายล้วน ทำให้การแข่งขันดูจะจืดไปมากเมื่อไม่มีสาวๆมาใส่ชุดปอมปอมเชียร์น่ารักๆให้เป็นอาหารสายตา แต่โชคดีที่นี่เป็นกีฬาสานสัมพันธ์ของโรงเรียนไฮสคูลในเครือเดียวกันทั้งหมด เพราะฉะนั้นเลยมีนักเรียนหญิงจากโรงเรียนอื่นแวะเข้ามาดูอยู่บ้าง
จงอินเห็นเด็กผู้หญิงสองคนที่นั่งถัดไปอีกสักหน่อยส่งเสียงกรี๊ดใครอยู่ก็ไม่รู้ เขาฟังชื่อไม่ถนัด แต่ก็ยังฟังพอรู้เรื่องอยู่บ้าง ว่าพวกของเธอกำลังตามมาในไม่ช้า ตอนนั้นเองที่จงอินรู้สึกถึงคำว่าหายนะ
"พวกมึง กูไปรอข้างนอกนะ" สะกิดแขนเพื่อนสนิทเพื่อบอกจุดประสงค์ เรียบร้อยแล้วก็เดินออกมาทันที แต่ไอ้เทา กับเซฮุนมันไม่ห้ามหรอก
เด็กหนุ่มเดินลัดเลาะมาถามทางเดินจนถึงศาลาหกเหลี่ยมที่อยู่ด้านหลังโรงยิม โชคดีที่มันตั้งอยู่กลางสวนหญ้าเทียมที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก นอกจากพวกนักกีฬาที่ต้องเดินผ่านบริเวณนี้ไปซ้อมสนามกลางแจ้งเท่านั้น และแน่นอนว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับจงอินคือหูฟัง หูฟังใสๆที่เขาไดัมาตอนวันเกิดถูกหยิงออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูท จงอินไม่ได้เก็บมันดีสักเท่าไหร่นัก เขาแค่ม้วนมันเก็บไว้ธรรมดาเท่านั้น
เสียงหวานของนาร์ชาทำให้จงอินรู้สึกมีแรงขึ้นมานิดหน่อย มันเป็นแรงที่เหมาะกับการขนย้ายตัวเองไปนอนให้ถูกที่ถูกทาง แต่ถึงจะคิดแบบนั้นจงอินก็ไม่ได้ขยับตัวลงไปนอนบนพื้นหญ้าแต่กลับเลือกจะเอนหลังบนมานั่งเตี้ยของศาลาหกเหลี่ยมแล้วนอนมองหลังคาสีแดงหม่นนั่นแทน
เสียงเชียร์ยังคงดังมาให้ได้ยิน แต่จงอินก็ไม่คิดจะใส่ใจกับมันสักเท่าไหร่นัก เขาปล่อยให้เสียงเพลงขับกล่อมแล้วดึงเขาเข้าสู่โลกของมัน
แค่มีเสียงดนตรี ทุกอย่างก็เหมือนถูกกันออกไป
เผลอหลับไปจนเกือบเย็น หยิบโทรศัพท์มาดูก็พบข้อความของเพื่อนสนิทที่บอกว่าเขากลับบ้านไปไม่ยอมบอก จงอินลุกขึ้นนั่งลูบหน้าตัวเองเรียกสติ มองไปรอบๆก็พบว่าแทบจะไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว โชคดีนิดหน่อยที่มันยังไม่มืดมากเขาคงขึ้นไปเอากระเป๋าบนตึกเรียนได้และออกมาทันก่อนที่ตึกจะปิด
ร่างโปร่งยังคงเดินไปอย่างช้าๆ สองมือล้วงเข้าในกระเป๋ากางสายตาทอดมองไปข้างหน้า มันก็แค่ตอนเย็นธรรมดาๆเหมือนทุกวัน จงอินชอบอยู่ตอนเย็นเพราะเขาชอบเวลาที่โรงเรียนมันเงียบ มันเป็นเวลาที่เขาได้ยินเสียงเพลงในหูตัวเองชัดที่สุด แต่พอเขาจะเดินตรงเพื่อขึ้นไปบนอาคารเรียนกลับมีกลุ่มคนเดินเลี้ยวมุมตึกกันมาเสียก่อน เขาไม่ได้ล้มลงไปเหมือนสาวน้อยหรอก แต่ว่ามันก็เจ็บไม่ใช่เล่นเลยเหมือนกัน
“ขอโทษครับ”
“เฮ้ย ขอโทษๆ ไม่ได้ตั้งใจ มัวแต่คุย โทษทีๆ”
จงอินพยักหน้ารับ ไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าใครที่เป็นคนชนเขา แต่เห็นจากสีชุดกีฬาบาสเกตบอลที่สวมใส่แล้วก็ได้แต่นึกสงสัยว่านอกจากไอ้เทาแล้วที่โรงเรียนมีคนสูงเป็นเสาไฟฟ้าแบบนี้ด้วยหรอ?
โค้งหัวรับกลับไปอีกทีแล้วก็เดินล้วงกระเป๋าขึ้นตึกเรียนของตัวเองไป เขาเห็นลุงภารโรงกำลังจะปิดห้องเรียนอยู่แล้ว โชคดีที่เลิกเต๊ะท่าแล้วใส่เกียร์หมาไปห้ามเอาไว้ทัน รีบเข้าไปเอากระเป๋าตัวเองออกมาทันที ทุกคนก็อยากกลับบ้านกันทั้งนั้น จงอินเลยไม่อยากให้ตัวเองทำใครเสียเวลากลับไปเจอครอบครัว
การเดินเท้าถือไปตามเส้นทางประจำก็ถือเป็นอีกทางหนึ่งที่จงอินเลือกที่จะใช้มันเดินทางกลับบ้าน เขาชอบที่จะก้าวขาไปเรื่อยๆตามทางเดิน มองคนนั้นคนนี้พูดคุยกัน และมันก็คงเป็นเพราะว่าบ้านเขาอยู่ห่างจากโรงเรียนไม่มากจงอินถึงได้เลือกใช้วิธีนี้
วันนี้ก็ไม่มีอะไรแปลกไปกว่าทุกวัน เขาเห็นคุณลุงร้านบะหมี่ยังคงสวมชุดเดิม ใช้ผ้าขนหนูผืนเดิม ขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่เดิม มีครั้งหนึ่งเขานึกสงสัยว่าถ้าตัวเองแต่งตัวแบบนี้มันจะเป็นยังไง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือแม่เปิดเข้ามาเจอลูกชายคนเดียวกำลังยืนทำท่าลวกก๋วยเตี๋ยวอยู่ในห้อง
นั่นถือเป็นความอับอายครั้งใหญ่หลวงของจงอินเลยทีเดียว
ครอบครัวเขาเป็นคนอารมณ์ดี ตอนนั้นแม่บอกเพียงแค่ว่า ถ้าอยากขายก๋วยเตี๋ยวก็ให้ไปบอกพ่อ เดี๋ยวพ่อก็จะลาออกจากงานมาเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวให้จงอินแทน เขาหัวเราะออกมาดังมาก ไม่แน่ใจว่าถ้าทำอย่างที่แม่บอกพ่อจะยอมลาออกจากงานที่รักเพื่อเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวให้ลูกชายคนเดียวของท่านหรือเปล่า
แต่วันนี้ร้านก๋วยเตี๋ยวดูเหมือนจะแปลกที่แปลกทางไปซะหน่อย ปกติแล้วอาแปะจะไม่ค่อยตั้งร้านออกมาบนฟุตบาทมากนัก แต่ตอนนี้กลับมีโต๊ะยาวสองตัวถูกกางติดกันอยู่บนฟุตบาทแต่หลบให้พ้นทางเดินมากที่สุด เขาสังเกตเห็นว่ามีเด็กผู้ชายกลุ่มใหญ่ที่เดินชนกันเมื่อเย็น กำลังโค้งหัวประหลกๆให้อาแปะแล้วรีบไปจับจองที่นั่ง น่าแปลกที่โต๊ะสองตัวกลับกลายเป็นโต๊ะเล็กๆไปเลยเมื่อผู้ชายตัวเป็นยักษ์ห้าคนจับจองที่นั่ง
เขาสังเกตเห็นว่ามีพุงพลาสติกกับกระเป๋าคนละใบวางพิงกันไว้ที่ขา บางคนก็เอากระเป๋าสะพานไว้ ส่วนถุงว่ากองไว้กับพื้นหลบให้พ้นทาง ถ้าให้เดาก็คงไม่พ้นรองเท้านั่นล่ะนะ จงอินเห็นหน้าทุกคนไม่ชัด แต่เห็นชื่อกับเลขที่ปักอยู่ด้านหลังเสื้อของคนที่หันหลังให้เขาชัดมาก
ParkChan. Y. 61
จงอินบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นนั่งนิ่งๆบนเตียง เขาไม่ได้ควานหาแว่นตามาใส่เพื่อดูว่ามันกี่โมงแล้ว แต่จากแสงสว่างน้อยนิดในห้องคงคิดว่านี่มันน่าจะยังเช้าเกินกว่าที่เขาจะตื่นขึ้นมา เกือบจะล้มตัวนอนลงอีกรอบถ้าไม่ติดที่แรงสั่นเตือนจากโทรศัพท์ที่วางอยู่หัวเตียงเรียกเขาไว้เสียก่อน จงอินไม่ได้ดูตอนที่กดรับสายแต่เขาคิดว่าคงมีไม่กี่คนที่จะโทรมาเวลานี้
(ตื่นยั้ง ตื่นสิวะ ตื่นมาคุยกับกู) -_-
“นี่มันกี่โมงกี่ยาม”
(ตีสี่! ตีสี่แล้วเว้ย เค้านัดเจอกันที่โรงเรียนหกโมงเช้า มึงอย่าสายนะ!)
ถ้ามันอยู่ตรงนี้คงเห็นว่าจงอินทำหน้าเซ็งแค่ไหน ไอ้เทาคงตื่นเต้นมากจนลืมไปว่าบ้านเขาอยู่ใกล้โรงเรียนมาก ผิดกับมันที่อยู่โคตรไกลแล้วต้องแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ตอนนี้ จงอินกดตัดสายอย่างไม่ใยดีแล้วโยนโทรศัพท์เอาไว้ข้างตัว วันนี้เขาต้องไปทัศนศึกษา อยู่ๆ ผู้อำนวยการโรงเรียนก็เกิดอยากจะพาเด็กเกรดสิบสองไปเที่ยวพร้อมกันทั้งสายชั้น จงอินเสียดายนิดหน่อยที่คยองซูไม่ได้ไปด้วย เพราะเจ้าตัวอยู่สายศิลป์ภาษา แต่ก็ช่างมันเถอะอย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนร่วมห้องอย่างโอเซฮุน แล้วก็ไอ้เจ๊กเทา
จะนอนต่อก็กลัวว่าจะตื่นขึ้นมาไม่ทันนัด สุดท้ายจงอินก็ต้องเอื้อมมือไปคว้าแว่นสายตาที่อยู่บนหัวเตียงมาสวม ขยับตัวย้ายสังขารลงมาข้างเตียงที่ติดผนังห้องอีกฝั่ง ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ก่อนจะเอื้อมมือเปิดโน๊ตบุ๊คของตัวเองทั้งที่แทบจะลืมตาไม่ขึ้น เลื่อนนิ้วกดเลือกโปรแกรมไอจูนขึ้นมาเพื่อเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ของเขา ต้องไปทัศนศึกษาหลายวัน จงอินต้องรู้สึกขาดใจแน่ๆ ถ้าไม่ได้ฟังเพลง
นั่งกดนู่นเล่นนี่อยู่สักพักแม่ก็มาเคาะประตูห้องแล้ว จงอินขานรับและบิดขี้เกียจบนเก้าอี้หมุนของเขา อาการง่วงงุนเริ่มมาแล้ว ได้แต่คิดว่าพอขึ้นไปบนรถเขาจะหลับมันตั้งแต่รถยังไม่ออกให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย เพราะคราวนี้เราไปทัศนศึกษากันที่เกาะเชจู
จงอินมาถึงตรงเวลานัดพอดีเป๊ะๆและเขาก็พบว่ามีนักเรียนกว่าค่อนที่มาก่อนเวลาเรียกว่า สามในสี่เลยด้วยซ้ำไป เกือบหลุดร้องออกมาเสียงดังแล้วตอนที่เห็นเซฮุนกับเทายืนอยู่ในส่วนที่เป็นนักเรียนตรวจเชคสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยเหมือนกันว่าเพื่อนของเขาก็เป็นไปด้วย
“ไปดิมึง ไปต่อแถวเร็วๆ”
“จองที่นั่งให้ด้วย เอาแถวสามคนอ่ะ”
จงอินบอกไปแบบนั้น ไม่ใช่ว่าเขาเป็นประเภทนั่งคนเดียวไม่ได้หรอก ตรงกันข้าม จงอินรู้สึกสะดวกใจที่สุดกับการนั่งรถบัสเบาะเดี่ยว แต่ไอ้เพื่อนสองคนนี้ต่างหาก ที่ชอบพูดว่ารู้สึกผิดเสมอเวลาเห็นเขานั่งเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ทำตัวเป็นพวกพระเอกเอ็มวีที่โดนทิ้ง
กูก็แค่ฟังเพลงของกูเฉยๆได้ไหมล่ะสังคม -_-
กว่าจะเชคชื่อ เชคกระเป๋าเรียกร้อยให้ครบทุกคนก็กินเวลาไปเกือบแปดโมง เสียดายนิดหน่อยเมื่อรถบัสที่เช่ามาเป็นแบบเบาะสองที่นั่ง ดังนั้นเขาเลยตัดปัญหาด้วยการบอกเพื่อนทั้งสองคนว่า
‘กูจะไปนั่งคนเดียวนะ’
ไอ้เทาอ้าปากค้างไปแล้ว ส่วนเซฮุนก็ได้แต่พยักหน้าอย่างเหวอๆ จงอินส่ายหน้าให้แล้วก็เดินย้อนกลับไปยังเบาะหน้าที่มีที่ว่างอยู่เมื่อครู่ กระเป๋าเป้ใบพอเหมาะถูกเหวี่ยงขึ้นไปบนที่เก็บของและโชคดีของจงอินวันนี้คือเขามาก่อน เลยได้สิทธิ์นั่งข้างใน จงอินไม่รู้หรอกว่าเขาจะได้นั่งกับใคร กว่าจะได้รู้อีกทีคงตอนที่ต้องเปลี่ยนจากรถไปขึ้นเรือแล้วล่ะ
ปาร์คชานยอลรู้สึกว่าวันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่เขาสับขาวิ่งได้เร็วที่สุดในชีวิต มันเป็นเรื่องปกติมากที่เขาจะวิ่งเร็ว นั่นก็เพราะว่าเขาสูง เขาขายาวและเขาก็เป็นนักกีฬาบาสเกตบอลของโรงเรียน แต่ตอนนี้ถึงเขาจะวิ่งเร็วแค่ไหนก็ยังรู้สึกมันช้าไปอยู่ดี เข็มนาฬิกาบ่งบอกว่านี่เลยเวลานัดของโรงเรียนมาเป็นชั่วโมงแล้ว แต่ปาร์คชานยอลพึ่งจะแหกขี้ตาลุกจากที่นอนแล้วก็คว้ากระเป๋าที่แม่จัดไว้ให้ออกจากบ้านมาอย่างทุลักทุเล
งอตัวเท้าแขนกับเข่า หอบเป็นหมาหอบแดดทันทีที่วิ่งมาเบรกอยู่หน้าอาจารย์จองซู เขาโดนดุทางสายตาแต่นั่นมันไม่ทำให้ปาร์คชานยอลอายหรือสะทกสะท้านหรอก ขนาดความผิดที่คนทั้งสายชั้นกำลังรอเขาคนเดียวนี่ก็ไม่สะทกสะท้านเลยจริงๆนะ
“ขึ้นรถได้แล้วปาร์คชานยอล”
เขาผงกหัวรับแล้วแบกกระเป๋าเหี่ยวๆของตัวเองขึ้นไปบนรถบัส เห็นแบคฮยอนกับลู่หานนั่งอยู่ที่เบาะเกือบสุดท้ายแล้วก็ได้แต่เบ้หน้าใส่ เพราะพวกมันสองคนเอาแต่อ้าปากพูดแบบไม่มีเสียงว่า ‘มึงมาช้าเองนะ’ ซ้ำไปซ้ำมาอยู่แบบนั้น สุดท้านชานยอลก็ได้ที่นั่งแถวกลางๆ ที่มีคนสวมฮุ้ดมิดชิดนอนหลับพิงกระจกอยู่ เอาเถอะนั่งด้วยกันไปก่อน พอไปถึงเชจูเขาค่อยไปนอนกับไอ้ลู่หานก็ได้
ชานยอลเก็บกระเป๋าเดินทางของเขาบนชั้นวางกระเป๋าแล้วทรุดตัวนั่ง ป้ายชื่อถูกกลัดไว้ที่อกบนเสื้อกันหนาวบอกเขาว่าเพื่อนร่วมทางของเขาชื่อคิมจงอิน ได้แต่หวังว่าจะไม่ตื่นมาทะเลาะกันระหว่างทางหรอกนะ
จงอินตื่นขึ้นมาตอนที่มีใครสักคนสะกิดเขาบนไหล่ขวา พอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเป็นคนที่มาทรุดนั่งลงข้างกัน ผู้ชายที่...หูกางมาก? เป็นเพราะว่าพึ่งตื่นจงอินเลยรู้สึกว่าตาของเขาแห้งมากถึงได้หลับตาลงอีกรอบ แต่ดันลืมไปว่าอีกคนไม่รู้จักเขา
ชานยอลมองคนทำท่าจะหลับต่อแล้วใช้มือคว้าหมับเข้าบนหัวของคนที่นั่งมาข้างเขาแล้วเขย่ามันอย่างแรงจนคนที่ชื่อคิมจงอินแหกปากร้องลั่น
“เกิดอะไรขึ้น เฮ้ยๆ ชานยอลมึงอย่าหักคอเขา/ จงอินเป็นอะไร!!”
ลู่หานกับแบคฮยอนวิ่งขึ้นมาบนรถเพราะรู้ว่าเพื่อนตัวเองยังไม่ลงมา ส่วนจื่อเทาและเซฮุนก็จำได้ว่าเสียงที่ร้องอยู่เป็นเสียงของจงอิน ชานยอลหันไปมองสี่คนมาใหม่ด้วยสายตาไม่เข้าใจ ส่วนจงอินก็มองไอ้คนที่ยังกำหัวเขาแน่นด้วยมือของมันด้วยสายตาโกรธเคือง
“กูไม่ได้จะหักคอเขา”
“ไม่ไดัหักคอเขาก็ปล่อยมือออกจากหัวเขา ไอ้ห่า เดี๋ยวคอเขาหัก ลู่หานเดินไปใกล้เพื่อนแล้วดึงมืออออกมาจากหัวของคนที่มันนั่งมากับเขาด้วย ชานยอลลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลพอสมควรเพราะเขาสูงกว่าคนเหล่านี้อยู่พอสมควร คิมจงอินทำหน้าบูดบึ้งก่อนจะจัดทรงผมตัวเองให้เข้าที่แล้วลุกตามเขาออกมา ชานยยอลไม่ได้จะหักคอหมอนั่นจริงๆนี่หว่า แล้วหักคอบาดไหนเขาจับกระหม่อมกันแบบนั้นกันวะ
“ขอโทษแทนเพื่อนผมด้วยนะครับ ไอ้นี่มันต่อมการแสดงออกพิการ”
“อือออ ไม่เป็นไรครับ ผมแค่เจ็บนิดหน่อย” จงอินโค้งหัวรับคนที่เขาจำได้ว่าชื่อบยอนแบคฮยอน พร้อมกับบอกไปตามตรงว่าตัวเองไม่ได้โกรธอะไร อาจจะไม่พอใจอยู่บ้างแต่เขาไม่ใช่คนเอาเรื่องพวกนี้มาคิดเล็กคิดน้อย
พวกเราเดินลงจากรถมาเข้าแถวสำหรับขึ้นเรือ ครูควบคุมประกาศว่าให้รับผ้าสีที่สะพานเชื่อมแล้วผูกเอาไว้กับคนที่นั่งมาด้วยกัน ชานยอลหันหลังกลับไปมองเพื่อนร่วมทางที่ดูน่าจะยาวตลอดทริป เขากังวลใจนิดหน่อยแต่เพราะว่าเราเป็นผู้ชายเหมือนกันเลยไม่น่าจะใช่เรื่องยากที่จะสนิทสนมกันมากขึ้น
จงอินได้ยินที่ครูควบคุมประกาศเหมือนกันนั่นแหละ แล้วเขาก็เห็นว่าเทากับเซฮุนมองเขาด้วยสายตาเป็นห่วงขนาดไหน เอาเถอะหมอนั่นไม่ได้แย่หรอก จงอินย้ำออกไปกับเพื่อนว่าเขาโอเคกับบัดดี้ที่เกือบจะหักคอจงอินด้วยมือเดียวเมื่อครู่นี้และเมื่อเห็นว่าปาร์คชานยอลหยุดยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมสะพานเชื่อมเขาก็เดินตรงเข้าไปหา
คุณครูที่ทำหน้าที่มัดข้อมือเข้าด้วยกันมองหน้าพวกเขาทั้งคู่ด้วยสายตาไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ อย่าว่าแต่อาจารย์เลย ทั้งจงอินและชานยอลก็ไม่มีใครเข้าใจอะไรทั้งนั้น และเพราะพวกเรายืนกันอยู่แบบนี้ จงอินเลยยื่นแขนขวาให้อาจารย์พร้อมๆกับชานยอลที่เป็นฝ่ายยกแขนซ้ายขึ้นมาให้ มันดูจะตลกไปนิดหน่อย ที่ปาร์คชานยอลผูกเชือกเหนือขึ้นมาเกือบครึ่งแขนแต่เพราะว่าอีกฝ่ายจะได้ถูกผูกไว้ที่ระดับข้อมือ
เพราะจับคู่กันมาเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ก่อนขึ้นเรือ ดังนั้นชีวิตบนเรือดูจะเป็นเรื่องยากไปซะหน่อย เมื่อคนขี้เซาอย่างคิมจงอินไม่ได้คิดจะทำอะไรอย่างอื่นอีกนอกจากนอน ส่วนปาร์คชานยอลก็ติดเกมส์ติดเพื่อนจนเกินกว่าจะนั่งเงียบๆแล้วหลับไปกับบัดดี้ของเขาได้ สุดท้ายผลลัพธ์มันก็เลยออกมาที่คิมจงอินนอนหลับเอนหัวซบชานยอลที่นั่งเล่นเกมส์กับลู่หานอย่างเมามันส์ ส่วนผ้ามัดข้อมือก็จับมามัดกระเป๋าของทั้งคู่เอาไว้แทน
มันก็ดูตลกดีน่ะนะ เป็นภาพน่ารักที่ไม่ค่อยมีให้เห็นนักในโรงเรียนชายล้วนแบบนี้ แน่นอนว่าต้องมีคนไม่พลาดแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเอาไว้ เทากับเซฮุนก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน อย่างน้อยพวกเขาก็เบาใจว่าจงอินจะไม่ได้ปาร์คชานยอลอะไรนั่นหักคอตายไปเสียก่อน แถมยังมีภาพน่ารักกุ๊กกิ๊กหลับพิงหัวซบกันแบบนี้ให้เห็นอีก
“นายว่าสองคนนั้นจะสปาร์คกันมั้ย?” เทาถามขึ้นตอนที่เห็นกับตาว่าปาร์คชานยอลละมือจากเกมส์ในโทรศัพท์ไปลูบหัวเพื่อนเขาที่ขยับยุกยิกอย่างไม่สบายตัว นี่ถ้าอาจารย์มาเห็นคงโดนดุเรื่องที่แกะผ้ามัดข้อมือออก
“ห้ะ? ไอ้จงอินกับปาร์คชานยอลเนี่ยนะ?” เซฮุนถามด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ หนำซ้ำยังตกใจเข้าไปอีกตอนที่เทาพยักหน้ายืนยันคำถามของเขา
“เอ้า.. มึงไม่เห็นเหรอ?”
“เทา..แหกตาดูนะ ปาร์คชานยอลนี่ดูยังไงก็ไม่ใช่เกย์ ส่วนไอ้จงอิน เรารู้จักกันมาตั้งกี่ปี มันมีวี่แววว่าจะชอบผู้ชายหรอวะ”เซฮุนยังคงเถียงกับเทาอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะเท่าที่เห็นปาร์คชานยอลกับคิมจงอินน่ะเหรอ?? เซฮุนไม่อยากจะคิดเหมือนกัน
“เอ้า... ไม่เชื่อเซ้นส์กูเหรอ”
“นี่...หวงจื่อเทา... แหกตาดูดีๆ" เซฮุนชี้ไปที่สองคนนั้น ถึงบรรยากาศมันจะดูแปลกๆไปหน่อยที่เห็นผู้ชายนอนซบกันก็เถอะ แต่ว่า..."นอกจากเครื่องแบบนักเรียนที่ใส่กันอยู่ทุกวัน เรื่องเดียวที่ฉันเห็นว่าสองคนนั้นเหมือนกัน คือเป็นผู้ชาย!”
“แล้วมันยังไงกันล่ะ” ใช่ แล้วมันยังไงล่ะ
“ก็สองคนนั้นไม่มีอะไรเหมือนกันเลยน่ะสิ!”
เซฮุนตะโกนออกมาด้วยเสียงค่อนข้างดังทำให้พวกเขาเป็นที่สนใจของคนรอบข้างอยู่พอสมควร ก่อนจะกลับมากระซิบกระซาบกันอย่างเดิมอีกครั้ง โดยที่เทายังคงเชื่อมั่นอย่างที่ตัวเองเชื่อ
“เดี๋ยวคอยดู ไอ้ความไม่มีอะไรเหมือนกันนี่แหละ! สป้าคคคคเลย”
#ฟิควงกลมชานไค
55555555555555555+ ข้างไหนก็ว่ากันหมา พ่อหมอจื่อเทา หรือเมียพ่อหมอโอเซฮุน #เดี๋ยวๆ
ความคิดเห็น